นับตั้งแต่การเปิดตัวของนาฬิกา Seiko 5 Sports ในปี 1968 โลกก็ได้รู้จักกับ เรือนเวลาจักรลที่เป็นตัวแทนของความทนทาน และคุณค่าด้านประสิทธิภาพที่ไว้ใจได้ มาอย่างยาวนานกว่า 54 ปี จวบจนปัจจุบัน โดยเลข “5” ในชื่อรุ่นเป็นสิ่งแสดงถึงคำมั่นสัญญาว่านาฬิกา Seiko 5 ทุกเรือนจะมาพร้อมคุณสมบัติหลัก 5 ประการ ดังนี้ เครื่องระบบอัตโนมัติ, ฟังก์ชั่นวันและวันที่บริเวณ 3 นาฬิกา, ระบบกันน้ำ, เม็ดมะยมบริเวณ 4 นาฬิกา และ ตัวเรือนรวมถึงสายที่มีความแข็งแรงทนทาน จากคุณสมบัติเหล่านี้ ส่งผลให้ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ชื่อของ Seiko 5 Sports นาฬิกาสปอร์ตสัญชาติญี่ปุ่น ได้สร้างประวัติศาสตร์รับความนิยมในระดับนานาชาติในฐานะนาฬิกาที่สามารถ “ไปได้ทุกที่” โดดเด่นทั้งประสิทธิภาพครบครันและดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครในราคาที่คุ้มค่า อีกทั้งจุดเด่นเหล่านี้ยังได้ถ่ายทอด DNA ความแข็งแกร่งสู่คอลเลคชั่นใหม่ของ Seiko 5 Sports ที่กลับมาในปี 2019 ซึ่งได้มีการเพิ่มความกระตือรือร้นและพลังแห่งการขับเคลื่อนอันทันสมัยลงไป พร้อมเปิดตัวรุ่นพิเศษออกมามากมาย ทั้ง Thailand Limited Edition / Street Fighter
นับย้อนไปตั้งแต่การเปิดตัวนาฬิกาสำหรับนักดำน้ำรุ่นแรกของญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1965 เทคโนโลยีนวัตกรรมการบอกเวลาของ Seiko ได้ทำให้มาตรฐานของวงการนาฬิกาเปลี่ยนแปลงไป และทำให้ชื่อของไลน์อัพ Seiko Prospex เป็นสัญลักษณ์ของความท้าทายทุกขีดจำกัด เป็นตัวแทนคอลเลกชั่นเครื่องบอกเวลาสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกีฬาและผู้ที่หลงใหลในการผจญภัย ไม่ว่าจะใต้น้ำ เหนือท้องฟ้า หรือแม้กระทั่งบนบกก็ตาม และในปี 2022 นี้ นาฬิกา The Black Series หนึ่งในซีรีส์ยอดนิยมของ Seiko Prospex ได้ก้าวข้ามความท้าทายสู่การผจญภัยครั้งใหม่ ที่ไม่ได้ถูกจำกัดไว้แค่เพียงการดำดิ่งสู่ท้องทะเลลึก กับการเปิดประสบการณ์การเดินป่าตั้งแคมป์ในยามค่ำคืน เพื่อดื่มด่ำความงามท่ามกลางความเงียบสงบ ซึ่งพร้อมสะกดทุกสายตาด้วยแสงจากธรรมชาติบนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดสนิท จนแทบจะมองเห็นดวงดาวทั้งกาแล็กซี่ โดยเฉพาะในบางพิกัดบนท้องฟ้าที่เผยความงามผ่านแสงสีเขียวเรืองรองที่สาดส่องลงมากระทบกับเงาของต้นไม้รอบด้าน จนกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับ Seiko Prospex The Black Series “Night Vision” Limited Edition รุ่นใหม่ล่าสุด Seiko Prospex Black Series “Night Vision” Collection นำแรงบันดาลใจจากท้องฟ้าของผืนป่ายามค่ำคืน มาถ่ายทอดลงบนตัวเรือนทั้งหมด 3 แบบ ทั้ง 3 รุ่น
