ตอนนี้นับได้ว่าเพจ ‘กอล์ฟมาเยือน’ เป็นอีกหนึ่งเพจ Influencer เรื่องกล้อง ที่คนรักการถ่ายรูปต้องเข้าไปเยือนอยู่เป็นประจำ แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ กอล์ฟได้ผ่านการลองผิดลองถูกมาแล้วนับไม่ถ้วน เขาใช้เวลาปั้นเพจอยู่ 2 ปี กว่าจะได้คนติดตามหลักแสน และกระโดดไปครึ่งล้านในเวลาอีก 1 ปี จนปัจจุบัน มียอด Follower ใน Facebook เป็นหลักล้านคนเข้าไปแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่เรา และคนส่วนใหญ่เห็น คือตัวตน ชื่อเสียง ความสำเร็จที่ผู้ชายคนนี้มีในปัจจุบัน แต่อะไรคือสิ่งที่ทำให้กอล์ฟ กลายมาเป็น ‘กอล์ฟมาเยือน’ ในวันนี้? คือประเด็นสำคัญที่ทำให้เราชวน ‘กอล์ฟ-กันตพัฒน์ พฤฒิธรรมกูล’ ชายหนุ่มวัย 28 ปี มาพูดคุยกันในคอลัมน์ The Real สัปดาห์นี้ จุดเริ่มต้นที่นำพากอล์ฟมา ‘เยือน’ วงการถ่ายรูป กอล์ฟเล่าย้อนให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้น กับการซื้อกล้องตัวแรกในชีวิตเพื่อไปถ่ายรูปเล่นในช่วงไปเที่ยววันหยุดกับพรรคพวก ซึ่งก็ยังเป็นมือสมัครเล่นมาก ๆ ถ่ายกันขำ ๆ กับเพื่อนทั่วไปตามประสา หลังกลับมาจากทริปนั้น ก็อัปรูปลง Facebook ปรากฏว่าคนกดไลก์เยอะ คนชอบรูปของเขา
เมื่อเอ่ยชื่อซอยอารีย์ขึ้นมา เชื่อว่าแทบทุกคงต้องนึกถึงย่านชิค ๆ อีกหนึ่งพิกัดที่เปรียบเสมือนเมืองหลวงคาเฟ่ของเมืองกรุง ซึ่งภาพจำที่ฉาบด้วยความดูดีมีสไตล์และความเจริญที่หลั่งไหลเข้ามาตามกระแสธารแห่งเวลา ทำให้พื้นที่ซึ่งเคยเป็น Residence Area ที่ผู้คนใช้ชีวิตง่าย ๆ สบาย ๆ อย่างอารีย์นั้นเปลี่ยนแปลงไป และเป็นอะไรที่ชาวอารีย์จำนวนไม่น้อยโหยหา ซึ่ง Poet House Cafe บ้านสีขาวที่ตั้งอยู่ในย่านอารีย์ซอย 5 คือคาเฟ่ และ เวิร์กช็อปสตูดิโอ ที่เราขอยกให้เป็นอีกโลเคชันที่สามารถคืนความเป็นย่านที่อยู่อาศัยสุดชิลล์ให้กับซอยอารีย์ได้เป็นอย่างดี และนี่คือเหตุผลที่คอลัมน์ GUIDE สัปดาห์นี้ เราเลือกพาทุกคนมาสัมผัสร้านคาเฟ่ และพื้นที่สร้างสรรค์กลางกรุง ซึ่งให้บรรยากาศอบอุ่นเหมือนบ้านหลังที่สอง ที่รอให้ทุกคนได้ไปผ่อนคลายกับกาแฟดี ๆ อาหารอร่อย ๆ และกิจกรรมเวิร์กช็อปมากมายไปพร้อม ๆ กัน POET HOUSE CAFE บ้านที่ทุกคนคือกวีเอก “ตอนที่เริ่มทำร้าน เรารู้สึกว่าอยากจะให้บรรยากาศความเป็นอารีย์สมัยก่อนมันกลับมาเหมือนเดิม ยังใช้ชีวิตที่เรียบ ๆง่าย ๆ สบาย ๆ ได้แบบไม่ต้องอึดอัด ไม่ต้องฟอร์มเยอะ และกลุ่มคนที่มาทำงานแถวนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่ม Freelance, Creative พวกที่ทำงาน Production
