“สำหรับประชาชนทุกคนที่ถูกรัฐบาลรังควาน ผมว่า เฮ้ย! คุณต้องสู้ เพราะเมื่อไหร่ที่คุณกลัว เขาจะยิ่งไล่ต้อนคุณไปเรื่อย ๆ ” ประโยคนี้จาก Headache Stencil ทำให้เรานิ่งคิด ถ้าเราเป็นประชาชนแต่ถูกรัฐบาลรังควานไม่ว่าจะในรูปแบบของการมาข่มขู่ตรง ๆ หรือภายใต้รูปแบบการบริหารงานที่ตรวจสอบไม่ได้ ทำไมเราต้องนิ่งเฉยล่ะ ? ทำไมเราต้องปล่อยให้เขาทำอะไรกับประเทศเราก็ได้ล่ะ ? แน่นอนว่ามีคนที่เลือกนิ่งเฉย แต่ก็แน่นอนว่ามีคนที่ไม่กลัว มีคนที่ไม่ยอมถูกไล่ต้อนและลุกขึ้นมาตั้งคำถามกับอำนาจที่ไม่เป็นธรรม หนึ่งในคนที่กล้าลุกมาปะทะกับรัฐบาลทหารคราวนี้ต้องมีชื่อของ Headache Stencil อยู่ด้วยแน่นอน Headache Stencil อาจเป็นชื่อที่บางคนรู้จักเป็นอย่างดี แต่ก็อาจเป็นชื่อที่บางคนเกาหัวแกรก ๆ แล้วถามว่า “ใครวะ?” แต่ถ้า UNLOCKMEN แปะผลงาน Political Art ฝีมือเขาให้ดู เชื่อว่าเกือบทุกคนต้องร้องอ๋อแน่นอน เพราะผลงานเขาที่แผลงฤทธิ์ด้วยการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์สังคมการเมืองได้แบบดุเดือดชนิดที่เป็นคนไม่สนใจการเมืองก็ต้องเคยเห็นเพื่อนแชร์งานเขาผ่านตามาแน่ ๆ ถ้าจะให้พูดแบบสั้น ๆ Headache Stencil คือศิลปินสตรีทอาร์ตที่ทำงาน Political Art เพื่อตั้งคำถามกับความไม่ปกติในสังคม แต่ถ้าจะเอาฉบับจุใจ เราก็ชวนคุณมาเสพความคิดของเขาผ่านการพูดคุยครั้งนี้ไปด้วยกัน แต่ถ้าอ่านจบแล้วมันปลุกพลังบางอย่างในตัวคุณให้เดือดพล่านจนดับไม่ลง วันเสาร์นี้ (30 มิถุนายน
หลายคนคงรู้สึกเหมือนกันว่าคนไทยมีพรสวรรค์เรื่องอารมณ์ขันกันไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะมุกคำผวน คำคล้องจอง คำพ้องเสียง หรือมุกสองแง่สองง่ามยิ่งเป็นสิ่งที่ Expert เข้าไปใหญ่ เราเลยไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Page Facebook ที่เอาแต่โพสต์เกี่ยวกับมุกตลก ถึงเป็นที่ถูกอกถูกใจคนไทยจำนวนมาก การันตีด้วยยอดไลก์หลักแสนถึงหลักล้าน UNLOCKMEN อยากพาทุกคนมาพูดคุยกับเจ้าของ Page Facebook ที่กำลังมาแรงในตอนนี้อย่าง “JOOK GRU” ที่เราอาจคุ้นหูคุ้นตากันดีสำหรับมุกตลกสามช่องของเขา บางคนอาจขำจนท้องแข็ง บางคนก็ขำแห้ง ๆ ยิ้มมุมปาก แต่ก็ยังได้พลังบวกกระตุ้นอารมณ์ขันให้กับวันที่เหน็ดเหนื่อยได้แหละน่า มาดูกันว่าจากมุมมองของเจ้าของมุกตลก อะไรที่ทำให้ตัวละครสุดกวนอย่าง จุ๊ก และ อาแปะ เป็นขวัญใจของแฟน ๆ ได้ขนาดนี้ และเส้นทางกว่าจะมาเป็นเพจหลักแสนที่ครองใจคนอ่านในเรื่องความฮา เขาต้องเจออะไรมาบ้าง เรานัดคุณสมูธที่ร้านกาแฟย่าน RCA ในบรรยากาศสบาย ๆ และเริ่มต้นพูดคุยกันถึงที่มาของเพจ และเราก็ต้องเซอร์ไพรส์เมื่อความตั้งใจแรกเริ่ม มันไม่ได้มาจากการอยากเล่นมุกตลก และคุณสมูธเองก็ไม่ได้อินกับ Page ตลกมากนัก มาดูเหตุผลและที่มา ช่วยเล่าที่มาของ JOOK GRU หน่อย “จริง ๆ JOOK GRU ไม่ได้มาจากการทำเพจครับ มันเริ่มจากการที่เราทำสติกเกอร์ LINE
