เคยสงสัยไหมว่าความหลงใหลในสิ่งตัวเองรักของคนเรามันจะไปได้สุดทางมากแค่ไหน เราจะทำให้ความชอบของเราอยู่กับเราไปได้นานแค่ไหน นานมากพอจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตหรือเปล่า โลกใบนี้ของเรามีคน ๆ นั้นแล้ว คนที่เก็บเอาความชอบของเขาติดตัวไปจนวันสุดท้ายของชีวิตได้อย่าง “Zombie Boy” แต่น่าเสียดายที่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เขาเลือกที่จะบอกลาโลกใบนี้ไป UNLOCKMEN อยากจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้น มากกว่าผู้ชายที่เต็มไปด้วยรอบสัก มากกว่าการเป็นนายแบบ หรือพระเอก MV มาดูกันว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เขาต้องเดินทางผ่านอะไรมาบ้าง When I Was A Little Zombie พอจะเดากันได้บ้างแล้วว่า “Zombie Boy” เป็นเพียงนิกเนมตามรูปลักษณ์ของเขา ชื่อจริง ๆ ของเขาคือ Rick Genest เติบโตที่ Montreal, Canada ชีวิตส่วนตัวของเขาในตอนวัยรุ่นนั้นไปได้ไม่สวยสักเท่าไหร่ เขาเลือกที่จะออกจากบ้านมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง นอนตามพื้นที่สาธารณะ เดินทางไปไหนมาไหนด้วย Hitchhiking หรือเรียกง่าย ๆ ว่าติดรถคนอื่นเขาไปนั่นแหละ จนกระทั่งอายุ 16 เขาเริ่มสักเป็นครั้งแรก และเหมือนคนที่รักในรอยสักคนอื่น ๆ เมื่อมีรอยแรกแล้ว รอยอื่น ๆ จะตามมาเสมอ จนกระทั่งขยายไปถึงใบหน้าและทั้งศีรษะ
ถ้าวันหนึ่งคุณตื่นมาแล้วรู้สึกไม่พอใจในรูปร่างของตัวเอง เสื้อผ้าที่เคยใส่ได้ก็คับรัดติ้วไปหมด แถมมีหลายคนทักว่าอ้วนขึ้นเยอะนะ จนรู้สึกขาดความมั่นใจ คงต้องถามตัวเองแล้วว่า “จะปล่อยตัวแบบนี้ต่อไปจริง ๆ เหรอ ? “ อันที่จริง เรื่องรูปร่าง สไตล์ และความความชอบมันเป็นเรื่องปัจเจก ความเจ้าเนื้อก็ไม่ได้หมายความว่าแย่ แล้วแต่ความต้องการของแต่ละคน แต่ถ้าทนตัวเองไม่ได้แล้ว ต้องการเปลี่ยนแปลงรูปร่างให้เฟิร์มขึ้น แข็งแรงมากขึ้นก็ขอเชิญทางนี้เลย ทีมงาน UNLOCKMEN มีโปรแกรม workout ที่มุ่งเป้าเพื่อการลดน้ำหนักมาฝากกัน โดยสูตรฟิตร่างเพื่อความเฟิร์มนี้ได้มาจาก Kira Mahal เทรนเนอร์แห่ง MotivatePT ก่อนอื่นต้องบอกว่าการออกกำลังกายคือการหวังผลในระยะยาว น้ำหนักอาจไม่ได้ลงเร็วเท่าใจที่ร้อนรน แต่สิ่งที่คุณจะได้ควบคู่ไปด้วยก็คือน้ำหนักที่เหมาะสม ความแข็งแรงของร่างกาย และมวลกล้ามเนื้อที่มากขึ้น แม้ว่าสุดท้ายน้ำหนักอาจไม่ลงเลย แต่รับรองว่าคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวคุณ ปลดล็อกความมั่นใจภายใต้ความแกร่งของร่างกายออกมาได้เต็มเปี่ยม โดยโปรแกรม workout นี้ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใด ๆ และใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมง เอ้า เริ่มได้! WARM-UP ก่อนจะเข้าโปรแกรมหนัก ก็ต้อง warm-up กันก่อน และมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด รับรองว่าเครื่องติดแน่ ๆ High knee
