Patek Philippe แบรนด์นาฬิกาสุดหรูที่มีประวัติยาวนานกว่าร้อยปี ใครได้ยินก็ต้องรู้จักและอยากมีเก็บไว้เป็นของตัวเองซักเรือน ซึ่งการรักษาคุณภาพและชื่อเสียงของแบรนด์ให้อยู่มาอย่างยาวนานได้ขนาดนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย UNLOCKMEN พร้อมไขคำตอบว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ Patek Philippe สามารถคงความหรูหราและมูลค่ามีระดับมาได้จนถึงปัจจุบัน จุดเริ่มต้นของแบรนด์นาฬิกาชื่อก้องโลกเริ่มต้นขึ้นใน ค.ศ.1839 อังตวน นอร์เบิร์ด เดอ ปาเต็ก ดีไซน์เนอร์ยอดฝีมือกับเพื่อนของเขา ฟรองซัวส์ ซีซาเปค ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทนาฬิกาขึ้นในเมืองเจนีวา โดยใช้ชื่อว่า Patek, Czapek & Cie ผลิตนาฬิกาคุณภาพยอดเยี่ยมเป็นเวลากว่า 6 ปี จนกระทั่ง ซีซาเปค ได้แยกตัวออกมา ทำให้ปาเต็กได้คุมบังเหียนของบริษัท ต่อมาในช่วงเวลาใกล้กันใน ค.ศ. 1844 ช่างทำนาฬิกานามว่า ฌอง เอเดรียน ฟิลิป ก็ได้สร้างชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาจากการบุกเบิกเทคโนโลยีนาฬิการะบบกลไกแบบไม่ต้องใช้กุญแจ หรือ Keyless stem-winding system ได้สำเร็จ เพราะแต่เดิมการตั้งเวลาจะต้องใช้กุญแจเพื่อแกะด้านหลังของนาฬิกา ทำให้ฝุ่นหรือไอน้ำเข้าตัวนาฬิกาอยู่บ่อยครั้ง แถมในบางทีก็ทำกุญแจหายอีก สิ่งที่ฟิลิปคิดค้นขึ้นนั้นสามารถแก้ปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมา ด้วยสิ่งที่เรียกว่า เม็ดมะยม ที่ตั้งเวลาได้โดยไม่ต้องมานั่งแกะตัวเรือนให้เสี่ยงต่อความชื้นและฝุ่นละออง และในรายละเอียดเล็ก ๆ นี้เองที่ส่งผลในเรื่องของความสะดวกสบายอย่างเหลือเชื่อ ทำให้ผลงานของฟิลิปได้รับรางวัลชนะเลิศจากเวที Products
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ถูกหยิบยกมาถกเถียงกันทุกปีเกี่ยวกับเรื่องของความสูงและความเตี้ย ว่ากันว่าคนที่ตัวสูงกว่าจะได้เปรียบกว่าคนเตี้ย แล้วคนที่เตี้ยล่ะ ถือว่าเป็นปมด้อยจริงหรือไม่? UNLOCKMEN บอกเลยว่าต่างสไตล์รูปร่างก็มีข้อดีต่างกันไป ส่วนสูง คือเรื่องของความแตกต่างทางด้านสรีระ ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัยด้วยกันทั้งในเรื่องของพันธุกรรม โภชนาการ การออกกำลังกาย รวมถึงสภาพแวดล้อม ที่ส่งผลให้โลกนี้เกิดส่วนสูงที่หลากหลาย และในงานวิจัยส่วนมากต่างก็ลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าคนตัวสูงมักจะได้รับโอกาสต่าง ๆ ที่ดีกว่าคนตัวเตี้ย แล้วเพราะอะไรงานบรรดาวิจัยจึงได้ผลลัพธ์ออกมาว่าคนตัวสูงจะมีโอกาสที่มากกว่า? ยกตัวอย่างงานวิจัยจาก Princeton University ค.