เชื่อว่าวันนี้ชาว UNLOCKMEN หลายคนเป็นมากกว่า User ตามแพลตฟอร์มโซเชียลที่เข้าใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น Facebook ที่สร้างเพจเป็นของตัวเอง IG ที่สามารถสร้างร้านค้าได้ หรือเทรนด์ที่กำลังฮิตมากอย่างการเป็น Vlog สร้างวิดีโออัปโหลดในแชนแนล Youtube ของตัวเองให้คนได้ตามไป Subscribe กัน เพื่อลับเหลี่ยมความคิดสร้างสรรค์ คั่วความคิดสำหรับสร้างคอนเทนต์ให้ทั้งเข้มข้น มันส์ และเด็ดขึ้น จนใครก็อดกด Play คลิปของเราไม่ได้ UNLOCKMEN จึงพลาดไม่ได้ที่จะบอกต่อโครงการดี ๆ อย่าง Youtube Pop-Up Space โครงการล่าสุดของ Youtube ที่กำลังจัดขึ้นที่ช่างชุ่ย ช่วงระยะเวลาระหว่างวันที่ 12-17 พฤศจิกายนนี้ เผื่อใครอยากแวะเวียนกันไปลองสตูฯ และเทคนิคต่าง ๆ จะได้แบ่งปันกัน โครงการ “Youtube Pop-Up Space” ในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 หลังจากได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากการจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และแน่นอนว่าความเต็มอิ่มของปีนี้ที่จัดขึ้นที่ช่างชุ่ยทำให้เราได้เล่นอะไรหลายอย่างมากขึ้นอย่างแน่นอน แม้ว่าในงานครั้งนี้เหล่าครีเอเตอร์จะ Register จองพื้นที่สตูฯ เพื่อถ่ายทำกันจนเต็มแม็กซ์แล้ว
“นี่คืองานศิลปะที่คนเข้าไปนอนและอยู่อาศัยได้” คือประโยคไม่ยาวนักแต่หนักแน่นจากปากคุณสรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง ผู้อำนวยการฝ่ายคอร์ปอเรท มาร์เก็ตติ้งแห่ง AP Thailand ที่เราจำขึ้นใจ เพราะนี่ถือเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน งานศิลปะในภาพจำของเราทุกคนมักเป็นเรื่องสูงส่งเกินเอื้อมถึง ดังนั้นภาพการอยู่อาศัยและใช้เวลาในแต่ละวันอยู่ร่วมกับงานศิลปะจึงเป็นภาพที่คล้ายความฝันมากกว่า โชคดีที่ AP Thailand ไม่คิดว่าศิลปะที่ผสานรวมเข้ากับที่อยู่อาศัยเป็นได้แค่ความฝัน AP Thailand จึงร่วมกับศิลปินที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับระดับโลกอย่าง Lucas Price และคู่หู O Terawat-Tarida สร้างสรรค์งาน collaboration สุดพิเศษให้กับคอนโด Life Asoke Hype ภายใต้คอนเซปต์ The DUALITY นิทรรศการที่รวมเอาศิลปะกับพื้นที่อยู่อาศัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว การนอนอยู่บนงานศิลปะจะให้ประสบการณ์แบบไหนกันแน่ ? เราอดสงสัยไม่ได้ และอยากชวนทุกคนมาหาคำตอบกับนิทรรศการ The DUALITY ครั้งนี้ไปด้วยกัน เพราะ AP เชื่อว่าศิลปะต้องอยู่ร่วมกับคนได้จริง “กล้าหาญ” เราอยากมอบคำนี้ให้กับ The DUALITY ตั้งแต่ก้าวแรกที่เท้าย่างเข้าไปในนิทรรศการ ไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็นงานศิลปะอยู่พ้นไปจากพื้นที่อย่างพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ หรือแกลเลอรี่สักแห่ง แต่ The DUALITY ไม่ใช่แค่แหวกขนบพื้นที่ทางศิลปะ แต่กล้าหาญที่จะก้าวข้ามไปอีกขั้นด้วยการทำศิลปะให้เป็นพื้นที่อยู่อาศัย หรือจริง ๆ
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ศิลปะและความมึนเมามีจุดร่วมและคล้ายคลึงกันในมายาคติบางอย่าง สิ่งเหล่านี้มักถูกยกมาพูดถึงเสมอในการสร้างสรรค์ผลงาน ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือบรรดานักดนตรี นักร้อง มากมายที่ใช้ความมึนเมาเป็นสารตั้งต้นของแรงบันดาลใจในการประพันธ์เพลง แต่งบทกวี หรือแต้มสีลงผืนผ้าใบ ด้วยกระแสเวลาที่ผ่านไปเรื่อย ๆ ทั้ง 2 สิ่งนี้จึงรวมกันเป็น Norm ด้านวัฒนธรรมที่ยากจะแยกออกจากกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็น Gallery ในบ้านเราผสมความเป็นบาร์เข้าไปด้วย เช่นสถานที่ที่เราจะแนะนำให้ได้รู้จักกันในวันนี้ Cinema Winehouse เพราะภาพยนตร์คือศิลปะแขนงหนึ่ง Cinema Winehouse ถือกำเนิดขึ้นด้วยความหลงรักภาพยนตร์คลาสสิกและไวน์ของผู้ก่อตั้ง เขาอยากให้ที่นี่เป็นพื้นที่สำหรับการดื่มไวน์และสนทนาเรื่องภาพยนตร์ในบรรยากาศสบาย ๆ ภายนอกของ Cinema Winehouse คือบ้านหลังเล็ก ๆ ที่ตกแต่งโดยเน้นสีขาวเป็นหลัก เมื่อเข้าไปคุณจะพบกับจอฉายหนังขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยบรรยากาศความเป็นกันเองของผู้คน นอกจากไวน์ราคาไม่เกินเอื้อม ทุกคนสามารถดื่มด่ำกับมันได้โดยไม่ระคายเคืองกระเป๋าเงินแล้ว ยังมีอาหารไว้บริการให้คุณสั่งมาทานควบคู่กันไปพลางชมภาพยนตร์ที่กำลังฉายอยู่อีกด้วย Location: 59/6 ถ.สามเสน แขวงสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร Open: 5.00 pm – 12.00 pm Contact: 086-465-6526 Facebook: Cinema Winehouse 23 Bar & Gallery 23 Bar
นาทีนี้คงไม่มีงานศิลปะไหนดังและน่าไปมากกว่า BAB2018 งานอาร์ตระดับโลกที่จะแสดงถึงแค่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2019 กับ 20 สถานที่แสดงงานศิลปะสุดเจ๋งในกรุงเทพฯ ที่ผู้ชายทุกคนจะต้องไปเช็กอิน ดังนั้น เมื่อเราแนะนำว่าควรไป เราย่อมไม่พลาดลงพื้นที่ไปเช็กอินกันด้วยตัวเองและนำกลับมารีวิวกันแบบเรียล ๆ เลยว่าจุดไหนน่าไปลอง และจุดไหนต้องเตรียมตัวอย่างไร หลังจากกางแผนที่ออกมาเพื่อวางแผนก่อนออกเดินทางจริง