เชื่อว่าขณะที่คุณกำลังเปิดอ่านบทความนี้ ส่วนใหญ่คงกำลังอยู่ในที่พักอันอบอุ่น มีงานให้ทำ มีเงินเดือนให้ใช้ แต่รู้หรือไม่ว่านอกรั้วบ้านของเราทุกวันนี้มีคนไร้บ้าน – ไร้ที่พึ่งหรือบุคคลที่เราเรียกว่า “โฮมเลส” เฉพาะในประเทศไทยนั้นมีมากถึง 70,539 คน (ผลสำรวจปี 2560) เมื่อโฮมเลสส่วนใหญ่คือคนที่เราเดินผ่านไปผ่านมาโดยไม่ค่อยสนใจพวกเขามากนัก แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ David Casarez ชายโฮมเลสที่ยืนริมถนนพร้อมป้ายกระดาษหนึ่งใบในแคลิฟอร์เนียได้รับความสนใจจากคนในสังคมออนไลน์ จนมีคนลุกมาถ่ายภาพ โพสต์ และรีทวีตข้อความถึงบริษัทในซิลิคอนวัลเลย์ให้ช่วยรับชายคนนี้เข้าทำงาน และผลของพลังโซเชียลครั้งนี้ก็ทำให้เขาดังเป็นพลุแตกชนิดที่บริษัทกว่า 200 แห่งในซิลิคอลวัลเลย์แห่กันเรียกให้เข้าสัมภาษณ์งานเลยทีเดียว อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาเปลี่ยนสถานะจากโฮมเลสหางานเป็นคนที่งานวิ่งเข้าหา ได้รับโอกาสต่างจากโฮมเลสคนอื่น เขาสมควรได้รับโอกาสนี้หรือเปล่า หรือเป็นแค่ความสงสารไร้เหตุผลของคนโซเชียล เราล้วงที่มาและเรื่องราวของเขามาบอกแล้วในนี้ “Homeless, hungry 4 success, take a resume” คุณเคยอ่านป้ายกระดาษที่อยู่ในมือโฮมเลสทั้งหลายบนสะพานลอยบ้านเราไหม เราเชื่อว่าคงต้องมีสักแว้บที่สายตาพลันเหลือบไปอ่าน แต่นี่ผู้ชายร่างใหญ่ ๆ ยืนถือป้ายกลางสี่แยกท่ามกลางแดดร้อน ๆ ด้วยข้อความโต ๆ ว่า “Homeless, hungry 4 success, take a resume” หรือ “ผมคือโฮมเลสที่โหยความสำเร็จ รับ Resume ผมไปทีครับ” ทำไมเราจะไม่หยุดดูล่ะ งานนี้ถือเป็นการขายตรงเรซูเม่ที่ฮุคเข้าตากรรมการได้โคตรทรงพลัง
“ตามหาความหมายของชีวิตให้เจอดิวะ!” เราต่างเป็นผู้ชายที่เติบโตมาในยุคที่ใคร ๆ ก็ปลุกใจให้เราตามหาความหมายของชีวิต (หรือปัจจัยที่จะมีชีวิตที่ดีในแบบตัวเอง) กันอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งวิธีตามหาความหมายของชีวิตของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป บางคนก็บอกว่าการออกเดินทางคือความหมายของชีวิต บางคนก็บอกว่าการได้ทำในสิ่งที่รักคือความหมายของชีวิต บางคนก็บอกว่าการทำเพื่อคนอื่นนั่นแหละ คือความหมายของชีวิต การมีชีวิตที่ดีหรือการตามหาความหมายของชีวิตจึงมีหลากหลายรูปแบบ โดยทฤษฎีทางจิตวิทยาส่วนใหญ่ในปัจจุบันบอกว่าปัจจัยที่ทำให้เราเชื่อว่าเรามีชีวิตที่ดีก็ได้แก่ ความสัมพันธ์ ความรู้สึกมีเป้าหมาย ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับอะไรบางอย่าง หรือแม้แต่การเห็นคุณค่าในตัวเอง อย่างไรก็ตามไม่ว่าเราจะพูดเรื่องการตามหาความหมายของชีวิตในแง่ไหน ผู้ชายอย่างเรา ๆ ก็ไม่มีทางคิดว่า “เซ็กซ์” มันจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตมีความหมายขึ้นมาได้เลย เซ็กซ์อาจจะเป็นอารมณ์ เป็นความสนุก เป็นความท้าทาย แต่มันจะทำให้ชีวิตมีความหมายได้ยังไงวะ ? ทีมนักจิตวิทยาจาก George Mason University สนใจว่าเซ็กซ์จะทำให้มนุษย์รู้สึกว่าชีวิตมีความหมายมากกว่าเดิมได้ไหม พวกเขาจึงศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยพวกเขาพบว่าคนมักประเมินเซ็กซ์ต่ำไปในแง่ความหมายชีวิต เพราะมีงานวิจัยที่พูดถึงเรื่องนี้น้อยมาก หรือในงานประชุมทางวิชาการเรื่องเซ็กซ์มักถูกละเลยไป Todd Kashdan ผู้นำงานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มตัวอย่างเป็นเวลา 3 อาทิตย์ โดยสังเกตเรื่องความถี่ของการมีเซ็กซ์ รวมถึงเรื่องคุณภาพของเซ็กซ์ในแง่อารมณ์เชิงบวกและส่วนที่สัมพันธ์กับความหมายของชีวิตด้วย ทีมนักวิจัยมีสมมติฐานว่า “ถ้ามนุษย์คนหนึ่งเข้าถึงความต้องการทางเพศกับคู่รักแล้วล่ะก็ พวกเขาจะเกิดความซาบซ่าไม่รู้ลืม และจะเพิ่มความรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า รวมถึงรู้สึกว่าชีวิตมีความหมายเพิ่มขึ้นด้วย” กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 152 คน (โดยร้อยละ 63 มีความสัมพันธ์แบบคู่รักกับใครสักคนอยู่)
“คนคือเมือง เมืองคือคน” ใครบางคนว่าไว้ แทบจะแยกกันไม่ขาดระหว่าง “การใช้ชีวิต” และ “การทำงาน” สำหรับผู้ชายอย่างเรา ๆ ที่ไม่มีเวลาว่างให้เหงาระหว่างวัน มีแต่ความเมามันส์กับการทำงานเพื่อความสำเร็จตามที่ต้องการ พอเลิกงานก็ไม่หายใจทิ้ง ไม่มีหรอกที่จะอยู่นิ่ง ๆ เผาเวลาทิ้งให้สูญเปล่า เรียกได้ว่าทั้ง 24 ชั่วโมงที่มีอยู่ใช้คุ้มสุด ๆ ทั้งงาน ทั้งครอบครัว ทั้งเพื่อน ทั้งคนรัก ทั้งสังคม ทั้งกิจกรรม ทั้งทำอะไรใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาตัวเอง ที่เหลือก็ปาร์ตี้ แฮงเอาท์ตามสไตล์ work hard-play hard guy ที่ไม่ชอบอยู่สบายไปวัน ๆ ด้วยความที่ไลฟ์สไตล์ของผู้ชายอย่างเรามันเป็นแบบนี้ สิ่งที่เราต้องการก็คือ เทคโนโลยีในยุคดิจิทัลที่ทำให้เราตามโลกได้ทัน ความสะดวกในการเดินทางระหว่างที่ทำงานและที่อยู่อาศัย มีความปลอดภัย ไม่ไกลจากใจกลางเมือง ย่านที่มีสิ่งแวดล้อมที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ และที่ที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขในทุก ๆ วัน เหมือนกำลังจะเดินทางไปเที่ยวทุกครั้งที่กลับบ้าน องค์ประกอบเหล่านี้นอกจากจะตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานได้แล้ว ยังช่วยส่งเสริมการพัฒนาตัวเองได้อีกด้วย ส่วนเรื่องที่อยู่อาศัยกันบ้าง ต้องลองถามตัวเองว่าที่พักของเรามีความเป็น “ที่พัก” มากแค่ไหน ? Urban