สาวก SEIKO คงไม่มีใครไม่รู้จักคอลเลกชั่น ‘Save The Ocean’ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นงาน Special Edition ที่ไม่ได้มีคุณค่าในแง่ของความงามจากลวดลายดีไซน์พิเศษในแต่ละรุ่นเท่านั้น แต่มันยังมีคุณค่าในเชิงอนุรักษ์ด้วยการสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของท้องทะเล เพื่อสานต่อจิตสำนึกในการพิทักษ์ท้องทะเลให้คงอยู่อย่างสมบูรณ์สู่รุ่นลูกหลานของเราสืบไป โดยต้นกำเนิดของคอลเลกชั่น ‘Save The Ocean’ นั้นเริ่มมาตั้งแต่ปี 2018 ที่ SEIKO ได้ร่วมมือกับนักสำรวจและนักอนุรักษ์เพื่อการอนุรักษ์ฟื้นฟูท้องทะเลอย่างยั่งยืน ซึ่งจุดมุ่งหมายของ ‘Save The Ocean’ นอกจากจะทำหน้าที่สร้างการรับรู้ให้เห็นถึงความสำคัญของท้องทะเลผ่านดีไซน์เฉพาะตัวของเรือนเวลาแต่ละรุ่นแล้วนั้น ทาง SEIKO ยังนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายนาฬิกา SEIKO PROSPEX ‘Save The Ocean’ กลับไปช่วยฟื้นฟูท้องทะเลให้กลับมาอุดมสมบูรณ์เช่นเดิมอีกด้วย และเป็นที่น่ายินดีว่าคอลเลกชั่นแห่งการอนุรักษ์ท้องทะเลนั้นมีการตอบรับที่ดีจนเดินทางมาถึงลำดับที่ 8 ของซีรีส์ ซึ่ง SEIKO PROSPEX ‘Save The Ocean’ Special Edition ประจำปี 2022 นั้นจะหยิบยกเอารุ่นเด็ดรุ่นไหนมาเติมเต็มความงดงามจากเสน่ห์แห่งท้องทะเลลงไป เชิญติดตามรับชมไปพร้อมกันได้เลย การกลับมาของ SEIKO PROSPEX ‘Save The Ocean’ Special
เชื่อว่าในตอนนี้หากจะให้พูดถึงเรือนเวลาขั้นสุดของ Seiko หลายคนคงยกให้ GS หรือ Grand Seiko ยืนหนึ่งในมวลหมู่ Seiko ทั้งหลาย แต่สำหรับแฟนพันธุ์แท้ Seiko คงรู้กันดีว่าในอดีตยังมีอีกหนึ่งรุ่นตำนานอย่าง King Seiko ที่ตีคู่ขับเคี่ยวโชว์ศักยภาพความเป็นเรือนเวลาชั้นยอดมาโดยตลอด เรื่องของเรื่องต้องย้อนไปในช่วงทศวรรษที่ 1960 ซึ่งถือเป็นทองยุคแห่งความก้าวหน้าของ Seiko ทั้งในด้านการพัฒนาเชิงเทคนิคกลไกและความคิดสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ จนได้มีการพัฒนา Grand Seiko รุ่นแรกออกมาในปี 1960 ก่อนที่จะส่ง King Seiko ตามมาในปี 1961 ซึ่งเรือนเวลาทั้ง 2 รุ่น ที่มาจาก 2 แหล่งผลิต (Grand Seiko ผลิตที่ Suwa Seikosha / King Seiko ผลิตที่ Daini Seikosha) ต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันในการเป็นสุดยอดเรือนเวลาของ Seiko แม้ตอนนี้จะเหลือเพียง GS ที่ครองตำแหน่งแบรนด์เรือนเวลาเรือธงจาก Seiko แต่เสน่ห์ความเป็นนาฬิกาจักรกลที่ได้รับการออกแบบและขัดแต่งอย่างสวยงามประณีต
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘SEIKO (ไซโก)’ คำภาษาญี่ปุ่นที่มีความหมายว่า “นาที” “ความดีเยี่ยม” และ “ความสำเร็จ” เป็นคำคุ้นหูที่หลายคนรู้จักในฐานะชื่อแบรนด์นาฬิกาสัญชาติญี่ปุ่นที่อยู่คู่กับคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย นอกจากชื่อเสียงที่ชาวไทยคุ้นเคย ในระดับโลก SEIKO ยังถือเป็นแบรนด์ที่สร้างมาตรฐานใหม่บนหน้าประวัติศาสตร์วงการนาฬิกามาแล้วมากมาย ทั้งในฐานะแบรนด์นาฬิกาข้อมือแบรนด์แรกของญี่ปุ่นที่ริเริ่มผลิตนาฬิกาควอตซ์จนทำให้เกิดยุค Quartz Crisis และเป็นแบรนด์ที่ผลิตนาฬิกาดำน้ำไทเทเนียมรุ่นแรกของโลก รวมถึงนวัตกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย จากประสบการณ์ที่ถูกสั่งสมมาอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่า 