สำหรับเหล่าสาวกแฟชั่นคงไม่มีใครไม่รู้จักชายผู้ปลุกเทรนด์กระแสแฟชั่นโลกในปัจจุบันอย่าง Virgil Abloh ดีไซเนอร์ผู้ก่อตั้งแบรนด์เสื้อผ้าสตรีทที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยุค 90s อย่าง Off White และรับไม้ต่อจากคิม โจนส์ ดำรงตำแหน่ง Creative Director ของ Louis Vuitton ในขณะนี้ ได้ออกมาประกาศว่าคอลเลกชั่นหน้าของ Louis Vuitton จะนำเรื่องราว สไตล์ รวมไปถึงแฟชั่นทั้งบนเวทีและในเวลาปกติของราชาเพลงป๊อบตลอดกาลอย่าง Michael Jackson มาบอกเล่าผ่านเสื้อผ้าที่เขาออกแบบ ซึ่งการประกาศข่าวดังกล่าวของ Abloh ก็ได้สร้างความฮือฮาให้กับเหล่าแฟชั่นนิสต้าทั่วโลกทันที เป็นที่รู้กันดีว่า Virgil Abloh คือชายผู้เติบโตมาพร้อมกับวัฒนธรรมสเกตบอร์ดและดนตรี Hip Hop ชนิดที่ว่าถ้าไม่เปิดเพลงก็จะทำงานไม่ได้เลย แต่แทนที่เขาจะเลือกศิลปินจากวงการฮิปฮอปมาเป็นแรงบันดาลใจตามเทรนด์ของโลก เขากลับตัดสินใจเลือก Michael Jackson ศิลปินแนวเพลงป๊อบแทน ซึ่งผู้คนต่างคาดเดาไปในทิศทางเดียวกันว่าที่ Abloh เลือกไมเคิลมาเป็นบันดาลใจในคอลเลกชั่นต่อไปของเขา เพราะความคล้ายคลึงบางอย่างในเรื่องของพื้นที่สำหรับคนผิวสีที่ไม่ได้มีมากสักเท่าไร ไม่ว่าจะกับวงการเพลงหรือในโลกของแฟชั่น แต่ถึงจะยากแต่ถ้าพยายามก็สามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ อย่าง Michael Jackson ที่สุดท้ายกลายเป็นราชาเพลงป๊อบ รวมถึงตัว Abloh เองที่ได้เป็นดีไซเนอร์ผิวสีคนแรกของ Louis Vuitton
ในโลกที่เทคโนโลยีกับแฟชั่นกลายเป็นเรื่องเดียวกัน UNLOCKMEN ขอแนะนำให้ทำความรู้จักกับ 5 Smartwatch จากแบรนด์ไฮเอนที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ การออกแบบที่พิถีพิถัน สรรค์สร้างเป็นนาฬิกาอัจฉริยะที่มีมากกว่าแค่การบอกเวลา ผลงานการสร้างสรรค์จากแบรนด์สุด Craft ที่แม้แต่นาฬิกา Digital ก็ยังคงความหรูหราที่ละเอียดอ่อนไว้ได้ไม่เปลี่ยนแปลง LOUIS VUITTON TAMBOUR HORIZON Louis Vuitton แบรนด์หรูสัญชาติฝรั่งเศสเจ้าแรกที่เข้าสู่ตลาด Smartwatch ด้วยการส่ง Tambour Horizon นาฬิกาอัจฉริยะระบบปฏิบัติการ Android Wear 2.0 หน้าจอสัมผัสแบบ AMOLED มุมมองกว้าง สีสันสดใส มาพร้อมความละเอียด 390 x 390 pixcel กระจกหน้าและหลังใช้วัสดุ Sapphire ขนาด 1.2 นิ้ว RAM 512MB พื้นที่เก็บข้อมูล 4GB แบตเตอร์รี่ความจุ 300mAh สามารถลงน้ำลึกได้ 30 เมตร พร้อมกับแอปพลิเคชั่นที่พัฒนาโดย LV คือ My Flight
เราทุกคนต่างต้องเคยผ่านเรื่องราวที่ไม่น่าจดจำ ความล้มเหลว และการทำผิดพลาด แต่ไม่ว่าจะพลาดไปกี่ครั้ง การสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองเพื่อต่อสู้กับปัญหาชนิดหลังชนฝาเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็สามารถทำได้ ซึ่งฟังดูแล้วอาจจะยาก แต่ในความจริงแล้วการสร้างแรงบันดาลใจ ปลุกจิตวิญญาณนักสู้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ยากอย่างที่คิด