ว่ากันเรื่องผู้ชายกับยานพาหนะ ย่อมมีความหมายมากกว่าแค่ผู้ขับขี่และรถคันหนึ่ง นอกจากสมรรถนะอันยอดเยี่ยมที่ทำให้เราประทับใจแล้ว เรื่องราวต่าง ๆ ของรถคู่ใจยังเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เราหลงใหล เป็นความหมายที่ช่วยผลักดันให้ทำสิ่งที่เปี่ยมไปด้วย Passion ที่ส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นได้ จากการวิจัยพบว่า สาเหตุที่ผู้ชายอาจหลงใหลในยนตรกรรมมาก ๆ ก็เพราะว่าเสน่ห์ของการออกแบบที่อยู่ถาวร ความรู้สึกอิสระในเวลาที่ได้ควบคุมพวกมาลัยและคันเร่งที่จะพาเราไปทุกที่ การอยากจะดูแลยานพาหนะสักคันตามสัญชาติของหนุ่ม ๆ มันสามารถบ่งบอกตัวตนของเราได้ จึ่งไม่แปลกที่ผู้ชายจะรู้สึกว่ารถคันโปรดของเขาคือส่วนหนึ่งในชีวิต ราวกับมิตรสหายที่โตมาด้วยกัน และถ้าพูดถึงยนตรกรรมที่เต็มเปี่ยมไปด้วย Story, Passion และ Feeling นั้น ชื่อแรก ๆ ที่โผล่ขึ้นมาในใจก็คือ BMW ค่ายรถยักษ์ใหญ่จากเยอรมนีที่ผู้คนทั่วโลกต่างยอมรับทั้งชื่อเสียง สมรรถนะ เทคโนโลยี ความสวยงาม และเรื่องราวระดับตำนานมาถึง 100 ปี ซึ่งความคล้องจองระหว่าง insight และตัวแบรนด์ใบพัดฟ้า-ขาว ทำให้ BMW ผุดไอเดียแคมเปญ #BMWStories ที่เกิดจากความเชื่อที่ว่า “เรื่องราวของทุกคน สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นได้” โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้รถ BMW ในประเทศไทยได้บอกเล่าเรื่องราว, passion และความประทับใจของรถคันโปรด และแบ่งปันแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น จากแคมเปญ #BMWStories ทำให้เราได้รับแรงบันดาลใจจากผู้คนที่มาถ่ายทอดประสบการณ์ของตัวเองกับรถ BMW คู่ใจ ซึ่งแต่ละคนก็จะมี passion ที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นนักแข่งรถ, นักเดินทาง
สั่นสะเทือนวงการสายเขียวไปทั้งโลกอีกครั้ง เมื่อผลวิจัยทางการแพทย์ล่าสุดที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร ‘Scientific Reports’ เปิดเผยว่าการสูบกัญชานั้นอันตรายน้อยกว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถึง 114 เท่า! ที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้นจากผลวิจัยพบว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นมีอันตรายมากกว่ายาเสพติดทุกประเภท แต่มันกลับเป็นสิ่งเดียวที่ถูกกฎหมาย ช่างย้อนแย้งอะไรขนาดนี้ ส่วนอันดับความอันตรายรองมาคือเฮโรอีน, โคเคน, ยาอี ซึ่งเกณฑ์การจัดอันดับนี้วัดจากอัตราผู้เสียชีวิตที่ใช้สารแต่ละประเภทในปริมาณเท่า ๆ กัน ในอดีตกัญชานั้นเคยถูกมองว่าเลวร้ายเกินความเป็นจริงไปมาก เป็นความเชื่อที่ส่งต่อกันมาแบบผิด ๆ ทำให้มันกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ในทางตรงกันข้ามเครื่องดื่มมีแอลกฮอล์นั้นถูกมองเป็นสิ่งให้ความบันเทิงสนุกสนานอยู่คู่กับการสังสรรค์ของมนุษย์มาเนิ่นนานทั้งที่จริงแล้วอันตรายของมันนั้นร้ายแรงยิ่งกว่าสารเสพติดทุกชนิด ถึงปัจจุบันหลักสูตรการศึกษาต่าง ๆ จะปรับความอันตรายของกัญชาลงมาในระดับต่ำแล้ว