เป็นเรื่องน่ายินดีที่ผู้ชายอย่างเราหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น เรียกได้ว่ามียิมเป็นบ้านหลังที่ 3 ก็ว่าได้ แถมความรู้นี่แน่นราวกับกล้ามแขน ควรเทรนยังไง ควรทานยังไง วางโปรแกรม workout ประมาณไหน รู้หมด และถ้าจะให้ยิ่งชัวร์ เมื่อรู้ว่าอะไรควรแล้ว ก็ต้องรู้ว่าอะไรที่ไม่ควรทำทั้งก่อน และหลังเข้ายิม แน่นอนว่านอกจากการ warm up และยืดกล้ามเนื้อก่อนเทรน รวมถึง cool down และยืดกล้ามเนื้อหลังฝึกเสร็จแล้ว ยังมีอีกหลายสิ่งที่ไม่ควรทำ ซึ่งบางอย่าอาจเป็นสิ่งที่เรามองข้ามไปก็ได้ ลองดูว่าเราเผลอทำสิ่งที่ว่านี้ในช่วงเวลาก่อนและหลังจัดหนักในยิมหรือไม่ ถ้าใช่ ก็ควรเลิกทำสิ่งเหล่านี้ จะได้ฟิตได้สุด ๆ แบบไม่มีอะไรมาฉุด ยืดกล้ามเนื้อมากเกินไป การยืดกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกายคือการเตรียมร่างกายให้พร้อมยืดเหยียดได้เต็มที่ และลดความเสี่ยงบาดเจ็บ แต่ก็ต้องดูตามความเหมาะสมด้วย Michael Olajide Jr. อดีตนักมวยอาชีพ เทรนเนอร์ และผู้ร่วมก่อตั้ง Super-Gym Aerospace แนะนำว่า “จากประสบการณ์ของผม การยืดกล้ามเนื้อก่อนการวิ่ง, ต่อยมวย และปั่นจักรยาน อาจไม่ต้องยืดให้สุดมากก็ได้ เนื่องจากการออกกำลังกายเหล่านี้ใช้น้ำหนักตัวของคุณเอง และมีการเคลื่อนไหวของร่างกายแบบสุดเหยียดอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณออกกำลังกายแบบจำกัดการเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวทางเดียว อย่างเวทเทรนนิ่งกับแมชชีน เวทเทรนนิ่งหนัก
แม้การพักผ่อนในพื้นที่ส่วนตัวอย่าง “บ้าน” หรือ “คอนโด” คือชั่วโมงความผ่อนคลายของผู้ชายอย่างพวกเรา แต่เชื่อว่าบางครั้งคืนวันอันสงบสุขคงต้องเคยโดนทำลายจากแขกไม่คาดฝันเพราะเสียงรบกวนอย่างเสียงน้ำหยด ที่ขยันดัง “ติ๋ง ๆ” จากก๊อกหรือฝักบัวที่เราเพิ่งใช้งานมันไป ปัญหานี้อาจจะดูเหมือนเล็กน้อย แต่สำหรับคนที่กำลังปั้นไอเดียส่งงานหรือกำลังนอน มันสุดแสนจะหงุดหงิด! เพื่อแก้ปัญหานั้น UNLOCKMEN เชื่อว่าหนุ่ม ๆ หลายคนคงต้องเคยเอานิ้วตัวเองอุดก๊อกหวังว่ามันจะเลิกหยด แต่พอเอามือออก น้ำเจ้ากรรมมันก็ดันโผล่มาค้างอีกไม่หายสักทีจนสุดเราต้องยอมแพ้ ! ทว่า UNLOCKMEN เชื่อในพลังของพ่อบ้าน เพราะสาว ๆ ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ยามที่เราแก้ปัญหาเรื่องทางบ้าน เป็นช่วงที่มีเสน่ห์มากมายเหลือเกิน “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” ดังนั้น ครั้งนี้เราขอพาผู้ชายทุกคนทะลวงปัญหาง่าย ๆ นี้จากบทวิจัยที่เราเก็บมาฝากนั่นเอง ทำไมน้ำหยดดังติ๋ง เคยคิดกันไหมว่าเสียงน้ำที่หยดจากก๊อกกระทบพื้นซิงค์หรือพื้นกระเบื้องในห้องน้ำทำไมถึงหยดดังติ๋ง ? คุณคงคิดว่าถามอะไรโง่ ๆ มันต้องเกิดจากหยดน้ำกระทบพื้นอยู่แล้ว คำตอบนี้มันถูกต้องเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะถ้าเราสังเกตให้ดี บางจังหวะเสียงติ๋งก็หายไปทั้งที่มันยังหยดอยู่ Dr. Anurag Agarwal จากภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้แรงบันดาลใจการศึกษาเรื่องนี้หลังจากไปบ้านเพื่อนที่หลังคารั่ว จึงนำประเด็นนี้กลับมาปรึกษากับทีมว่าเคยมีใครหาที่มาของเสียงนี้ที่แท้จริงแล้วหรือยัง ซึ่งทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่” เขาจึงตั้งกล้องความเร็วสูงจับปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นหลังจากน้ำหยด ผลลัพธ์ของภาพที่ได้มาทำให้สาวไปถึงสาเหตุได้ว่า ต้นตอของเสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของฟองอากาศขนาดเล็กใต้ผิวน้ำที่เกิดจากแรงตึงผิวขณะหยดกระทบต่างหาก เล่าไปอาจจะยังไม่เห็นภาพเราลองมาดูภาพจากทีมวิจัยที่นำกล้องความเร็วสูงจับปฏิกิริยาการหยดของน้ำตามลำดับภาพด้านล่างกันดู
ภาษากายนั้นเป็นสื่อในการสื่อสารอย่างหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนสามารถแสดงความหมายต่าง ๆ ออกมาได้แม้ไม่ต้องใช้คำพูดใด ๆ ก็ตาม มันมีทั้งประโยชน์มากมาย แต่ก็เป็นโทษได้หากเราไม่ระมัดระวัง ยิ่งถ้าเป็นภาษากายที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกในแง่ลบแล้ว ยิ่งต้องสำรวจตัวเองกันหน่อยว่าเราเองทำบ่อยมั้ย มันกลายเป็นความเคยชินหรือเปล่า ? และที่แย่ที่สุดก็คือ มันอาจทำให้เราสูญเสียโอกาสดี ๆ ที่นาน ๆ จะมาทีก็ได้ จากผลการสำรวจของ TalentSmart ที่ทดสอบกับคนกว่าล้านคนพบว่า ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มคนที่มีตำแหน่งงานในระดับสูง มักจะมีตัวเลข EQ ที่ค่อนข้างพุ่ง ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้รู้ดีว่าพลังของภาษากายนั้นมีมากแค่ไหน และมักจะสำรวจตัวเองในเรื่องนี้เสมอ เพราะฉะนั้น เพื่อความไม่ตายน้ำตื้นของผู้ชายที่กระหายความสำเร็จอย่างเรา มาดูกันดีกว่า ว่าภาษากายแบบไหนที่อาจพาเราดำดิ่งได้แบบไม่รู้ตัว จะได้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ก่อนสายเกินไป ใช้มือมากเกิน อย่าคิดลึกครับหนุ่ม ๆ การใช้มือมากเกินในที่นี้คือการขยับมือไม้มากเกินเวลาสนทนา ราวกับว่าคุณกำลังจะใช้กำลังภายในอะไรอย่างนั้น ซึ่งมันดูเหมือนกับว่าคุณปรุงแต่งสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารมากเกินไป พยายามควบคุมมือไม้ให้ดี ใช้เท่าที่จำเป็น อาจจะผายมือออกมาช้า ๆ โชว์ฝ่ามือให้ทุกคนเห็นเวลาที่พูดอะไรออกไป แบบนี้จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าคุณไม่ได้เสแสร้ง ดูรุ่นใหญ่ และมั่นใจ กอดอกตลอด การกอดอกเป็นภาษากายกึ่งอัตโนมัติเวลาที่คุณสร้างกำแพงทางความคิดขวางไอเดียของคนที่สนทนาด้วย แม้ว่าจะยิ้มอยู่ หรือกอดอกหลวม ๆ ก็อาจทำให้คนข้างหน้ารู้สึกอึดอัดได้ไม่มากก็น้อย พยายามอย่ากอดอกแบบเหมือนทากาวไว้
