จะเป็นอย่างไรถ้าเราอาศัยอยู่ในยูโทเปีย โลกที่เราไม่ต้องทำงานหาเงินเพื่อใช้จ่าย อยู่ฟรี กินฟรี เพราะทรัพยากรมีให้เราอย่างเพียงพอ ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย หลายคนอาจมองว่ามันเป็นเรื่องที่สุดยอดไปเลย นี่มันโลกในฝันชัด ๆ แต่ในความเป็นจริง การอาศัยอยู่ในยูโทเปีย อาจนำไปสู่การสูญพันธ์ของสิ่งมีชีวิตได้ อ้างอิงจากการทดลองหนึ่งของ John Calhoun นักวิจัยด้านจิตวิทยาจาก National Institute of Mental Health (NIHM) ซึ่งทำให้เรามองเห็นสาเหตุที่ยูโทเปียจะทำให้เกิดวันสิ้นโลกมากขึ้น ในช่วงปี 1965 – 1973 Calhoun ได้สร้างเมืองจำลองแห่งหนึ่งขึ้นมาชื่อว่า ‘Universe 25’ เพื่อหาคำตอบของคำถามที่ว่า “จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าความต้องการทั้งหมดในสังคมของเราได้รับการตอบสนอง” เมืองดังกล่าวมีลักษณะเป็นกล่องขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น ‘ยูโทเปียของหนู’ โดยเฉพาะ พื้นที่ภายในเรียกว่า สแควร์หลัก (main square) ซึ่งมีการแบ่งย่อยออกเป็นพื้นที่ระดับต่าง ๆ ลงไปอีก มีบันไดเพื่อใช้เดินขึ้นไปยังส่วนที่เรียกว่า ‘อพาร์ทเมนท์’ หรือสถานที่ทานอาหารและพบปะเข้าสังคมของชาวชุมชนหนูซึ่งรองรับได้สูงสุดถึง 3,000 ตัว นอกจากการจัดสรรอาหารและที่อยู่อย่างเพียงพอแล้ว นักวิจัยยังควบคุมอุณหภูมิในเมืองให้อยู่ที่ 20°c ซึ่งเหมาะสมกับการดำรงชีวิตของหนูมากที่สุด ไม่มีสัตว์ผู้ล่าอยู่ในเมืองแห่งอุดมคตินี้ แถมยังมีมาตรการป้องกันโรคระบาดอย่างรัดกุม เพื่อให้
ทุกวันนี้การตลาดเป็นเรื่องสำคัญ แม้กระทั่งตัวอย่างหนังความยาวเพียง 2 นาทีกว่า ๆ ก็ต้องสร้างจุดขายและความน่าสนใจ เพื่อดึงดูดคนดูให้ตีตั๋วให้มากที่สุด และที่ฮือฮาอยู่ในขณะนี้ก็คือตัวอย่างแรกของหนังซุเปอร์ฮีโร่ที่หลายคนรอคอยอย่าง Spider-Man: No Way Home นอกจากความสนุกที่เข้มข้นขึ้นแล้ว ยังเป็นการรวม Easter Egg ที่แค่ในหนังตัวอย่างยังมีมากมายให้แฟนหนัง Spider-Man ได้ตื่นเต้นกับสัญลักษณ์และตัวละครลับต่าง ๆ ที่ซ่อนอยู่ แต่ก่อนที่จะเฉลยว่ามีอะไรบ้าง มาลองชมตัวอย่างนี้ก่อน แล้วมาดูกันว่า คุณจะเห็นเหมือนที่เรารวบรวมกันมาให้ได้ชมหรือเปล่า การแสดงความเคารพต่อ Steve Ditko เพียงแค่ฉากเปิดฉากแรกใน Trailer เราก็ได้เห็นการคารวะ Steve Ditko กันเลย หลายคนอาจจะสงสัยว่า Steve Ditko คือใคร Ditko คือศิลปินที่ร่วมกันคิดค้นคาแรคเตอร์ Spider-Man ร่วมกัน Stan Lee นอกจากนั้นยังครีเอทคาแรคเตอร์ Doctor Strange ร่วมกันอีกด้วย โดยมีคนตาดีเห็นลายกราฟิตี้ที่พ้นคำว่า “DITKO” อยู่บนหลังคาที่ Peter Parker และ
ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา แม้ไวรัสจะยังไม่ลดราวาศอกที่จะทำลายหมู่มวลมนุษยชาติอย่างไม่หยุดยั้ง ซ้ำยังเสริมกำลังด้วยการพัฒนารูปแบบกลายเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องปวดหัวในการหาวัคซีนสกัดกั้นไม่ให้มันมาระบาดอีก จนตัวเลขของการระบาดก็ยังคงรุนแรงในทุกที่และหลายประเทศเช่นเดิม แต่ดูเหมือนทุกเทศกาลดนตรีบนโลกใบนี้ จะเดินหน้าต่อ ไม่เลื่อนหรือแคนเซิลอีกต่อไป