กลับมาตามสัญญาว่าเราจะนำเสนออีกมุมหนึ่งของเจ้านายโหดให้ได้รู้ หลังจากบอกข้อดีของ CEO ระดับโลกที่อยู่ในมุมมืดไปแล้วใน Episode แรก คราวนี้ถึงเวลามาเสนอเรื่องพลังลบที่แผ่ออกมากันบ้าง ซึ่งบอกตรง ๆ เลยว่ามันส่งผลกับพนักงานมากกว่าความรู้สึกไม่อยากตื่นไปทำงานหรือนอนไม่หลับ ลองมาดูกันของแถมที่ได้จากการเติบโตหลังทำงานกับเจ้านายที่พร้อมด่ากราด ฉุนเฉียว ทั้ง 3 ข้อต่อไปนี้ แล้วถามตัวเองอีกคร้ังว่าคุณพร้อมจะแลกมันหรือเปล่า ปัญหาสุขภาพ ทำงานหนักไม่เคยทำให้ใครตาย ประโยคนี้มันไม่จริง เรื่องนี้พวกเรารู้ดี และทาง UNLOCKMEN ก็เคยนำเสนอประเด็นนี้ไปแล้วผ่านบทความเรื่อง รู้จักโรค ‘ขยันมากเกินไป’ สาเหตุ อาการและทางออกก่อนที่เราจะกลายเป็นโรคบ้างานเรื้อรัง ขนาดคนที่ทำเขาทุ่มเทเพราะไม่ได้มีใครบังคับเขายังเจอผลกระทบเรื่องสุขภาพถึงตาย ดังนั้น คนที่โดนบังคับเพราะความกลัวอำนาจจะยิ่งเกิดความรู้สึกกดดันยิ่งกว่า เรียกได้ว่าโดนทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตพร้อมกัน เรื่องนี้เราไม่ได้เอามาพูดปากเปล่า แต่ยืนยันได้จากเหตุการณ์ของ Amazon ที่มีข่าวช่วงกลางปี 2561 ที่เปิดเผยข้อเท็จจริงว่ารถ Ambulance เข้าออกโกดังบ่อยถึง 600 ครั้งในระยะเวลา 3 ปี งานนี้แม้จะไม่ได้บอกรายละเอียดชัดว่าอาการบาดเจ็บนั้นมาจากอะไรบ้างแต่เราเชื่อว่าการโหมงานต้องเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน เพราะสหภาพแรงงานเขาออกมาพูดเลยว่า Amazon เป็นองค์กรที่ดูแลคนไม่ต่างจากหุ่นยนต์ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอที่สนับสนุนข้อมูลนี้ด้วยการกล่าวว่าเหยื่อจากอารมณ์เจ้านายมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเครียด ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูง ฯลฯ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องคอขาดบาดตายถึงชีวิต
เจ้านายกับพนักงานถือเป็นของคู่กัน เจ้านายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอิทธิพลมากกว่าหมอดูที่บอกกราฟลายมือเส้นชีวิตเราว่าเราจะเจริญก้าวหน้าได้จริงไหม และที่แน่ ๆ คือต่อให้ใครจะว่ายังไง เจ้านายจะยังคงอยู่ในองค์กรต่อไป คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมเจ้านายสายเดือด สายโหด หรือเจ้านายที่มีพฤติกรรมเข้าขั้นติดลบในสายตาพนักงาน แถมชีวิตโคตรไม่บาลานซ์ ทำไมถึงพาองค์กรพุ่งไปติดอันดับต้นของโลกได้ แถมพูดชื่อแล้วหลายคนยังต้องแลกและฝ่าฟันเพื่อให้ไปเจอเจ้านายแบบนั้นอีก แน่สิ ถ้าเราบอกว่าตัวอย่างของเจ้านายเหล่านั้นคือ Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon, Elon Musk ผู้ก่อตั้ง Tesla และอุโมงค์ทะลุมิติ และ Steve Jobs เจ้าของตำนานมือถือระบบ iOS อย่าง Apple คุณเองก็คงไม่ปฏิเสธหรอกว่าอยากจะร่วมงานกับเขาสักครั้งในชีวิต ก่อนจะไปพูดถึงประโยชน์ของนิสัยมุมมืดจากเหล่า CEO คนดังระดับโลกที่พาองค์กรเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป (เชิดชูบูชากันมาเยอะเพราะโปรดักส์เขาดีจริง) มาลองดูนิสัยร้าย ๆ เบื้องหลัง CEO ดังเหล่านี้กับคนใกล้ชิดที่ไม่ดีอย่างที่คิด Elon Musk : ข่มคู่รัก ด่ากราดลูกน้อง ทวีตไร้วิจารณญาณ แม้สิ่งที่เราเห็นในวันนี้หนุ่ม Elon แม้จะเป็นป๋าใจสปอร์ตส่งเครื่องไม้เครื่องมือมาช่วย 13 หมูป่า แต่อีกแง่มุมเรื่องความเป็นผู้นำ เขากลับมีนิสัยโหดห่ามในการควบคุมลูกน้อง
ต้นปีคือช่วงแห่งความฮึกเหิม ผู้ชายอย่างเรากระหายการเริ่มต้น ความเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาตัวเองแบบที่ช่วงอื่น ๆ ของปีไม่อาจให้เราได้ ถ้าความฮึกเหิมพุ่งกระฉูดกับเราไปนาน ๆ ก็คงดีไม่น้อย แต่น่าเศร้าที่ความพลุ่งพล่านนี้มันจะค่อย ๆ ลดน้อยถอยลงไปตามจำนวนเดือนที่เพิ่มขึ้น กระทั่งท้ายปีมาถึง จากที่ฝันถึงยอดเขาสูงใหญ่กลับไปได้แค่เนินดินลูกเล็ก เหลือเพียงตัวเรากับความว่างเปล่าและความรู้สึกล้มเหลวไร้ค่าว่าเราไม่อาจทำอะไรให้สำเร็จได้สักอย่าง เหตุผลอย่างหนึ่งก็เพราะความฮึกเหิมผลักให้เราตั้งเป้าไกล แต่แค่เพราะเป้าถูกวางไว้ไกลและยิ่งใหญ่ไม่ได้แปลว่าเราจะทำสำเร็จ กุญแจสำคัญคือความสม่ำเสมอ ความต่อเนื่อง ซึ่งถ้าเรามีแต่เป้าหมายสูงใหญ่ ไม่มีการวางแผนการก้าวเดินไปถึงจุดนั้น ความฮึกเหิมก็ไม่อาจพาเราไปถึงยอดเขา UNLOCKMEN จึงรวบรวม 5 สิ่งเล็ก ๆ ที่เราอาจมองข้ามและไม่คิดจะทำมัน เพราะมันดูง่ายเกินไปและดูเป็นก้าวเล็กเกินไป แต่ถ้าลองเริ่มทำตั้งแต่วันแรก ๆ ของปีและทำต่อเนื่องสม่ำเสมอ ไม่หยุด รับรองว่าสิ่งที่เรามองข้ามเหล่านี้จะทำให้เราเข้าใจว่าความสำเร็จจากการทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ไม่ยาก อ่านหนังสือทุกวัน เราไม่ต้องฝันถึงหนังสือกองเท่าภูเขาหรือตั้งเป้าว่าจะอ่านหนังสือให้จบ 40 เล่มภายในหนึ่งปี แค่บอกตัวเองว่า “เราจะอ่านหนังสือทุกวัน” แล้วทำต่อเนื่องเรื่อยไปอย่าหยุด แค่นั้น การอ่านหนังสือตลอด 365 วันต่อให้อ่านแค่วันละ 3-4 หน้าก็เชื่อเถอะว่าข้อมูล ความรู้ หรือแม้แต่จินตนาการจากหนังสือที่เราอ่านจะหล่อหลอมหรือเปิดทางให้เราเห็นมุมมองใหม่ ๆ ในชีวิต หรือแม้แต่แรงบันดาลใจที่จะก้าวไปข้างหน้าได้มากอย่างที่เราไม่เคยคิดมาก่อน
ความกระหายที่จะเรียนรู้ไม่หยุดยั้งคืออีกคุณสมบัติสำคัญที่จะทำให้ผู้ชายอย่างเราอยู่รอดได้ในยุคสมัยที่อะไรก็เคลื่อนไปไวจนเราตามไม่ทัน จินตนาการดูว่าถ้ารอบตัวเรากำลังเคลื่อนไปข้างหน้า แต่เราหยุดอยู่กับที่ไม่เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เลย การอยู่กับที่ก็ไม่ต่างอะไรจากการถอยหลังจนตามอะไรไม่ทันอีกต่อไป การเรียนรู้จึงเป็นอีกกุญแจสำคัญที่จะทำให้เราพัฒนา ไม่กลายเป็นมนุษย์ตกรุ่นในวันที่ AI กำลังพร้อมาแทนที่เราทุกขณะ แต่ไม่ใช่แค่การเรียนรู้เท่านั้นแต่การเรียนรู้ได้ไวดังใจคิดก็เป็นอีกสกิลสำคัญที่ต้องมีติดตัว สำหรับใครที่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เราจะเรียนรู้ให้ไวได้อย่างไรบ้าง UNLOCKMEN พามาเตรียมเรียนรู้อย่างเร็วไวไปพร้อม ๆ กัน เขียนด้วยมือเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียนแบบไหน แต่จงจำไว้กระดาษและปากกานี่แหละคืออาวุธลับของการเรียนรู้ได้ไว จดจำได้ไว แม้โลกจะมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากมายที่สะดวกสบายมากกว่า แต่การจดลงบนกระดาษกลับกลายเป็นวิธีที่ส่งเสริมการเรียนรู้ได้ดีกว่าการใช้อุปกรณ์เหล่านั้น เราไม่ได้พูดลอย ๆ แต่งานวิจัยจากสองนักวิจัยอย่าง Pam Mueller และ Daniel Oppenheimer ชี้ให้เห็นว่าคนที่เรียนรู้ด้วยการจดลงกระดาษจะเรียนรู้ได้มากกว่าคนที่ใช้คอมพิวเตอร์จดเนื้อหาแม้คนที่ใช้คอมพิวเตอร์จดจะจดได้มากกว่าก็ตาม คำอธิบายก็คือการจดด้วยปากกานั้นทำให้เราจดได้ช้ากว่า จึงทำให้เรารู้จักที่จะสรุปความตามที่เราเข้าใจ และรวบคอนเซปต์ของการเรียนรู้ในแต่ละครั้งได้ไวและดีกว่าการพิมพ์เอา ซึ่งการพิมพ์ทำได้ไว เราจึงแค่ลอกสิ่งที่ฟังหรือดูลงไปโดยไม่เกิดกระบวนการเรียนรู้ หรือการวิเคราะห์ประเด็นในแบบของเรา ดังนั้นถ้าลงคอร์สเรียนสกิลใหม่ ๆ ไม่ว่าจะออนไลน์หรือออฟไลน์ครั้งหน้า ทำเท่ ทำวินเทจ คว้าสมุดเท่ ๆ ปากกาคูล ๆ สักด้ามแล้วจด แทนที่จะอัดเสียงหรือพิมพ์เถอะ ฟังคนอื่นสอน ก็สอนคนอื่นต่อ อีกวิธีการที่ช่วยให้เราเรียนรู้ได้ไวอย่างไม่น่าเชื่อคือ “การสอนคนอื่น” เรามักเข้าใจผิดว่าก่อนที่เราจะไปสอนคนอื่นได้เราจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นระดับหาตัวจับยากก่อน ซึ่งไม่จำเป็นเสมอไป
การมาเยือนของปีใหม่มักมาพร้อมกับ ‘New Year Goal’ หรือเป้าหมายที่อยากทำให้สำเร็จในปีนั้น ๆ เสมอ เพราะการผันเปลี่ยนของตัวเลขบนปฏิทินเหมือนเป็นสัญญาณบอกเราว่า ‘ถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงแล้ว’ แต่ภาพซ้ำที่เราเจอจนชินชาคือ เดือนมกราคมจะเริ่มต้นด้วยความฮึกเหิม แต่อยู่ ๆ แรงฮึดก็ค่อย ๆ หมดไปตามเดือนที่เพิ่มขึ้น ก่อนที่สุดท้ายเมื่อถึงวันสิ้นปี เราก็ลืมไปโดยสิ้นเชิงแล้วว่าเมื่อต้นปีเคยตั้งเป้าหมายอะไรเอาไว้ แต่ในปีนี้ต้องไม่เป็นแบบนั้น! เพราะสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เดจาวูแบบนี้ทุก ๆ ปีเป็นเพราะเป้าหมายที่เราตั้งไว้อาจจะสูงหรือทำได้ยากจนเกินไป ดังนั้นในปี 2019 ที่จะถึงนี้ ลองเปลี่ยนมาตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ แต่ทำได้ง่ายอย่างที่เรากำลังจะแนำนำดีกว่า รับรองเลยว่าหลังวันที่ 31 ธันวาคมนี้ ชีวิตจะดีขึ้นอย่างแน่นอน ตั้งเป้าหมาย การตั้งเป้าหมายในที่นี้หมายความถึงการเขียนเป้าหมายลงบนกระดาษจริง ๆ ไม่ใช่แค่นึกเป้าหมายไว้ในใจลอย