อาจจะเป็นเพราะกระแส The Last Dance documentary ของ Netflix ที่ทำให้ทุกอย่างเกี่ยวกับ Michael Jordan มีมูลค่าพุ่งสูงขึ้นเป็นพิเศษในช่วงนี้ ล่าสุดด้วยบารมีแห่ง Michael รองเท้า Air Jordan 1 สี OG ขาวแดงใน size 13 นิ้ว ที่ผ่านการสวมใส่ลงสนาม (Game-Worn) แถมยังมีลายเซ็นของ MJ ประทับ พึ่งจะสร้างสถิติโลกใหม่ล่าสุดจากการประมูลของ Sotheby เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา ด้วยราคาเคาะค้อนที่สูงกว่าราคาประเมินถึง $560,000 หรือ 18 ล้านบาทไทย ซึ่งสูงแซงหน้า Nike Waffle Moon Shoe ที่ประมูลไปด้วยราคา $437,500 ในช่วงกลางปีที่แล้ว (July 2019) ไปอย่างขาดลอย Air Jordan 1 คู่นี้เดิมเป็นของ Jordan Geller
โลกใบนี้เต็มไปด้วยผลงานศิลปะจำนวนมาก หลากหลายชิ้นล้วนมีคุณค่าต่อผู้ซึ่งหลงใหลในศิลปะ รวมไปถึงคนที่มองเห็นในคุณค่าของผลงานเหล่านี้ และด้วยคุณค่าทางจิตใจและมูลค่ามหาศาลในตัวนี้เอง ที่ทำให้ผลงานศิลปะบางชิ้นถูกขโมยและหายเข้าสู่ตลาดมืดแบบไม่สามารถจับมือใครดมได้ แม้จะมีงานศิลปะหลายชิ้นถูกตามกลับคืนมาได้ แต่ก็ยังมีอีกจำนวนมากที่ยังคงสาบสูญ แต่ในโลกของศิลปะถือว่ายังโชคดีที่มีชายอย่าง ‘อาเธอร์ แบรนด์’ ที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ได้พยายามตามหาและกู้คืนผลงานศิลปะจำนวนมากให้กลับไปอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่อีกครั้ง แต่ด้วยการกู้คืนผลงานศิลปะมากกว่า 200 ชิ้นหากจะพูดถึงผลงานทุกชิ้นคงเป็นเรื่องที่ยาวเกินไป วันนี้เราจึงอยากพาทุกคนไปทำความรู้จักเขา ผ่านผลงานศิลปะระดับมาสเตอร์พีซ 3 ชิ้นที่เขามีส่วนนำกลับมาให้โลกได้ชื่นชมความสวยงามอีกครั้ง แต่จะมีผลอะไรของศิลปินคนไหน มาติดตามไปพร้อมกัน แหวนของ ออสการ์ ไวลด์ ผลงานการสืบตามหางานศิลปะชิ้นแรก ๆ ที่ทำให้อาเธอร์ แบรนด์ ถูกรู้จักในฐานะยอดนักสืบคือแหวนของออสการ์ ไวลด์ ยอดกวีชาวไอริชที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1854-1900 เป็นแหวนทอง 18 กะรัตที่นักประพันธ์มอบเป็นของขวัญให้กับเพื่อนนักเรียนของเขาในปี 1876 ซึ่งต่อมาถูกเก็บเอาไว้โดยมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด เรื่องราวย้อนกลับในปี 2002 ในตอนที่มันถูกขโมยไปโดยพนักงานทำความสะอาด ซึ่งต่อมาถูกจับและอ้างว่าได้ขายไปให้คนรับซื้อเศษเหล็กในราคา 150 ปอนด์ ซึ่งมูลค่าของแหวนในตอนนั้นอยู่ที่ 35,000 ปอนด์ แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อพนักงานคนนั้น เขาถูกส่งตัวเข้าตาราง แต่แหวนของออสการ์ ไวล์ก็ได้สูญหายไปนับตั้งแต่นั้น จนกระทั่งในปี 2015 เกิดการโจรกรรมเครื่องประดับใน Hatton Gargen