“เราตั้งใจที่จะเป็นครู เราต้องทุ่มเทกับงานที่เรารัก” นี่คือสิ่งที่ ‘ครูบอย นพรัตน์ เจริญผล’ บอกกับเรา และบอกกับตัวเองทุกวันนับตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพครูเมื่อ 8 ปีก่อน ซึ่งนิยามคำว่า ‘ทุ่มเท’ ของครูบอยได้พิสูจน์ออกมาเป็นการกระทำที่ตอกย้ำได้ชัดกว่าคำพูด เพราะถ้าหากให้ทุกคนลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า “จะยอมเดินทางไกลแค่ไหน เพื่อช่วยคนที่ไม่เคยรู้จัก?” แน่นอนว่าคำตอบที่มีย่อมแตกต่างกัน ใกล้บ้าง ไกลบ้าง หรืออาจจะมีแม้กระทั่งคำถามกลับย้อนมาว่า “ทำไมต้องทุ่มเททำอะไรเพื่อคนไม่รู้จักด้วย” แต่สำหรับครูบอย เขาคือผู้ชายที่เลือกทุ่มเทแรงกาย แรงใจ บิดมอเตอร์ไซค์คู่ใจ ฝ่าเส้นทางไกลสุดทุรกันดารกว่า 60 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลากว่า 4 ชั่วโมง ลุยโคลน เสี่ยงอันตรายกับการลัดเลาะผ่านขอบเหว เพื่อจุดหมายเดียวคือการได้ช่วยเหลือเด็ก ๆ ด้อยโอกาส ด้วยวิชาชีพครูที่ตัวเขาเคารพและเชื่อมั่นว่าจะสามารถเป็นส่วนช่วยพัฒนาการศึกษาบนดอยสูง และต้องบอกว่าสิ่งที่สะท้อนให้เห็นหัวจิตหัวใจอันกล้าหาญและยิ่งใหญ่ของผู้ชายคนนี้ ไม่ใช่เพียงแค่การบิดมอเตอร์ไซค์ลุยเส้นทางโหดซ้ำไปซ้ำมาตลอด 8 ปี เพื่อสอนหนังสือลูกศิษย์บนดอยเท่านั้น เพราะสิ่งที่ครูบอยทำมันมากกว่าการให้ความรู้ แต่เป็นการให้โอกาส และเป็นส่วนร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวบ้านในชุมชน รวมถึงเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนฝันของเด็ก ๆ หลายร้อยชีวิตในอำเภออมก๋อยให้ได้เข้าถึงการศึกษา ได้ทำตามฝัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านดนตรี กีฬา หรืออาชีพ อะไรที่จำเป็นต่อการนำพาเด็ก ๆ ไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า
“ดากานดา ฉันรักแกว่ะ”น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักประโยคอมตะจากปากของ ‘ไข่ย้อย’ ตัวละครจาก ‘เพื่อนสนิท’ ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกที่ส่งให้ชื่อของ ‘ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์’ ปรากฎขึ้นมาบนสารบบของนักแสดงหน้าใหม่ที่น่าจับตาของประเทศไทย และด้วยภาพยนตร์เรื่องเดียวกันนี้เอง ที่ทำให้ผู้ชายคนนี้ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากคม ชัด ลึก อวอร์ด ประจำปี 2548 แม้จะเปิดฉากอาชีพนักแสดงได้อย่างสวยงาม แต่รางวัล ชื่อเสียง คำชื่นชมที่ได้รับมาตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ซันนี่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง ไม่เคยทำให้ผู้ชายคนนี้ปล่อยตัวเองให้หยุดอยู่กับความสำเร็จเก่า ๆ แต่เขายังคงมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และพัฒนาตัวเองเพื่อทำอาชีพนักแสดง