ๆ เพียงอย่างเดียว เพราะมีผลการวิจัยเผยว่าการที่เราเขียนเป้าหมายสิ่งที่เราจะทำลงบนกระดาษจะทำให้เราเอาจริงเอาจังกับสิ่งนั้นมากขึ้น และนอกจากการเขียนแล้ว ให้เราบอกเป้าหมายที่เราตั้งใจจะทำกับคนรอบข้างให้มากที่สุด เนื่องจากเมื่อเราได้ลั่นวาจาออกไปแล้ว มันจะเป็นการกดดันตัวเองไปในตัวว่าต้องทำให้สำเร็จ แต่อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือเป้าหมายที่เราตั้งไว้นั้นต้องไม่ใหญ่จนเกินไป เป็นอะไรที่ทำได้ง่ายและไม่เปลี่ยนพฤติกรรมของเราอย่างกะทันหัน ค้นหาสิ่งที่ ‘ใช่’ และ ‘ไม่ใช่’ การเริ่มต้นปีใหม่ถือเป็นสัญญาณที่ดีให้เราได้ทบทวนถึงเรื่องราวในปีเก่าตลอดทั้ง 365 วัน ว่าเรารู้สึกชื่นชอบอะไรและไม่ชอบอะไร อาจจะเริ่มต้นด้วยการค้นหาสิ่งที่ไม่ชอบ
ตั้งความหวัง ผิดหวัง ถือเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าความรู้สึกผิดหวังมันอยู่ยาวนานกว่าความสุขเสมอ ดังนั้น เมื่อเจ็บในปีนี้ หลายคนจึงลดทอนเป้าหมายหรือบอกตัวเองว่า “ช่างแม่ง” เลิกทำมันซะเลย…ถ้าเราช่างแม่งแบบไม่เรียนรู้ความผิดพลาด โหมด “ฉิบหาย” ก็รอคอยเราอยู่อย่างแน่นอน เพื่อให้ผู้ชายเราเติบโตขึ้น 100% ครบทั้ง 3 ด้านของชีวิต คือ ตัวเอง การทำงาน และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เราจึงต้องตั้งเป้าหมายแทนการนั่งทำกิจวัตรเดิมไปวัน ๆ เพราะไม่อย่างนั้นกว่าจะรู้ตัวอีกทีภาพก็ตัดมาที่ปลายปีแล้ว และเมื่อเราถามตัวเองว่า “ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร” คำตอบที่ได้แต่ก็คือ “ไม่รู้ว่ะ ก็เหมือนปีที่แล้วแหละ” แล้วก็เดินหน้าทำแบบเดิมต่อไปในปีหน้า ไม่ว่าที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไร เราจะไม่ตัดสิน แต่อยากให้คุณตั้งหลักใหม่ด้วยวิธีการเหล่านี้ จะได้ตอบตัวเองได้ชัดขึ้นว่าปีที่ผ่านมาเราดีขึ้นหรือแย่ลง และจะทำอย่างไรในปีหน้า ความหวังที่สูงมันเจ็บ แต่ความหวังต่ำทำให้ย่ำอยู่กับที่ คนที่เคยดูโฆษณาสิงห์ เมื่อหลายปีก่อนโน้นคงจำประโยคเด็ดจากโปรกอล์ฟท่านหนึ่งที่พูดถึงเส้นทางความสำเร็จได้ว่า “ตีลูกให้ถึงดวงจันทร์ ถึงพลาดก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว” ซึ่งหมายถึงการตั้งความหวังให้โคตรสูงชนิดที่มองแล้วบอกตัวเองว่าไม่สำเร็จ ถึงจะพลาดมันก็ยังสูงกว่าที่ต้องการอยู่ดี เรียกง่าย ๆ ว่าถ้าเราคาดไว้ว่าเราทำงานแค่ผ่านเกณฑ์ก็พอใจ โอกาสสำเร็จและพลังความพยายามฝึกซ้อมของเรามันจะล้อไปกับเป้าหมาย แปลว่าอย่างดีก็คือผ่านเกณฑ์แต่โอกาสสำเร็จในอัตราที่ดีกว่านั้นแทบจะไม่มีอยู่เลย ขณะที่การตั้งเป้าหมายไว้สูงกว่าเดิม 2-3 เท่า แล้วมุ่งมั่นฝึกไปเรื่อย ๆ และลงมือทำมัน นับเป็นสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองเกิดการตั้งเป้าหมายระยะยาวที่ช่วยปลดล็อกศักยภาพจากขีดจำกัดได้ และแม้จะเฟล