โลกมนุษย์คือการเรียนรู้และปรับตัว นอกจากวิถีชีวิตแบบใหม่ที่เรียกว่า New Normal จะทำให้คนเคยชินกับการเว้นระยะห่าง การใส่หน้ากาก การล้างมือ และการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าสู่ที่สาธารณะแล้ว เรายังจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในด้านการออกแบบ Interior Design ของร้านค้าหรือร้านอาหาร ที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยลูกค้า และทำให้ลูกค้ารู้สึกปลอดภัยทั้งในแง่ความรู้สึกและการสัมผัส เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้าแบบ New Normal ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาวจาก Coronavirus ถ้าวันนี้คุณกำลังทำธุรกิจร้านอาหาร หรือมีแผนว่าจะเปิดร้านอาหารเพื่อรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวในอนาคต จากเดิมที่ร้านสวย บรรยากาศดี อาหารอร่อย จะการันตีความสำเร็จของร้านอาหารได้ แต่อนาคตมันจะไม่เพียงพออีกต่อไป และนี่คือเทรนด์การออกแบบ Interior Design เกี่ยวกับ Layout, Spacing และ Experience ในโลกหลัง Coronavirus ที่คุณต้องรู้เอาไว้ การมีระยะห่าง เป็นสิ่งที่จะสร้างความสบายใจในการใช้บริการให้ลูกค้า ปัจจุบันร้านอาหารที่เปิดให้บริการในช่วงใกล้ปลด Lockdown อาจจะทราบดีว่าการใช้ Layout จัดวางโต๊ะแบบเดิม ๆ ที่ต้องเว้นระยะห่าง 1.5 – 2 เมตร ตามมาตรการควบคุมนั้นเป็นการเสียพื้นที่มากเกินไป นั่นเพราะการออกแบบตั้งแต่แรกมีจุดประสงค์เพื่อเน้นจำนวนคนต่อพื้นที่เพื่อให้เกิดรายได้มากที่สุด ดังนั้นร้านอาหาร (รวมถึงร้านค้า)
หนุ่ม ๆ หลายคนคงรู้จัก บรูซ ลี ในฐานะนักแสดงและนักศิลปะการต่อสู้ที่โด่งดังจากภาพยนตร์ฮอลลีวูด ผู้ทำให้ศิลปะการต่อสู้อย่างกังฟูและจีทคุนโด (Keet Kune do) เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ก่อนตัวเขาจะกลายเป็นหนึ่งไอคอนของวงการภาพยนตร์และการต่อสู้ที่ผู้คนไม่เคยลืมเลือน ด้วยมุมมองภายนอกที่ผู้คนมองเห็นบรูซ ลี หลายคนคงคิดว่าชายคนนี้คงใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับการฝึกฝนการต่อสู้หรือคิดค้นฉากบู๊ที่สมจริง แต่อีกมุมชีวิตที่หลายคนอาจไม่เคยได้รับรู้มาก่อนก็คือ เขาเป็นหนอนหนังสือที่หลงใหลในการอ่านไม่แพ้กัน แต่อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เขาชอบในการอ่านหนังสือ วันนี้มันทำความรู้จัก โลกอีกใบของชายที่ชื่อบรูซ ลีไปพร้อมกัน ปี 1940 เป็นปีที่เจ้าหนูน้อยบรูซ ลี หรือหลี่เสี่ยวหลงลืมตาดูโลก เขามีวัยเด็กที่ไม่แตกต่างจากคนอื่นคือรักการเล่นสนุกกับเพื่อนและวิ่งไปมาตลอดเวลา