ที่เขามักจะพูดอยู่เสมอว่านี่คืออาชีพที่เขารัก ได้อย่างมีคุณภาพสมบทบาทในทุกผลงาน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะผลักดันศักยภาพตัวเองให้ไปข้างหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ มีโอกาสได้รับเลือกให้มารับหน้าที่แบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ของไซโก (ประเทศไทย) ภายใต้แคมเปญ “Keep Going Forward” ไม่สิ้นสุดถ้าไม่หยุดไปต่อ ซึ่งสะท้อนตัวตนวิธีคิดของซันนี่ออกมาได้อย่างชัดเจน หลังจากที่แบรนด์แอสบาสเดอร์รุ่นพี่อย่าง ‘อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม’ ที่เคยมีผลงานร่วมกันในภาพยนตร์เรื่อง ‘ชัมบาลา’ นั้นประสบความสำเร็จอย่างมากกับแคมเปญ “Move your adventurous mind further” และ “Discover Your Planet” ของทางไซโก
บอกตรง ๆ ว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก Swatch เรือนเวลาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนที่เปรียบเสมือนมหานครแห่งโลกนาฬิกา แต่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้ว่าสวิตเซอร์แลนด์เคยเกือบเสียตำแหน่งเบอร์หนึ่งแห่งอุตสาหกรรมเครื่องบอกเวลาไปกับวิกฤตการณ์ Quartz ในช่วงยุค 70 – 80 จนกระทั่งในปี 1983 เหล่าผู้ประกอบการธุรกิจนาฬิกาสวิสได้ปรึกษาหารือแล้วว่าจะไม่ทนอีกต่อไป จึงได้ร่วมมือกันกอบกู้สถานการณ์ ด้วยการพัฒนานาฬิกาพลาสติกระบบ Quartz ตัวเรือนบางเฉียบ ดีไซน์เรียบง่ายทันสมัย สีสันหลากหลายราคาไม่แพง ออกมาแลกหมัดกับนาฬิกา Quartz จากแดนปลาดิบให้รู้ดำรู้แดงกันไป ผลสุดท้าย ด้วยคุณภาพอันเป็นที่ร่ำลือของนาฬิกา Swiss Made ที่จับต้องได้ในราคาเป็นมิตร ทำให้นาฬิกากู้ชาติของสวิสเรือนนี้ได้รับความนิยมถล่มทลายไปทั่วโลก ช่วยพลิกฟื้นธุรกิจส่งออกนาฬิกาของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ให้กลับมาผงาดอีกครั้ง และเจ้านาฬิกาพลาสติกเรือนที่ว่าก็คือนาฬิกา Swatch ที่ใคร ๆ ต่างก็รู้จัก และน่าจะเคยครอบครองมาแล้วอย่างน้อยคนละเรือนสองเรือน จากการ Debut สู่สายตา และข้อมือชาวโลกในฐานะนาฬิกาพลาสติก ราคาประหยัด สีสันสดใส ทำให้ใคร ๆ ต่างก็มีภาพจำกับความเป็นนาฬิกาพลาสติกของ Swatch แต่จริง ๆ แล้วตลอด 37 ปีที่ผ่านมา Swatch ได้สร้างสรรค์เรือนเวลาหลากรูปแบบ หลายฟังก์ชัน