ค่านิยมสู้ไม่ถอยนั้นมีอยู่ทั่วโลก มีอยู่ในตัวของทุกคน แต่เมื่อพูดถึงความใจสู้คนส่วนใหญ่ก็มักจะนึกถึงชาวญี่ปุ่นที่มักมาพร้อมกับวลี “กัมบัตเตะ” ที่แปลว่า พยายามเข้า หรือ สู้ ๆ ซึ่งคนญี่ปุ่นไม่ว่าจะเจอกับปัญหาอะไรก็จะมักจะ “กัมบัตเตะ” ไว้ก่อนเสมอ เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ทางภาษาและสังคมที่เป็นที่เข้าใจและนึกภาพออกกันทั่วโลกกับเรื่องของความสู้ไม่ถอยของชาวญี่ปุ่น ในขณะที่คนไทยมักจะพูดว่า “ไม่เป็นไร” หรือ “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ความสู้ไม่ถอยของคนญี่ปุ่นนั้น มาจากประสบการณ์มากมายที่ชาวญี่ปุ่นต้องพบเจอ เช่น ไม่ว่าจะเป็นการพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือสารพัดภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหว หรือสึนามิ ที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงทุกครั้ง แต่ไม่ว่าจะเกิดความเสียหายรุนแรงขนาดไหน เราจะเห็นได้ว่าคนญี่ปุ่นสามารถพลิกปัญหาต่าง ๆ ให้กลับมาราบรื่นได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ซึ่งความใจสู้ไม่ยอมถอยให้กับอุปสรรคและแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงทีนั้น เป็น Mindset ที่น่าสนใจของคนญี่ปุ่น ซึ่งคงจะดีถ้าเรานำวิธีคิดเหล่านี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ตั้งเป้าหมายและมั่นใจว่าทำได้ การตั้งเป้าหมายคือการวางแผนขั้นแรกที่สำคัญ ทั้งการตั้งเป้าหมายที่มองในภาพรวมและเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง อาจทำให้เรารู้สึกท้อแท้ตอนเริ่มต้นเมื่อเทียบกับการทำอะไรตามที่สะดวกของตัวเอง แต่เชื่อเถอะว่าการทำแบบนี้เป็นการเริ่มต้นที่ดีกว่า สามารถสร้างเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ให้เป็นจริงได้ เริ่มจากการตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ จากนั้นค่อยขยับสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในสังคมยุคปัจจุบัน โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่ทำให้คนตายได้มากพอ ๆ กับโรคร้ายอย่างมะเร็ง และโรคซึมเศร้าก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการฆ่าตัวตาย รวมถึงเรื่องของการใช้ยาเสพติด ไม่ว่าจะด้วยสภาพทางเศรษฐกิจ หรือปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีส่วนให้เกิดความเครียดทั้งนั้น ด้วยจำนวนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากวันนึงคนรอบข้างเป็นโรคซึมเศร้าถึงขั้นคิดว่าตายไปน่าจะดีกว่า เราควรจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร ? เข้าใจว่าความรู้สึกอยากตายเกิดจากอะไร? บางคนเกิดมาจนถึงตอนนี้อาจไม่เคยเกิดความรู้สึกว่าอยากตายเลยสักครั้ง แต่สำหรับคนที่มีอาการซึมเศร้า เมื่อเจอปัญหาหนักเกินรับไหวก็จะเริ่มเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมา และจะถูกสะกิดให้คิดถึงมันได้แม้จะไม่มีปัจจัยอะไรมากระตุ้นก็ตาม เพราะความรู้สึกเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ และเปลี่ยนแปลงง่ายไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางสภาพแวดล้อม คนรอบข้าง หรือตัวเองก็ตาม ทุกอย่างล้วนสร้างความคิดที่วนเวียน จมอยู่ในช่วงเวลาแย่ ๆ ในหัวจนรู้สึกโดดเดี่ยวออกมาจากสังคม หากครั้งหนึ่งใครเคยได้ยินชื่อของ JD Schramm ที่ปรึกษาด้านธุรกิจการสื่อสารของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ก็คงจะนึกออกว่าเขาคือชายผู้ที่พยายามฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดสะพานแมนแฮตตัน เขาเลือกการตายเพื่อจบความเจ็บปวดจากโรคซึมเศร้า และสุดท้ายเขาก็ถูกช่วยชีวิตไว้ได้ทัน จึงได้เอาประสบการณ์เกือบตายในครั้งนี้มาเล่าใน Ted Talk JD บอกว่าเขาเข้าใจความคิดของคนที่ต้องการฆ่าตัวตายเป็นอย่างมาก เพราะความคิดแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อนเหมือนกัน เขารู้ซึ้งถึงพลังของความเงียบเหงา และความหดหู่นั้นน่ากลัวกว่าที่คิด เพราะมันจะเปลี่ยนสิ่งรอบตัวเราให้กลายเป็นความทุกข์อันมืดดำ จนรู้ตัวอีกทีไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถทำให้มีความสุขได้อีกแล้ว และทางออกเดียวที่คิดว่าจะช่วยทำให้ความทุกข์หายไปก็คือการฆ่าตัวตาย JD สรุปว่าจิตใจเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก และถ้าหากเริ่มมีความเครียดนึกถึงแต่เรื่องแย่ ๆ ก็ต้องหาวิธีรับมืออย่างทันท่วงทีก่อนที่มันจะบานปลายจนถึงขั้นเกิดความคิดที่จะจบชีวิตตัวเอง ทางด้านองค์กรต่างๆ ก็พยายามค้นหาคำตอบว่าสาเหตุที่ทำให้ผู้คนคิดฆ่าตัวตายเกิดจากอะไร ซึ่งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ ฯ หรือ
เมื่อจะต้องเดินทางไกลทั้งที เรื่องหนึ่งที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนาก็คงไม่พ้นเรื่องของการเลือกที่นั่งบนเครื่องบิน ที่คิดยังไงก็คิดไม่ตก ทั้งเรื่องของความสะดวกสบาย รวมไปถึงระบบความปลอดภัยเพื่อความสบายใจของชีวิต UNLOCKMEN จึงได้รวบรวมงานวิจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับการเลือกที่นั่งบนเครื่องเพื่อให้เหล่านักเดินทางได้ศึกษาเผื่อจะจองที่นั่งบนเครื่องบินครั้งต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่ามันเป็นเพียงสถิติที่มีการศึกษาจากทีมวิจัยต่างประเทศ ไม่ได้แปลว่าที่นั่งอื่นนั่งไม่ได้แต่อย่างใด เพราะปัจจุบันเครื่องบินทุกลำของทุกสายการบินมีการตรวจสอบอย่างละเอียดยิบทุกขั้นตอน จึงมีความปลอดภัยที่สูงมาก ๆ เรียกว่าแทบจะมีโอกาสเกิดเหตุไม่คาดฝันเป็น 0% เลยทีเดียว (สถิติเครื่องบินพาณิชย์ในปี 2018) ว่ากันว่าการเดินทางที่ปลอดภัยที่สุดคือการเดินทางโดยเครื่องบิน แม้จะมีความเสี่ยงต่อชีวิตถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นน้อยยิ่งกว่าน้อย