หนำซ้ำพวกเขายอมลงทุนด้วยเม็ดเงินมหาศาลเพื่อสู้ยิบตากับไวรัสชนิดนี้ เพราะอะไรพวกเขาถึงต้องสู้ เรามาสำรวจทั้งด้านดี และด้านร้ายของเทศกาลดนตรีที่ผ่านมาจากทั่วโลกด้วยกัน รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง Jay Luffer กำลังตั้งแคมป์ในงานเทศกาลดนตรีเป็นครั้งแรก ก่อนที่เขาจะเดินทางไป Reading & Leeds Festival เขายอมรับกับ Newsbeat ว่า เขากังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับการจัดงานเทศกาลที่ไม่ถูกสุขลักษณะ “ผมเคยได้ยินเรื่องแย่ ๆ เกี่ยวกับห้องน้ำและห้องอาบน้ำ มันเลยรู้สึกเหมือนจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์โควิด” หนุ่มน้อยวัย 17 ปีกล่าว “ผมคิดว่าการติดไวรัส เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้คนจำนวนมากที่ซื้อตั๋วคงคาดไว้อยู่แล้ว” และถึงแม้จะมีความเสี่ยงจากการอยู่ท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก แต่เขาก็ยังตั้งหน้าตั้งตารอ หลังจากที่พลาดการแสดงดนตรีสดในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ “เทศกาลต่าง ๆ จะกลับมาอย่างน่าตื่นเต้นอีกครั้ง” Jay กำลังใช้มาตรการป้องกันตัวเอง โดยนำ mask และชุดทดสอบโควิด ATK ติดตัว “ผมรู้สึกว่าจะหลีกเลี่ยงได้ยากกับการติดโควิด แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย อย่างน้อยผมก็ได้พยายามแล้ว” Jay Luffer
นักแสดงสาวยุคใหม่ ที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นบทสาวแสบที่แจ้งเกิดของเธอ / มือปราบซอมบี้สุดห้าว / สาวผู้ไขว่คว้าหาฝัน หรือเป็นหวานใจของไอ้แมงมุม Emma Stone ล้วนผ่านบทบาทมาแล้วอย่างโชกโชน ด้วยอายุอานามเพียง 32 ปี ล่าสุดเรากำลังจะได้ชมภาพยนตร์เรื่องใหม่ กับการรับบทบาทนางวายร้ายอันลือลั่นแห่งโลกการ์ตูนดิสนีย์ ในหนังชื่อ “Cruella” ที่จะฉายใน Disney+HotStar เรามาย้อนดูบทบาทเจ๋ง ๆ ที่ผ่านมาของเธอเพื่อต้อนรับหนังใหมไปพร้อม ๆ กัน Zombieland (2009) as Wichita หนทางแจ้งเกิดของนักแสดงสาวนั้นมีมากมาย อาจจะเป็นหนังรักรอมคอมดี ๆ สักเรื่อง แต่บทบาทที่ทำให้เราได้รู้จัก Emma Stone อย่างเป็นทางการ กลับเป็นหนังซอมบี้สุดห้าวและเก๋าเกรียน ที่อุดมไปด้วยเลือดและการระเบิดสมองเรื่องนี้ Emma รับบทเป็น Wichita พี่สาวที่กระเตงน้องสาว ใช้เสน่ห์ และความเจ้าเล่ห์ของผู้หญิง ร่วมเดินทางไปกับ Jesse Eisenberg และ Woody Harrelson ออกเดินทางเพื่อเอาตัวรอดในยุคซอมบี้ครองเมือง การได้ทำความรู้จักกับสาวตาโต แต่พิษสงเหลือร้าย
Mindset ถือเป็นเรื่องที่สำคัญเวลาทำงาน เพราะคนที่มีมายเซทเติบโต หรือ Growth Mindset มักจะแก้ไขปัญหาในชีวิตหรือการทำงานได้ดีกว่าคนอื่นเสมอ แต่น่าเสียดายที่เราไม่ได้เรียนเรื่องนี้กันมากเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่จะเรียนรู้จากประสบการณ์และการขวนขวายด้วยตัวเองมากกว่า UNLOCKMEN จึงอยากแนะนำวิธีการพัฒนา growth mindset เพื่อให้เรากลายเป็นคนที่แก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น และมีความสุขกับชีวิตมากขึ้นตามมา Growth Mindset คืออะไร? Growth