สิ้นปีกำลังจะมาถึงในไม่กี่อาทิตย์ เพื่อไม่ให้ปลายปีนี้เราต้องเฉามานั่งไล่ลิสต์ที่เขียนไว้ต้นปีเพื่อกดก๊อปปี้วาง แล้วไปพอกไว้ปีหน้า UNLOCKMEN ขอทำหน้าที่เป็นป๋าดัน แนะนำวิธีคลอดไอเดียเป็นล้านที่คุณมี ให้มันไม่เป็นแค่จินตนาการฟุ้ง ๆ ในอากาศ สามารถบรรลุเป้าหมายได้แม้ว่าคุณจะงานล้นมือหรือมีเวลาน้อยนิดแค่ไหนก็ตาม เหตุผลคนดองไอเดีย ไม่ได้ขี้เกียจแค่ทางเลือกมันเยอะเกิน ใครที่ไอเดียพลุ่งพล่านมาหลายปี แต่ชั่วชีวิตนี้ไอเดียก็ยังเป็นได้แค่ไอเดียเฉย ๆ ไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่างในชีวิตจริงสักที เรื่องนี้อธิบายได้ว่ามันมีเหตุผลของมัน เพราะเคยมีนักจิตวิทยาทำวิจัยเรื่องการวางแผนลงทุนเพื่อนการเกษียณสำหรับพนักงานไว้แล้วพบว่า ยิ่งเรามีทางเลือกให้เลือกเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ แทนที่เราจะได้ทำตามทางเลือกเหล่านั้นกลับกลายเป็นว่าไอ้ทางเลือกเยอะ ๆ นี่แหละที่สกัดดาวรุ่งเรา จนสุดท้ายคนที่เข้าร่วมการวิจัยที่เจอทางเลือกลงทุนเยอะ ๆ เข้าไปเลยล้มแผนออมเพื่อเกษียณมันซะเลย ดังนั้น การขยับไปทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นสิบเป็นร้อยสิ่งนี่แหละที่มันดูดพลังงานเราเหลือเกิน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นกับเรา นี่คือ 5 สิ่งที่เราควรปักหมุดในใจและลงมือทำเสมอไม่ว่าจะคิดอะไรอยู่ ใครพร้อมลุยก่อนสัปดาห์สุดท้ายของปีจะมาถึงก็เริ่มได้ทันที ไม่ต้องรอฤกษ์ปีใหม่แต่อย่างใด 1. สร้างเดดไลน์ย่อย ๆ ให้เดินตาม โปรเจ็กต์งานชิ้นนี้ให้เวลา 2 เดือน ฟังดูเหมือนจะนานเพราะเราคิดเอาเองว่างานชิ้นนั้นวันสองวันก็เสร็จแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงสิ่งที่เราเจอมันกลับกลายเป็นหวุดหวิดจะไม่ทันเสียได้ ถ้าใครอยู่ในอาการนี้อาจจะเข้าข่ายว่าเรากำลังเข้าโหมด Parkinson Law ที่กล่าวไว้ว่า “การทำงานมันยืดจนเต็มเวลาเดดไลน์ได้เสมอแหละ” ซึ่งถ้าถามว่าเวลาไปไหนหมด ทำไมไปปั่นตอนใกล้นนาทีสุดท้ายมันชัดเลยว่าเราเอาไปเติมอย่างอื่น เช่น ขอเล่นเกมก่อน
สิ่งที่เหล่ามนุษย์เงินเดือนญี่ปุ่นต้องพบเจออยู่เสมอคือความตึงเครียดในการทำงานแต่ละวัน กลายเป็นภาพลักษณ์ให้คนทั่วโลกเห็นว่าคนญี่ปุ่นมักบ้างาน แต่ใช่ว่าขยันแล้วจะดีเสมอไปเพราะแท้จริงแล้วความขยันมากไปนั่นแหละที่จะสร้างความลำบาก บางครั้งก็เสียเวลาไปกับการทำโอทีโดยไม่เกิดประโยชน์อะไร วัฏจักรแบบมนุษย์เงินเดือนที่เวียนไปทุกวันไร้ซึ่งการตอบคำถามว่าทำอย่างไรถึงจะมีความสุขท่ามกลางกองงานพะเนิน แล้วโรคบ้างานแบบนี้มีโอกาสจะเกิดกับมนุษย์เงินเดือนไทยมากน้อยแค่ไหน ? จุดเริ่มต้นของ ‘โรคบ้างาน’ หรือ ‘Workaholic’ เริ่มต้นขึ้นในปีค.