Longines (ลองจินส์) แบรนด์นาฬิกาคลาสสิกที่สร้างชื่อเสียงจากการผลิตนาฬิกาชั้นนำ ได้ฉลองความสัมพันธ์อันยาวนานกับการแข่งขันเทนนิส เฟรนช์ โอเพ่น ในงานเปิดตัว “Longines Road To Future Tennis Aces Tournament 2018” หรือ “LFTA 2018” โครงการดี ๆ ที่ทางแบรนด์ Longines(ลองจินส์) มอบโอกาสให้เด็กไทยได้สัมผัสประสบการณ์เทนนิสระดับโลก ไปฝึกซ้อมกับโค้ชระดับโลกอย่าง อเล็กซ์ คอร์เรตจา, อรันต์ซ่า ซานเชส วิคาริโอ โดยได้รับการดูแลจาก สเตฟฟี่ กราฟ และ อันเดร อากัสซี่ พร้อมเป็นตัวแทนเยาวชนไทยไปแข่งขันที่ฝรั่งเศสกับเยาวชนจากอีก 20 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมชมการแข่งขันเทนนิสคอร์ตดินระดับตำนาน “French Open 2018” ทั้งนี้ลองจินส์ได้เปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ Conquest V.H.P. และนาฬิการุ่นพิเศษ Conquest 1/100th Roland Garros เพื่อเป็นการเพื่อฉลองความสัมพันธ์อันแบบแน่นที่ลองจินส์ได้รับเกียรติจับมือเป็นพาร์ทเนอร์อยู่คู่กับศึกการแข่งขันเทนนิสระดับโลก French Open Tennis Championship
ต้องยอมรับว่า URBAN MEN หลากหลายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการ พนักงานออฟฟิศ หรือฟรีแลนซ์ ต่างคนต่างมีเป้าหมายปลายทางเดียวกัน นั่นคือความสำเร็จทั้ง 2 ด้าน ทั้งการงาน และการใช้ชีวิต เลยใส่เต็มที่กับทุกกิจกรรม ทำงานดึก ปาร์ตี้หนัก เชียร์บอลทีมรักยันเช้า แม้กระทั่งออกท่องเที่ยวก็ยังลุยสมบุกสมบันจนสุดทาง จึงไม่แปลกที่จะต้องเผชิญกับปัจจัยที่ส่งผลให้ต้องเผชิญชีวิตหมอง ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น ความเครียด พักผ่อนน้อย โดนแสงแดดทำร้าย จากชีวิตที่เคยสดใสกลายเป็นต้องหมองหม่น ห่างไกลจากความสดชื่นแจ่มใสไปซะอย่างนั้น แต่จะปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ UNLOCKMEN จึงอยากขออาสานำเอาวิธีคลายความหมองในชีวิตให้หายไป เอามาแนะนำให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายได้นำเอาไปปฏิบัติตาม รับรองว่าจากนี้ไปไม่ว่าจะใช้ชีวิตระห่ำ หรือโดนความเครียดกระหน่ำแค่ไหน ยังไงความสดใสก็ไม่มีห่างหายไปจากชีวิตแน่นอน BREATH เริ่มต้นบอกลาชีวิตหมอง ๆ ได้ ง่าย ๆ อย่างการหายใจ ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวมากเสียจนหลายคนมองข้ามไป เผลอหายใจตื้น ๆ ถี่ ๆ กันจนติดเป็นนิสัย ซึ่งการหายใจแบบนี้ยิ่งเป็นการเพิ่มความเครียด สร้างอารมณ์หมองให้เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทางที่ดีเราอยากให้ลองฝึกวิธีหายใจเสียใหม่ให้เคยชิน กับวิธีของ Dr. Andrew Weil