เรียกว่าใกล้กับคำว่า 0% ปลอดภัยยิ่งกว่ารถยนต์หรือรถไฟฟ้าเสียอีก แต่อย่างไรก็ตาม ทีมนักวิจัยก็ไม่หยุดตั้งตำถามว่า จากตำแหน่งที่นั่งหลายร้อยที่บนเครื่องบินโดยสาร ตำแหน่งไหนมีความปลอดภัยมากที่สุดในเชิงสถิติ เพราะไม่ใช่ทุกครั้งที่เมื่อเครื่องบินตกแล้วผู้โดยสารจะเสียชีวิตยกลำเสมอไป ยกตัวอย่างกรณีเครื่องบินของสายการบิน US-Bangla ตกและมีผู้เสียชีวิต 49 คน จากทั้งหมด 67 คน หรือในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาก็พึ่งมีข่าวว่าเครื่องบินของสายการบิน Aeromexico เที่ยวบิน AM2431 เกิดอุบัติเหตุจากสภาพอากาศที่ย่ำแย่และมีผู้โดยสารบาดเจ็บบ้างแต่รอดชีวิตทั้งลำ แล้วคนที่รอดชีวิตส่วนมากนั่งกันตรงไหน? จากสถิติการสำรวจของ The Popular Mechanics ระบุว่าเหตุการณ์อุบัติเหตุของเครื่องบินในประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวน 20 ครั้ง ที่ได้ข้อมูลจากสำนักงานความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งสหรัฐ ฯ หรือ National Transportation
แฟชั่นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนเทรนด์ไปเรื่อย ๆ ตามยุคสมัย แต่หลายครั้งแฟชั่นในอดีตก็ถูกหยิบมาล้างน้ำ ปัดฝุ่น แล้วใช้ใหม่ เทรนด์รองเท้ามาแรงในปี 2018 ที่เห็นได้ชัดคงหนีไม่พ้น Chunky Sneakers หรือที่เรียกกันว่า Dad shoes ซึ่งกลับมาเป็นที่นิยมปรอทแตกกันอีกครั้ง UNLOCKMEN เองก็ไม่นิ่งเฉย รวบรวมรองเท้าจากแบรนด์ต่าง ๆ ที่ได้แรงบันดาลใจจากวันวานมาให้ตื่นตาตื่นใจและเงินในกระเป๋าสั่นระริก ๆ ไปพร้อม ๆ กัน 1.Louis Vuitton Archlight Sneaker สร้างความตื่นเต้นให้แก่เหล่าแฟชั่นนิสต้าได้ไม่น้อยกับสนีกเกอร์ที่ผสมผสานความวินเทจแบบรองเท้าคุณพ่อและปรับให้เข้ากับรูปทรงสุดล้ำอย่าง Louis Vuitton รุ่น Archlight จากคอลเลกชั่น spring/summer 2018 ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรองเท้าของนักบาสเก็ตบอลในยุค 90s ที่ฉีกแนวออกจากสนีกเกอร์รุ่นก่อน ๆ ของ LV อย่างเห็นได้ชัด 2.Givenchy 1952 Active running sneaker อีกหนึ่งแบรนด์ชื่อดังของฝรั่งเศสอย่าง Givenchy ก็ได้ออกสนีกเกอร์สไตล์วินเทจด้วยเช่นกัน ในรุ่นที่ชื่อว่า Givenchy 1952
เดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา ทั่วโลกได้เห็นทีมชาติม้ามืดที่พาตัวเองผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศกับฝรั่งเศสในศึก 2018 FIFA World Cup แม้ผลจะออกมาว่า Croatia ต้องพ่ายแพ้ไป แต่มันก็ยิ่งใหญ่พอจะทำให้คนทั้งประเทศยกย่องให้นักเตะชุดนี้เป็นฮีโร่ตัวจริงถึงขั้นขนานนามว่าเป็น “Golden Generation” ที่ประกอบด้วยนักเตะดี ๆ มากมาย โดยหนึ่งในนั้นก็คือ Luka Modric กัปตันทีมชาติ Croatia นักเตะ midfielder จาก Real Madrid ที่สามารถคว้ารางวัล Ballon d’Or ปีล่าสุด เบียด Messi และ Ronaldo ได้อย่างสวยงาม “Luka Modric