เชื่อว่าหลายคนที่ขับรถยนต์ได้ สอบใบขับขี่มาแล้วเรียบร้อยอาจรู้สึกแปลก ๆ หากมีใครชวนให้ไปเข้าคอร์สเรียนขับรถกันอีกสักรอบสองรอบ ดีไม่ดีอาจมีเคืองเสียด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าโดนอำเรื่องทักษะการขับรถที่ไม่เอาไหน แต่จริง ๆ แล้วการเรียน หรือการเข้าอบรมการขับขี่เพิ่มเติม ไม่ใช่เรื่องของมือใหม่ หรือคนที่ขับรถไม่ได้เพียงเท่านั้น เพราะการขับรถได้อาจไม่ใช่สิ่งการันตีว่าเราขับรถเป็นแต่อย่างใด ซึ่งการขับรถที่เรียกว่า ‘ขับเป็น’ จริง ๆ แล้วมันต้องเป็นการขับขี่ที่ทั้งสนุกและปลอดภัยในทุกเส้นทาง ซึ่งหลักการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ก่อให้เกิดโปรแกรม BMW Driving Experience โปรแกรมเพิ่มสกิลการขับรถระดับตำนานของวงการรถยนต์ ที่ในวันนี้เราจะพาผู้อ่าน UNLOCKMEN ทุกท่านย้อนไปดูจุดเริ่มต้น และเรื่องราวที่น่าสนใจของโปรแกรม Driving Experience จากค่าย BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเอาจริงเอาจังและเป็นหนึ่งในค่ายรถที่ได้รับการยอมรับเรื่องมาตรฐานการให้ความรู้และประสบการณ์การขับขี่สุดมันส์ และถือเป็นหนึ่งในโปรแกรมฝึกอบรมขับขี่ที่จัดขึ้นโดยผู้ผลิตยานยนต์เป็นครั้งแรก ซึ่งจัดมาอย่างต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ยุค 70s จนถึงปัจจุบัน ขับรถเป็นต้องสนุกและปลอดภัย หากจะให้ย้อนรอยที่มาของโปรแกรม BMW Driving Experience คงต้องเล่าย้อนไปถึงแนวคิดของ BMW ที่มองว่า แค่การผลิตสุดยอดยนตรกรรมสมรรถนะสูงนั้นยังไม่เพียงพอ แต่สิ่งสำคัญคือจะทำอย่างไรให้ผู้ขับขี่สามารถใช้งานยานพาหนะคู่ใจได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดสุนทรียภาพแห่งการขับขี่ได้มากที่สุด จนกระทั่งในปี 1976 แนวคิดดังกล่าวได้เดินทางมาถึงจุดที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง จากการขอความร่วมมือของตำรวจเมือง Munich ที่ให้ค่ายรถ
หากเอ่ยถึงชื่อแบรนด์ Breitling (ไบร์ทลิ่ง) ขึ้นมา สาวกเรือนเวลาน่าจะรู้กันดีถึงกิตติศัพท์ด้านการจับเวลาที่เที่ยงตรงแม่นยำของจักรกลบอกเวลา ที่มีต้นกำเนิดจากหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งใน Saint-Imier (แซงต์ อิมิเยร์) ตั้งอยู่ใกล้เทือกเขา Jura (ชูรา) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งก่อตั้งโดยนาย Leon Breitling ช่างทำนาฬิกาที่ริเริ่มประดิษฐ์นาฬิกาจับเวลาในปี 1884 ด้วยชื่อเสียงเรื่องความแม่นยำทำให้จักรกลจับเวลาภายใต้ชื่อแบรนด์ Breitling ถูกนำไปใช้งานสำหรับภารกิจเหินเวหาอย่างมากมาย จนได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้บุกเบิกในการพัฒนานาฬิกาข้อมือแบบจับเวลาซึ่งได้มีส่วนร่วมเป็นอย่างมากในช่วงเวลาสำคัญในการพิชิตเวหาของมวลมนุษยชาติ จวบจนปัจจุบัน Breitling ยังเดินหน้าพัฒนานาฬิกาคุณภาพสูงขึ้นมาด้วยเป้าหมายเดียวกันกับวันแรกที่ Leon Breitling ผู้ก่อตั้งแบรนด์ได้เริ่มประดิษฐ์นาฬิกาจับเวลาขึ้นมา