ในช่วงที่อากาศในเมืองไทยกำลังจะไต่ระดับจากร้อนจังวะ ไปจนถึงร้อนโคตร ๆ แบบนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมทรง Undercut คือทรงผมที่ควรนำมาไว้บนหัวเสียเเหลือเกินด้วยลักษณะของผมด้านข้างแบบสั้นเกรียน ระบายอากาศได้ดี จึงเหมาะสำหรับหนุ่ม ๆในบ้านเราเป็นอย่างมาก แถม Undercut ยังมีความเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความคลาสสิกมีสไตล์ ทำให้เราพบเจอมันได้ตั้งแต่บนหัวของนักศึกษาจนถึงเหล่าดาราน้อยใหญ่ แล้วจะทำอย่างไรถ้าเราอยากตัดผมทรงนี้บ้าง วันนี้เรามีคู่มือทำความเข้าใจง่ายสำหรับ Undercut มาฝากกัน รูปทรงหน้า Undercut หรือการตัดผมแบบเปิดข้างเป็นทรงผมที่ได้รับความนิยมอยู่เสมอ เหตุผลง่าย ๆ เพราะ มันสามารถเข้าได้กับรูปหน้าของผู้ชายทุกแบบ ไม่ว่าจะหน้าทรงเหลี่ยม หน้ารูปไข่ หรือคนหน้ากลม จุดเด่นของมันคือ ทำให้หน้าของเราดูเรียวและมีมิติขึ้น ยิ่งสำหรับคนหน้ารูปไข่แล้ว จำไว้เลยว่า คุณเหมาะสมในการตัด Undercut มากที่สุด แต่สำหรับคนที่มีใบหน้ากลมก็ไม่ควรจะไถให้สั้นเตียนจนเกินไป ประเภทของผม สำหรับคนผมตรง รวมถึงผมเส้นเล็กมีความบางกำลังดีไม่หนามาก มักไม่พบเจอปัญหาเวลาตัด Undercut มากนักเพราะผมแบบดังกล่าวสามารถจัดทรงได้ง่าย แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าคนมีผมหยิกและหนาจะไม่เหมาะกับทรงนี้ เพียงแค่ต้องมีขั้นตอนการตัดที่เพิ่มขึ้นมา คือหลังจากไถผมด้านข้างกับด้านหลังออกแล้ว ต้องให้ช่างทำการซอยผมส่วนบนให้บางลง ไม่เช่นนั้นเวลาปล่อยผม จะทำให้หัวของคุณมีลักษณะคล้ายกับเห็ด แถมตอนจัดทรงยังเก็บผมได้ยากอีกด้วย แต่ผมหยิกหนาก็มีข้อได้เปรียบเพราะเมื่อคุณทำการเซต มันจะดูมีวอลลุ่มมากกว่าคนผมบางนั่นเอง ต้องเอาใจใส่ ถ้าคุณเลือกจะตัดทรง Undercut อาจจะต้องมั่นใจว่าคุณมีเวลาในการเข้าร้านตัดผมบ่อยกว่าคนอื่นเล็กน้อย
หากใครยังไม่รู้เดือนพฤศจิกายนนี้ในหลาย ๆ ประเทศถูกจัดให้เป็นเดือน MOVEMBER หรือ เดือนแห่งการไว้หนวด ที่เกิดจากการรวมกลุ่มกันของคนที่อยากทำความดี และช่วยเหลือสังคมด้วยวิธีง่าย ๆ แบบผู้ชายแมน ๆ สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักชื่อนี้มาก่อนเลยอาจจะสงสัยว่ามันคือเดือนอะไรมีความสำคัญอย่างไร ซึ่งเราต้องย้อนไปยังจุดเริ่มต้นโครงการนั่นมาจาก ชาวเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ที่ตั้งกลุ่มกันเพื่อไว้หนวดในช่วงเดือน พฤศจิกายน จึงเป็นที่มาของคำว่า MOVEMBER จากการผสานคำระหว่าง Moustache (หนวด) และ November (พฤศจิกายน) เข้าด้วยกัน โดยการรวมกลุ่มนี้ก่อให้เกิดเป็นกิจกรรมที่เหล่าชายหนุ่มซึ่งเรียกตัวเองว่า MO BROS เข้าร่วมแข่งขันไว้หนวดภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน เพราะกลุ่มผู้ก่อตั้งเชื่อว่าหนวดเป็นหนึ่งสัญลักษณ์ของเพศชาย เพราะผู้ชายส่วนใหญ่มักคิดว่าตัวเองแข็งแกร่ง ไม่ค่อยเจ็บป่วย ทำให้ละเลยในเรื่องของสุขภาพ องค์กรการกุศลที่ใช้ชื่อว่า MOVEMBER