ทีมงานปรึกษากันว่า “เราจะเดินทางตามเก็บงานศิลป์กันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ภายใน 1 วัน แต่จะเลือกไปในเส้นทางที่เดินทางได้ยากเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้อ่านที่เดินทางยากมีโอกาสได้ดูงานกัน” จึงได้บทสรุปว่าทีมงานเลือกทางชมศิลปะเส้น River Route ทั้ง 8 กันโดยออกสตาร์ทที่ฝั่งปิ่นเกล้าในเวลาที่ไม่ทรมานใจชายเกินไปคือ 9.30 บริเวณเมเจอร์ปิ่นเกล้า รูปแบบการเดินทางทั้งหมดนี้เราเลือกใช้วิธีเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวและการเดินเท้าล้วน เผื่อใครจะพาคนพิเศษไปเก็บงานศิลป์ด้วยวิธีนี้จะได้จำลองสถานการณ์จริงและรู้ที่ทางการจอดรถเลย เนื่องจากข้อมูลส่วนใหญ่จากคู่มือ BAB จะเน้นการเดินทางแบบสาธารณะมากกว่า สตาร์ทสถานที่แรก Bankok of Thailand Learning Center (BOT) บริเวณสามเสน ริมน้ำ ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งเทเวศน์ ภายในจัดแสดงงานศิลปะทั้งหมด 6 ชิ้น แบ่งเป็น 3 สถานที่ที่ติดตั้งภายในอาคาร สามารถจอดรถใต้อาคารฟรี 4 ชั่วโมง ชั่วโมงต่อไปคิดชั่วโมงละ 20
ทุกครั้งที่มีเหตุให้ต้องเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะออกเดินทางท่องเที่ยวพักร้อน หรือไปคุยงานเจรจาธุรกิจ เชื่อว่าสิ่งหนึ่งที่ชาว UNLOCKMEN ให้ความสำคัญไม่แพ้การเตรียมตัวซื้อตั๋ว จองที่พัก จัดกระเป๋าให้พร้อมสำหรับทริปนั้น ๆ นั่นก็คือเรื่องของความรวดเร็วสะดวกสบายระหว่างการเดินทาง ตามสัญชาตญาณพื้นฐานของผู้ชายอย่างเรา ๆ ที่ไม่ชอบอะไรวุ่นวาย เน้นง่ายเข้าว่า จนเลือกที่จะยอมจ่ายมากกว่าเพื่อแลกกับบริการหรือสิทธิพิเศษต่าง ๆ ซึ่งช่วยเติมเต็มประสบการณ์การเดินทางให้ดีกว่า ไม่ต้องเหนื่อยกับขั้นตอนที่ยุ่งยาก จนต้องเสียแรง เปลืองเวลามากมายเกินความจำเป็น เพราะคงไม่มีอะไรดีไปกว่าในวันเดินทางมีรถลีมูซีนสุดหรูมารับถึงหน้าบ้านยิงตรงเข้าสู่สนามบิน พร้อมผู้ช่วยส่วนตัว ที่คอยอำนวยความสะดวกในการเช็คอินรวมถึงขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองแบบสะดวกรวดเร็วผ่านช่องทาง Fast Track มีเวลาเหลือเฟือให้แวะนั่งจิบกาแฟเพลิน ๆ ในเล้าจ์รับรองพิเศษระหว่างรอขึ้นเครื่อง ลืมภาพที่ต้องลากกระเป๋าพะรุงพะรัง เดินงมหาเคาน์เตอร์เช็คอิน เข้าคิวต่อแถวต.