นั่นก็คือการสร้างสรรค์นาฬิกาจับเวลาที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมระดับโลก และยังคงผลิตกลไกเองแบบ In-House ซึ่งนาฬิกาทุกเรือนของ Breitling นั้นผ่านการผลิตจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และได้รับรองคุณภาพตามมาตรฐาน Chronometer จากสถาบัน COSC และเมื่อได้พูดคุยถึงเรื่องราวของ Breitling สิ่งที่จะขาดไปไม่ได้เลยคือ Chronomat (โครโนแมท) เรือนเวลาที่เปรียบเสมือนคอลเลคชันสําคัญในประวัติศาสตร์ของ Breitling ที่เปิดตัวมาในปี 1984 ซึ่งเป็นยุคที่นาฬิกา Quartz เรือนบางเฉียบจากญี่ปุ่นกําลังเป็นที่นิยมจนสามารถครองตลาดมาตั้งแต่ช่วงยุค 70s สวนทางกับนาฬิกาจักรกลสวิสเมดที่ความนิยมหดหายจนแทบเข้าขั้นวิกฤติ แต่ถึงกระนั้น
สำหรับชาวร็อกที่เติบโตมาในยุคอินดี้เฟื่องฟู เราเชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ MAD PACK IT เจ้าของเพลงดังในอดีตอย่าง ‘รักในสันดาน’ ‘อยู่เพื่อตัวเอง’ ‘เลิก’ ‘กวนตีน’ และ ‘คำให้การ’ ด้วยเนื้อหาที่ตรงไปตรงมา ภาษาที่โดนใจ รวมถุงเสียงร้อง เสียงดนตรีที่จัดจ้านทำให้พวกเขาสร้างฐานแฟนเพลงได้ไม่ใช่น้อย โดยผลงานสตูดิโออัลบั้ม 2 ชุด, E.P. อัลบั้มอีก 1 ชุด รวมถึง ‘MAD PACK IT X-TREAM CONCERT’ คอนเสิร์ตเต็มรูปแบบของพวกเขาซึ่งจัดขึ้นในปี 2547 คือสิ่งการันตีความนิยม และความเหนียวแน่นของกลุ่มแฟน ๆ MPI เป็นอย่างดี จนเมื่อเวลาผ่าน ยุคสมัยเปลี่ยน เรื่องราวความสำเร็จเหล่านี้จึงได้กลายสภาพเป็นความทรงจำดี ๆ ยุคอินดี้ ไปพร้อม ๆ กับชื่อเสียงของพวกเขาที่ค่อย ๆ จางหายไปจากวงการเพลงในช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา จะมีก็เพียงผลงานซิงเกิ้ลใหม่ออกมาให้ได้ฟังกันเฉลี่ยปีละครั้ง แต่ถึงกระนั้นบทเพลงเก่า ๆ ของพวกเขาก็ยังคงถูกเปิดอยู่จนถึงปัจจุบัน อีกทั้งเรื่องราวของพวกเขาก็ยังคงถูกพูดถึงในกลุ่มแฟน ๆ
สำหรับผู้ชายอย่างเรา ๆ หนวดเคราบนใบหน้าถือเป็นอีกสิ่งที่บ่งบอกสไตล์ได้ชัดเจนไม่แพ้เครื่องแต่งกาย ความต่างแค่ไว้หนวดกับไม่ไว้หนวดก็สามารถเปลี่ยนลุคพวกเราได้อย่างน่ามหัศจรรย์ แต่ในบางครั้งการที่เห็นผู้ชายหลายคนมาพร้อมใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยหนวดเครามาดเข้ม ก็ไม่อาจเหมารวมได้ว่าหนวดเคราที่เห็นคือลุคที่พวกเขาอยากได้ หรือเป็นสไตล์ที่พวกเขาถูกใจ เพราะเราเชื่อเหลือเกินว่ายังมีผู้ชายอีกจำนวนไม่น้อยที่มั่นใจกับการมีใบหน้าหน้าที่เกลี้ยงเกลามากกว่าใบหน้าที่เต็มไปด้วยไรหนวด เพียงแต่ว่าชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นอาจกำลังติดอยู่ในสถานการณ์ยุ่ง ๆ จนไม่มีเวลาดูแลหนวดเคราให้เกลี้ยงเกลาดั่งใจ หรืออาจไม่ได้มีตัวช่วยดี