มองเห็นเรื่องโรคภัยเป็นสิ่งที่สำคัญจากการที่ผู้ชายชาวออสเตรเลียต้องประสบปัญหาเสียชีวิตจากโรคมะเร็งจำนวนมาก องค์กรการกุศลนี้จึงอยากเป็นตัวกลางที่คอยช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ชายในการต่อสู้กับมะเร็งต่อมลูกหมากและอัณฑะ รวมไปถึงสุขภาพด้านอื่น ๆ สำหรับวิธีการก็ง่าย ๆ คนที่อยากจะเข้าร่วมโครงการนี้ เริ่มจากการเตรียมพร้อมด้วยใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน และต้องเลี้ยงหนวด ห้ามตัด เล็มเป็นอันขาดจนกว่าจะถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน หลังจากนั้นจะเปิดให้ผู้ใจบุญเข้ามาบริจาคเงินกับความพยายามของหนุ่ม ๆ เหล่านี้ เพื่อนำเงินสมทบทุนไปช่วยเหลือผู้ป่วยที่ประสบปัญหาเกี่ยวมะเร็งต่อมลูกหมากและอัณฑะที่ขาดแคลนในเรื่องทุนทรัพย์ต่อไป ซึ่งมันเป็นแฟชั่นการกุศลที่ฮิตมาก ไม่เฉพาะในประเทศ
เวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน หน้าของเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเช่นกัน ยกเว้นแต่ Pharrell Williams ศิลปินเจ้าของรางวัลแกรมมี่ที่สามารถสตาฟหน้าตัวเองให้ดูเด็กจนใครหลายคนแอบสงสัยว่าเขาเป็นแวมไพร์ หรืออย่างไร และมีเคล็ดลับอะไรในการดูแลหน้าให้ดูอ่อนกว่าวัยทั้งที่ปัจจุบัน Pharrell กำลังจะอายุครบ 45 ปีแล้ว สำหรับคนที่ไม่รู้จัก Pharrell Williams เลย เราขอสรุปเรื่องราวของเขาเพียงสั้น ๆ ว่าเป็น Multi-talented หรืออัจฉริยะหลายด้าน เพราะเขาเป็นทั้งนักดนตรีชื่อดังการันตีผลงานมากมาย อีกทั้งยังเป็นนักธุรกิจที่ชาญฉลาดในการเลือกลงทุน รวมถึงยังควบตำแหน่งดีไซน์เนอร์ที่มีผลงานโดดเด่นชนิดหาตัวจับยาก ซึ่งถ้าอยากรู้เรื่องของเขาเพิ่มเติมสามารถเข้าไปอ่านได้ที่ content และอย่างที่เราทราบว่า Pharrell ยังคงเป็นคนที่ขึ้นชื่อในเรื่องสไตล์การแต่งตัว ดังนั้นวันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN ได้ถอดบทสัมภาษณ์ของเขาจาก Dazed ถึงเคล็ดลับในการแต่งตัวรวมถึงวิธีการดูแลตัวเองให้หน้าตาดูอ่อนกว่าวัย เพื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคน คุณมองหาอิทธิพลการแต่งตัวจากไหน Pharrell : ผมได้แรงบันดาลใจมาจากทุกคน ผมจะสังเกตคนจากท้องถนนที่พบเจอ เพราะว่าเนี่ยหละคือของจริง ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม บางทีมันอาจจะเกิดเพียงแค่ความจำเป็น หรือฟังก์ชั่นการใช้งาน แต่พอเป็นสไตล์แล้วมันโคตร Swagger เลย ตัวอย่างเช่นเมื่อประมาณ 20 ปีก่อนผมใส่หมวก Trucker Hat เพราะผมไปเห็นคนขับรถบรรทุกใส่กัน ซึ่งมันโคตรจะเท่เลย แค่นั้นเองสำหรับเรื่องของสไตล์ และมีแบรนด์ดีไซน์เนอร์คนไหนที่ชื่นชอบเป็นแรงบันดาลใจให้กับคุณ