ม. ยาวเหยียดไปได้เลย ซึ่งสิทธิพิเศษเหล่านี้ ในบางเรื่องใช่ว่าจะสามารถควักเงินจ่ายกันไปโต้ง ๆ แล้วจะได้มา แต่มันเป็นเรื่องของการบริหารเงิน รู้จักใช้เงินให้เป็น ในเมื่อมีทุนอยู่กับตัวก็ต้องมองหาช่องทางใช้จ่ายให้คุ้มค่า หรือจะเรียกว่าเป็นการลงทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิประโยชน์มากมายที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ชายสายเดินทางอย่างพวกเราก็คงไม่ผิดนัก และช่องทาง ที่เราเองประทับใจในสิทธิพิเศษต่าง ๆ มากมายจากที่นี่ จนอยากแนะนำให้ชาว UNLOCKMEN ได้รู้จัก นั่นก็คือ การมีสถานะเป็นลูกค้า Citigold ซึ่งสถานะนี้ได้มาจากการฝากเงิน หรือนำเงินไปลงทุนกับกองทุนต่าง ๆ ผ่านธนาคารซิตี้แบงก์ ในยอดเงินตั้งแต่
การได้ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดใครสักคนเป็นที่สุดแห่งความอบอุ่นอย่างหนึ่งที่มนุษย์จะได้รับจากใครสักคนได้ โดยเฉพาะในอ้อมกอดของใครสักคนที่ใส่ใจเรา ในอ้อมกอดนั้นเราจะรู้สึกสุขสงบอย่างประหลาด แต่ไม่ว่าจะโหยหามันสักแค่ไหน ผู้ชายอย่างเราก็เจออ้อมกอดสุดพิเศษที่ว่านั้นได้ไม่บ่อยนัก โชคยังดีที่บางทีการโอบกอดก็ไม่ได้มาจากผู้คน แต่มาจากบาร์แจ๊สบรรยากาศดี ๆ กับเครื่องดื่มจากความใส่ใจสักแก้ว และโชคเข้าข้างเราเข้าไปอีกที่เรามาเจอ The WoodShed บาร์แจ๊สที่รู้สึกอบอุ่นราวกับถูกโอบกอดแค่เพียงก้าวเท้าเข้ามาในร้าน ความอบอุ่นใน The WoodShed ไม่ได้มาจากความบังเอิญ แต่เกิดจากความใส่ใจรายละเอียดตั้งแต่การเลือกวัสดุ ไม้ทุกชิ้นที่ประกอบกันขึ้นเป็นผนังคือไม้เก่าที่ผ่านสายลม แสงแดด และกาลเวลาจึงมีลวดลายเฉพาะตัวที่ไม้ใหม่ให้ไม่ได้ ที่สำคัญไม้ทุกชิ้นผ่านการคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ประกอบกันแล้วให้ความรู้สึกลงตัวตั้งแต่ก้าวเข้ามาในร้าน The WoodShed ตกแต่งด้วยสไตล์รัสติก (Rustic Style) ที่เผยความงามตามธรรมชาติของวัสดุที่ใช้ โดยหลายคนอาจรู้จักสไตล์นี้ในชื่อ Country Style เนื่องจากชาวบ้านในชนบทของอเมริกานิยมนำไม้ซุงท่อนใหญ่มาใช้สร้างบ้าน ผสมผสานกับรูปแบบของโรงนาและโรงเก็บไม้ จนออกมาเป็นรัสติกสไตล์ในที่สุด จึงไม่แปลกใจเลยที่เรารู้สึกถึงความเรียบง่ายของ The WoodShed ได้ตั้งแต่ก้าวแรก เพราะความเรียบง่ายสไตล์ชนบท แต่ทั้งหมดมาจากความพิถีพิถัน กลิ่นไม้ดิบที่ผ่านกาลเวลาจาง ๆ ในอากาศ รวมถึงหลอดไฟสีส้มนวลตาดวงเล็ก ๆ ที่ห้อยตัวลงมาจากเพดานให้ความรู้สึกราวกับดวงดาวระยับดวงน้อย ๆ ที่ส่องแสงอบอุ่นไม่กวนสายตาตลอดระยะเวลาที่เรานั่งดื่มอยู่ที่นี่ ในขณะที่แสงเทียนตลับวาววามก็ให้ความรู้สึกราวกับว่าเรากำลังล้อมวงดื่มกินในบ้านไม้ของเพื่อนในชนบทอันสงบเงียบสักแห่ง ไม่ใช่แค่เพียงบรรยากาศชวนให้ซุกตัวอยู่นานเท่านานเท่านั้น แต่เครื่องดื่มทุกชนิดใน The WoodShed มาในคอนเซ็ปต์ Craft