ศ. 2006 อ้างอิงว่าชายที่ตัวสูงจะได้เปรียบทางด้านสติปัญญามาตั้งแต่เกิด โดยวัดจากการทดสอบสมรรถภาพทางสมองตั้งแต่ยังเป็นทารก รวมถึงผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Sydney ซึ่งได้ทำการเปรียบเทียบจากรายได้ประชากรจำนวน 20,000 คน และพบว่าโดยเฉลี่ยคนตัวสูงจะมีฐานะที่ดีกว่า ทั้งนี้ในสหรัฐอเมริกาก็มีงานวิจัยที่วัดอัตราความสำเร็จของเหล่าประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ ออกมาเป็นกราฟว่า ผู้นำที่สูงมักมีอัตราเติบโตอย่างก้าวกระโดด ก็ยิ่งสนับสนุนความคิดเรื่องคนตัวสูงจะฉลาดและมีเสน่ห์ ดังวลีที่ว่า “Tall men make great presidents” จากสถิติผลการเลือกตั้งสหรัฐ ฯ แสดงให้เห็นว่าผู้สมัครที่มีความสูงมากกว่าคู่แข่งมักได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี นับตั้งแต่ ค.ศ.1789 ที่สหรัฐ ฯ ได้ประธานาธิบดีคนแรกอย่างจอร์จ วอชิงตัน มาจนถึง ค.ศ.2016 ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งจากการเลือกตั้งทั้งหมด
ถ้าจะให้บอกว่าประเทศไทยเข้าสู่ช่วงอากาศหนาวแล้วก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก แต่ลมเย็น ๆ ที่พัดมาโดนตัวก็ถือเป็นสิ่งที่หลายคนเฝ้ารอ เพราะนอกจากจะสบายตัวแบบนานทีปีหน ยังเป็นช่วงโอกาสที่เราจะได้แต่งตัวหล่อ ๆ แบบหลาย Layers และวันนี้ UNLOCKMEN จะมาแนะนำ 5 ไอเท็มเด็ดสุดเท่รับลมเย็นที่สวมใส่ได้จริง และไม่เวอร์จนคนต้องเหลียวหลังว่าจะแต่งตัวไปเล่นหิมะที่ไหน 1.Denim Jacket เริ่มต้นกันด้วยสไตล์สุดคลาสสิคไม่มีวันตายอย่าง เดนิม หรือที่หลายคนเรียกกันว่า ยีนส์ ถือเป็นความอิสระทางแฟชั่น เป็นเสื้อที่ไร้ชนชั้นเพราะไม่ว่าจะอากาศร้อนหนาวแค่ไหน หรือไม่ว่าจะเป็นเพศอะไร ลูกเด็กเล็กแดงไปจนถึงรุ่นคุณปู่ก็สามารถหยิบเดนิมมาสวมใส่ได้อย่างไม่เก้อเขิน และอย่าได้คิดว่ามันเป็นแค่แจ็คเก็ตตัวเดียว เดนิมนั้นสามารถสร้างลุคเท่หลากสไตล์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งในวันที่มีลมเย็น ๆ ด้วยแล้ว อย่าพลาดที่จะหยิบเดนิมตัวโปรดมาจับคู่กับรองเท้าหนังหรือแว่นกันแดดซักอัน หรือจะเลือกจับคู่กับเสื้อยืดเด็ด ๆ ประจำตัว ช่วยเติมเต็มชีวิตให้มีสีสัน เปลี่ยนวันธรรมดาให้เป็นวันที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ 2.Hoodie ไอเท็มยอดนิยมอีกหนึ่งชิ้นอย่างเสื้อฮู้ดขวัญใจวัยมันส์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะแนว Hip Hop, Rapper, Sporty หรือจะ Punk ก็นิยมหยิบจับมาสวมให้เห็นกันจนชินตา ไม่ว่าจะร้อนหรือจะหนาวก็ใส่กันบ่อยครั้งไม่มีเบื่อ และหมดกังวลกับเรื่องที่กลัวว่าใส่แล้วจะร้อนเกินไปได้เลย เพราะในเมืองไทยเรามี Hoodie ให้เลือกทั้งรูปแบบและความหนาบางได้ตามใจชอบ ดังนั้นลมเย็นรอบนี้ ลองจับเสื้อฮู้ดแบบไม่มีซิป หรือที่เรียกกันว่า Pull over