แม้จะมีผลวิจัยมากมายยืนยันว่าผิวผู้ชายนั้นแข็งแกร่ง เสื่อมโทรมได้ยากกว่าผู้หญิง เพราะฮอร์โมนเพศชายนั้นมีส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นเส้นใยที่ยึดโยงให้เซลล์ผิวของมนุษย์เต่งตึง ทำให้มนุษย์ผู้ชายอย่างเรา ๆ มีข้อได้เปรียบในเรื่องของผิวที่เสื่อมโทรมได้ช้ากว่าผิวของสาว ๆ ทั้งหลาย แต่ก็ใช่ว่าจะย่ามใจในความได้เปรียบของเพศสภาพ ไม่ดูแลบำรุงอะไรทั้งสิ้น ปล่อยเซอร์จนหน้าโทรมหมดสง่าราศีก็คงไม่ไหว เพราะต้องไม่ลืมว่าทุกวันนี้มลภาวะ ฝุ่น ควัน และแสงแดดแผดเผาของประเทศไทย ต่างก็ง้างหมัดรอที่จะเข้ามารุมทำร้ายผิวหน้าได้ทุกเมื่อ ยิ่งเป็นผู้ชายยุคใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์หนักหน่วง ใช้ชีวิตเต็มที่ในทุกด้าน ตอนทำงานก็ทุ่มเทเคร่งเครียด เวลาพักผ่อนก็กินดื่มเที่ยวเล่นสุดเหวี่ยงตะลุยไปทุกที่แบบไม่กลัวพลังหมด ยิ่งมีโอกาสที่ผิวหน้าจะอ่อนล้า อ่อนแรง แห้งเหี่ยวก่อนวัยอันควร ทางที่ดีเราแนะนำให้หมั่นดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วย 3 วิธีง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ที่เราอยากให้หนุ่ม ๆ UNLOCKMEN เริ่มทำกันเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อผิวหน้าดี ๆ คงความเท่เอาไว้ได้อย่างยืนยาว ความสะอาดคือพื้นฐานของการดูแลผิวหน้า การล้างหน้าคือขั้นตอนพื้นฐานง่าย ๆ ที่ผู้ชายหลายคนมองข้าม มักจะปล่อยปละละเลย เน้นเร็ว เน้นสะดวกเข้าว่า จนทำให้หยิบอะไรก็ได้ที่พอจะหาเจอในห้องน้ำ แล้วทำให้เกิดฟองได้ เอามาละเลงล้างหน้า กะว่าให้หน้าหายมันเป็นพอ ซึ่งนั่นคือเรื่องผิดมหันต์ ถ้าผิวหน้าดีผิวหน้าแข็งแกร่งอยู่แล้วเป็นทุน อาจยืดระยะเวลาของปัญหาผิวออกไปให้นานหน่อย แต่ถ้าเป็นผู้ชายที่มีปัญหาผิวอยู่แล้ว ทั้งหน้าแห้ง หน้ามัน หน้าแพ้ง่าย
คงต้องยอมรับแต่โดยดี ว่ามนุษย์ผู้ชายส่วนใหญ่คือกลุ่มคนที่ไม่ถูกโรคกับความยุ่งยากวุ่นวาย ไม่ว่าจะย่างกรายไปไหน หรือจะขยับทำอะไร ก็ต้องเน้นความสะดวกรวดเร็วเข้าว่า แม้กระทั่งกิจกรรมเพื่อสุขลักษณะพื้นฐานอย่างการดูแลรักษาความสะอาดร่างกาย ผู้ชายหลายคนก็ยังเน้นเร็ว เน้นง่ายไม่ยุ่งยากเอาไว้ก่อน จะอาบน้ำ หรือล้างหน้า ก็ใช้สบู่ก้อนเดียวครอบจักรวาลทั้งถูตัว ถูหน้า แค่พอให้รู้สึกผิวตึง ๆ ก็คิดเอาว่านี่แหละสะอาดแล้ว เอาจริง ๆ ทำแบบนั้นก็สะอาดแน่เราไม่เถียง แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าผิวหน้านั้นมีความแตกต่างจากผิวกาย ถ้ายังคงล้างหน้าด้วยสบู่อาบน้ำ ที่โดยส่วนใหญ่มักจะมีค่าความเป็นกรดด่าง (pH) สูงต่อไปเรื่อย ๆ ผลที่ได้คือผิวหน้าที่แห้งตึง ซึ่งไม่ใช่ว่าหน้าตึงคือหน้าสะอาด แต่มันคือสัญญาณของการสูญเสียน้ำมันปกคลุมผิวตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผิวแห้งและมีโอกาสเกิดริ้วรอยได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้ผิวบอบบาง แพ้ง่าย แถมในบางคนยังประสบปัญหาหน้ามันเยิ้ม เพิ่มปัญหาสิวซ้ำเติมเข้าไปอีก