จนคนในบ้านตั้งฉายาให้ว่า “เด็กที่ไม่เคยหยุดนิ่ง” แต่ก็มีบางอย่างที่ทำให้เขาสงบลงได้นั้นก็คือหนังสือการ์ตูน (โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับกังฟู) ที่ให้เขาได้ใช้เวลาสลับกับการเรียนกังฟูซึ่งได้รับคำแนะนำจากคุณพ่อ วัยเด็กของบรูซ ลีนอกจากการเรียนหนังสือและฝึกกังฟู ในช่วงเวลาว่างตัวเขาจะใช้เวลาอยู่หนังสือหรือไม่ก็ไปที่ร้านหนังสือบ่อย ๆ โดยความฝันแรกก่อนที่จะมาเป็นนักแสดงคือการเป็นเจ้าของร้านหนังสือมือสอง อย่างไรก็ตามการอ่านชอบหนังสือไม่ได้ช่วยให้ผลการเรียนของเขาดีขึ้น พร้อมกันนั้นเจ้าตัวก็เริ่มมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อน จนในที่สุดพ่อของเขาก็ตัดสินใจส่งไปอยู่สหรัฐอเมริกาเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา บรูซ ลีในวัย 20 ต้น ๆ ย้ายมาอาศัยอยู่ในเมืองซีแอตเทิลแต่ไม่ได้มีเงินติดตัวมากนัก จึงต้องเอาตัวรอดด้วยการเปิดสอนกังฟูซึ่งปรับมาจากมวยหย่งชุน (Wing Chun) ที่มีโอกาสได้เรียนจากอาจารย์ยิปมัน ก่อนจะพัฒนามาเป็น Jeet Kune Do พร้อมกันนั้นตัวเขาก็เริ่มเข้าแข่งขันในรายการมวยกังฟูหลายรายการ
ชีวิตคือการปรับตัวให้เข้ากับแต่ละสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป หลัง COVID-19 มีหลายสิ่งในชีวิตที่ผู้ชายอย่างเราต้องปรับตัวครั้งใหญ่ “การเดินทางโดยเครื่องบิน” เองก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องเปบี่ยนแปลงมหาศาลทั้งในแง่อุตสาหกรรมการบิน การรักษาความปลอดภัย รวมถึงเรื่องความสะอาดเพื่อสุขอนามัยที่ต้องเข้มงวดเป็นพิเศษ ครั้งหนึ่งการเดินทางโดยเครื่องบินนั้นอาจถูกจำกัดไว้เฉพาะผู้โดยสารที่มีสภาพคล่องทางการเงินเท่านั้น เนื่องจากอุตสาหกรรมการบินยังกระจุกตัวและมีต้นทุนสูง ก็ไม่แปลกที่ค่าโดยสารจะยังแพงลิบเกินคนทั่วไปจะเอื้อมถึง จนกระทั่งมาถึงยุคสายการบินต้นทุนต่ำที่ทำให้การบินลัดฟ้านั้นแสนสะดวก เข้าถึงง่าย บางทีนึกอยากไปไหนพรุ่งนี้ กดจองตั๋ววันนี้ พรุ่งนี้เดินตัวปลิวขึ้นเครื่องก็ยังไหว การเดินทางโดยเครื่องบินจึงกลายเป็นอีกตัวเลือกแรก ๆ ที่หลายคนใช้เมื่อต้องการไปติดต่อธุรกิจสำคัญ หรือพักผ่อนหย่อนใจ อย่างไรก็ตาม COVID-19 ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำให้สายการบินทุกสายต้องขยับตัว หลังเหตุโศกนาฎกรรม 911 กฎการบินก็เข้มงวดเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น จนเพิ่มหลายขั้นตอนในการตรวจสอบความปลอดภัย จนหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า อุตสาหกรรมและกฎการบินหลัง COVID-19 