ผ่านมาเป็นเดือนแล้ว ประโยคจากช่วงเสี้ยวของการสนทนาของเรากับรุ่นพี่ที่รู้สึกชื่นชมยังทำงานอยู่ในหัวของเราไม่หยุด “ผมไม่ได้เก่งกว่า ไม่ได้ทำอะไรต่างจากคนอื่น แต่คนอื่นเขาไม่ทำกันต่างหาก” นี่คือคำตอบที่พูดออกมาจากปากเขาง่าย ๆ ไม่ได้เข้าใจยากเย็นอะไร แต่แค่ประโยคเดียวมันมีพลังมากเสียจนเข้าใจว่า เบื้องหลังการเติบโตและความสำเร็จที่เขาสร้าง เกิดจากการให้คุณค่ากับส่ิงที่ไม่มีใครมองเห็นรีเทิร์นกลับมา และการมีเพื่อนสนิทที่ชื่อว่า “ความล้มเหลว” โดยไม่รังเกียจมัน บทความนี้ไม่ขอเปิดเผยเจ้าของแรงบันดาลใจ แต่อยากนำแกนที่เขาใช้มาอธิบายควบคู่กับ case study ขององค์กรที่มีหัวใจเดียวกัน องค์กรที่ “อุปสรรค” ไม่เคยทำให้พวกเขาต้องคว้าความน้ำเหลวจากสิ่งที่ตั้งใจ Keyman ที่เชื่อสิ่งที่ทำ มากกว่าความล้มเหลว องค์กรที่แข็งแรงสร้างขึ้นจากเสาหลักที่แข็งแรง แม้เงินจะสำคัญมากในยุคนี้ แต่ถ้าลองไปนั่งสังเกตให้ดี สิ่งที่ทำให้องค์กรทุกวันนี้ยังเหลือพนักงานหน้าเดิมที่พร้อมจะทำงานให้ ต่อให้เงินเดือนจะขึ้นเท่าเศษผงพนักงานก็ยังภักดี เรื่องนั้นมักมาจากศรัทธาที่ซ่อนอยู่ขององค์กร วันนี้ศรัทธากำลังเป็นของที่คุณหาซื้อไม่ได้ ศรัทธาคือสิ่งที่ทำให้สตาร์ตอัปหน้าใหม่กล้าสู้องค์กรบิ๊ก ๆ ทุนหนา พวกเขาไม่ได้มีเงินเยอะ แต่ผู้นำและคีย์แมนขององค์กรเขามีพลังเยอะ มีวิสัยทัศน์ชัดที่รู้ว่าองค์กรจะโตได้อย่างไร และมีพลังใจที่แข็งแรงมากพอจะส่งต่อภาพความสำเร็จที่ยังไม่เกิดขึ้นเพื่อให้ทุกคนเห็นภาพร่วมกันและก้าวเดินไปพร้อมกัน “เขารู้ว่าเขากำลังทำเพื่ออะไร และทำให้ทีมรู้ว่ากำลังทำเพื่ออะไร” จำนวนครั้งไม่เคยสูญเปล่า ระยะทางพิสูจน์อะไรหลายอย่าง แม้วันนี้เราจะมีเครื่องไม้เครื่องมือหลายตัวช่วยให้เติบโตได้เร็วขึ้น แต่คนและองค์กรที่ประสบความสำเร็จไม่ได้พึ่งเครื่องมือทั้งหมด ไม่อาศัยโชค แต่ใช้ความสม่ำเสมอสร้างมันขึ้นมา ยกตัวอย่างสิ่งที่เราได้ยินมาจากพอตแคสต์การลงทุนที่เปิดฟังวันนี้ เมื่อคุณเบส กิตติศักดิ์ โภคา จากเพจลงทุนศาสตร์ หนึ่งในอินฟลูเอนเซอร์ด้านการเงินการลงทุนพูดถึงสิ่งที่เขาทำ เขาบอกว่าอินฟลูเอนเซอร์หลายคนที่มีโอกาสพูดคุยด้วยรวมถึงตัวเขาเอง
