หลังจากที่บุรุษเหล็กซูเปอร์ฮีโร่ตลอดกาลอย่าง Superman เป็นอันต้องจบชีวิตลงหลังจากการต่อสู้กับมหาวายร้าย Doomsday ในภาพยนตร์เรื่อง Batman vs Superman เชื่อว่าแฟน ๆ คอมมิค รวมถึงแฟนหนังจากจักรวาล DC ต่างก็อยากรู้ชะตากรรมความเป็นไปของฮีโร่ในดวงใจ ที่แน่นอนว่าจะต้องกลับมามีบทบาทใน Justice League ภาพยนตร์เรื่องต่อไปที่กำลังจ่อคิวฉายในบ้านเรากลางเดือนพฤศจิกายนนี้ เพียงแต่ว่าสิ่งที่ชวนให้ลุ้นคือเขาจะกลับมาในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง เหตุผลที่ชวนให้ลุ้นนั่นก็เพราะว่า ถึงแม้ทุกคนจะรู้ดีว่าหนังรวมดาวซูเปอร์ฮีโร่ตัวชูโรงของทางฟากฝั่ง DC ที่ยกขบวนตัวละครคลาสสิคจากค่ายมาครบ ทั้ง Batman, Wonder Woman, The Flash, Aquaman และ Cyborg คงจะขาด Superman ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของ DC เคียงบ่าเคียงไหล่มากับอัศวินรัตติกาลอย่าง Batman ไปไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าทาง DC จะมีแผนเตรียมเอาไว้ เพื่อให้การกลับมาของ Superman นั้นไม่ใช่เพียงแค่เส้นเรื่องธรรมดา ที่เป็นการฟื้นคืนชีพ แล้วมารวมพลังช่วยเพื่อน ๆ พิทักษ์โลกตามสูตร เพราะนับตั้งแต่ช่วงเริ่มโปรโมท จนมาถึงตอนนี้ที่หนังใกล้จะเข้าฉายเต็มที ถ้าไม่นับภาพ First Look สำหรับแนะนำเหล่าฮีโร่ของทาง
นอกจากดีไซน์ที่ถูกใจ กลไกการบอกเวลาที่เที่ยงตรง ปัจจัยการเลือกเรือนเวลาคู่ใจของเหล่าคนรักนาฬิกา คงหนีไม่พ้นเรื่องราว ประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ซึ่งถือเป็นเสน่ห์ที่ทำให้นาฬิกาไม่ได้เป็นแค่อุปกรณ์บอกเวลา หรือเครื่องระดับที่บ่งบอกฐานะ แต่มันเป็นสิ่งที่สามารถสร้างคุณค่าทางจิตใจให้กับผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี ซึ่ง Hamilton ถือเป็นอีกแบรนด์นาฬิกาที่มีหลากรุ่น หลายซีรี่ส์ที่มีเรื่องราวและประวัติอันยาวนาน ผ่านหน้าประวัติศาสตร์กว่า 125 ปี นับตั้งแต่การก่อตั้งแบรนด์ขึ้นที่เมืองแลงคาสเตอร์ รัฐเพนซิลวาเนีย ในปี 1892 โดยเริ่มต้นจากการผลิตนาฬิกาพกคุณภาพสูงในจำนวนน้อย ๆ จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนาฬิกามาตรฐานของการทางรถไฟของสหรัฐอเมริกาในฐานะ “Watch of Railroad Accuracy” และ “The Railroad Timekeeper of America” นอกจากนี้ความยิ่งใหญ่ของเรื่องราวเมื่อครั้งอดีตยังได้ส่งต่อถ่ายทอด DNA มาถึงคอลเลคชั่นปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาสำหรับกองทัพสหรัฐฯ ที่ Hamilton ผลิตในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ในรุ่น Khaki Field หรือคอลเลคชั่น Broadway ที่ตั้งชื่อมาจากนาฬิกาพกรุ่น Broadway ที่เคยสร้างชื่อเสียงให้กับ Hamilton เมื่อครั้งอดีต และเมื่อพูดถึงคอลเลคชั่นเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ Hamilton ถ้าไม่พูดถึงรุ่น Ventura ก็คงไม่ได้
ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ความสุข” คือสิ่งที่ทุกคนล้วนปรารถนา ต่างคนต่างก็พยายามเสาะแสวงหาวิธีการที่จะได้มาซึ่งวิถีแห่งความสุข และเมื่อพูดถึงปรัชญาความสุขอันแสนเรียบง่าย ในปัจจุบันเทรนด์ความสุขจากประเทศในแถบสแกนดิเนเวียก็กำลังมาแรงไม่แพ้กัน ด้วยความที่ประเทศในแถบนี้มักถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลก ซึ่งส่งผลมาถึงดัชนีชี้วัดความสุขที่ผู้คนในแถบสแกนดิเนเวียก็มีความสุขมากไม่แพ้ใคร เมื่อมาวิเคราะห์ว่าทำไมชาวสแกนดิเนเวียนถึงมีคุณภาพชีวิตดี ใช้ชีวิตมีความสุขกว่าชาวบ้านชาวช่อง คงต้องยกเครดิตให้ความเป็นรัฐสวัสดิการอย่างสมบูรณ์แบบ ที่แม้จะมีการจัดเก็บภาษีหนักหน่วง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือสิ่งที่รัฐซัพพอร์ตอย่างเต็มที่ ประชาชนสามารถเข้าถึงสาธารณูปโภค, การศึกษา, สาธารณสุข และอื่น ๆ อีกมากมายได้ฟรี อย่างทั่วถึง เท่าเทียม เปี่ยมด้วยคุณภาพ แต่ทั้งนี้อีกสิ่งหนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการทำให้ดัชนีความสุขของชาวสแกนดิเนเวียนั้นพุ่งสูง แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ปัจจัยภายนอกเรื่องความอุ่นใจ ความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตเพียงอย่างเดียว แต่มันคือหลักวิธีคิดที่ฝังรากลึกจนสะท้อนออกมาเป็นคาแรคเตอร์ของผู้คนในแถบนี้ ที่มีความเป็น Minimalist สูง ชื่นชอบความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย ใช้ชีวิตสบาย ๆ มีความสุขกับสิ่งง่าย ๆ รอบตัว ซึ่งมีคำอยู่คำหนึ่งในภาษาสวีดิช ที่เป็นคำจำกัดความของวิถีชีวิตแบบนี้ คำนั้นคือคำว่า “Lagom” LAGOM Lagom อ่านออกเสียงว่า ลา-กอม มีที่มาจาก “Lagom är bäst” คำที่ชาวสวีดิช รวมถึงผู้คนในแถบสแกนดิเนเวียคุ้นเคยกันดี เพราะมันคือสุภาษิตเก่าแก่ ที่สื่อสารใจความว่า “ความพอดีนั้นคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด” และถูกขยายความออกมาเป็น Quote ที่ว่า
เมื่อพูดถึงฤดูฝน หลายคนอาจจะนึกถึงน้ำเจิ่งนอง ความเปียกเฉอะแฉะ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นช่วงที่ธรรมชาติมีความสวยงาม สมบูรณ์ที่สุด มีคนจำนวนไม่น้อยที่หลงใหลในเสน่ห์ของวันฝนพรำด้วยอากาศที่เย็นสบาย ออกไปลุยใช้แรงเที่ยวแบบเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ เป็นช่วงเวลาที่ดีมากสำหรับมนุษย์สายลุย ผู้ชื่นชอบ Activities สมบุกสมบัน เน้นเสพบรรยากาศเขียวขจีชุ่มฉ่ำจากธรรมชาติ คงรู้กันดีว่าช่วงปลายฝนต้นหนาว คืออีกช่วงเวลาที่เหมาะหยุดเรื่องงาน เปลี่ยนจากการเดินห้างสรรพสินค้า