ในปัจจุบันเทรนด์เรื่องรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือ Electric Vehicles กำลังเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง และสร้างความตื่นตัวให้แก่วงการรถยนต์อย่างต่อเนื่อง ทำให้แบรนด์ดังหลายค่ายต่างก็เปิดตัวโมเดลรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า พากันตบเท้าเข้าแข่งขันในตลาดยานยนต์กันอย่างคึกคัก ค่ายรถสี่ห่วงที่รู้จักกันดีอย่าง Audi คืออีกหนึ่งแบรนด์ที่กระโจนเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ส่งรถรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Audi e-tron GT รถยนต์กึ่ง Crossover รุ่นที่สามจากตระกูล e-tron พร้อมเผชิญหน้ากับคู่แข่งในตลาดรถพลังไฟฟ้าเจ้าดังอย่าง Tesla Model S แต่มุ่งไปในตลาดสปอร์ตซีดานมากกว่า รถ Passenger และ SUV แบบเทสล่า Audi e-tron GT เกิดจากความร่วมมือของสองยักษ์ใหญ่อย่าง Audi Sport และเจ้าชายกบแห่งวงการสปอร์ตคาร์อย่าง Porsche ที่เป็นบริษัทเครือเดียวกันทั้งที จึงได้เปรียบจากการแชร์ความรู้และเทคโนโลยีร่วมกันพัฒนาแพลตฟอร์มแบตเตอร์รี่ให้มีรูปแบบเดียวกับ Porsche Taycan สามารถขับเคลื่อนระยะทางไกลได้กว่า 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง และรองรับการชาร์จไฟแบบเร่งด่วนได้ถึง 80% ภายในเวลาเพียง 20 นาที รวมไปถึงตัวถังแบบไฟฟ้า (EV) ที่เรียกว่า J1 ซึ่งทางออดี้ยังไม่เปิดเผยข้อมูลมากนัก และลือกันว่าตัวถังดังกล่าวจะช่วยเซฟงบประมาณในการพัฒนาไปได้กว่าร้อยล้านยูโร หรือว่าสามพันล้านบาทเลยทีเดียว ด้านสมรรถนะในการขับขี่เรียกได้ว่ามันส์สะใจสไตล์ audi แน่นอน ใส่มาอย่างเต็มที่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขุมกำลังแรงเทียบเท่า 590
เพราะเซ็กซ์เป็นเรื่องพื้นฐานของมนุษย์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในบางครั้งมนุษย์ก็มีการสรรสร้างบางสิ่งเพื่อให้กิจกรรมทางเพศมีความสนุกสนานมากขึ้น นั่นคือจุดกำเนิดของ เซ็กซ์ทอย ซึ่งอย่าเข้าใจผิดคิดว่าเซ็กส์ทอยนั้นเป็นของยุคสมัยใหม่ที่มีขายเฉพาะในญี่ปุ่น เพราะที่จริง Sex Toy มันมีมาเนิ่นนานกว่าที่เราจะคาดคิดเสียอีก หลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเซ็กซ์ทอยเป็นสิ่งเก่าแก่ที่ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นเวลานานมากแล้วแต่ไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนัก เมื่อนักโบราณคดีลงพื้นที่ขุดเจอสิ่งของต่าง ๆ เราก็จะเห็นแต่ข้าวของธรรมดาทั่วไปอย่างเช่น หม้อ ชาม ไห แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่นักโบราณคดีพบ มันมีมากกว่านั้น เพียงแค่ไม่ได้บอกให้คนทั่วไปรับรู้เท่านั้นเอง โดยเฉพาะ Sex Toy ของคนยุคโบราณอย่างดิลโด้จึงเป็นเรื่องที่ถูกเก็บไว้ในซอกหลืบของประวัติศาสตร์มาโดยตลอด การพูดถึงเซ็กซ์ทอยยุคก่อนประวัติศาสตร์เริ่มเป็นรูปเป็นร่างในค.ศ. 2005 เมื่อมีการค้นพบเซ็กซ์ทอยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก อายุราว 27,000 – 30,000 ปี ภายในถ้ำ Hohle Fels ประเทศเยอรมนี นักโบราณคดีพบวัตถุรูปร่างคล้ายอวัยวะเพศชายขนาด 19.2 เซนติเมตร ทำจากหินซิลเวอร์แกะสลัก ปัจจุบันถูกจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ Prehistoric Blaubeure การค้นพบครั้งนี้ถือว่าจุดประกายการตั้งคำถามเกี่ยวกับของเล่นทางเพศที่เก่าแก่ที่สุดในโลกของสตรียุคก่อนประวัติศาสตร์ ต่อมาในค.