หลังจากที่เกม John Wick Hex, Disco Elysium และ The Outer Worlds เปิดตัวไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ก็ทำเอาหนุ่ม ๆ คอเกมทั่วโลกวางมือไม่ลงและไม่อยากละสายตาออกจากหน้าจอเกมเลย เพราะมันทั้งสนุก ตื่นเต้น และมีภาพกราฟิกที่โคตรสมจริง พอมาในเดือนพฤศจิกายนนี้ UNLOCKMEN ก็ไม่พลาดที่จะพาหนุ่ม ๆ มาอัปเดตเกมใหม่ประจำเดือน แต่ละเกมจะดุ เด็ด เผ็ด มันส์ขนาดไหน ไปดูกันเลยครับ! Star Wars Jedi: Fallen Order จากมหากาพย์ภาพยนตร์ที่กินเวลานานหลายทศวรรษ สู่สงครามดวงดาวครั้งสำคัญ ‘Star Wars Jedi: Fallen Order’ เกมแอ็กชันผจญภัยจากค่าย Respawn Entertainment และ EA ที่คุณจะได้สวมบทเป็น Cal Kestis หรือ Jedi Padawan ชายผู้รอดพ้นจากคำสั่งกวาดล้างและการแก้แค้นของ Sith เขาคือหนึ่งในอัศวินเจไดที่ใช้ดาบไลต์เซเบอร์ต่อสู้เพื่อสันติภาพและความยุติธรรม เมื่อกาแล็กซี่ตกอยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิ คุณจึงต้องหลบหนีและต่อสู้เพื่อความอยู่รอดไปพร้อมกับไขปริศนาของอารยธรรมที่สูญหาย
‘ความเหงา’ เป็นความรู้สึกปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกคน ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะเหงาตอนที่ต้องอยู่คนเดียว บ้างเหงาตอนที่สายฝนโหมกระหน่ำยามค่ำคืน แต่ผู้ชายบางคนกลับรู้สึกเหงาขึ้นมาดื้อ ๆ ในที่ทำงาน แม้ตลอด 8 ชั่วโมงที่วุ่นวายดูจะไม่มีเวลาว่างให้ความเหงาเข้าแทรกได้ แต่ผลสำรวจของเว็บไซต์ CV-Library เผยว่ามีพนักงานกว่าครึ่งกำลังรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว และเปล่าเปลี่ยวในที่ทำงาน ยิ่งไปกว่านั้นไอ้ความเหงาที่แสนธรรมดานี้ดันส่งผลเสียต่อการทำงานของพวกเขาอย่างไม่น่าเชื่อ CV-Library หนึ่งในเว็บไซต์จัดหางานของอังกฤษได้สำรวจพนักงาน 2,000 คน เรื่องความรู้สึกเหงาในที่ทำงาน แม้พนักงานที่มีอายุระหว่าง 35-44 ปี จะเป็นช่วงวัยที่เหงามากที่สุด แต่ก็มีพนักงานกว่าครึ่งในบริษัทที่กำลังเผชิญปัญหาเช่นเดียวกันนี้ ปัจจัยที่ทำให้พนักงานรู้สึกเหงา เป็นเพราะพวกเขาต้องนั่งทำงานท่ามกลางหนุ่มสาวหน้าใหม่ไฟแรง เลยอดคิดไม่ได้ว่าตนแตกต่างจากเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ จึงเลือกจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับตัวเองมากกว่าเข้าไปทักทายหรือพูดคุย นานเข้าชีวิตที่ไร้บทสนทนากับเพื่อนร่วมงานจึงก่อตัวเป็นความเหงาโดยที่พวกเขาไม่อาจหลีกเลี่ยง หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังรู้สึก ‘เหงา’ ในที่ทำงาน ไม่ว่าจะด้วยความต่างของช่วงวัย ลักษณะนิสัยส่วนตัว หรือบรรยากาศในออฟฟิศ นี่คือ 5 วิธีที่จะช่วยกำจัดความเหงาและทำให้คุณกลับมามีความสุขกับการทำงานอีกครั้ง! เริ่มบทสนทนากับเพื่อนร่วมงาน