สำหรับเราคนไทยคือหนึ่งในชนชาติที่หาข้ออ้างการออกไปเมาได้มากที่สุดในโลกแล้ว จะสุขก็อยากดื่ม จะเศร้าก็อยากเมา วันเกิด งานบวช งานแต่งงานก็ต้องฉลอง แต่ข้ออ้างที่เห็นได้เกลื่อนกลาดที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘วันนี้อากาศดีว่ะ ไปกินเบียร์กัน’ โดยเฉพาะในกรุงเทพที่อากาศหนาวนั้นหาได้ยากเย็นเหลือเกิน ดังนั้นเมื่อมันมาเยือนต่อมความชิลของเราเหมือนโดนกระตุกอย่างแรง เกริ่นมาขนาดนี้ แน่นอนว่าตัวเราเองนั้นไม่เคยพลาดการออกไปดื่มในหน้าหนาว เป็นเหมือนประเพณีที่เราทำเป็นประจำทุกปี จนเราค้นพบสถานที่ที่เราคิดว่ามันชิลมากสำหรับการดื่มเบียร์ในวันอากาศดี จึงอยากมาแนะนำเผื่อเป็นทางเลือกให้กับชาว UNLOCKMEN ทุกคน Cat on the Roof ลักษณะร้านที่เหมาะกับการนั่งชิลในหน้าหนาวนั้นต้องค่อนข้างเปิดโล่ง รับลมได้จากทุกทิศทาง ซึ่ง Cat on the Roof ร้านดังย่านอารีย์ร้านนี้ตรงกับลักษณะดังกล่าวทุกประการ ยิ่งไปกว่านั้นการที่ร้านนี้ตั้งอยู่บนดาดฟ้าชั้น 5 ของ Everyday Sunday Social Hostel ทำให้สามารถซึมซับอากาศหนาวได้มากยิ่งขึ้น ถึงแม้จะเป็นร้าน Rooftop ใจกลางเมืองแต่ราคาอาหารเครื่องดื่มของที่นี่ไม่ถือว่าโหด อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ถ้าเทียบกับบรรยากาศที่ได้รับ นอกจากบรรยากาศดี อาหารอร่อยแล้ว ที่นี่ยังมีวงดนตรีเล่นสดเพิ่มความเพลิดเพลินระหว่างนั่งชิลอีกด้วย เอาเป็นว่าถ้าคุณแข็งแรงพอที่จะเดินขึ้นบันได 5 ชั้น หน้าหนาวนี้ลองแวะมาหาเจ้าแมวบนหลังคาตัวนี้ดู Location: ชั้นดาดฟ้า Everyday Sunday Social Hostel 466/1-3 ถนนพหลโยธิน เขตพญาไท
“ศิลปะ” ที่เราไม่อาจมีบรรทัดฐานใดไปเทียบเคียงเอาถูกผิด หรือตัดสินอะไรกับมันได้ หากเพราะมันเป็นสิ่งที่เราใช้สุนทรียศาสตร์ในการดื่มด่ำ เสพสิ่งที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา มันจึงเป็นสิ่งที่สวยงามไม่ว่าจะอยู่ในส่วนใดของชีวิตก็ตาม ถึงอย่างนั้นมันอาจไม่ได้เป็นประเด็นที่ตีตลาดทุกคนในสังคมได้ทั้งหมด มันยังถือเป็นความชอบเฉพาะกลุ่ม (ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร) หลายคนเลยมักจะติดภาพเดิม ๆ ที่ว่าศิลปะไม่ใช่เรื่องสำหรับทุกคน เข้าถึงยาก ต้องเป็นคนอาร์ต แต่ UNLOCKMEN อยากจะพาทุกคนไปรู้จักกับพื้นที่ ที่จะทำให้ศิลปะกลายเป็นเรื่องของทุกคน เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ ที่ “GOOSE LIFE SPACE” พื้นที่ของศิลปะในทุกวันนี้ อาจไม่ได้จำกัดอยู่แค่รูปแบบเดิม ๆ ที่จะต้องเป็นพื้นที่สำหรับ Gallery หรือ Scrupture ที่ทำได้แค่เดินดูเท่านั้น อย่างที่ “Goose Life Space” เป็นพื้นที่สำหรับ Art ในหลายรูปแบบ ด้วยความตั้งใจของคุณมะม่วง วรุตม์ ศรีชัยพฤกษ์ และคุณฟลุ๊ค สมัชชา พ่อค้าเรือ ที่เลือกพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นพื้นที่สำหรับ Installation และมีพื้นที่อีกชั้นสำหรับ Live Performance ที่พร้อมรองรับ Performance ทุกรูปแบบ ส่วนความสะดวกสบายในการเดินทางของที่นี่ถือว่าอยู่ในทำเลที่ดีมาก เพราะอยู่ติด BTS สถานีสนามเป้า
“งานศิลปะมักจะถูกออกแบบมาในรูปแบบที่ต้องเป็นผลงานเอ็กซ์คลูซีฟมาก ๆ มีเพียงบางกลุ่มคนที่สามารถเข้าถึงงานศิลปะเหล่านั้นได้ แต่ก็ไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป และนี่คือเหตุผลที่งานศิลปะของแสนสิริจะถูกนำเสนอให้เข้ากับคนทุกกลุ่ม” ประโยคนี้เพียงประโยคเดียวจากคุณอู้-นพปฎล พหลโยธิน Chief Creative Officer of Sansiri ก็ทำให้เราเข้าใจที่มาของการแสดงงานศิลปะจำนวนมากที่แสนสิริจัดขึ้น เพราะไม่ว่าจะผลงานของศิลปินระดับชาติหรือระดับโลก เราก็สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพราะแสนสิริมุ่งมั่นที่จะทำให้ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน “Sansiri presents Miquel Barceló : DESPINTURA FóNICA” งานแสดงศิลปะโดย Miquel Barceló ศิลปินชาวสเปนที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับระดับโลกซึ่งจะมาจัดแสดงงานแบบสด ๆ ต่อหน้าผู้ชมใจกลางแม่น้ำเจ้าพระยาในวันที่ 1-2 พฤศจิกายน ก็มีจุดเริ่มต้นเดียวกัน จุดเริ่มต้นที่แสนสิริอยากให้ทุกคนสามารถสัมผัสประสบการณ์ศิลปะเวิล์ดคลาสได้ และเราคิดว่างานครั้งนี้ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง และเพื่อให้เราดื่มด่ำ Sansiri presents Miquel Barceló : DESPINTURA FóNICA ได้ลึกซึ้งมากขึ้น UNLOCKMEN ได้รับเกียรติจากคุณอู้-นพปฎล พหลโยธิน Chief Creative Officer of Sansiri มาพูดคุยถึงที่มาของการแสดงศิลปะครั้งนี้ พร้อม ๆ กับเติมเต็มความสงสัยของเราที่ว่าองค์กรที่ดูแลเรื่องอสังหาริมทรัพย์ทำไมถึงต้องให้ความสำคัญกับศิลปะขนาดนี้ ? เพราะบ้านเติมเต็มร่างกาย ศิลปะเติมเต็มจิตใจ Sansiri presents