Mindset เป็นคำที่ Carol Dweck ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และเจ้าของหนังสือ Mindset ใช้อธิบายประเภทของคนที่เชื่อว่าความสำเร็จขึ้นอยู่กับเวลาและความพยายาม พวกเขาจะรู้สึกว่าตัวเองสามารถพัฒนาได้ หากทุ่มเทเวลา ความพยายาม และพลังงานให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างจริงจัง หากมีความวิริยะอุตสาหะ พวกเขาจะไม่ย่อท้อต่อุปสรรค ความท้าทาย และคำวิจารณ์โดยง่าย และมองหาแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของคนอื่นเพื่อเอามาปรับใช้พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ คำว่ายอมแพ้ จะไม่มีอยู่ในหัวของคนที่ Mindset ดี คนกลุ่มนี้จะแตกต่างจากคนที่มี Fixed Mindset ซึ่งเชื่อว่า ตัวเองจะดีหรือแย่ขึ้นอยู่กับธรรมชาติแต่กำเนิด พวกเขาจะไม่เผชิญหน้ากับความท้าทาย ไม่พยายามฝึกฝนเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง หลีกเลี่ยงคำวิจารณ์ และยอมแพ้ต่ออุปสรรค์อย่างง่ายดาย มี Growth Mindset แล้วดีอย่างไร ? งานวิจัยเมื่อปี
หลายคนน่าจะเคยดูหนังชีวิตของนักรบสปาตันอันน่าเกรงขาม ความแข็งแกร่ง ความมีระเบียบวินัยของพวกเขาในช่วงยุคกรีก แม้ปัจจุบันนักรบ Spartan จะกลายเป็นตำนานไปแล้ว แต่วิถีชีวิตและแนวคิดของพวกเขา ก็ยังมีแง่มุมที่สามารถนำมาปรับใช้กับผู้ชายในยุคปัจจุบันได้อยู่เหมือนกัน ในบทความนี้เรามีวิธีการนำ Spartan Mindset การปลดล็อกเลือดนักรบที่พร้อมปะทะทุกปัญหาและความท้าทายอย่างลูกผู้ชาย มาใช้ในการพัฒนาตัวเอง เพื่อความก้าวหน้าของชีวิตและหน้าที่การงานในยุคที่แสนจะยากเย็น ฝึกฝนทักษะเพียงหนึ่งจนเชี่ยวชาญ สมัยนี้เราเห็นกลุ่มคนที่เป็น ‘เป็ด’ มากขึ้น เป็ดคือการสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง แต่อาจจะไม่เก่งสักอย่าง หรือ เก่งแบบไม่สุดสักด้าน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร หลายคนก็ประสบความสำเร็จได้แม้จะเก่งแบบเป็ดก็ตาม ในยุคกรีก เราอาจไม่เห็นคนกลุ่มนี้มากนัก เพราะชาวสปาตันมักจะฝึกฝนทักษะการทำงานหลักของตัวเองจนเกิดความเชี่ยวชาญสูงสุด แม้ว่าคนที่มีอาชีพอื่น เช่น กวี นักดนตรี พ่อค้า หรือ นักปรัชญา จะต้องฝึกต่อสู้เพื่อป้องกันเมืองในยามฉุกเฉิน แต่ก็เทียบไม่ได้กับเหล่านักรบสปาตันที่ทุ่มเทให้กับการฝึกฝนทักษะการต่อสู้อย่างหนักเพียงอย่างเดียวเป็นเวลาหลายสิบปี การทำสงครามกลายเป็นสิ่งที่อยู่ในสายเลือดของพวกเขา และเป็นสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีที่สุด นักรบสปาตันจึงมีประสบการณ์การทำสงครามมากกว่าใคร นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราควรพัฒนาทักษะในการทำงานและการใช้ชีวิตไปทีละอย่าง ฝึกสกิลทีละด้านอย่างตั้งใจ ไม่ใช่แค่ลองสัมผัสเพียงผิว ๆ แล้วก็เปลี่ยนทางโดยยังไม่เข้าถึงแก่นกลางของสกิลใด ๆ เลย สุดท้ายก็เสียเวลาผ่านไปเปล่า ๆ อย่างไร้ประโยชน์ เราควรจะพัฒนาสกิลด้านใดด้านหนึ่งจนถึงที่สุดก่อน ทักษะด้านนั้นจึงจะกลายเป็นความโดดเด่นที่เรามีเหนือกว่าใคร ซึ่งจะทำให้เราได้เปรียบและเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานมากขึ้นอีกด้วย ควบคุมอารมณ์ให้เป็น การอุทิศตัวเองให้กับวิถีแห่งนักรบ