นี่จะต้องเปลี่ยนแปลงมากกว่าหรือน้อยกว่าเหตุการณ์การก่อการร้ายครั้งนั้น? ผู้เชี่ยวชาญระบุตรงกันว่านี่อาจเป็นคราวที่อุตสาหกรรมและกฎการบินต้องปรับตัวครั้งใหญ่ที่สุด UNLOCKMEN รวบรวมผลกระทบคร่าว ๆ ที่ผู้โดยสารอย่างเราต้องรับมือในวันที่หลายอย่างเปลี่ยนแปลง เช็กอิน 4 ชั่วโมง: เครื่องบินอาจไม่ใช่การเดินทางที่รวดเร็วดังใจอีกแล้ว ข้อดีอันดับต้น ๆ ที่เราเลือกโดยสารเครื่องบินเป็นหลักคือความสะดวกรวดเร็ว เราสามารถบินตรงสู่เชียงใหม่หรือภูเก็ตได้ภายในเวลา 1 ชั่วโมง ยิ่งถ้าเช็กอินออนไลน์ และไม่มีกระเป๋าต้องเอาโหลดใต้เครื่อง เราสามารถนับเวลาตั้งแต่เหยียบสนามบินต้นทางจนถึงสนามบินปลายทางภายในเวลาสองชั่วโมงกว่า ๆ สามชั่วโมงเท่านั้น แต่ COVID-19 จะทำลายความรวดเร็วดังกล่าวไป ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและสุขอนามัย
ท่ามกลางความปั่นป่วนของกระแสข่าวที่บ่งชี้ถึงสถานะล่าสุดของท่านผู้นำ คิม จอง-อึน ที่แม้ทางการเกาหลีเหนือจะออกมาบอกว่าการเข้าผ่าตัดฉุกเฉินของผู้นำโสมแดงคนปัจจุบันนั้นเรียบร้อยปลอดภัยดี พร้อมตอกย้ำความมั่นใจด้วยภาพการปรากฎตัวต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรกในรอบ 20 วัน ของ คิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยกระบอกเสียงของเกาหลีเหนืออย่างสำนักข่าว KCNA ได้รายงานข่าวการปรากฏตัวของ คิม จอง-อึน ในพิธีเปิดโรงงานปุ๋ยฟอสเฟตซุนชอน ที่เมืองซุนชอนทางตอนเหนือของเปียงยาง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูง และ คิม โย-จอง น้องสาว ท่ามกลางเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีอย่างกึกก้องของประชาชนชาวเกาหลีเหนือที่มีต่อท่านผู้นำ แม้จะมีภาพยืนยันว่า คิม จอง-อึน ยังแข็งแรงดีอยู่ แต่ถึงกระนั้น หากย้อนไปเมื่อปลายเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงที่เต็มไปด้วยกระแสข่าวลือของเขาที่ไม่สู้ดีนักถูกกระพือออกมาเป็นระลอก เหตุใดสายตาของประชาคมโลกถึงได้จับจ้องไปยัง คิม โย-จอง น้องสาวคนสุดท้องของ คิม จอง-อึน ในฐานะบุคคลที่มีแนวโน้มสูงว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นท่านผู้นำหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์โสมแดง ทั้งที่บทบาทของสตรีในประเทศเกาหลีเหนือนั้นค่อนข้างจำกัด ให้อำนาจการจัดการควบคุมต่าง ๆ แก่ผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ ในวันนี้เราจึงอาสาพาทุกคนไปรู้จักเธอให้มากขึ้น ว่าเพราะเหตุใดทั่วโลกถึงมองว่าเธอคือ Candidate อันดับหนึ่งในการสืบทอดบัลลังก์อำนาจแซงหน้าบุตรชายคนโตวัย 10 ขวบ ของ คิม จอง-อึน เสียด้วยซ้ำ