ออฟฟิศของคุณมีบรรยากาศเงียบเหงาหรือตัวคุณเองที่เงียบกันแน่? ถ้าไม่อยากรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายในที่ทำงาน หนุ่ม ๆ อาจต้องพยายามสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ให้มากขึ้น เริ่มจากคำทักทายสั้น ๆ “อรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนเป็นไงบ้าง” หรือประโยคบอกลาง่าย ๆ
คุณเคยเห็นคนโดนมัดไหม? น่าจะเคย แล้วคุณเคยเห็นคนโดนมัดแล้วดูมีความสุขปนงดงามหรือเปล่า? คุณอาจสงสัยว่าเมื่อเรือนร่างถูกพันธนาการด้วยเส้นเชือกทบแล้วทบเล่า เนื้อถูกบีบ เรือนร่างถูกเน้น แล้วเราจะรู้สึกเป็นสุข รู้สึกงดงามหรือแม้กระทั่งรู้สึกราวกับถูกปลดปล่อยได้อย่างไร? มนุษย์เราคงไม่อาจถูกปลดปล่อยจากการมัดได้ ถ้าไม่ได้รู้จักชิบาริ (Shibari) ศิลปะแห่งเส้นเชือกจากแดนอาทิตย์อุทัย และหากว่าคุณยังไม่เคยรู้มาก่อนว่าชิบาริคืออะไร NIHON STORIES จะพาคุณดำดิ่งไปในศาสตร์และศิลป์นี้ไปพร้อม ๆ กัน การใช้เชือกพันธนาการร่างกายเพื่อลงโทษ จุดเริ่มต้นของการนำเชือกมาพันธนาการร่างกายมนุษย์ของชาวญี่ปุ่นไม่ได้เริ่มต้นมาจากเรื่องเซ็กซ์ แต่เริ่มมาจากการมัดเพื่อลงโทษ โดยใช้ศิลปะการป้องกันตัวแบบโบราณที่เรียกว่า โฮโจจุตสึ (Hojojutsu) มาพันธนาการนักโทษทั้งชาย-หญิง เชลยศึกต่างเมือง ตัวประกัน และภรรยาหรือบุตรสาวของขุนนางระดับสูงที่ทำความผิด ซึ่งการมัดจะเริ่มมีบันทึกแน่ชัดช่วงยุคมุโรมาจิ (Muromachi-jidai) แต่แพร่หลายมากในยุคเอโดะ เหตุที่ต้องใช้เชือกมามัดแทนการจับผู้กระทำผิดยัดเข้าตารางเป็นเพราะญี่ปุ่นในช่วงเวลานั้นขาดแคลนทรัพยากรเหล็ก การใช้เหล็กต้องสงวนไว้สำหรับของจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น ทำให้คุกแน่นหนามีไม่มากในญี่ปุ่น เชือกจึงกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแทนการขังนักโทษไว้ในลูกกรงเหล็ก จุดมุ่งหมายหลักของการมัดของชาวญี่ปุ่นสมัยโบราณคือ พยายามทำให้ผู้ถูกมัดรู้สึกอับอายคล้ายกับว่าถูกประจาน ผู้ถูกมัดจะรู้สึกทรมานและอยากได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการเร็ว ๆ ซึ่งการมัดเพื่อลงโทษจะสามารถแบ่งระดับความรุนแรงได้ 4 ขั้น ตามแต่โทษหนักเบา เริ่มจากระดับแรกคือมัดแล้วโบย ระดับต่อมาคือการมัดแล้วปาหินใส่ ระดับที่สามหนักขึ้นมาอีกด้วยการจับนักโทษมามัดเชือกให้แน่นมากขึ้นกว่าเดิม ให้ร่างกายงอเหมือนกุ้งจากนั้นนำไปแขวนเพื่อประจานให้อับอาย