ศ. 2010 นักโบราณคดีชาวสวีเดนค้นพบวัตถุคล้ายอวัยวะเพศชายอีกครั้ง แกะสลักจากเขากวาง มีความกว้าง 0.8 นิ้ว แต่ด้วยปลายของด้ามอีกด้านที่มีความแหลมคมจึงทำให้นักโบราณคดีไม่กล้าตัดสินว่ามันคือเซ็กซ์ทอยยุคโบราณ แล้วหน้าที่ของมันในช่วงเวลานั้นมีไว้ทำอะไรกันแน่? ด้วยรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งแบบแท่งยาวเรียวไม่มีลวดลาย บางอันมีการแกะสลักรูปภาพต่าง
ถ้าพูดถึงซามูไร และฮาราคีรี หลายคนคงรู้ความหมายอยู่แล้ว แต่ถ้าพูดถึงชื่อของ มิชิมะ ยูกิโอะ อาจจะยังไม่รู้ว่าเค้าคือใคร UNLOCKMEN จะพาไปทำความรู้จักกับวิถีนักรบญี่ปุ่น และลูกผู้ชายที่เรียกตัวเองว่า The Last Samurai ได้เต็มปาก แรกเริ่มเดิมทีซามูไรเป็นเพียงกลุ่มนักรบรับจ้างแก่จักรพรรดิและชนชั้นสูง แต่ต่อมาเหล่าซามูไรเกิดความคิดอยากรวมบรรดานักรบบ้าระห่ำให้อยู่เป็นกลุ่มก้อนเพื่อความเป็นปึกแผ่น จึงเกิดการจัดการกลุ่มนักสู้ที่เป็นระบบมากขึ้น ด้วยความเก่งกาจเรื่องการต่อสู้ที่ไม่กลัวตาย กฎระเบียบที่เคร่งครัด และความใจถึงพึ่งได้ ซามูไรจึงขึ้นมาเป็นกลุ่มชนชั้นที่มีบทบาททางการเมืองในฐานะนักรบชั้นนำที่ใครเห็นเป็นต้องก้มหน้า เด็กร้องไห้เดินเจอยังต้องหยุดร้อง ซามูไรมีบทบาทในสังคมญี่ปุ่นยาวนานกว่าร้อยปี ก่อนจะสิ้นสุดลงในยุคเมจิช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จากการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัย สร้างรูปแบบกองทัพตามแบบประเทศตะวันตก ลดอำนาจของระบบศักดินารวมถึงเลิกสถานะซามูไร ยกเลิกสิทธิในการพกดาบ Katana ในที่สาธารณะ และสิทธิในการฆ่าใครก็ได้ที่ไม่ให้ความเคารพต่อซามูไร ด้วยเหตุผลต่าง ๆ จึงทำให้ซามูไรส่วนมากหันไปเป็นนักเขียนและทำงานในรัฐบาลแทน สิ่งที่ถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งเมื่อพูดถึงซามูไรคือ บูชิโด และ ฮาราคีรี ซึ่งฮาราคีรีนั้นมีความหมายเดียวกับเซ็มปุกุ เป็นการสำเร็จโทษด้วยเกียรติของเหล่าลูกผู้ชายซามูไร อาทิ การไม่สามารถรักษาชีวิตของผู้เป็นนายได้ หรือเมื่อมีการเปลี่ยนฐานอำนาจ ซามูไรที่จงรักภักดีไม่ยอมสวามิภักดิ์กับกลุ่มอำนาจใหม่ก็จะทำการคว้านท้องตัวเอง ซึ่งฮาราคีรีไม่ใช่แค่ความกล้าในการคว้านท้องปลิดชีวิตตัวเองเท่านั้น แต่มันคือสัญลักษณ์ของอุดมการณ์ที่แน่วแน่ จึงทำให้ฮาราคีรีเป็นสิ่งที่มีค่าน่านับถือในสังคมญี่ปุ่นสมัยโบราณ แม้จะหมดสิ้นยุคสมัยซามูไรไปแล้ว ก็ยังมีชายญี่ปุ่นรักชาติเลือดซามูไรที่ยึดถือเกียรติยศนี้อยู่ นั่นคือชายที่มีชื่อว่า Mishima Yukio (มิชิมะ ยูกิโอะ)