หลังจากที่เราเคยได้นำเสนอ Culture สุดแสบของแว๊นชาวยุ่น หรือ Bozosoku ที่หลายคนให้ความสนใจไปแล้ว แม้มันจะเป็นสังคมที่แปลกประหลาดในสายตาคนส่วนใหญ่ แต่วัฒนธรรมที่ดูรุนแรงขัดต่อกฎหมายเหล่านั้น ยังมีผู้หญิงที่คลั่งไคล้จนกลายเป็น Culture คล้าย ๆ กันที่เรียกว่า “Sukeban” (スケバン) อยู่ด้วย เช่นเดียวกับ Bozosoku ถ้าหากใครอ่านหนังสือการ์ตูนหรือดูซีรีส์ญี่ปุ่น ก็คงจะเคยเห็นนักเรียนญี่ปุ่นสาวแสบซ่าบ้าบิ่นไม่แพ้ผู้ชาย ซึ่งอยู่ในลุคตรงข้ามกับสาวนักเรียนญี่ปุ่นที่ใส่กระโปรงสั้น ถุงเท้ายาวตึง หน้าตาใส ๆ อย่างสิ้นเชิงกันมาบ้างอย่างแน่นอน ความดิบเถื่อนจะว่าไปมันก็อาจจะเป็นแฟชั่นของวัยรุ่นสาวชาวญี่ปุ่นในยุคหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่ทว่ามันถูกถ่ายทอดกันมาอย่างจริงจังจนกลายเป็น Culture ที่อยู่คู่กับวัยรุ่นสาวที่มีความซ่า และกล้าที่จะทำอะไรบ้า ๆ เหมือนผู้ชายทำ จนขนาดว่า “Sukeban” ตัวเจ๊ ๆ บางคน แสบถึงขึ้นผู้ชายยังกลัวจนหัวหดกันเลยทีเดียว “What is Sukeban” Sukeban ถูกใช้เป็นคำจำกัดความของกลุ่มวัยรุ่นหญิงล้วนที่ก๋ากั่น พฤิตกรรมขัดกับศีลธรรม หรืออาจจะเรียกว่าเป็น Bosozoku ในเวอร์ชัน Girl Gang ก็ได้ คำนี้เกิดขึ้นครั้งแรกช่วงปี 1960 โดยสาวเหล่านี้ จะเป็นสาวมัธยมที่ห้าว ก้าวร้าว
Suzuki Jimmy เป็นรถที่ขายหมดภายในพริบตา เครื่องยนต์ K15B 1.5 ลิตร 102 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ แม้จะตั้งราคาไว้สูงถึง 1.6 ล้านบาทจนหลายคนบอกว่าไม่สมเหตุผล แต่ด้วยจำนวนที่เอาเข้ามาขายแบบจำกัด และหน้าตาภายนอกที่ดูดีมีเสน่ห์คล้าย Mercedes-Benz G-class และ Land Rover Defender 90 สามารถปรับแต่งให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนและจุดประสงค์การใช้งานได้ง่าย ทำให้มันขายหมดเกลี้ยงภายในชั่วพริบตา และมันก็เป็นรถที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศด้วยเหตุผลนี้เอง Jimmy คันที่เรากำลังดูอยู่นี้ก็เป็นตัวอย่างการปรับแต่งสำหรับ Blogger สายลุยป่าที่ต้องค้างคืนนอนในรถเป็นประจำ มันมีชื่อว่า ROAM Overlanding ของ Adrian Abrahams blogger ชาว South Africa ที่เน้นผจญภัยแบบหนัก ๆ ข้ามป่าเขาและทะเลทราย โดยยานพาหนะคันล่าสุด ได้ซื้อ 2019 Suzuki Jimmy มาโมดิฟายและใช้มันเป็นคู่หูลุยป่าประเทศบอตสวานา (Botswana) ในแอฟริกาใต้ เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของมันอย่างถึงพริกถึงขิง พร้อมความสามารถในการ Camping