เป็นนักเตะที่ครบเครื่องและแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่มีส่วนสำคัญทั้งกับทีมชาติและสโมสร การวิ่งเข้าใส่แบบถวายชีวิตไม่มีเหนื่อย ความสามารถในการทำประตู การขับเคลื่อนเกม และการสร้างกำลังใจให้กับเพื่อน ๆ เป็นสิ่งที่ทุกคนสังเกตเห็นได้จากตัวของเค้า” แต่ถ้าเราย้อนกลับไปดูลึก ๆ จะเห็นถึงความพยายามและความกระหายในการเล่นฟุตบอลของ Luka Modric ชายผู้เกิดมาในช่วงสงครามที่แย่ที่สุดของ Croatia ชายผู้เกือบจะสูญเสียทุกอย่างไป มีเพียงเศษกระดาษที่ปั้นเป็นลูกบอลกลม ๆ คอยประคองให้ตัวเค้าก้าวผ่านความเลวร้ายเหล่านั้น และเป็นแรงผลักดันให้เค้ารักฟุตบอลอย่างสุดหัวใจ Lucky Luka คือชื่อเล่นของนักเตะกองกลางที่เรารู้จักกันดีในชื่อ LUKA
สิ่งที่เหล่ามนุษย์เงินเดือนญี่ปุ่นต้องพบเจออยู่เสมอคือความตึงเครียดในการทำงานแต่ละวัน กลายเป็นภาพลักษณ์ให้คนทั่วโลกเห็นว่าคนญี่ปุ่นมักบ้างาน แต่ใช่ว่าขยันแล้วจะดีเสมอไปเพราะแท้จริงแล้วความขยันมากไปนั่นแหละที่จะสร้างความลำบาก บางครั้งก็เสียเวลาไปกับการทำโอทีโดยไม่เกิดประโยชน์อะไร วัฏจักรแบบมนุษย์เงินเดือนที่เวียนไปทุกวันไร้ซึ่งการตอบคำถามว่าทำอย่างไรถึงจะมีความสุขท่ามกลางกองงานพะเนิน แล้วโรคบ้างานแบบนี้มีโอกาสจะเกิดกับมนุษย์เงินเดือนไทยมากน้อยแค่ไหน ? จุดเริ่มต้นของ ‘โรคบ้างาน’ หรือ ‘Workaholic’ เริ่มต้นขึ้นในปีค.ศ. 1969 เหล่าทีมวิจัยค้นพบโรคบ้างานหรือ ‘คาโรชิ’ มีต้นเหตุจากการเสียชีวิตของหนุ่มญี่ปุ่นอายุ 29 ปี เพราะพื้นฐานของคนญี่ปุ่นถูกปลูกฝังเรื่องความมุ่งมั่นตั้งใจ ความภักดีต่อองค์กรที่ตัวเองอยู่ รวมถึงเรื่องความรับผิดชอบที่สูงลิบ ค่านิยมเหล่านี้ทำให้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่นิยมทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ และไม่แปลกที่พวกเขาจะทำให้โรคบ้างานกลายเป็นโรคยอดฮิตของชายชาวญี่ปุ่น เดิมทีโรคบ้างานถูกพบแค่ในหมู่ชายชาวญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ปัจจุบันผู้คนทั่วโลกต้องเผชิญกับความเครียดจากการทำงานไม่ต่างจากผู้ชายญี่ปุ่นเท่าไหร่นัก โรคบ้างานจึงแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลกรวมถึงในประเทศไทย จากการสำรวจประชากรไทยพบว่ามีคนเป็นโรคบ้างานถึงร้อยละ 67 และยังมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง เราอาจจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า “งานหนักไม่เคยฆ่าใคร” ขอบอกเลยว่าไม่จริง แม้บางครั้งเหล่าผู้ขยันทำงานเกินเหตุอาจรู้สึกสนุกไปกับการทำงานหนัก โดยไม่คิดว่าจะส่งผลกระทบกับร่างกายเท่าไหร่นัก แต่แท้จริงแล้วโรคภัยจำนวนมากต่างแห่เข้ามาอย่างไม่รู้ตัวทั้ง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ อัมพาต เพราะความเครียดทำร้ายระบบการไหลเวียนของเลือดจนไปเลี้ยงสมองไม่ทัน รวมถึงโรคซึมเศร้าที่คนบ้างานมีโอกาสจะเจอสูงกว่าคนทั่วไป