ๆ ที่ทำให้โกนหนวดได้อย่างมั่นใจว่าจะได้ลุคที่ต้องการในทุก ๆ วัน แต่ต้องบอกเลยว่าปัญหาวุ่น ๆ ของหนุ่มงานเยอะ เวลาน้อย รวมไปถึงใครที่ขี้เกียจโกนหนวดเพราะเบื่อขั้นตอนที่ยุ่งยากกำลังจะหมดไป เพราะ Toys For Boys สัปดาห์นี้ถึงคิวของการแนะนำไอเทมเด็ดคู่ใจผู้ชายสายเนี้ยบ ที่บอกเลยว่าต่อจากนี้ไปภารกิจดูแลตัวเองที่ต้องใช้ความพิถีพิถันอย่างการโกนหนวดจะกลายเป็นเรื่องที่สะดวกง่ายดาย ไม่ทำให้ชีวิตต้องยุ่งยากอีกต่อไป เพราะไม่ว่าจะเวลาน้อย หรือสถานที่ไม่เป็นใจแค่ไหน ก็ยังคว้าเครื่องโกนหนวด Philips S1000 Series รุ่น S1301 มาโกนหนวดได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่จำกัดว่าจะต้องยืนส่องกระจกโกนหนวดในห้องน้ำเพียงเท่านั้น จะโกนหนวดระหว่างนั่งดูหนังอยู่บนโซฟา หรือจังหวะที่รถติดหนัก ๆ ก็ไม่มีปัญหา สามารถมั่นใจกับใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาไร้หนวดเคราได้อย่างทันใจ PHILIPS S1301 อย่างที่เราบอกไปในตอนต้น ว่าเครื่องโกนหนวด Philips รุ่น S1301 ซึ่งเป็นหนึ่งใน S1000 Series คือเครื่องโกนหนวดไฟฟ้าที่จะมาเปิดประสบการณ์การโกนหนวดที่สะดวกง่ายดาย
บรรดาแฟนหนัง และเหล่าผู้หลงใหลในเรือนเวลา คงรู้กันดีว่านาฬิกา Hamilton เป็นแบรนด์โปรดของเหล่าผู้สร้างภาพยนตร์มานานหลายทศวรรษ ได้รับบทบาทสำคัญในภาพยนตร์มาหลายต่อหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาที่ออกแบบสำหรับ 2001: A Space Odyssey ในปี 1968 ซึ่งเป็นภาพยนตร์ระดับขึ้นหิ้งของผู้กำกับ Stanley Kubrick และยังเป็นผลงานที่สร้างแรงบันดาลใจให้มีการประดิษฐ์นาฬิกาดิจิทัลเรือนแรกของโลกขึ้นมา นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งเรือนที่เรียกได้ว่าเป็นอีกชิ้นงาน Masterpiece ที่ Hamilton ได้รังสรรค์ให้กับวงการภาพยนตร์ กับ The Murph Watch จาก Interstellar ของผู้กำกับ Christopher Nolan ที่ได้กลายมาเป็นนาฬิกาข้อมือยอดนิยมของแฟนหนังเรื่องนี้ ที่ยังคงตราตรึงกับเรื่องราวความรักความผูกพันของพ่อลูกในภาพยนตร์ที่ถูกเชื่อมโยงเอาไว้ด้วย The Murph Watch จาก Hamilton จากวันนั้นถึงวันนี้ ความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ระหว่าง Hamilton และ Hollywood ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง กับการรวมเอายอดทีมนักออกแบบและวิศวกรจาก Hamilton และ ทีม Production Design ระดับหัวกะทิผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์เรื่อง TENET มาสร้างสรรค์เรือนเวลารุ่นพิเศษสำหรับใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งเป็นผลงานล่าสุดของโคตรผู้กำกับอย่าง Christopher