ย้อนไปวันที่ 1 พฤษภาคม 1994 หรือเมื่อ 26 ปีที่แล้ว เป็นวันที่โลกต้องสูญเสีย Ayrton Senna นักขับรถ F1 ที่ดีที่สุดในโลกไป ไม่มีใครอยากเชื่อว่าการแข่งขันรายการ San Marino Grand Prix จะเป็นการแข่งขันครั้งสุดท้ายของเค้า ก่อนจะจบชีวิตลงด้วยวัย 34 ปี Ayrton Senna da Silva นักขับรถ F1 ชาวบราซิลที่เส้นทางเริ่มต้นจากรถ Kart ใช้เครื่องยนต์ 1 แรงม้าจากเครื่องตัดหญ้า จนกระทั่งไต่เต้าขึ้นมาสู่รถ Formula 1 เป็นเจ้าของสถิติคว้าธงหมากรุก 35 สนาม แชมป์ Formula One World Drivers’ Championship สามสมัยในปี 1988, 1990 และ 1991 ซึ่งในขณะนั้น Senna ยังร่วมทีมอยู่กับ McLaren-Honda ความผูกพันที่ลึกซึ้งของ Senna
การจากไปของอีร์ฟาน ข่าน (Irrfan Khan) ยอดนักแสดงชาวอินเดีย ถือเป็นข่าวร้ายสำหรับแฟนภาพยนตร์ โดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบและเคยติดตามผลงานการแสดงของเขาคนนี้ เชื่อว่าแต่ละคนก็มีภาพจำและความคุ้นเคยกับตัวอีร์ฟาน ข่าน ในหลายบทบาทแตกต่างกันไป เพราะฝีมือการแสดงชั้นเซียนทำให้ชายคนนี้เข้าถึงบทบาทที่ได้รับมาเสมอ และตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีในวงการ จะบอกว่าอีร์ฟาน ข่าน คือหนึ่งในนักแสดงที่ประสบความสำเร็จและถูกยกย่องทั้งในระดับบอลลีวู้ดและฮอลลีวู้ดก็คงไม่ผิดนัก แต่นอกจากฝีมือการแสดงที่เนียนตา เหตุผลอะไรที่ทำให้ชายคนที่ได้รับความรักและความเคารพจากคนทั้งในและนอกวงการภาพยนตร์ มาย้อนฟังเรื่องราวที่น่าประทับใจและบอกลานักแสดงที่ยิ่งใหญ่คนนี้ไปพร้อมกัน อีร์ฟาน ข่าน เกิดและเติบโตในเมืองชัยปุระ รัฐราชาสถาน ครอบครัวของเขาทำอาชีพร้านขายยาง ส่วนอีร์ฟานในวัยเด็กชื่นชอบและมีความสามารถหลายด้าน เริ่มจากกีฬาอย่างคริกเกต แต่ด้วยฐานะทางครอบครัวที่ไม่เอื้ออำนวยเขาเลยมีโอกาสใช้เวลากับมันไม่นานนัก อย่างไรก็ตามดูเหมือนเขาจะเจอเรื่องที่ตัวเองหลงใหลมากกว่ากีฬาในเวลาต่อมานั่นก็คือการแสดง โดยได้รับอิทธิพลจากลุงซึ่งมีอาชีพเป็นนักแสดงของโรงละครในเมืองจูดห์ปุระ ทำให้ตัวเขาได้รู้จักกับการแสดงละครเวที ไม่นานอีร์ฟานก็ตัดสินใจเลือกเรียนต่อ National School of Drama ในเมืองนิวเดลี เพื่อศึกษาศาสตร์ด้านต่าง ๆ ของการแสดงให้ดีขึ้น โดยมีตำนานนักแสดงอย่างราเชศ ชันขาเป็นต้นแบบ อย่างไรก็ตามหลังจากจบด้านการแสดงมา อีร์ฟานต้องรอให้มีโอกาสปรากกฏตัวต่อหน้ากล้องนานถึง 3 ปีด้วยกัน โดยระหว่างนั้นเขาต้องดิ้นรนรับจ๊อบเป็นช่างซ่อมแอร์อยู่ในนครมุมไบ จนกระทั่งปี 1987 ก็เริ่มมีงานบทบาทเสริมในละครโทรทัศน์และภาพยนตร์เพิ่มมากขึ้น เขามีโอกาสได้รับบทต่าง ๆ ตั้งแต่ฆาตกรโรคจิตไปจนถึงพ่อบ้านทั่วไป แต่ภาพยนตร์ที่มีส่วนทำให้ผู้คนเริ่มรู้จักเขาในวัยหนุ่มคือ Salaam