และมีการพยายามผลักดันให้กัญชาถูกกฎหมายหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ยังไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ กัญชายังเป็นสิ่งผิดกฎหมายสำหรับประเทศส่วนใหญ่ในโลก การที่กัญชายังผิดกฎหมายทั้ง ๆ ที่มีงานวิจัยด้านการแพทย์มากมายหลายชิ้นยืนยันแล้วว่าพืชชนิดนี้มีอันตรายน้อยมากมันอาจจะมีสาเหตุมากกว่าการที่รัฐห่วงสุขภาพของประชาชน เหตุผลหลักน่าจะเป็นเหตุผลทางธุรกิจมากกว่า อาจจะเกิดจากการที่ในแต่ละประเทศมีผู้จำหน่ายกัญชารายใหญ่อยู่แล้ว และพวกเขาอาจจะสนิทกับรัฐบาล ดังนั้นการที่เปิดให้ค้าขายกัญชาอย่างเสรีอาจทำให้สถานะพ่อค้ารายใหญ่เกิดความสั่นคลอน นอกจากนี้การเรียกเก็บโครงสร้างภาษี ถ้ากัญชาถูกกฎหมายอาจจะยังไม่ลงตัว อย่างไรก็ตามการที่กัญชาจะถูกกฎหมายในประเทศไทยก็ไม่ถึงกับสิ้นหวังในขนาดนั้น เพราะตอนนี้ในสังคมโลกตื่นตัวเรื่องกัญชาอย่างมาก เช่นเดียวกับในประเทศไทยที่ตอนนี้มีหลายองค์กรออกมาผลักดันเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง เชื่อว่าสายเขียวทั้งหลายคงอดใจรออีกไม่นานก็น่าจะได้ ‘High’ โดยไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เสียที ที่เขียนมาถึงตรงนี้ UNLOCKMEN ก็ไม่ได้มองว่าการใช้กัญชาเพื่อความบันเทิงเป็นสิ่งที่ดี แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวขนาดนั้น และในเมื่อสิ่งที่อันตรายกว่ามันถึง 114 เท่ากลับเป็นสิ่งถูกกฎหมาย พืชชนิดนี้ก็ควรจะถูกกฎหมายเช่นกัน ถ้ามองในแง่ประโยชน์ทางการแพทย์และความผ่อนคลายในปริมาณที่เหมาะสม SOUECE1
พอพูดถึงความขยัน หลายคนคงเบือนหน้าหนีแล้ว ชาวขยันน้อย (หรือขี้เกียจนั่นเอง) อาจจะรู้สึกว่าเราจำเป็นต้องขยันจริง ๆ หรอ เราต้องขยันไปทำไม ความขยันมันเป็นลักษณะนิสัยส่วนตัวหรือเปล่า ที่แต่ละคนก็ต้องมีนิสัยที่แตกต่างกันไป แต่ถ้าหากมองดี ๆ ความขยันมันสร้างจุดแข็งให้เราได้หลายอย่าง UNLOCKMEN เลยชวนมามองข้อดีของความขยัน เอาไว้จุดไฟให้ตัวคุณเองในวันที่เหนื่อยหน่าย หรือปลุกไฟให้ใครที่เป็นคนขยันน้อย เกิดอยากจะขยันขึ้นมาบ้าง ทำอะไรได้มากขึ้น ในเวลาที่น้อยลง หากเราเกิดอยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรด้วยไฟที่ลุกโชนข้างใน มันจะทำให้เราได้จัดการหลาย ๆ สิ่งในชีวิตได้มากขึ้นในแง่ของจำนวน วันนึงที่อาจจะทำได้แค่ไม่กี่อย่าง บางทีก็ผลัดวันประกันพรุ่งไปทำวันอื่นด้วยซ้ำ นั่นทำให้เราเสียเวลาไปโดยที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำหรืออยากทำเลย ลองลุกขึ้นมาจุดไฟให้ตัวเอง ลุกขึ้นมาใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่า เริ่มจากลงมือทำในสิ่งที่อยากทำก่อน จะได้มีกำลังใจมากขึ้น สัมผัสความสำเร็จได้ง่ายขึ้น หากเราได้ลงมือทำอะไรด้วยความตั้งใจ จากแรงผลักดันของเราข้างในแล้ว มันเหมือนเป็นต้นทุนให้เราไปแล้วครึ่งหนึ่ง ยิ่งใส่ความขยันลงไปแล้ว