140 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่ SEIKO ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1881 จนกลายเป็นความเชี่ยวชาญที่ผลักดันให้ SEIKO ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทนาฬิกาชั้นนำในญี่ปุ่น เป็น House of Watchmaking ที่ผลิตทุกชิ้นส่วนของนาฬิกาด้วยโดยช่างผู้ชำนาญการที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดของนาฬิกา ภายใต้คติ Keep Going Forward ซึ่งหมายถึงการไม่หยุดพัฒนาและก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ ที่ SEIKO ยึดถือมาจนถึงปัจจุบัน และในปี 2021 นี้ ไม่เพียงแต่เป็นโอกาสพิเศษของแบรนด์คุณภาพจากญี่ปุ่นที่เดินทางมาครบรอบ 140 ปีเท่านั้น ซึ่งพวกเราชาวไทยที่เป็นสาวก SEIKO มาตั้งแต่ยุคบุกเบิกน่าจะรู้กันดีว่าช่วงเวลานี้ถือเป็น “ช่วงเวลาพิเศษ” ของไซโก
ผู้ที่ชื่นชอบนาฬิกาส่วนใหญ่มักจะมองหานาฬิกาที่มีความพิเศษมาเพิ่มเติมใน Collection ตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นที่ทำขึ้นเป็นที่ระลึกในเหตุการณ์สำคัญ ๆ รุ่นที่มีการ Collaboration หรือเป็นรุ่น Limited Edition ซึ่งมีจำนวนจำกัด นั่นก็เพราะนาฬิกาเหล่านี้มีความพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราว คุณค่าทางจิตใจ ความหายาก รวมถึงแนวโน้มมูลค่าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ยกตัวอย่างแบรนด์นาฬิกาชั้นนำของโลกอย่าง ‘Seiko’ ถ้าหากใครติดตามจะรู้ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ‘Seiko’ ถือเป็นแบรนด์นาฬิกที่มีรุ่นยอดนิยม รวมไปถึง Collection เจ๋ง ๆ ออกมาให้นักสะสมได้จับจองเป็นเจ้าของกันอยู่ตลอด และใน Collection ล่าสุด พิเศษยิ่งกว่ากับ ‘Seiko x Alex Face’ นาฬิกาที่ได้ศิลปินกราฟฟิตี้ผลงานระดับโลกของไทย มาเป็นผู้ออกแบบ Collection นาฬิกาสุดพิเศษนี้ด้วยตัวเอง ถ้าพูดถึงชื่อ ‘Alex Face’ ทุกคนจะต้องนึกถึงภาพผลงานเด็ก 3 ตา ซึ่งเป็น Signature ของเขามาพอสมควร แต่วันนี้เราจะพาทุกคนไปเจาะลึกเกี่ยวกับตัวศิลปิน Street Art คนนี้ ย้อนกลับไปถึงจุดเร่ิมต้น และเส้นทางความสำเร็จที่ไม่ธรรมดาของคาแรคเตอร์ที่ปรากฎตัวมาแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ‘Alex Face’
สาวกเรือนเวลาทั้งหลายคงรู้กันดีว่าชื่อชั้นด้านการบอกเวลาที่แม่นยำ รวมถึงการสร้างสรรค์ชิ้นงานที่ประณีตงดงาม ที่ทำให้ Seiko (ไซโก) เป็นอีกหนึ่งแบรนด์นาฬิกาตัวแทนความภูมิใจของชาวเอเชียนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาง่าย ๆ ในระยะเวลาอันสั้น แต่มันเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ถูกสั่งสมพัฒนามาอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่า 140 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่ Seiko ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1881 โดย Kintaro Hattori (คินทาโร ฮัตโตริ) ชายหนุ่มวัย 21 ปี ที่นำเอาความตั้งใจ ความรักและความหลงใหลในกลไกบอกเวลามาใช้เป็นแรงผลักดันในการรังสรรค์นาฬิกาคุณภาพสูงจนก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทนาฬิกาชั้นนำ ซึ่งความสำเร็จเหล่านั้นคือสิ่งที่ต่อยอดมาจากวิสัยทัศน์เพียงหนึ่งเดียวที่ชายผู้นี้ยึดมั่น นั่นคือ “One step ahead of the rest” หรือ “การที่ต้องนำหน้าคู่แข่งอยู่ 1 ก้าวเสมอ” โดยคำกล่าวของ Kintaro Hattori นั้นได้ฝังรากลึกอยู่ในจิตวิญญาณของแบรนด์ และยังคงสะท้อนกึกก้อง เป็นแรงบันดาลใจในการทำงานของ Seiko มาจนถึงปัจจุบัน และในวาระการเฉลิมฉลองครบรอบ 140 ปีของ Seiko จึงถือเป็นโอกาสดีที่วิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งอย่าง Kintaro จะถูกนำกลับมาถ่ายทอดโดยสะท้อนผ่านผลงานนาฬิกา 4 รุ่นพิเศษที่ผลิตในแบบจำนวนจำกัด
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าชื่อชั้นกิตติศัพท์ในเรื่องคุณภาพ รวมถึงชื่อเสียงด้านนวัตกรรมการบอกเวลาที่เที่ยงตรงแม่นยำ คือสิ่งตอกย้ำภาพเรือนเวลาแห่งความภาคภูมิใจของชาวเอเชียให้กับแบรนด์ Seiko (ไซโก) ได้เป็นอย่างดี และต้องบอกว่าเกียรติประวัติเหล่านี้ใช่ว่าจะได้มาง่าย ๆ ในระยะเวลาอันสั้น แต่มันเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ถูกสั่งสมพัฒนามาอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่า 140 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่ Seiko ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1881 โดย Kintaro Hattori (คินทาโร ฮัตโตริ) ชายหนุ่มวัย 21 ปี ที่นำเอาความตั้งใจ ความรักและความหลงใหลในกลไกบอกเวลามาใช้เป็นแรงผลักดันในการรังสรรค์นาฬิกาคุณภาพสูงจนก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทนาฬิกาชั้นนำในญี่ปุ่น เป็นศูนย์กลางในการออกแบบและมีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง ตลอดระยะเวลา 50 ปีแรกภายใต้การคุมหางเสือของ Kintaro Hattori คือรากฐานสำคัญในการพาชื่อ Seiko ทะยานสู่ความเป็นแบรนด์นาฬิกาอันดับต้น ๆ จากอดีตจนถึงปัจจุบัน และถือเป็นความสำเร็จที่ต่อยอดมาจากวิสัยทัศน์เพียงหนึ่งเดียวที่เขายึดมั่น นั่นคือ “One step ahead of the rest” หรือ “การที่ต้องนำหน้าคู่แข่งอยู่ 1 ก้าวเสมอ” โดยคำกล่าวของ Kintaro Hattori ได้ฝังรากลึกอยู่ในจิตวิญญาณของแบรนด์ และเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานของ
หากให้หยิบยกเอาเรื่องของนาฬิกาดำน้ำรุ่นเด่นจาก SEIKO มาพูดคุยกัน เชื่อเหลือเกินว่าบรรดาสาวกทั้งหลายคงใช้สมญานามหรือชื่อเล่นแทนตัวของแต่ละรุ่น ไม่ว่าจะเป็น เต่า, มอนสเตอร์, ซูโม่, ซามูไร ไปจนถึงระดับจอมทัพอย่าง ‘โชกุน (Shogun)’ มาสนทนากันอย่างออกรส ชนิดที่ว่าคนวงนอกฟังแล้วอาจมีอาการงง พาลฟันธงไปว่ากำลังคุยเรื่องมังงะกันอยู่เป็นแน่แท้ ซึ่งต้องบอกว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้คุยกันเรื่องการ์ตูน หรือหนังแฟนตาซีอะไรอย่างที่เข้าใจกัน แต่ต้องอธิบายว่าชื่อเล่นมากมายที่ถูกใช้ในการขนานนามนาฬิกาเรือนโปรด