ส่วนระดับสุดท้ายจะต้องมัดให้แน่นหนาดิ้นไม่หลุดและทำให้ผู้ถูกมัดรู้สึกทรมานที่สุด แต่ต้องไม่ให้เชือกทำให้ร่างกายนักโทษถึงขั้นหลอดเลือดอุดตันหรือทำลายเส้นประสาท แม้ถูกมัดทิ้งไว้เป็นเวลานาน ซึ่งข้อบังคับเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการมัดเพื่อลงโทษของคนญี่ปุ่นสมัยโบราณก็มีกฎที่เคร่งครัด เป็นศาสตร์ที่ไม่ใช่การมัดอย่างไรก็ได้ตามใจ
ไลฟ์สไตล์ของคนสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้กับทุกอย่างรอบตัว สิ่งหนึ่งที่อยู่กับพวกเราทุกวันและสะท้อนเส้นทางที่ถูกพัฒนาให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากที่สุดก็คือ “รถยนต์” ปัจจุบัน คำจำกัดความของรถยนต์แต่ละเซกเมนต์ แม้จะบอกจุดประสงค์การใช้งานที่เหมือนเดิม แต่ทุกอย่างก็ยังได้รับการพัฒนาอยู่เสมอ เช่น City Car รถเพื่อคนเมืองที่เริ่มเป็นที่รู้จักในประเทศตั้งแต่ปี 1981 ทุกวันนี้ได้ผ่านการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนมาไกลกว่าที่เราจะคาดคิด ทุกอย่างมักเริ่มต้นขึ้นไลฟ์สไตล์ของเราทั้งนั้น UNLOCKMEN ขอชวนทุกคนไปตามดู 3 ไลฟ์สไตล์จากผลสำรวจพฤติกรรมคนเมืองที่เชื่อมโยงกับการสร้างวิวัฒนาการของการพัฒนารถ City Car ที่เราอาจคาดไม่ถึงมาก่อนต่อไปนี้ แล้วคุณจะแปลกใจว่าพวกเราทุกคนนี่แหละที่อยู่เบื้องหลังของการพัฒนาในวันนี้ Better Performance: ไลฟ์สไตล์ของคนในโลกปัจจุบันมีแต่จะเร่งรีบขึ้นทุกวัน ในหนึ่งวันเรามีหน้าที่ทั้ง Work และ Play ที่มากขึ้น จากผลสำรวจของ McCann เผยว่าวันนี้คนเมืองค้นพบตัวเองได้ไวขึ้นเพราะสังคมออนไลน์เชื่อมทุกคนเข้าหากัน แบ่งปันสิ่งที่หลงใหลร่วมกัน จึงทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตของเราในแต่ละวันไม่ได้มีแค่แบบเดียว ถ้าสังเกตตารางชีวิตของเราหรือคนรอบข้างจะเห็นว่าคนเมืองใส่ใจกับการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มจากช่วงเช้าเราไปทำงาน กลางวันอาจต้องออกไปประชุมกับลูกค้า จบจากชีวิต 9 to 5 เราก็ยังบริหารชีวิตต่อไปทั้งนัดกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนและครอบครัว หรือปันเวลาในหนึ่งอาทิตย์ไปยิมเพื่อรักษาสุขภาพ การบาลานซ์ทั้งหมดให้ลงตัวจึงมาจากการบริหารเวลา 24 ชั่วโมงให้คุ้มค่าที่สุด และปัจจัยสำคัญอย่างการเดินทางก็กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ตัดเกรดเรื่องนี้เสมอ The 101 percent co. ltd ระบุตัวเลขผลสำรวจความคิดเห็นของคนเมืองในสังคมไทยปี
“วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำก็นองเต็มตลิ่ง” วันลอยกระทงกำลังจะเวียนมาบรรจบอีกครั้ง! ถึงเทรนด์รักษ์โลกจะมาแรงจนหลายคนลังเลว่าจะลอยหรือไม่ลอยดี เพราะไม่อยากสร้างความสกปรกให้น่านน้ำและทรัพยากรธรรมชาติ แต่ในช่วงเวลาพิเศษแบบนี้ ไม่ว่าจะอากาศสบาย ๆ ก็ดี ลมเย็น ๆ ก็ดี ไหนจะพระจันทร์ดวงโตแบบหนึ่งปีมีครั้ง การดื่มด่ำไปกับบรรยากาศ ซึมซับกลิ่นอายแห่งความรื่นรมย์ก็เป็นอะไรที่ปฏิเสธไม่ลงจริง ๆ วันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN จึงร่วมมือกันสร้างเพลย์ลิสต์แบบจัดหนักจัดเต็มสำหรับคนอยากอินเทศกาล เราจะมาแนะนำเพลงเกี่ยวกับ ‘พระจันทร์’ ทั้งไทยและสากล ให้เอาไปเปิดฟังเพลงชมจันทร์กันเพลิน ๆ ในวันลอยกระทงที่จะถึงนี้ จะมีเพลงอะไรบ้าง เรามาดูกัน เพลงสากล 1. Pink Moon – Nick Drake อันที่จริงเพลงนี้ซ่อนความหมายเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตของ Nick Drake ผู้แต่งเพลงนี้เอาไว้ แต่ความเบาสบายของดนตรี และท่อนฮุคติดหูร้องตามง่าย “Pink Moon” จึงเหมาะสมอย่างยิ่งกับการเปิดคลอเอาไว้ยามดวงจันทร์สุกสว่างสดใสกว่าทุกคืน 2. Harvest Moon – Neil Young หากจะเอ่ยถึงเพลงที่เกี่ยวกับการเต้นรำใต้แสงจันทร์ ไม่มีอะไรจะโรแมนติกไปกว่า Harvest Moon ของ Neil
ต่อให้คุณจะชอบดื่มกาแฟมากแค่ไหน หรือเป็น Café Hopper ตัวยงที่พร้อมตะลุยทุกตรอกซอกซอยเพื่อค้นหาร้านกาแฟเด็ด ๆ แต่เราเชื่อว่าคงไม่ใช่ทุกร้านที่จะปรุงแต่งรสชาติกาแฟได้ถูกใจทุกคน และใช่ว่าตุ่มรับรสบนลิ้นของแต่ละคนจะเหมือนกันเสียทีเดียว ทำให้นิยามของคำว่า ‘อร่อย’ และ ‘กาแฟที่ดี’ จากปากผู้ชายแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน บางคนบอกว่ากาแฟร้านนี้อร่อย บ้างว่ารสชาติของอีกร้านนั้นกินขาด ทำให้เราคิดว่าคงไม่มีทางที่ร้านกาแฟร้านใดจะสามารถสร้างสรรค์รสชาติได้ถูกปากผู้ชายทุกคน แต่ในบรรดาร้านกาแฟที่ผุดขึ้นทั่วกรุงเทพฯ ก็มีอยู่ร้านหนึ่งที่เปลี่ยนมุมมองของเราที่มีต่อเมนูกาแฟไปอย่างสิ้นเชิง แทนที่จะเลือกเมล็ดพันธุ์และระดับการคั่วที่บาริสต้าเป็นผู้กำหนด ร้านนี้กลับเปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือกเมล็ด ระดับการคั่วบด และวิธีการสกัดกาแฟด้วยตัวเอง แล้วเราก็เชื่อว่าต้องมีกาแฟสักแก้วที่ถูกปากและถูกใจเราแน่นอน Y’EST WORKS COFFEE ROASTERY ท่ามกลางความวุ่นวายของย่านที่ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจอย่าง ‘อโศก’ ลึกเข้าไปในซอยสุขุมวิท 23 มีร้านกาแฟเล็ก ๆ สไตล์ญี่ปุ่นซ่อนตัวอยู่ที่นี่ Y’est Works หรือ Y’est Works Coffee Roastery เป็นร้านกาแฟคุณภาพที่อิมพอร์ตมาจากประเทศญี่ปุ่น แม้เพิ่งเปิดบริการได้ไม่ถึง 5 เดือน แต่ก็ได้กระแสตอบรับจากหนุ่มสาวคอกาแฟในย่านนี้เป็นอย่างดี ภายในร้านตกแต่งด้วยผนังสีขาวและเฟอร์นิเจอร์ไม้ สร้างบรรยากาศอบอุ่นด้วยสีเอิร์ธโทน และสะท้อนความเป็นร้านกาแฟญี่ปุ่นผ่านวัสดุไม้และความเรียบง่ายของงานดีไซน์ FIND YOUR BEST COFFEE! ร้านนี้มีคอนเซ็ปต์หลักคือ “Find
การพูดต่อหน้าที่สาธารณะ การนำเสนองานหรือขายงานไม่ว่ากับลูกค้า คนภายนอกองค์กร หรือคนภายในองค์กรถือเป็นหัวใจสำคัญที่อีกฝั่งจะซื้อไอเดียหรือโปรเจกต์ที่เรานำเสนอ แม้เนื้อหาเราจะมีคุณภาพมากแค่ไหน แต่ถ้าขั้นตอนการนำเสนอเราทำได้ไม่ดีพอ เนื้อหาดี ๆ ที่ทุ่มเทมาตลอดอาจพังทลายได้ง่าย ๆ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าการนำเสนอนั้นคือหัวใจสำคัญ เตรียมตัวมาอย่างหนัก แต่พออีกไม่กี่นาทีจะออกไปพรีเซนต์งานทีไรก็เหมือนสติจะแตก! มือสั่น ปากสั่น ที่สำคัญใจสั่นรัวเร็วยิ่งกว่าได้เดตกับสาวฮอต ในเมื่ออุตส่าห์เตรียมตัวมาอย่างดี จะมาพังเพราะเรื่องแค่นี้คงไม่ได้ จะทำยังไงดี? UNLOCKMEN มี “6 กลยุทธ์แกล้งทำเป็นมั่นใจ”ในวันที่ใจไม่ไหว แต่งานต้องดี มาฝากกัน จากนี้ไปไม่ว่าคุณจะหวาดหวั่นในสมรภูมิการพรีเซนต์สุดเดือดแค่ไหน FAKE IT UNTILL YOU MAKE IT ตามวิธีต่อไปนี้ แล้วทุกอย่างจะผ่านไปได้อย่างราบรื่นแน่นอน สบตาผู้ฟัง ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ ต่อให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะแค่ไหน หนึ่งหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้ทุกคนในที่ประชุมรู้สึกว่าเราไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย คือการสบตากับผู้ฟัง เพราะดวงตาคือประสาทสัมผัสอันทรงพลังที่สุด เมื่อใดก็ตามที่เราพรีเซนต์ไป พร้อม ๆ กับที่มองเข้าไปในดวงตาของผู้ฟังแต่ละคน จะทำให้ทุกคนเชื่อว่าเราเชื่อในสิ่งที่ตัวเองกำลังนำเสนอ มั่นใจในตัวเอง และที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาจะไม่อาจละสายตาไปจากเราได้เลย ยืนได้ยืน ยืนไม่ได้ ต้องนั่งอย่างราชา หนทางแกล้งทำเป็นมั่นใจคือการจัดระเบียบร่างกายของเรา เพราะเมื่อเวลาเราไม่มั่นใจ ร่างกายของเรามักจะฟ้องได้ชัดเจนที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการงอตัว ห่อไหล่