ในจำนวนประชากรหลายร้อยล้านคน ทำไมมีบางคนเป็นกลุ่มผู้นำ ในจำนวนหลายร้อยคนในบริษัท ทำไมมีผู้บริหารแค่ไม่กี่คน หลายคนน่าจะสงสัยว่าพวกเขาทำอย่างไรถึงได้ก้าวไปอยู่บนจุดที่ยิ่งใหญ่ได้ วันนี้ UNLOCKMEN จะพาไปสัมผัสถึงมุมมองและชีวิตของผู้นำโลกทั้ง 5 คนที่เลือกมาแล้ว ว่าพวกเขาเหล่านั้นคิดอะไร ยึดมั่นในอุดมการณ์ของตัวเองมากแค่ไหน และทำอย่างไรถึงได้มี passion ที่ผลักดันชีวิตจนประสบความสำเร็จ 1.นโปเลียน โบนาปาร์ต จากทหารปลายแถวสู่จักรพรรดิฝรั่งเศสผู้โด่งดัง เด็กหนุ่มร่างเล็กสุดธรรมดาที่ไร้เสน่ห์ พูดสำเนียงแปร่ง ๆ จนถูกเพื่อนล้อเลียนอยู่บ่อยครั้ง แต่สิ่งเหล่านี้เป็นตัวผลักดันให้นโปเลียนเป็นคนมีความอดทนสูงและมุ่งมั่น นโปเลียนเป็นชายผู้ยึดมั่นในหน้าที่ของตัวเอง เมื่อเป็นทหารเขาก็ทุ่มสุดตัวในทุกสมรภูมิรบ พกความห้าวหาญติดตัวไม่กลัวใครหน้าไหน ทำให้กลายเป็นวีรบุรุษของฝรั่งเศสในหน้าประวัติศาสตร์ และเป็นผู้กล่าวประโยคดังที่ถูกพูดถึงมาจนปัจจุบันว่า “เป็นไปไม่ได้ คือคำศัพท์ที่พบในพจนานุกรมของคนโง่เท่านั้น” เพราะจากเด็กชายที่เกิดในครอบครัวสามัญชนและก้าวสู่การเป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศสที่เมื่อพูดชื่อแล้วก็ต้องรู้จัก ถ้าโง่คงทำไม่ได้แน่ ๆ บางคนอาจบอกว่าจุดจบของนโปเลียนนั้นช่างน่าเศร้าและแสนอับอาย แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาได้ทำมา ความพยายามที่น่านับถือ และความสำเร็จที่เกิดขึ้นจริงกับการสร้างชื่อให้ฝรั่งเศสที่ไม่สามารถทำตามกันได้ง่าย ๆ ก็พิสูจน์ได้ว่านโปเลียนคือผู้นำที่มีความสามารถไม่น้อยกว่าใคร 2.วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีเมืองผู้ดี ผู้ซึ่งถูกนำไปสร้างหนังนับครั้งไม่ถ้วน ภาพยนตร์กว่า 70 เรื่อง ที่นำเสนอเกี่ยวกับวินสตัน เชอร์ชิล เด็กหนุ่มที่ผู้คนกล้าเรียกได้ว่าค่อนข้าง “ฉลาดน้อย” เพราะนอกจากวิชาภาษาอังกฤษกับประวัติศาสตร์ เขาก็ไม่เก่งอะไรเลย พอเข้าเรียนโรงเรียนเตรียมทหารก็ได้เป็นทหารม้าที่ยศต่ำเตี้ย
โบทาโอชิ กีฬาสุดอันตรายจากดินแดนซามูไรที่เปลี่ยนสนามกีฬาให้กลายเป็นสมรภูมิเดือด ด้วยความรุนแรง และกติกาที่สามารถทำอะไรก็ได้กับฝ่ายตรงข้าม ทำให้กีฬานี้สงวนไว้สำหรับลูกผู้ชายที่ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตายของชาวญี่ปุ่นเท่านั้น ชื่อโบทาโอชิ มีที่มาจากการผสมกันของสองคำคือ โบ ที่แปลว่า ท่อนไม้ และ ทาโอชิ ที่มีความหมายว่า ทำให้ล้ม รวมกันเป็นการทำให้เสาของศัตรูล้มลงให้ได้ กีฬานี้ที่ไม่มีต้นกำเนิดแน่ชัดว่าเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จุดเริ่มต้นที่ชัดเจนนั้นเริ่มขึ้นที่โรงเรียนเตรียมทหารแห่งหนึ่งใน ค.ศ. 1940 หัวใจของกีฬาโบทาโอชิคือการทำให้เสาของฝ่ายตรงข้ามล้มลงเกิน 30 องศา จนเมื่อ ค.