วิจัยวารสารวิชาการ PLOS One ของมหาวิทยาลัย Bergen University กล่าวว่าคนขยันทำงานเกินเหตุมีโอกาสเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำสูงถึง 25.6% เมื่อเทียบกับคนที่ทำงานตามปกติ รวมถึงมีโอกาสเกิดอาการวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าได้ง่าย เห็นได้ชัดว่าการทำงานหนักนั้นก่อให้เกิดโรคทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แถมเมื่ออยู่กับความเครียดเป็นเวลานาน เหล่ามนุษย์เงินเดือนผู้ขยันขันแข็งมักหาทางออกโดยการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่จัด และทำให้ต้องเพิ่มโรคมะเร็งปอดกับตับแข็งเข้าไปอีก แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นบ้างานหรือไม่? มนุษย์เงินเดือนบ้างานสามารถสังเกตุว่าตัวเองมีอาการปวดตามร่างกายหรือไม่ เช่น ปวดหัว ปวดหลัง ปวดท้ายทอย
กัญชา พืชสารพัดประโยชน์ที่เป็นได้มากกว่าสารมึนเมา ทั้งคุณสมบัติอันน่าพิศวงในด้านการแพทย์ รวมถึงเส้นใยพิเศษที่ใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ และอีกสารพัดส่วนผสมในหลากหลายรูปแบบ ล่าสุดพืชใบเขียวอย่างกัญชายังถูกนำมาเป็นส่วนผสมในไวน์ได้อีกด้วย ถึงแม้ว่าไวน์แดงและไวน์ขาวที่มีส่วนผสมจาง ๆ ของกัญชานั้นจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่วันนี้ UNLOCKMEN จะขอนำเสนอ ไวน์สีเขียว เครื่องเดิมที่มีกัญชาเป็นส่วนประกอบหลัก เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้หลงใหลในควันแต่พร้อมดื่มด่ำไปกับมิติใหม่ของการจิบไวน์ให้ High สบายใจสบายตัว Canna Wine หรือ Weed Wine มีความหมายเหมือนกันคือไวน์ที่มีกัญชาเป็นส่วนประกอบหลัก เกิดจากกรรมวิธีการผลิตที่พิถีพิถัน โดยเริ่มจากการนำองุ่นขาวที่ปลูกแบบไบโอไดนามิคไร้สารเคมี มาบ่มพร้อมกับกัญชาออแกนิคตากแห้งในสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำ โดยใช้กัญชาในปริมาณครึ่งกิโลกรัมต่อไวน์ขาวหนึ่งถังไม้โอ๊คและบ่มไว้เป็นเวลาหนึ่งปี จนได้ออกมาเป็นไวน์สีเขียวที่มีความแตกต่างจากไวน์แดงและไวน์ขาวทั่วไป เพราะไวน์กัญชานั้นจะมีสารที่ชื่อว่า เตตร้าไฮโดรแคนนาบินอล หรือ ทีเอชซี (Tetrahydrocannabinol – THC) ซึ่งเป็นสารมีฤทธิ์กล่อมประสาทแบบอ่อน ๆ ในปริมาณที่พอดิบพอดี ไวน์กัญชาเจ้าแรกอย่าง Mary Jane จึงได้ถือกำเนิดขึ้น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างไวน์ที่เมื่อดื่มก็จะให้ความรู้สึกผ่อนคลายและทำให้มึนเมาอยู่แล้ว แต่ใน Canna Wine นั้นให้ได้มากยิ่งกว่า ด้วยฤทธิ์สาร THC ในไวน์กัญชาจะช่วยสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย เคลิบเคลิ้มสุขใจ นอนหลับง่าย และกระตุ้นให้เจริญอาหารมากขึ้น แถมยังปราศจากอาการหลอนเหมือนการใช้กัญชาโดยการสูบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดื่มในปริมาณที่พอดีเป็นสำคัญ แล้ว Canna Wine มีขายที่ไหนบ้าง ?