เหมือนยิ่งเติมเชื้อไฟให้การทำงานของเราเดินไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น ยิ่งเราขยัน เรายิ่งลงมือทำอะไรได้มากขึ้น นั่นหมายความว่าเราอาจได้เจอทั้งทางลัด ความผิดพลาด อุปสรรค อะไรก็แล้วแต่ที่คนลงมือทำได้เจอจริง ๆ แบบที่คนอยู่เฉย ๆ ไม่เคยได้สัมผัส นั่นยิ่งทำให้เราแข็งแกร่งและก้าวเข้าใกล้ความสำเร็จไปอีกขั้น Earn More And More จัดการงานของตัวเองเรียบร้อยไปแล้วด้วยไฟที่ลุกโชนอยู่ในตัว หากไฟนั้นยังไม่ดับไปซะก่อน อย่างปล่อยมันทิ้งให้น่าเสียดายเปล่า
หากพูดถึงนักกีฬาสักคนที่มีชีวิตดั่งบทละคร เต็มไปด้วยเรื่องราวดราม่า ล้มลุกคลุกคลานจนแทบเกือบเอาชีวิตไม่รอดบนความสำเร็จที่สร้างมา แต่กลับกลายเป็นเหมือนหอกข้างแคร่ทิ่มแทงตัวเอง ชื่อของ Allen Iverson คือนิยามของคำว่าอัฉริยะบนความไม่สมบูรณ์แบบ เพราะถ้าเกิดเราย้อนกลับไปในยุค 90s แฟนกีฬาทั่วโลก โดยเฉพาะอเมริกันเกมส์อย่างบาสเก็ตบอล แน่นอนว่าไม่มีใครที่ไม่รู้ถึงกิตติศัพท์ความเก่งกาจและพรสวรรค์ราวฟ้าประทานของพอยต์การ์ดร่างเล็กใจใหญ่คนนี้ ซึ่ง UNLOCKMEN อยากจะนำเรื่องราวของเขามาถ่ายทอดให้ทุกคนได้เรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน My Name is Bubba Chuck ! Allen Iverson เด็กหนุ่มผิวสีร่างเล็กเกิดมาในครอบครัวฐานะยากจน ทำให้เขาต้องอาศัยอยู่ย่านสลัมของมลรัฐ Virginia เพราะพ่อของเขาต้องเดินเข้า ๆ ออก ๆ คุกเป็นว่าเล่น Allen Iverson มีเพียงแม่ที่คอยดูแล แถมต้องพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อให้ครอบครัวของเขาได้ย้ายไปอยู่บ้านพักเคหะ ที่ซึ่งความเป็นอยู่ดีมากยิ่งขึ้น เหตุการณ์ในวัยเด็กจากการที่ต้องเห็นพ่อถูกจับกุมต่อหน้าต่อตาอยู่บ่อยครั้ง เขาจึงปฎิฎาณกับตัวเองว่าจะต้องเอาชีวิตของตัวเองออกจากชีวิตตรงจุดนี้ให้จงได้ด้วยการเล่นกีฬา Iverson จึงพยายามเล่นทั้งอเมริกาฟุตบอลอยากหนักในช่วงแรก ทว่าแม่ของเขายอมทำงานหนักเพื่อซื้อรองเท้า Air Jordanให้กับ Iverson เพื่อจูงใจให้เขาสนใจในกีฬาบาสเก็ตบอลควบคู่กันไป เนื่องจากแม่ของ Iverson ไม่ค่อยมีเวลาให้ เขาจึงต้องไปอาศัยอยู่บ้านของเพื่อนที่ชื่อ Jamie Rogers อยู่บ่อยครั้ง
‘ความเหงา’ เป็นสิ่งที่ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันดี บางคนอาจจะเป็นเพื่อนสนิทกับมันเลยด้วยซ้ำ แม้ในประวัติศาสตร์จะไม่มีจารึกไว้ว่าจุดเริ่มต้นของความเหงามาจากอะไร เกิดขึ้นเมื่อใด แต่ถ้าจะให้คาดเดาผู้เขียนคิดว่าความเหงาน่าจะเกิดขึ้นพร้อมกับมนุษย์นั่นแหละ เป็นหนึ่งในอารมณ์ที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่โบราณกาล เพียงแต่ปัจจุบันสภาพสังคมที่เป็นอยู่ยิ่งขับความเหงาออกมาให้เป็นสิ่งที่มีนิยามชัดเจนขึ้นถูกพูดถึงมากขึ้น อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าทุกคนจะรู้จักและคุ้นเคยกับอารมณ์สีเทานี้เป็นอย่างดี แต่คงมีน้อยคนที่จะรู้ว่าจริง