เพราะต่อมไขมันบนใบหน้าเร่งสร้างน้ำมันขึ้นมาทดแทนมากจนเกินความต้องการ คราวนี้จะออกไปไหนก็สูญเสียความมั่นใจเสียหายไปถึงบุคลิกท่าที เพราะมัวแต่กังวลเรื่องหน้าแห้งเป็นขุย คันคะเยอะขึ้นผื่น หรือหน้าเยิ้มมัน ไม่ถึงครึ่งวันก็รองน้ำมันมาทอดไข่ได้แล้ว ทางที่ดีถ้าไม่อยากให้หน้าพัง ผิวเสียสมดุล จนต้องมาดูแลประคบประหงม เปลืองเวลาหนักกว่า เจอขั้นตอนยุ่งยากกว่าการยอมสละเวลาเล็กน้อยใส่ใจกับการล้างหน้าให้ถูกวิธี เลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าให้เหมาะเสียตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง และในวันนี้เราก็มีเทคนิคการล้างหน้า วิธีดูแลผิวขั้นต้นอันสุดแสนจะเบสิคแต่ไม่ควรมองข้าม มาฝากชาว UNLOCKMEN ให้ลองไปทำตามกันดู รับรองว่าผิวหน้าดีได้แบบไม่ยุ่งยาก หรือเสียเวลามากมายอย่างที่คิด ล้างหน้าให้ถูกวิธี ต้องรู้จักสภาพผิวของตัวเองให้ดีก่อน ขั้นตอนแรกก่อนที่จะเอาอะไรก็ตามมาล้าง มาสัมผัสบนใบหน้า
ทรงผมที่ดูดี และคุ้นเคยที่สุดสำหรับผู้ชายส่วนใหญ่ แน่นอนว่าคงไม่ใช่ผมยาวรุงรัง หากใครที่กำลังอยากจะตัดผมให้ดูมีสไตล์ ดูดีมีชาติตระกูล โดยเฉพาะกับคนที่ต้องแต่งตัวอย่างเป็นทางการใส่สูทผูกไทด์ทุกวันด้วยแล้วล่ะก็ วันนี้ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะว่าเราได้นำเอาเคล็ดลับจากช่างทำผมผู้ที่ได้รับรางวัล The Emmy-Award ในการเป็น Hairstylist ให้กับทีวีซีรี่ย์ชื่อดังอย่าง Mad Men และ Glotia Ponce มาให้ได้อ่านกัน หากใครที่ชอบความเนี้ยบ มีสไตล์ แต่ไม่รู้จะต้องทำอย่างไรให้ได้ทรงผมที่ต้องการมาอยู่บนหัวกบาลของคุณล่ะก็ บทความนี้จะช่วยคุณเอง วันนี้เราจะนำเอาทรงผมที่คัดมาแล้ว 3 แบบ 3 สไตล์จากตัวละครในทีวีซีรีส์เรื่อง Mad Man อย่าง Don Draper, Pete Campbell และสุดท้าย Roger Sterling มาให้นำไปเลือกกัน รวมไปถึงรายละเอียดต่างไม่ว่าจะเป็นวิธีการบอกกับช่างว่าอย่างไรช่างถึงจะเข้าใจได้อย่างถูกต้อง รวมไปถึงโปรดักส์ และสไตล์การแต่งตัวที่เข้ากันมาให้ด้วย How to Get the Mad Man Hairstyles เนื่องจากทรงผมของตัวละครในเรื่อง Mad Men นี้ จะค่อนข้างไปทางเนี้ยบสั้น สะอาดตาสไตล์ยุค
แม้แทบทุกคนจะเห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่าอย่าดูคนแค่ภายนอก แต่ใช่ว่าเราจะมีเวลา มีโอกาสในการเรียนรู้นิสัยใจคอใครต่อใครได้ทุกคน ยิ่งในกรณีที่พบเจอกันเป็นครั้งแรกยิ่งแล้วใหญ่ เพราะมีการวิจัยออกมาว่า ก่อนที่จะได้พูดคุยทำความรู้จักกันดีพอ มนุษย์ก็ใช้ประสบการณ์จากบุคลิก รูปลักษณ์ภายนอก มาเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบเจอกันไปแล้วเรียบร้อย โดยระยะเวลาในการประเมินก็จะแตกต่างออกไป แบบฉับไวก็เริ่มตั้งแต่แว้บแรกทันทีที่เห็นหน้า ไปจนถึงราว ๆ ครึ่งนาที แต่โดยเฉลี่ยมนุษย์จะใช้เวลาแค่ไม่เกิน 