ศ. 1973 ได้มีการเปลี่ยนกติกาใหม่จาก 30 องศา กลายมาเป็น 45 องศาเพื่อความมันส์ยิ่งขึ้น ซึ่งกรรมการจะเป็นผู้ตัดสินว่าเสานั้นล้มลงถึงเกณฑ์หรือไม่ ส่วนกติกาจะแบ่งผู้เข้าแข่งขันออกเป็นสองทีมจากผู้เล่นทั้งหมด 150 คน แบ่งเป็นฝั่งละ 75 คน และเกมจะสิ้นสุดลงเมื่อเสาของทีมใดทีมหนึ่งล้มลง ฝั่งที่ทำให้เสาล้มได้ก่อนจะเป็นผู้ชนะ แค่ทำให้เสาล้มมันจะไปยากอะไร ดูแล้วเหมือนง่าย แต่จริง ๆ มันไม่หมูอย่างที่คิด ด้วยกฎเหล็กที่ห้ามตุกติก ห้ามพกอาวุธ ใช้ได้แค่พลังกายและพลังใจล้วน ๆ การกระแทกกันเหมือนกีฬารักบี้ที่มีสมาชิกมากกว่าเป็นสองเท่า การดึงทึ้งจนเสื้อขาด ไปจนถึงการแลกหมัดกันเป็นเรื่องปกติเมื่อเริ่มการแข่งขัน ด้วยจำนวนคนกว่า 150 คน การวิ่งทะลวงฝ่าฝูงชนเพื่อล้มเสาจึงทำได้ยาก ฝั่งทีมรุกก็ลุยกันเต็มที่
Tom Hardy นักแสดงหนุ่มสัญชาติอังกฤษผู้มีผลงานการแสดงนับไม่ถ้วน อย่างภาพยนตร์เรื่อง Mad Max: Fury Road และ Venom ที่นอกจากจะฝากผลงานอันยอดเยี่ยมไว้ ล่าสุดยังได้เข้ารับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น CBE หรือ Commander of the Most Excellent Order of the British Empire จากเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ในตำแหน่งของบุคคลผู้สร้างชื่อระดับภูมิภาค แต่กว่าจะมาถึงวันนี้เขาคือชายผู้เคยติดสุราเรื้อรังและเล่นยามาตั้งแต่อายุ 11 ปี และนี่คือเรื่องราวที่จะหักล้างความคิดของหลายคนที่เข้าใจว่า เด็กที่เริ่มต้นไม่ดี อนาคตก็ต้องไม่ดีตามไปด้วย ก่อนที่จะกลายเป็นบุคคลผู้สร้างชื่อเสียงให้กับอังกฤษ ชีวิตของทอม ฮาร์ดี้ ผ่านอะไรเจ็บ ๆ มาเยอะกว่าที่คิด เด็กหนุ่มชาวอังกฤษที่แม่เป็นศิลปินวาดภาพและพ่อเป็นนักเขียนชื่อดัง ทุกอย่างดูเพียบพร้อมจนฮาร์ดี้อายุ 11 ปี เขาเริ่มยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดด้วยการดมกาว เมื่ออายุ 13 ก็เริ่ม Turn Pro เข้าสู่สายดาร์กแบบเต็มตัวด้วยการหันมาเสพโคเคนและติดเหล้า ซ้ำยังโดนไล่ออกจากโรงเรียนประจำมีชื่อเสียงของอังกฤษอย่าง Reed’s School ตอนอายุ 16 ปี เพราะขโมยของ ซึ่ง
Nissan GT-R คือ Japanese Sports Car ระดับตำนานสัญชาติญี่ปุ่นที่ผู้ชายทุกคนต้องวิ่งตาม ที่พัฒนารถยนต์และสร้างสีสันให้แก่วงการมาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี ซึ่งรถยนต์ GT-R ที่หลายคนรู้จักหรือคุ้นเคยก็คงหนีไม่พ้นรุ่นยอดฮิตอย่าง Generation ที่ 5 GTR R34 หรือ Nissan GT-R โฉมปัจจุบัน แต่ที่จริงยังมี Limited Edition หายากอีกหลายรุ่นซึ่งเราจะเลือกหยิบมาแนะนำกับสุดยอด GT-R รุ่นอื่น ๆ ที่อาจจะไม่ค่อยถูกพูดถึง แต่เต็มไปด้วยความเท่ มูลค่า และเรื่องราวที่น่าสนใจไม่น้อย 1969 Skyline 2000 GT-R Skyline 2000 GT-R เป็นรถที่ถูกเรียกด้วยชื่อเล่นภาษาญี่ปุ่นว่า Hakosuka ที่มีความหมายตรงตัว Hako แปลว่า กล่อง และ Suka ที่หมายถึงเส้นขอบฟ้า เลยกลายเป็นรถรุ่น Square Skyline เพราะรูปทรงของรถที่มีความเหลี่ยมชัดเจน ออกแบบมาให้เป็นสิงห์สนามแข่งรถที่กวาดถ้วยรางวัลได้กว่า 50