พาครอบครัวที่เรารัก หรือ เพื่อนฝูง ออกไปลุยเที่ยวป่า ขึ้นเขา ชมวิวยอดดอย ดูทะเลหมอกได้อย่างสวยงาม เป็นการพักผ่อนที่ช่วย recharge พลังหลังจากทำงานหนักให้กลับมาได้ดีที่สุด ขอแนะนำ 5 พิกัดน่าลุยที่ UNLOCKMEN แนะนำให้ไป Trekking กลับคืนสู่ธรรมชาติ แต่ต้องบอกไว้ก่อนตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่า การ Trekking จะสนุกกว่าถ้าไปกันหลาย ๆ คน และพิกัดที่เราแนะนำนั้นล้วนมีเส้นทางลุยที่โหดใช่ย่อย ดังนั้นไม่ใช่นึกจะไปก็คว้ากุญแจสตาร์ทรถไปได้เลยทันที มันต้องมีการเตรียมตัวเตรียมใจ ศึกษาเส้นทาง เตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการตั้งแคมป์ให้เหมาะสม ที่ขาดไม่ได้ คือการหารถยนต์พร้อมลุย สมรรถนะเยี่ยม กว้างขวางพอที่จะนั่งไปได้หลายคน พร้อมบรรทุกสิ่งของมากมาย ได้สบาย ไม่งั้นต้องนั่งเบียดกันจนเหนื่อยตั้งแแต่ออกเดินทาง และอุปกรณ์อาจจะทับกันพังเสียหายได้
แม้จะมีผลวิจัยมากมายยืนยันว่าผิวผู้ชายนั้นแข็งแกร่ง เสื่อมโทรมได้ยากกว่าผู้หญิง เพราะฮอร์โมนเพศชายนั้นมีส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นเส้นใยที่ยึดโยงให้เซลล์ผิวของมนุษย์เต่งตึง ทำให้มนุษย์ผู้ชายอย่างเรา ๆ มีข้อได้เปรียบในเรื่องของผิวที่เสื่อมโทรมได้ช้ากว่าผิวของสาว ๆ ทั้งหลาย แต่ก็ใช่ว่าจะย่ามใจในความได้เปรียบของเพศสภาพ ไม่ดูแลบำรุงอะไรทั้งสิ้น ปล่อยเซอร์จนหน้าโทรมหมดสง่าราศีก็คงไม่ไหว เพราะต้องไม่ลืมว่าทุกวันนี้มลภาวะ ฝุ่น ควัน และแสงแดดแผดเผาของประเทศไทย ต่างก็ง้างหมัดรอที่จะเข้ามารุมทำร้ายผิวหน้าได้ทุกเมื่อ ยิ่งเป็นผู้ชายยุคใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์หนักหน่วง ใช้ชีวิตเต็มที่ในทุกด้าน ตอนทำงานก็ทุ่มเทเคร่งเครียด เวลาพักผ่อนก็กินดื่มเที่ยวเล่นสุดเหวี่ยงตะลุยไปทุกที่แบบไม่กลัวพลังหมด ยิ่งมีโอกาสที่ผิวหน้าจะอ่อนล้า อ่อนแรง แห้งเหี่ยวก่อนวัยอันควร ทางที่ดีเราแนะนำให้หมั่นดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วย 3 วิธีง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ที่เราอยากให้หนุ่ม ๆ UNLOCKMEN เริ่มทำกันเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อผิวหน้าดี ๆ คงความเท่เอาไว้ได้อย่างยืนยาว ความสะอาดคือพื้นฐานของการดูแลผิวหน้า การล้างหน้าคือขั้นตอนพื้นฐานง่าย ๆ ที่ผู้ชายหลายคนมองข้าม มักจะปล่อยปละละเลย เน้นเร็ว เน้นสะดวกเข้าว่า จนทำให้หยิบอะไรก็ได้ที่พอจะหาเจอในห้องน้ำ แล้วทำให้เกิดฟองได้ เอามาละเลงล้างหน้า กะว่าให้หน้าหายมันเป็นพอ ซึ่งนั่นคือเรื่องผิดมหันต์ ถ้าผิวหน้าดีผิวหน้าแข็งแกร่งอยู่แล้วเป็นทุน อาจยืดระยะเวลาของปัญหาผิวออกไปให้นานหน่อย แต่ถ้าเป็นผู้ชายที่มีปัญหาผิวอยู่แล้ว ทั้งหน้าแห้ง หน้ามัน หน้าแพ้ง่าย