ศ. 1969 เหล่าทีมวิจัยค้นพบโรคบ้างานหรือ ‘คาโรชิ’ มีต้นเหตุจากการเสียชีวิตของหนุ่มญี่ปุ่นอายุ 29 ปี เพราะพื้นฐานของคนญี่ปุ่นถูกปลูกฝังเรื่องความมุ่งมั่นตั้งใจ ความภักดีต่อองค์กรที่ตัวเองอยู่ รวมถึงเรื่องความรับผิดชอบที่สูงลิบ ค่านิยมเหล่านี้ทำให้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่นิยมทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ และไม่แปลกที่พวกเขาจะทำให้โรคบ้างานกลายเป็นโรคยอดฮิตของชายชาวญี่ปุ่น เดิมทีโรคบ้างานถูกพบแค่ในหมู่ชายชาวญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ปัจจุบันผู้คนทั่วโลกต้องเผชิญกับความเครียดจากการทำงานไม่ต่างจากผู้ชายญี่ปุ่นเท่าไหร่นัก โรคบ้างานจึงแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลกรวมถึงในประเทศไทย จากการสำรวจประชากรไทยพบว่ามีคนเป็นโรคบ้างานถึงร้อยละ 67 และยังมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง เราอาจจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า “งานหนักไม่เคยฆ่าใคร” ขอบอกเลยว่าไม่จริง แม้บางครั้งเหล่าผู้ขยันทำงานเกินเหตุอาจรู้สึกสนุกไปกับการทำงานหนัก โดยไม่คิดว่าจะส่งผลกระทบกับร่างกายเท่าไหร่นัก แต่แท้จริงแล้วโรคภัยจำนวนมากต่างแห่เข้ามาอย่างไม่รู้ตัวทั้ง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ อัมพาต เพราะความเครียดทำร้ายระบบการไหลเวียนของเลือดจนไปเลี้ยงสมองไม่ทัน รวมถึงโรคซึมเศร้าที่คนบ้างานมีโอกาสจะเจอสูงกว่าคนทั่วไป วิจัยวารสารวิชาการ PLOS One ของมหาวิทยาลัย Bergen University กล่าวว่าคนขยันทำงานเกินเหตุมีโอกาสเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำสูงถึง 25.6% เมื่อเทียบกับคนที่ทำงานตามปกติ รวมถึงมีโอกาสเกิดอาการวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าได้ง่าย เห็นได้ชัดว่าการทำงานหนักนั้นก่อให้เกิดโรคทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แถมเมื่ออยู่กับความเครียดเป็นเวลานาน เหล่ามนุษย์เงินเดือนผู้ขยันขันแข็งมักหาทางออกโดยการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่จัด และทำให้ต้องเพิ่มโรคมะเร็งปอดกับตับแข็งเข้าไปอีก แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นบ้างานหรือไม่? มนุษย์เงินเดือนบ้างานสามารถสังเกตุว่าตัวเองมีอาการปวดตามร่างกายหรือไม่ เช่น ปวดหัว ปวดหลัง ปวดท้ายทอย
คงไม่มีใครอยากทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ ยกเว้นแต่จะเป็นเจ้าของธุรกิจเพราะอันนั้นไม่ต้องร้องหาวันหยุดให้เสียเวลา เราก็อยากอยู่กับดอกผลที่หว่านลงไป แต่ว่าล่าสุดผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์จาก Melbourne Institute Worker Paper เขาบอกว่าถ้าคุณอายุ 40 หรือเกิน 40 ไปแล้วล่ะก็ อย่าว่าแต่ทำงาน 5 วันเหมือนสมัยวัยรุ่น งานวิจัยระบุว่าอย่าพยายามทำงานเกิน 3 วันต่ออาทิตย์เลยจะดีกว่า “3 วันกำลังดี” ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่ไม่ได้สนับสนุนการอู้งาน แต่เพื่อบอกหนุ่มใหญ่ว่าอย่างเราจะทำงานได้ดีมากขึ้นกว่าเดิม ถ้าทำตามเวลานี้ เพราะนักวิจัยศึกษาด้วยการติดตามอาสาสมัครหญิงและชายในวัยนี้จำนวนถึง 6,500 คน แบ่งเป็นชาย 3,000 คน หญิง 3,500 คน โดยระหว่างการทดสอบจะมีการสอบถามและทดสอบความรู้ความเข้าใจ และนำมาคิดวิเคราะห์อุปนิสัยการทำงาน ความจำ การใช้หลักเหตุผล รวมถึงการให้เหตุผลในรูปแบบนามธรรมไปพร้อมกัน ในการทดสอบมีการทดสอบนอกจาก IQ แล้วยังรวมถึงการประมวลผลจากการให้อาสาสมัครอ่านเนื้อหาย้อนจากหลังมาหน้า อ่านออกเสียงให้ชัดเจน และจับคู่ตัวเลขกับข้อความภายใต้ความกดดันด้วย จากนั้นนักวิจัยจะเพิ่มชั่วโมงการทำงานเป็นชั่วโมงที่ 25 เข้าไป แต่พอทดสอบแล้วพบว่าหลังจากชั่วโมงที่ 25 ทักษะและความสามารถของการทำงานจะเริ่มถดถอยไม่ว่าผู้ทดสอบจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม ซึ่งการที่บอกว่าแค่ 3 วันก็เหลือแหล่มันก็มาจากตัวเลขการทำงานแบบ 9
ปัญหายิ่งใหญ่ของผู้ชายที่ทำงานดุเดือดเลือดพล่านอย่างเรา ๆ นอกจากเรื่องงานกองมหาศาลที่ทำเท่าไหร่ก็เหมือนว่าไม่เคยจะน้อยลงเลย คงหนีไม่พ้นปัญหาเรื่องเวลานอนที่มีน้อยจนต้องหอบสารร่างคล้ายซอมบี้ไปทำงานบ่อย ๆ จนปัญหาการนอนน้อยส่งผลกระทบกับเรื่องอื่น ๆ เป็นทอด ๆ ไม่รู้จบ แต่สิ่งที่น่ากังวลที่สุดก็คือการนอนน้อยมันส่งผลให้เราตายไว! แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรถ้าทุ่มเททำงานหาเงินมาแทบตาย แต่ยังไม่ทันได้ใช้เงิน ไม่ทันได้หาความสุขแต่ต้องมาหมดลมหายใจไปซะก่อนอย่างนี้ ? (เฮ้อ) ก่อนอื่นต้องอย่าคิดว่าการนอนน้อยเป็นเรื่องเล่น ๆ แค่เหนื่อย ๆ เพลีย ๆ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่หว่า ? นักวิจัยพบว่ามนุษย์ที่อายุต่ำกว่า 65 ปีลงมาที่ได้นอนวันละ 5 ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้นติดต่อกันตลอด 7 วันมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตเร็วกว่าคนที่ได้นอน 6-7 ชั่วโมงขึ้นไป ดังนั้นการนอนน้อยจึงไม่ใช่แค่ส่งผลต่อสภาพความเป็นซอมบี้ไปทำงานเท่านั้น แต่มันส่งผลต่อระยะความยืนยาวที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ด้วย อย่างไรก็ตามทุกปัญหาย่อมมีทางออก เพราะหัวใจผู้ชายรักงานมันร่ำร้องว่า เฮ้ย กูนอนไม่ได้จริง ๆ ว่ะ กูต้องโหมทำงานหนักเพราะมันโคตรสะใจกับผลงานที่ออกมาได้ โดยทางออกนี้เสนอโดย Torbjorn Akerstedt นักวิจัยของสถาบันวิจัยความเครียด มหาวิทยาลัยสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน บอกว่าการอดนอนในช่วงวันทำงาน แล้วลองมานอนยาว ๆ ในช่วงวันหยุดเป็นการทดแทน ช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตก่อนวัยได้จริง และเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างมาก! ดังนั้นใครที่เคยเจอพ่อแม่บ่น