หากเอ่ยถึงวาระที่ย่างเข้า 25 ปี แฟน UNLOCKMEN ก็คงคิดถึงวัยเบญจเพสอันแสนร้อนรุ่ม วัยที่เพิ่งผ่านพ้นความเป็นวัยรุ่นเพื่อก้าวสู่วัยผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว ย้อนกลับไปเมื่อ 25 ปีก่อน ในตอนนั้นวงการภาพยนตร์ก็เต็มไปด้วยสีสันของหนังหลากแนว ไม่ว่าจะเป็นจุดสูงสุดของหนัง Blockbuster ที่ทำเงินถล่มทลาย รวมไปถึงหนังอินดี้สีสันจัดจ้านมากมายที่กลายมาเป็นจุดพลิกผันครั้งสำคัญของวงการ เรามาย้อนความทรงจำของหนังช่วงกลางยุค 90s มาดูกันว่าจุดเริ่มต้นเหล่านี้ ได้ส่งผลอะไรต่อวงการหนังในปัจจุบันกันบ้าง Independence Day ภาพของมหานครไม่ว่าจะเป็นทำเนียบขาว หรือแลนด์มาร์คต่าง ๆ ถูกจานบินลึกลับจากนอกโลกถล่มจนราบเป็นหน้ากลอง ในยุคปัจจุบันอาจจะดูเป็นภาพที่แสนจะชาชินและธรรมดา แต่ทว่าเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ภาพเหล่านั้นต่างเป็นภาพที่ชวนตื่นตาสำหรับผู้ชมที่ได้ชมกันในโรงภาพยนตร์ สำหรับหนังไซไฟโลกถล่มแผ่นดินทลายในหนัง Independence Day หรือ ID4 หนังแนวโลกวิบัติผสมผสานกับการครองโลกของเหล่าเอเลี่ยน กลายเป็นโปรแกรมเด็ดของหนังยักษ์ต้อนรับซัมเมอร์ที่ทุกคนต้องดู ผู้กำกับ Roland Emmerich ที่เพิ่งผ่านงานหนังไซไฟลึกลับอย่าง Stargate สานต่อเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว ที่มาจู่โจมโลกใบนี้ได้อย่างทรงพลัง บวกกับพลังดาราที่มากันล้นจอ ตั้งแต่ Will Smith ที่เพิ่งแจ้งเกิดจาก Bad Boys มาขับยานต่อสู้กับเหล่าเอเลี่ยนได้สุดกวน หรือสุนทรพจน์อันทรงพลังของ Bill Pullman
มนุษย์ส่วนใหญ่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับคนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็น เพื่อน คนในครอบครัว หรือ คนรัก แต่บางครั้งพวกเราก็พบว่า ยิ่งพยายามใกล้ชิดกับคนอื่นมากเท่าไหร่ เรายิ่งรู้สึกห่างเหิน และเจ็บปวดมากเท่านั้น สุดท้ายแม้เราจะอยากใกล้ชิดสนิทสนมกับคนอื่นมากแค่ไหนก็ตาม แต่สุดท้ายเราก็เลือกที่จะอยู่คนเดียว และดำดิ่งสู่โลกแห่งความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาต่อไป เหตุการณ์แบบนี้มีชื่อเรียกเท่ ๆ ว่าเป็น “Hedgehog’s Dilemma” หรือ บางคนก็เรียกว่า “Porcupine’s Dilemma” อันเป็นแนวคิดปรัชญาของ ‘อาเทอร์ โชเพนเฮาเออร์’ นักปรัชญาชาวเยอรมันที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1788-1860 และได้รับความสนใจในปัจจุบัน เพราะงานของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ และการ์ตูนอนิเมะในตำนานอย่าง Neon Genesis Evangelion ที่ถ่ายทอดแนวคิดนี้ผ่านตัวละครเอก ‘อิคาริ ชินจิ’ และ ‘คัตซึรางิ มิซาโตะ’ ซึ่งต่างคนต่างกลัวว่าถ้าใกล้ชิดกันแล้ว จะทะเลาะกัน จนเกิดความเจ็บปวดและร้างรากันในอนาคตต่อไป Hedgehog’s Dilemma ได้เปรียบความสัมพันธ์ของมนุษย์เหมือนกับความสัมพันธ์ของกลุ่มเม่นที่พยายามเกาะกลุ่มกันเพื่อสร้างความอบอุ่นในวันที่เหน็บหนาวของฤดูหนาว แต่เมื่อเม่นแต่ละตัวเริ่มเข้าใกล้กัน หนามของพวกมันแต่ละตัวก็เริ่มทิ่มแทงซึ่งกันและกัน จนเหล่าเม่นที่รู้สึกเจ็บปวดต้องถอยห่างจากกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และความหนาวก็ทำให้มันเริ่มเข้าใกล้กันอีกครั้ง เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา
ต้องมีสักครั้งในชีวิต ที่เราตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตแล้วรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในภวังค์ให้ความรู้สึกที่เหมือนกับกำลังอยู่ในฝัน บางครั้งความรู้สึกนี้ก็ทำให้เราสับสนว่า “กำลังตื่น หรือ หลับอยู่กันแน่นะ” ซึ่งอาการนี้ ทางการแพทย์ เรียกว่า ความจริงวิปลาส และถ้าประสบกับมันบ่อย ๆ อาจเป็นสัญญาณของโรคจิตเวชได้ ความจริงวิปลาสคืออะไร ปกติแล้ว ภาวะความจริงวิปลาส (Derealization) นับเป็นหนึ่งในอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคดิสโซสิเอทีฟ (Dissociative Disorders) เช่นเดียวกับบ ภาวะบุคลิกภาพแตกแยก (Depersonalization) ทำให้บางครั้งสองอาการนี้ก็ถูกใช้แทนกันด้วย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองอาการไม่ได้มีความเหมือนกันซะทีเดียว แต่มีความแตกต่างกันอยู่ดังต่อไปนี้ Derealization จะเป็นอาการที่เรารู้สึกขาดการเชื่อมต่อกับความเป็นจริงหรือสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว จนเกิดอาการเช่น สิ่งที่อยู่รอบตัวดูเชื่องช้า หรือ ทุกอย่างดูพร่ามัวไปหมด เราจะรู้สึกเหมือนสิ่งที่อยู่รอบตัวไม่มีอยู่จริง เหมือนกำลังอยู่ในโลกจำลอง หรือ โลกแห่งความฝัน ไม่สามารถประมวลผลหรือทำความเข้าใจสิ่งที่อยู่รอบตัวของเราได้ จนเราเกิดความไม่คุ้นเคยกับสถานที่เราอยู่ และเกิดความสับสันระหว่างโลกแห่งความฝันและความเป็นจริง ส่วน Depersonalization คือ ภาวะที่เรารู้สึกตัดขาดจากร่างกาย อารมณ์ และความคิดของตัวเอง คนที่มีอาการนี้มักจะรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นภาชนะว่างเปล่า เป็นเพียงผู้ชมร่างกายตัวเอง หรือ เป็นหุ่นยนต์ที่คอยรับคำสั่งจากคนอื่น ไม่สามารถบังคับร่างกายของตัวเองได้อีกต่อไป แม้พวกเขาจะขยับแขนขยับขา หรือ รู้สึกถึงอารมณ์ของตัวเองได้ก็ตาม
เรียกได้ว่าเป็น 1 ใน ร็อคสตาร์สายปั่นที่สร้างกระแสมาตั้งแต่ยุค 90s เลย สำหรับ Fred Durst ฟรอนท์แมนแห่งวง Limp Bizkit ที่ขยันสร้างความเกรียนมากกว่าขยันทำเพลง เพราะตลอดระยะเวลาอันยาวนานในวงการเพลง วง Limp Bizkit มีผลงานให้ชาว Nu Metal ฟังกันแค่ 5 อัลบั้ม แต่วีรกรรมความกวนนี่ยาวเป็นหางว่าวกันเลยทีเดียว และเพื่อต้อนรับลุคใหม่ในลุค Daddy แบบโคตรจะป๋า วันนี้ UNLOCKMEN ขอย้อนกลับขุดวีรกรรมสุดห่ามสมัยยังเยาว์รุ่นของของ Fred Durst ว่าเคยป่วนกะโหลกสร้างความวายป่วงให้กับวงการ และความเกรียนรอบด้าน แล้วจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้สะกดคำว่า “ธรรมดา” ไม่เป็น เคยแกงแฟนเพลงว่ากำลังจะเปิดตัวอัลบั้มใหม่ สำหรับแฟน Limp Bizkit น่าจะนึกไม่ออกว่าเพลงใหม่ล่าสุดของ Limp Bizkit มันหน้าตาแบบไหน เพราะอัลบั้มล่าสุด Gold Cobra อัลบั้มชุดที่ 5 วางแผงตั้งกะปี 2011 (ที่บอกว่า “วางแผง”