เมื่อพูดถึง Wonderfruit คนส่วนใหญ่จะนึกถึงเทศกาลดนตรีเจ๋ง ๆ งานที่มีแต่เหล่าฮิปสเตอร์ ผู้คนที่แต่งตัวชิค ๆ คูล ๆ รวมถึงเซเลบตบเท้ากันมาเพียบ แต่มันไม่ใช่แค่นั้น! เพราะตอนนี้ Wonderfruit กลายเป็นหนึ่งในเทศกาลที่หลาย ๆ คนถึงกับต้องปักหมุดเอาไว้ ว่าจะต้องหาโอกาสมาเยือนสักครั้งในชีวิต (ขนาดนั้นเลยจริง ๆ) แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้คนเหล่านั้นอยากจะมาสัมผัสประสบการณ์การเป็น Wonderer นอกจากดนตรี และ ความเท่ ความฮิปของบรรยากาศ และผู้เข้าร่วมงานแล้วยังมีเสน่ห์อะไรน่าค้นหาอีก ในวันนี้ UNLOCKMEN จะมาคลายข้อสงสัย กับกิจกรรมและประสบการณ์ที่จะได้สัมผัส เมื่อคุณมาเป็น Wonderer เดินเตร็ดเตร่ใน Wonderfruit ดินแดนความสุขแห่งนี้ ได้เสพงานศิลป์ เสพศิลป์กับกลิ่นอายของศิลปะที่อบอวลไปทั่วทั้งงาน นอกจากจะได้เห็นงานแสดงศิลปะเคลื่อนที่จากสไตล์การแต่งตัวอันจัดจ้านของเหล่า Wonderer แล้ว ยังมีการจัดแสดงผลงานศิลปะหลายรูปแบบอยู่ทั่วทั้งงาน ซึ่งบางชิ้นเราสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมและสนุกกับมันได้ ถือเป็นการสร้างให้เกิดประสบการณ์ร่วมกับงานศิลปะเหล่านั้นมากกว่าการเสพด้วยตา หรือแค่ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ได้ทำกิจกรรมเยอะแยะ มั่นใจได้ว่าตลอด 24 ชั่วโมงที่ Wonderfruit จะไม่มีช่วงเวลาว่างปล่อยให้คุณเกิดความรู้สึก “ไม่รู้จะทำอะไร” “เบื่อจัง” ได้อย่างแน่นอน ด้วยกิจกรรมที่อัดแน่นตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง
ต้องยอมรับว่ากลุ่มคนมิลเลนเนียล (Millenials) หรือกลุ่มคนที่เกิดในช่วงยุค 1980s ไปจนถึงช่วงก่อนยุค 2000s ที่เรียกได้ว่ามีชีวิตเติบโตขึ้นมาในช่วงเปลี่ยนผ่านสหัสวรรษ คือกลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญ เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสังคมเมืองในปัจจุบัน ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในภาพใหญ่ของประชาคมโลก นอกจากภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่มากความสามารถซึ่งค้นหาลู่ทางสร้างความสำเร็จได้ด้วยตัวเอง กลุ่มคนมิลเลนเนียลเหล่านี้ยังได้ทำให้นิยามของความสำเร็จเปลี่ยนไปจากอดีต จากที่คนยุคก่อนเคยให้ความสำคัญกับรายได้ รวมถึงตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นหลัก แต่กลุ่มคนมิลเลนเนียลที่แม้จะมีจุดเด่นในเรื่องของการเลือกทำอะไรด้วย Passion มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง และพร้อมจะทุ่มเทเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ แต่ก็ยังคงให้ความสำคัญกับการมี Work-Life Balance ที่ดี มากกว่าการมีชื่อเสียงและเงินทอง