เย็นวันหนึ่งเราและตากล้องมีนัดไปถ่ายงานแถวทองหล่อ นอกจากชื่อร้าน ‘Thaipioka’ เราก็ไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับร้านนี้อีกเลย และเราคิดว่าการไปฟังเรื่องราวที่มาที่ไปของร้านจากปากเจ้าของเองน่าจะดีกว่า นอกจากนั้นยังสร้างอารมณ์ร่วมให้เรารู้สึกตื่นเต้นด้วยว่า Thaipioka จะมีหน้าตาอย่างไร แต่ด้วยการจราจรแสนติดขัดของเมืองหลวง ทำให้ระหว่างทางเราเผลอหลับ รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ที่ลานจอดรถโรงแรม Salil Hotel ในซอยทองหล่อ 1 แล้ว ซึ่งถ้าใครจินตนาการออก การเผลอหลับบนรถและโดนปลุกขึ้นมาอย่างกะทันหันจะรู้สึกงัวเงีย ปวดหัว ไม่สดชื่น เราเดินต่อไปอีกนิดหน่อย ห่างจากจุดที่ลงรถไม่ไกลก็เจอทางเข้า Thaipioka เป็นประตูไม้ ตกแต่งเรียบหรู เราผลักประตูและเดินเข้าไป ภายในคือบาร์ขนาดไม่เล็ก ไม่ใหญ่ บรรยากาศดู Cozy และลึกลับ ประดับบรรยากาศด้วยไฟสีส้มสลัว เคาน์เตอร์ทอดยาวไปสุดทางเดิน มีโต๊ะสำหรับนั่งดื่มอยู่ประมาณ 2-3 โต๊ะ เหมาะมากถ้าจะมาทำความรู้จักกับคนแปลกหน้าในร้านนี้ ด้วยบรรยากาศที่สงบเงียบ มวลอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศ เสียงเพลงเปิดคลอเบา ๆ เป็นฉากหลัง และกลิ่นหอมจาง ๆ จากบรรดาวัตถุดิบสำหรับสร้างสรรค์ค็อกเทลหลายชนิด ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย อาการปวดหัวงัวเงียไม่สดชื่น พลันมลายหายไปกลายเป็นความคึกคักโดยไม่รู้ตัว หน้าตาโดยรวมของ Thaipioka แตกต่างจากที่เราคิดไว้พอสมควร ไม่สิ ต้องพูดว่ามันดูดีกว่าที่เราคิดไว้มาก มันมีความเท่ ทันสมัย ไม่ใช่บาร์ไม้ทรงไทยอย่างที่เราจินตนาการจากชื่อเอาไว้แต่แรก หลังจากเสพบรรยากาศของร้านจนพอใจแล้ว เราก็เริ่มต้นบทสนทนากับบาร์เทนเดอร์เพื่อทราบถึงที่มาที่ไปของบาร์แห่งนี้ คอนเซ็ปต์สำคัญของ
บ่ายวันหนึ่งที่อากาศร้อน เรามีโอกาสได้เดินทางไปที่ย่านแบริ่ง ซึ่งเป็นย่านที่ค่อนข้างห่างไกลจากรูทีนประจำวันของเราพอสมควร จุดหมายปลายทางคือคาเฟ่แห่งหนึ่งที่มีคอนเซ็ปต์น่าสนใจ และเป็นร้านที่เจ้าของบอกว่าจะสวยที่สุดในวันที่แดดออกเต็มที่ ชื่อของร้านนี้คือ ‘Black Forest’ คอนเซ็ปต์ของร้านนี้ก็ตามชื่อเลย Black Forest หรือที่เรียกันว่าป่าดำ คือชื่อของป่าแห่งหนึ่งทางตอนใต้ฝั่งตะวันตกของประเทศเยอรมนีติดกับชายแดนฝรั่งเศส เป็นป่าสนขนาดใหญ่ส่วนที่มาของชื่อป่าดำเนื่องจากป่าแห่งนี้ถ้ามองจากมุมสูงจะเห็นเป็นสีดำเนื่องจากความหนาแน่นของต้นสนที่ปกคลุมกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ด้วยความสวยงามนี้ทางเจ้าของจึงยกมาเป็นคอนเซ็ปต์หลักของร้าน Black Forest เมื่อมองจากภายนอกเป็นคาเฟ่ที่เท่ไม่หยอก ตัวร้านมีสีดำสนิท โดดเด่นด้วยเส้นโลหะมากมายที่พาดตัดกันไปมาเป็นลวดลายที่ดูดิบ ๆ ไร้การปรุงแต่ง และเมื่อเราเข้าไปในร้านก็เป็นจริงอย่างที่ทางเจ้าของร้านบอก แสงแดดในตอนบ่ายสาดส่องลงมากระทบกับโลหะเกิดเป็นเงาทอดลงมาบนพื้น ทำให้คนที่อยู่ในร้านรู้สึกผ่อนคลายเหมือนกำลังนั่งอยู่ใต้ร่มเงาต้นสนแห่งป่าดำ แต่ไม่ใช่แค่สไตล์และคอนเซ็ปต์ร้านเท่านั้นที่น่าสนใจ เรื่องอาหารของที่นี่ก็น่าสนใจไม่แพ้กันเลย ด้วยความที่เดินทางมาไกล ท้องก็ยังไม่มีอะไรหล่นไปถึงเลยตั้งแต่เช้า เราจึงไม่รอช้าบอกกับเจ้าของร้านให้จัดชุดใหญ่มาให้เลย เริ่มที่จานแรกกับ Jaeger สเต็กเนื้อนุ่มลิ้นโรยด้วยใบโรสแมรี่สับละเอียด ทำให้ตอนที่กำลังลิ้มรสอยู่ในปาก นอกจากความนุ่มและหวานตามธรรมชาติของเนื้อแล้วยังจะได้หอมกลิ่นเครื่องเทศบาง ๆ อีกด้วย เป็นการผสมผสานที่ค่อนข้างลงตัว ส่วนมันบดที่เสิร์ฟมาเป็นเครื่องเคียงก็อร่อยตามมาตรฐานเครื่องเคียงที่ดี ไม่ใช่เรายังไม่อิ่ม จริง ๆ แค่ Jaeger จานเดียวก็อยู่ท้องแล้ว เพียงแต่ว่าช่างภาพที่มาด้วยกันเป็นคนไม่ทานเนื้อ เราจึงสั่ง ‘Black Bacon’ ซึ่งจานนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเช่นเดียวกัน เส้นสปาเก็ตตี้สีดำผัดคลุกเคล้ากับกระเทียมและพริก เพิ่มความอร่อยอีกขั้นด้วยเบคอน สรุปสั้น ๆ ว่าเด็ด! หมดไป 2
เมื่อไม่กี่อาทิตย์เราเพิ่งพูดคุยกับเพื่อนไปถึงความรู้สึกตื่นเต้นเลือดสูบฉีดหลังจากที่ตั้งตารอคอยเพราะได้ยินข่าวคราวมานานเกี่ยวกับงานศิลปะสุดยิ่งใหญ่ที่มีชื่อว่า BAB (แบ๊บ) ซึ่งย่อมาจาก Bangkok Art Biennale (บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่) ที่กำลังจะจัดขึ้นในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นเพียง 2 ปีครั้งเท่านั้น และมีความพิเศษกว่าเทศกาลศิลปะอื่นที่เคยเกิด เนื่องจากเป็นการจัดแสดงงานศิลป์ที่เปิดให้ดูกันฟรี ๆ จากศิลปินจำนวนมากถึง 75 คน 33 ประเทศ รวบมาไว้ในสถานที่แห่งเดียวคือ “กรุงเทพฯ” ที่ ๆ เรากำลังย่ำเท้าอยู่ตอนนี้ แต่สิ่งที่ได้ยินจากเพื่อนกลับเป็นคำว่า “เฮ้ย! มีด้วยเหรอ” ดังนั้น เพื่อไม่ให้เพื่อน ๆ ชาว UNLOCKMEN คนไหนต้องพลาดการเสพศิลป์ครั้งนี้แล้วร้องเสียดายกันภายหลัง เพราะย้ำอีกครั้งว่างานจัดแค่ 2 ปีครั้งเท่านั้น แถมสิ่งที่คุณจะได้เห็นปีนี้ก็อาจจะไม่ได้เห็นในปีหน้า อยากดูอาจต้องเสียค่าตั๋วบินไปดู เราจึงขอเปิดวาร์ปไปชมงานตามพื้นที่ต่าง ๆ ที่จัดแสดงทั่วกรุงเทพฯ ด้านล่าง สนใจชมผลงานของศิลปินคนไหนเป็นพิเศษก็อย่าพลาดไปดูกันล่ะ 101 BANGKOK ART BIENNALE เพื่อให้สนุกกับการเปิดแรลลี่ดูงานศิลปะ BAB 2018 มากขึ้น