7 วินาทีเท่านั้น ในการตัดสิน ให้คะแนนความน่าไว้ใจ ความน่าพูดคุย น่าคบหา ต่อบุคคลที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ที่เราอยากให้ชาว UNLOCKMEN นำช่วงเวลา 7 วินาทีอันแสนมีค่า ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ เพราะถ้ารู้กลยุทธ์การสร้างความประทับใจให้ตรงจุดตั้งแต่ 7 วินาทีแรก ก็เปรียบเสมือนเรามีกุญแจดอกสำคัญที่จะนำไปปลดล็อคกำแพงในจิตใจ เพิ่มแต้มต่อด้วยการสร้าง First Impression ให้ประทับใจผู้คนทั้งหลายที่เราต้องพบเจอกันเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นการพบปะลูกค้า, เจรจาธุรกิจ, สัมภาษณ์งาน, สร้างมิตรใหม่, หรือเข้าหาผู้ใหญ่ในเหตุการณ์สำคัญ ใครจะไปรู้ว่า เวลาแค่ 7 วินาที อาจจะนำพาไปสู่โอกาสอันยิ่งใหญ่ในอนาคตได้ง่ายขึ้น เคล็ดวิธีในการสร้าง First Impression นั้นทำได้ไม่ยาก Amy Cuddy ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาสังคมจากมหาวิทยาลัย Harvard
Jim Thompson (จิม ทอมป์สัน) ขยายความยิ่งใหญ่กับการเปิดภาพลักษณ์ใหม่ มุ่งสู่การเป็น “แบรนด์ลักชัวรี่ระดับโลกแบรนด์แรกจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (The first Southeast Asian global luxury brand) ปรากฏการณ์ครั้งสำคัญของคำว่าลักชัวรี่ระดับโลก ด้วยการนำเสนอเรื่องราวของรากเหง้าและตัวตนที่โดดเด่นของ จิม ทอมป์สัน สู่ “สไตล์” อันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมเปิดตัว “จิม ทอมป์สัน แฟล็กชิปสโตร์” ปฐมบทแห่งความหรูหราที่สมบูรณ์แบบแห่งแรกของโลก ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ดร.เจอร์ราลด์ เมซซาโลโว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท จิม ทอมป์สัน กล่าวว่า “ความท้าทาย ครั้งยิ่งใหญ่ของ จิม ทอมป์สัน คือ การยกระดับภาพลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ในเวทีลักชัวรี่ระดับโลก โดยเราได้วางจุดมุ่งหมายเพื่อก้าวสู่การเป็น “แบรนด์ลักชัวรี่ ระดับโลกแบรนด์แรกจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (The first Southeast Asian global luxury brand) ที่เด่นชัดด้วยอัตลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Identity) ซึ่งเกิดจากการผสานรวม
ผู้ชายหลายคนอาจจะให้ความสำคัญกับผลฟุตบอลมากกว่าประเภท UNDERWEAR จากการพูดคุยทำให้รู้ว่ามีผู้ชายน้อยคนนักที่จะใส่ใจในเรื่องรูปทรง และฟังก์ชั่นของกางเกงชั้นใน ขาดความใส่ใจพิถีพิถัน เพราะคิดว่าคงไม่มีใครเห็นอยู่แล้วนอกจากตัวเราเอง มีอะไรก็ใส่ ๆ ไป แต่ที่จริงแล้ว UNDERWEAR มีผลกับความมั่นใจของผู้สวมใส่โดยไม่รู้ตัว ลองนึกถึงวันที่คุณใส่กางเกงในตัวเก่าเก็บ สีตก ขอบยืด ขาย้วย จะก้มจะเงยมันก็เลยเกร็งไปหมด แถมกางเกงในที่เนื้อผ้าหนา ยังเสี่ยงกับเรื่องกลิ่นอับชื้นจากเหงื่อเมื่อเจออากาศร้อน หรือหลังเตะบอล เล่นฟิตเนส ภายในกางเกงก็จะเหนียวเหนอะหนะ ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ชวนปวดหัว เป็นจุดเริ่มต้นของอาการคันในร่มผ้า หล่อแค่ไหนก็ต้องสูญเสียความมั่นใจไปหมดสิ้น ไม่ใช่แค่นั้น MEN UNDERWEAR ยังมีผลต่อความรู้สึกของผู้หญิงด้วยเช่นกัน เพราะนอกจากจะทำหน้าที่ห่อหุ้มน้องชาย กางเกงชั้นในยังช่วยเติมเต็มคาแรคเตอร์ของผู้สวมใส่ให้ออกมาชัดเจนมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันนอกจากการพิจารณาที่สีสัน ลวดลาย หรือรูปทรงตามสไตล์การแต่งตัวแต่ละโอกาสแล้ว เรายังควรเลือกกางเกงชั้นในที่มีเทคโนโลยี AIRism ช่วยระบายอากาศ ช่วยให้เย็นสบายทุกการเคลื่อนไหว ไร้ความอับชื้น พร้อมลุยทุกไลฟ์สไตล์ได้ตั้งแต่เช้ายันเย็น อุ่นใจท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว ไปดูกันว่า MEN UNDERWEAR แบบไหนเหมาะกับใคร และผู้หญิงจะรู้สึกอย่างไรกับแต่ละแบบกันบ้าง LOW RISE BOXER BRIEF LOW RISE BOXER BRIEF เป็น
TAKEO KIKUCHI เป็นอีกแบรนด์เสื้อผ้าสุภาพบุรุษอีกแบรนด์หนึ่งที่ถ้า ทีม UNLOCKMEN จะไม่หยิบยกมาพูดถึงคงไม่ได้ นอกจากคุณภาพที่ดีแล้ว สินค้าทุกชิ้นของแบรนด์นั้นออกแบบภายใต้คอนเซ็ปท์ Tokyo Urban Style (โตเกียว เออเบิร์น สไตล์) โดยมี City Setter (ซิตี้ เซตเตอร์) ไลน์พิเศษซึ่งถูกไฮไลท์ด้วยนวัตกรรมแห่งผืนผ้าที่เหมาะกับการใช้ชีวิตที่เร่งรีบในเมืองใหญ่ การเดินทางเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง ใส่ได้ในทุกกิจกรรมของหนุ่ม Urban เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์หนุ่ม ๆ UNLOCKMEN สุด ๆ ปฎิเสธไม่ได้ว่าการได้ครอบครองสูทดี ๆ สักตัวคือสิ่งที่ผู้ชายใฝ่ฝัน เพราะสูทที่ดีไม่ใช่แค่เพียงเสื้อผ้าที่สวมใส่ในแต่ละวัน แต่เป็นการเติมเต็มนิยามความเป็นสุภาพบุรุษอันสุขุมนุ่มลึกด้วยความสมบูรณ์แบบในทุกรายละเอียด บ่งบอกรสนิยมคลาสสิกอย่างดูดีมีเสน่ห์ทั้งสำหรับการงานและไลฟ์สไตล์อันหลากหลาย นิยามนี้เองคือหัวใจสำคัญของผู้ชายในแบบฉบับทาเคโอะ คิคูชิ แบรนด์เสื้อผ้าบุรุษจากโตเกียวอันเลื่องชื่อด้านความเท่เนี้ยบในสไตล์และคุณภาพ ซึ่งเป็นขวัญใจหนุ่มมาดเนี้ยบมากว่า 30 ปี กับร้านแฟล็กชิพกว่า 100 สาขาจากญี่ปุ่น สู่ไต้หวันและประเทศไทย TAKEO KIKUCHI (ทาเคโอะ คิคูชิ) นักออกแบบและผู้ก่อตั้งแบรนด์อินดัสเตรียลและแฟชั่น ผู้เป็นตำนานด้านสไตล์และนวัตกรรมแห่งดีไซน์ของญี่ปุ่น ผลงานการออกแบบเสื้อผ้าแบรนด์ชื่อเดียวกับเจ้าตัวนั้นเป็นเสมือนเสียงบอกเรื่องราวแห่งความหลงใหลใน tailor-made อันพิถันพิถันเป็นพิเศษเพื่อสไตล์เหนือกาลเวลา เสื้อผ้าและเครื่องประดับทุกชิ้นสร้างสรรค์ขึ้นอย่างละเมียดละไม หากได้ลองสวมสูทหรือเสื้อเชิ้ตทาเคโอะ คิคุชิสักตัว