นั้นถูกนำมาจากจุดเด่นของรูปลักษณ์งานดีไซน์ในแต่ละรุ่น ยกตัวอย่างเช่น SEIKO โชกุน คือชื่อเล่นที่ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับ SEIKO PROSPEX รุ่น SBDC007 ที่โดดเด่นด้วยภาพลักษณ์ความแข็งแกร่งของโลหะที่ใช้ ซึ่งก็คือวัสดุไทเทเนียมที่มีน้ำหนักเบาและมีความทนทานสูง เปรียบได้กับชุดเกราะที่โชกุน หรือเจ้าของตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในสมัยก่อนสวมใส่ในยามออกรบ และไม่ใช่เพียงแค่วัสดุที่ทำให้ได้มาซึ่งสมญานามโชกุน แต่งานดีไซน์ในส่วนต่าง ๆ ยังสะท้อนจิตวิญญาณชุดเกราะของจอมทัพออกมาอย่างได้ชัดเจน ทั้งในส่วนของ Pointed Markers บนขอบหน้าปัดที่ดูแข็งแกร่ง และ Triangular Notches ที่ออกแบบเพื่อให้หมุนขอบตัวเรือนได้อย่างกระชับ มั่นคง แม่นยำ ตอกย้ำให้ผู้ที่ได้สวมใส่นาฬิกาเรือนนี้รู้สึกได้ว่าความแกร่ง ผสานกับความประณีต รวมถึงน้ำหนักที่เบาของวัสดุไทเทเนียม นั้นควรค่าที่จะเป็นชุดเกราะคู่ใจของโชกุนผู้เกรียงไกร จนกลายเป็นที่มาของชื่อ ‘โชกุน’ นาฬิกาดำน้ำที่เบาที่สุดจาก SEIKO ที่หลายคนยกให้เป็นตำนาน โดยเหตุผลที่ได้กลายเป็นตำนานนั้น
“ดากานดา ฉันรักแกว่ะ”น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักประโยคอมตะจากปากของ ‘ไข่ย้อย’ ตัวละครจาก ‘เพื่อนสนิท’ ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกที่ส่งให้ชื่อของ ‘ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์’ ปรากฎขึ้นมาบนสารบบของนักแสดงหน้าใหม่ที่น่าจับตาของประเทศไทย และด้วยภาพยนตร์เรื่องเดียวกันนี้เอง ที่ทำให้ผู้ชายคนนี้ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากคม ชัด ลึก อวอร์ด ประจำปี 2548 แม้จะเปิดฉากอาชีพนักแสดงได้อย่างสวยงาม แต่รางวัล ชื่อเสียง คำชื่นชมที่ได้รับมาตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ซันนี่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง ไม่เคยทำให้ผู้ชายคนนี้ปล่อยตัวเองให้หยุดอยู่กับความสำเร็จเก่า ๆ แต่เขายังคงมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และพัฒนาตัวเองเพื่อทำอาชีพนักแสดง ที่เขามักจะพูดอยู่เสมอว่านี่คืออาชีพที่เขารัก ได้อย่างมีคุณภาพสมบทบาทในทุกผลงาน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะผลักดันศักยภาพตัวเองให้ไปข้างหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ มีโอกาสได้รับเลือกให้มารับหน้าที่แบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ของไซโก (ประเทศไทย) ภายใต้แคมเปญ “Keep Going Forward” ไม่สิ้นสุดถ้าไม่หยุดไปต่อ ซึ่งสะท้อนตัวตนวิธีคิดของซันนี่ออกมาได้อย่างชัดเจน หลังจากที่แบรนด์แอสบาสเดอร์รุ่นพี่อย่าง ‘อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม’ ที่เคยมีผลงานร่วมกันในภาพยนตร์เรื่อง ‘ชัมบาลา’ นั้นประสบความสำเร็จอย่างมากกับแคมเปญ “Move your adventurous mind further” และ “Discover Your Planet” ของทางไซโก