เดือนธันวาคมคือเดือนที่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์หลายวัน การใช้เวลาว่างในช่วงวันหยุดดูหนังกับคุณพ่อคงจะดีไม่น้อย UNLOCKMEN จึงขอนำเสนอคุณพ่อสุดเท่จากภาพยนตร์ทั้งหมด 5 เรื่อง ที่มีคาแรคเตอร์ทั้งรักและหวงลูกในแบบที่แตกต่างกันไปมาให้ได้รับชมเสริมบรรยากาศความรักอันอบอวลของพ่อกับลูกกันให้เต็มที่ Harry Stamper จาก ARMAGEDDON (1998) ภาพยนตร์ชื่อดังในตำนานที่กินใจใครหลายคนอย่างอาร์มาเกดอน เรื่องราวของคุณพ่อนักขุดเจาะน้ำมันสุดเก๋าอย่าง แฮรรี่ สแตมเปอร์ ที่ไม่ค่อยกินเส้นกับลูกน้องคนหนึ่งในทีม เพราะเจ้าหนุ่มที่ว่าดันเป็นแฟนของลูกสาวสุดเซ็กซี่ แต่อยู่ดี ๆ นาซ่าก็แจ้งข่าวว่าโลกมีเวลาเหลืออีกเพียง 18 วันก่อนอุกาบาตจะพุ่งชนจนดับสิ้น ต้องใช้ทีมที่มีความเชี่ยวชาญในการขุดเจาะของแฮรรี่ในการไปออกไปขุดและฝังระเบิดที่อุกาบาตให้แตกกระจายก่อนจะพุ่งชนโลก ภาพยนตร์จะแสดงให้เราเห็นว่าแฮรรี่คือชายผู้ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้โลกที่ลูกสาวของเขาอยู่ปลอดภัย แม้จะต้องสละชีวิตของตัวเอง ยอมทิ้งทิฐิ และเปิดใจให้กับว่าที่ลูกเขย พร้อมประโยคทิ้งท้ายว่า “หน้าที่หลักของนาย คือการดูแลลูกสาวของข้า” แสดงให้เห็นว่าวาระสุดท้ายของคนเป็นพ่อก็ยังคงนึกถึงลูกเสมอ Sam จาก I AM SAM (2002) เรื่องราวของ แซม ชายผู้มีความบกพร่องทางด้านสติปัญญาที่ต้องกลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว แต่เขาก็สามารถเลี้ยงลูกสาวน่าตาน่ารักน่าชังอย่างลูซี่มาได้ด้วยดี จนกระทั่งลูซี่อายุ 7 ขวบ และเริ่มมีพัฒนาการทางสมองมากกว่าแซม ทำให้นักสังคมสงเคราะห์มองว่าแซมไม่มีความสามารถพอที่จะเลี้ยงลูกได้ และให้ลูซี่ไปอยู่กับญาติคนอื่น เมื่อลูกสาวที่เขาเฝ้าทะนุถนอม เด็กน้อยที่เขาคอยเล่านิทานให้ฟังทุกคืนกำลังจะจากไป แซมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นพ่อที่เท่เหมือนใคร ๆ