ๆ แล้วความเหงานั้นซับซ้อนกว่าที่คิดมาก เพราะถ้าเรานำมันมาจับแยกประเภทพบว่ามันมีด้วยกันถึง 7 ประเภท ดังนั้นวันนี้เราไปทำความรู้จักเพื่อนสนิทคนนี้ให้มากขึ้นกันเถอะ New-Situation Loneliness ลองนึกถึงวันแรกที่คุณต้องย้ายไปเรียนต่อหรือทำงานที่ต่างประเทศต่างจังหวัด ความเหงาประเภทนี้คือความรู้สึกในวันนั้นแหละ มันเกิดจากความไม่คุ้นเคยที่คุณต้องพบเจอผู้คน สภาพสังคม บ้านเมือง วัฒนธรรมใหม่ ๆ ความเหงาประเภทนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคนโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่อคุณสามารถปรับตัวกับสิ่งใหม่ ๆ ได้มันก็จะหายไปเอง I’m-Different Loneliness ‘โดดเดี่ยวเพราะแตกต่าง’ คือคำจำกัดความของความเหงาประเภทนี้ คุณไม่ได้อยู่คนเดียว กลับกันคุณอยู่ในสถานที่หรือสังคมที่มีผู้คนมากมายให้พบปะ แต่คุณไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเหล่านั้นได้เพราะคุณรู้สึกว่าคุณมีบางอย่างแตกต่างกับคนอื่น คุณไม่ได้ปฏิเสธสังคม คุณอยากเป็นส่วนหนึ่งในสังคมนั้นแต่ไม่สามารถเป็นได้ อย่างไรก็ตามคุณเองก็ไม่มีความปัจเจกพอที่จะอยู่ในโลกของตัวเองอย่างมีความสุข ความเหงาประเภทนี้อาจหายไปได้ถ้าคุณเจอคนที่เหมือนตัวเอง แต่มันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไรนัก No-Sweetheart Loneliness น่าจะเป็นความเหงาที่หนุ่มโสดทั้งหลายคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะถึงแม้คุณจะรายล้อมด้วยเพื่อนสนิทและครอบครัวที่อบอุ่นแต่นั่นก็ไม่สามารถทดแทนที่ว่างในหัวใจอันเกิดจากความโสดนี้ได้ เนื่องจากความสัมพันธ์รูปแบบคนรักมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยความสัมพันธ์รูปแบบอื่น เอาเป็นว่าหนุ่มโสดคนไหนกำลังเหงาก็ขอให้เจอคนที่จะเข้ามาเติมเต็มเร็ว ๆ ละกัน No-Animal Loneliness บางคนอาจจะไม่เข้าใจและไม่เคยพบเจอความเหงาประเภทนี้ แต่ถ้าคุณเป็นทาสแมวหรือทาสสุนัขเชื่อว่าคงเข้าใจเป็นอย่างดี สำหรับบางคนสัตว์เลี้ยงคือสิ่งช่วยเยียวยาจิตใจได้ แค่ได้นอนเกลือกกลิ้งกับเจ้าขนฟูตัวโปรดก็คลายเหงาได้แล้ว
คุณโทรหาใครครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ? นี่ไม่ใช่คำถามที่ตอบยาก เราอาจเพิ่งโทรหาใครบางคนเมื่อสัปดาห์ก่อน วันก่อน ชั่วโมงก่อน หรือไม่กี่นาทีก่อนนี่เอง คุณโทรหาใครด้วยตู้โทรศัพท์สาธารณะครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ? คำถามนี้จะเริ่มตอบยากขึ้นมา เราอาจนึกถึงตอนที่เราอายุน้อยกว่านี้ ตอนที่เราแลกเหรียญเตรียมไว้เพื่อแอบแม่มาโทรหาใครสักคน หรือตอนที่ต้องวิ่งหาตู้โทรศัพท์เพื่อบอกเรื่องด่วนกับใครบางคน แต่เราอาจนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าเราโทรหาใครด้วยตู้โทรศัพท์ครั้งสุดท้ายตอนไหนกัน เผลอ ๆ เราอาจจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเราเห็นโทรศัพท์สาธารณะครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ? เราได้หันไปมองมันด้วยความตื่นเต้นอย่างที่เคยไหม ? UNLOCKMEN อยากพาคุณไปเจอหน้าโทรศัพท์สาธารณะเพื่อนเก่าที่วันนี้เราอาจเคยเดินผ่านไปโดยไม่หันมอง ลองมองเพื่อนเก่าแบบใหม่ในวันนี้ อาจมีบางอย่างที่มันกำลังสื่อสารกับเราอยู่ ย้อนกลับไปในยุคที่เราจีบสาวสักคน แล้วต้องหาตู้โทรศัพท์ว่าง ๆ หยอดเหรียญโทรหาเธอได้นาน ๆ แบบไม่มีใครกวนได้สักตู้นี่มันเหมือนสวรรค์จริง ๆ แม้วันนี้เรามีมือถือแล้ว จะคุยกับใคร คุยที่ไหนก็ได้ แถมไม่มีใครมาต่อคิวใช้ต่อ แต่บางครั้งการได้เห็นตู้โทรศัพท์โล่ง ๆ ก็ชวนให้ความทรงจำเก่า ๆ ย้อนกลับเข้ามา วันนี้ตู้โทรศัพท์สาธารณะโล่ง ๆ ไม่มีใครต่อแถวอีกแล้ว แถมส่วนใหญ่ซ่อนตัวอยู่ตามใต้สะพานร้างไร้ ไม่มีผู้คนเดินผ่าน หรือถึงเดินผ่านก็ไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำ แล้วคุณล่ะ เคยสังเกตไหม ? ตู้โทรศัพท์บางตู้กลายเป็นพื้นที่โฆษณาจำเป็น หูโทรศัพท์ไม่มีสาย ถูกตัดขาดจากการเป็นตู้โทรศัพท์แบบสิ้นเชิง รอบตู้มีป้ายโฆษณาสารพัดชนิดตั้งแต่รับสมัครงานไปยันให้กู้เงินราคาถูก ร่องรอยการติดแปะแล้วถูกลอก ก่อนจะถูกติดซ้ำวนใหม่ไม่รู้จบ กลายเป็นภาพศิลปะเว้าแหว่งไม่สมบูรณ์ที่เราเชื่อว่าถ้าคุณตามไปดู แต่ละตู้กำลังเล่าเรื่องราวของตัวเองให้คุณฟังอย่างเงียบ
หากพูดถึงการ workout ในแง่ของการส่งเสริมบุคลิกภาพนั้น จะเห็นได้ว่าบางท่านไม่ค่อยเน้นการออกกำลังกายช่วงล่างเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับช่วงขา อาจเป็นเพราะอยากให้ร่างกายช่วงบนดูดี ร่างเป็น V-shape ก็เลยไม่ค่อยใส่ใจกับขาที่พาเราไปสู่จุดหมายเท่าไหร่นัก อันที่จริงแล้วการมีกล้ามเนื้อขาสวยงาม และมีขนาดที่เหมาะสม จะทำให้เราดูสมส่วนไปทั่วร่าง ดูดีกว่าการที่ตัวใหญ่แต่ขาเล็ก ส่วนในเรื่องประสิทธิภาพที่ส่งผลกับร่างกายนั้นยิ่งกินขาด เพราะการมีช่วงขาที่แข็งแรงจะทำให้เราทรงตัวได้มั่นคงกว่า เดินเหินได้คล่องตัว และวิ่งได้ดีขึ้น เร็วขึ้น ยิ่งใครที่เป็นสายวิ่งยิ่งต้องการขาที่แกร่ง เพื่อไปสู่เส้นชัยได้ไกลกว่า แบบนี้ต้องลุยหนักกับช่วงล่างกันหน่อยแล้ว ถ้าไม่รู้ว่าเริ่มต้นอย่างไรดี UNLOCKMEN มีวิธีการฟิตกล้ามขาของ BJ Gaddour อดีต fitness director ชื่อดังมาฝากกัน รับรองว่ารากฐานของคุณจะมั่นคงขึ้น 1. Squat มันส์ทุกวัน ท่า squat ถือเป็นท่าพื้นฐานของการออกกำลังกายช่วงล่าง และเพื่อผลการฝึกที่ดีที่สุด ก็ควรจะทำมันทุกวันมันส์สุด ๆ ไปเลย โดยพยายามทำท่านี้ให้หลากหลาย และทำให้ได้มากที่สุดด้วยท่าทางที่ถูกต้อง เราแนะนำให้ใช้ดัมบ์เบลล์ หรือบาร์เบลล์ไปด้วย ฝึกสัปดาห์ละ 3 ครั้ง (จ-พ-ศ) ส่วนวันอื่นให้ใช้แต่น้ำหนักตัวเรา ฝึกครั้งละประมาณ 5-10 นาที โดยวันที่ใช้อุปกรณ์ฟรีเวทนั้น ควรฝึกด้วยน้ำหนัก และจำนวนครั้งที่สลับกัน