อ้างอิงได้จากผลการศึกษาแนวคิดอุปนิสัยใจคอของกลุ่มคนมิลเลนเนียล โดยสถาบัน INSEAD Emerging Markets Institute, HEAD Foundation ร่วมกับ Universum ที่ได้ทำแบบสอบถามประชากรกลุ่มเป้าหมายกว่า 16,000 คน จาก 43 ประเทศทั่วโลก จนได้ข้อสรุปที่ว่า 73% ของกลุ่มคนมิลเลนเนียล เลือกที่จะมีสมดุลระหว่างการทำงาน และการใช้ชีวิตที่ดีมากกว่าเลือกมีรายได้สูง ๆ (Source : http://bit.ly/2gtlg3j) ข้อมูลข้างต้นถือเป็นสิ่งสะท้อนมุมมองความสำเร็จที่เปลี่ยนไปของคนกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะจริง ๆ แล้ว ความสำเร็จที่พวกเขาต้องการไขว่คว้านั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ความสำเร็จทางธุรกิจ แต่มันคือความสำเร็จในการได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ย้อนไปเมื่อช่วงกลางปี 2019 ถือเป็นครั้งแรกที่โลกแห่งเครื่องบอกเวลาได้รู้จักกับ SWATCH BIG BOLD ซีรีส์นาฬิกาคอลเลคชันใหม่ล่าสุด ที่รับเอามรดกทางจิตวิญญาณในการพัฒนาเอาตัวรอดรวมถึงการปรับตัวให้เท่าทันยุคสมัย จากตำนานที่มีลมหายใจอย่าง SWATCH รุ่น OG มาต่อยอดในแนวทางของตัวเอง กับไอเดียความขบถที่ขับเน้นตัวตนออกมาอย่างเด่นชัดในวิถี Street Culture จากเรือนเวลาที่สะท้อนสไตล์ของผู้สวมใส่ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ในปีนี้ SWATCH ได้ต่อยอดความสำเร็จด้วยการนำพานาฬิกาตระกูล BIG BOLD ออกจากรูปแบบเดิม ๆ อีกครั้ง สู่การเดินทางครั้งใหม่ที่ผสานความจัดจ้านของ Street Fashion เข้ากับความเท่ ดุดัน จากกลิ่นอาย Racing Sport ด้วยฟังก์ชัน Chronograph หรือระบบจับเวลาที่เป็นตัวช่วยสำคัญของเหล่านักแข่งแห่งสนามประลองความเร็ว ซึ่งมีอยู่ใน SWATCH BIG BOLD CHRONO รุ่นใหม่ล่าสุด SWATCH BIG BOLD CHRONO ยังคงเอกลักษณ์จากรุ่นแรกเอาไว้กับหน้าปัดขนาดใหญ่ 47 มิลลิเมตร แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาคือระบบจับเวลา Chronograph ที่มาพร้อม 3 หน้าปัดย่อย แบ่งเป็นตัวนับนาที,
สิ่งหนึ่งซึ่งทำให้ใครหลายคนที่กำลังวางแผนจะถอยรถ BMW มาใช้งานสักคันต้องอยู่ในภาวะคิดไม่ตกว่าจะซื้อ หรือไม่ซื้อดี คงไม่ใช่แค่เรื่องของราคาค่างวดเพราะแทบจะเป็นเรื่องแน่นอนว่าใครสักคนที่มีโครงการจะออก BMW ยังไงก็ต้องมีความพร้อมด้านงบประมาณอยู่แล้วในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ชวนให้กังวลมากยิ่งกว่า คือเรื่องของค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา ที่เจ้าของรถจะต้องเตรียมเงินกันงบก้อนโตเผื่อเอาไว้เป็นค่า Maintenance ตลอดระยะเวลาการใช้งาน ลำพังแค่เข้าศูนย์บริการไปเช็คสภาพ เปลี่ยนกรองน้ำมัน กรองอากาศ ผ้าเบรก รวมถึงเปลี่ยนถ่ายของเหลว และอื่น ๆ อีกมากมายตามรอบ นับรวมแล้วตกเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่น้อย ไม่นับกรณีเจอแจ๊คพ็อตอะไหล่ชิ้นสำคัญเกิดพังขึ้นมา แม้จะเป็นเจ้าของรถราคาหลายล้าน ก็ยังประสบกับอาการหน้ามืดได้ง่าย ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้ว สำหรับผู้ที่เคยออกรถ BMW มาก่อน รวมถึงใครที่ได้ทำการบ้าน หาข้อมูลมาเป็นอย่างดีจะทราบว่า โดยปกติเมื่อซื้อรถ BMW ผู้ขับขี่จะได้สิทธิ์รับบริการดูแลบำรุงรักษา BMW Service Inclusive (BSI) ที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้สบายใจไร้กังวลเมื่อต้องเอารถเข้าศูนย์เช็คระยะ ฟรีทุกรายการไม่ว่าจะเป็นค่าแรง และค่าอะไหล่แท้จาก BMW, เปลี่ยน – เติมน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรอง, เปลี่ยนกรองอากาศเครื่องยนต์, กรองน้ำมันเชื้อเพลิง, กรองอากาศภายใน, หัวเทียน, ผ้าเบรก – จานเบรก –
หากลองมาคิดดูว่าในปัจจุบันนี้เงินจำนวน 899 บาท ถ้าจำเป็นต้องใช้ให้หมดในครั้งเดียว จะสามารถนำไปเป็นค่าใช้จ่ายอะไรได้บ้าง สิ่งแรกที่หลายคนนึกถึง คงหนีไม่พ้นค่าบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่าง อาหารญี่ปุ่น 1 มื้อ หรือไม่ก็ค่าโทรศัพท์ + แพ็คเกจอินเตอร์เน็ตรายเดือน แต่คงไม่มีใครคิดว่าเงินจำนวนเท่านี้ จำนวนที่ถูกกว่าค่าเช่าหอ เช่าอพาร์ทเม้นต์รายเดือนเสียด้วยซ้ำ จะนำมาใช้เริ่มต้นสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตด้วยการมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง กับคอนโดมิเนียมซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่นับวันจะยิ่งเพิ่มมูลค่ามากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งถ้าอยู่ในพื้นที่พิกัดทำเลดี ๆ หากต้องการขยับขยายครอบครัวย้ายไปหาบ้านใหม่ ก็ยังสามารถปล่อยคอนโดให้เช่าสร้างรายได้ระยะยาว หรือประกาศขายทำกำไร เอาไปโปะค่าบ้านก็น่าสนใจไม่ใช่เล่น จาก Insight ดังกล่าว ‘คอนโด ยู เกษตร – นวมินทร์’ โครงการคอนโดมิเนียมน้องใหม่ล่าสุด จากค่ายแกรนด์ ยูนิตี้ จึงงัดกลยุทธ์แหวกกระแส ผุดแคมเปญ ‘ตัดภาระทางการเงิน’ ทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ให้เกิดขึ้นจริง กับการเพิ่มมูลค่าของเงิน 899 บาท ให้สามารถเป็นงบประมาณต่อเดือนในการผ่อนคอนโดได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 2 ปี จากที่ปกติห้องราคาประมาณ 2 ล้าน จะมียอดผ่อนชำระต่อเดือนประมาณหมื่นกว่าบาท ถือได้ว่าแคมเปญนี้ช่วยประหยัดเงินไปได้อีกเป็นกอง แถมยังนำเงินส่วนต่างตรงนี้ ไปเป็นเงินเก็บลงทุนต่อยอดได้อีกมากมาย และเชื่อว่าจะสามารถสร้างกระแสการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภคได้ไม่ยาก นอกเหนือจากกลยุทธ์เด็ดของแคมเปญที่มีจุดเด่นอย่างค่างวดผ่อนแสนถูก