“เดี๋ยวนี้เจอคนสวย หล่อ ผ่าน jpg มาเยอะครับ” ทุกวันนี้งานมีดหมอ สวยเด็ดเจอมาเยอะจริง แต่งานไม่ตรงปกเพราะมีด PS อันนี้เจอมาเยอะกว่า นัดกันทีไร ขอจับมือกันแน่น ๆ แบบเข้าอกเข้าใจเลยว่า เวลาลุ้นหน้างานจนเหงื่อแตกมันเป็นยังไง ในที่สุดต้นทางอย่าง Adobe ที่เป็นเจ้าของโปรแกรมดังหลายตัวที่เราใช้เพื่อการออกแบบวันนี้อย่าง Photoshop กับฝ่ายวิศวกรนักพัฒนาคนล่าสุด Richard Zhang ก็หันมาเล่น User มือเซียนเข้าให้ ด้วยการส่งเครื่องมือชิ้นใหม่ไว้ดักนัก Retouch ในช่วง Sneaks ที่เป็นช่วงไฮไลต์ของงานประชุมเทคโนโลยี “Adobe Max” ปีนี้ โดยโชว์โปรเจกต์ใหม่เป็นฟีเจอร์ที่ใช้ชื่อว่า “About Face” ความแพรวพราวของเจ้า About Face คือมันสามารถจับการ Edit รูปภาพที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงด้วยโปรแกรม Photoshop ได้ แต่ต่างจากเดิมที่เคยประเมินทั้งหน้าไปเป็นเจาะไปดูระดับ Pixel แทนว่ารูปเจอยืด เจอแก้ไขอะไรบ้าง วิธีการใช้ก็ไม่ยาก เริ่มต้นจากการอัปโหลดรูปเจ้าปัญหาลงไปก่อนแล้วปล่อยให้อัลกอริทึมทำงาน ช็อตแรกเจ้าฟีเจอร์นี้จะบอกเราก่อนว่า “หน้านี้โดนจัดการมาแล้วหรือยัง ?” ถ้าเจอสีแดงเข้าไปก็เป็นอันแน่นอนว่ามันต้องมีสักส่วนของหน้านี้แหละที่โดนรีทัชมา ความเฉียบคือนอกจากมันจะแยกได้ว่ารูปไหนจริงปลอมแล้ว
ในยุคที่อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทในการฟังเพลงของผู้คน สองหนุ่มวง “Dept” เบนซ์ (กีตาร์/ร้องนำ) และ ลุค (คีย์บอร์ด) เพื่อนคู่หูจากคณะดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ก็เป็นหนึ่งในศิลปินที่ได้รับอิทธิพลจากสิ่งนี้เช่นกัน พวกเขาเริ่มต้นจากการช่วยกันทำเพลงเอง ปล่อยเพลง โปรโมตตัวเอง แบบที่ไม่ได้คาดหวัง ต่อมาเมื่อวันเวลาล่วงเลย โชคชะตาและ WiFi ก็พายอดวิวเพลงของพวกเขาขึ้นจากหลักหมื่นเป็นหลักล้าน จนมาถึงวันที่ค่ายอินดี้แถวหน้าอย่าง Smallroom ได้ชักชวนให้พวกเขาเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว วันนี้เราจะพาชาว UNLOCKMEN มาทำความรู้จักกับ Dept ให้มากขึ้น พวกเขาเป็นใคร มาจากไหน แล้วไปไงมาไงถึงได้ร่วมงานกับค่าย Smallroom บทสนทนานี้มีคำตอบ แล้วคุณจะได้รู้ว่า ‘เพลงของ Dept ฟังสบายเช่นไร ตัวตนของพวกเขาก็สบาย ๆ เช่นนั้น’ ชื่อวง Dept มาจากไหน? ลุค: มาจาก Johnny Depp ครับ แต่เปลี่ยนตัว P ข้างหลังให้เป็นตัว T เบนซ์: ตอนแรกคิดไม่ออก แต่ไปเจอ Fact