สกิลลื่นไหลตอนเจอปัญหาเฉพาะหน้า เป็นอะไรที่เฉพาะตัวอยู่เหมือนกัน เพราะแต่ละคนก็มีวิธีที่ต่างกันไป บางคนมุดซ้ายมุดขวา หลบปัญหาไปได้แบบดิจิทัล แต่บางคนก็ได้แต่ยืนขาแข็ง อุทานในใจซ้ำ ๆ หลายสิบรอบว่า “ซวยแล้วกู!” ไม่ว่าคุณจะเป็นแบบไหน UNLOCKMEN ชวนเพิ่มเติมสกิลลื่นไหล เมื่อเจอปัญหาตึงเครียด ไม่ว่าจะเป็นกับครอบครัว คนรัก หรือแม้แต่ในที่ทำงาน โชว์แมนแบบเหนือชั้น ด้วยการลอยตัวเหนือปัญหา ให้เห็นไปเลยว่าใครคุมเกมอยู่ คุมภาษากายให้ดี สเต็ปแรกของการเอาอีกฝ่ายให้อยู่หมัด แม้อีกฝ่ายกำลังเดือดเป็นภูเขาไฟพร้อมปะทุอยู่ตลอดเวลาก็ตาม นั่นคือ “อย่าแสดงท่าทีหยาบคาย” ซึ่งเป็นคนละอย่างกับการพูดจาหยาบคาย (ซึ่งก็ไม่ควรเช่นกัน) ในเวลาที่เรารู้สึกไม่พอใจ แม้จะไม่ได้แสดงออกเป็นคำพูดที่รุนแรง แต่มันอาจจะเผลอสื่อออกมาทางภาษากายโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ อย่างอาการเบสิก ๆ เช่น ตาขวาง เบะปาก มองบน กอดอก เชิดหน้า มันทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าคุณกำลังแข็งกระด้างใส่เขา และกำลังเอาอีโก้ขึ้นมานำหน้า ซึ่งมันไม่ใช่ทางออกที่ดีแน่นอน แม้ว่าอีกฝ่ายจะหัวเสียแค่ไหน หรือเขาจะแสดงออกแบบก้าวร้าวแค่ไหน เราไม่จำเป็นต้องไหลไปตามเขา เราต้องโชว์การคุมเกมด้วยการคุมตัวเองก่อน ทั้งแววตา และท่าทาง ต้องแสดงออกแบบเป็นมิตร ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเรากำลังเปิดรับความคิดเห็นของเขา หลีกเลี่ยงการแสดงออกที่แข็งกระด้าง แสดงออกว่าคุณพร้อมรับฟัง และแก้ปัญหานี้ด้วยความจริงใจ ไม่ปิดกั้น ไม่ใช่ว่าทำเป็นเหมือนฟัง แต่ตั้งกำแพงเอาไว้แล้ว
หมดไฟ แก้ยังไงดี ติ๊ดๆๆๆ ติ๊ดๆๆๆ เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นจากสมาร์ทโฟนที่ตั้งอยู่ข้างเตียง คุณลืมตาขึ้นมา ลุกขึ้นนั่ง และคิดกับตัวเองว่า ไม่ไปทำงานได้ไหม เหนื่อยจัง เมื่อไหร่จะเสาร์-อาทิตย์ซักที ก่อนจะลุกจากเตียงอย่างช้าๆมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำเพื่อทำภารกิจส่วนตัวตอนเช้าให้เสร็จสิ้น และเดินทางไปทำงานต่อไป คุณมาถึงที่ทำงานด้วยสภาพซอมบี้ เดินเอื่อยเฉื่อย ทำทุกอย่าง ๆ ช้า ๆ หรือทำทุกอย่าง ๆ รวดเร็วโดยความไม่เต็มใจ อันเนื่องมาจากสภาพความกดดันที่ได้รับมาจากสิ่งที่เรียกว่ากำหนดส่งงานที่บีบเข้ามาทุกที ทำไมงานของฉันมันถึงน่าเบื่อขนาดนี้ ทำไมฉันถึงไม่มีแรงบันดาลใจในการทำงานเหมือนเก่า ทั้งๆที่นี่ก็เคยเป็นงานที่ฉันรู้สึกว่า มันสนุก มันเติมเต็ม มันทำให้ฉันเติบโตในช่วงแรกๆนี่หน่า ถ้าคุณมีคำถามเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่ในความคิดบ่อยๆ มันอาจไม่ใช่สัญญาณที่ดีซักเท่าไหร่ เพราะนั่นบ่งบอกว่าคุณกำลังอยู่ในสภาวะของการหมดไฟในการทำงาน (Burnout) นั่นเอง หมดไฟ ได้ไงกัน! ส่วนผสมสำคัญของการดับไฟเกิดขึ้นมาจาก 3 ส่วนสำคัญคือ ความเหนื่อยล้าทางร่างกาย การสูญสิ้นซึ่งความกระตือรือร้นในสิ่งที่ทำ (พูดง่าย ๆ คือไม่รู้ว่ากำลังทำมันไปทำไม) และสุดท้ายการไม่พึงพอใจในประสิทธิภาพการทำงานของตัวเอง (เช่น ทำมากแต่ได้น้อย ทำงานซ้ำซ้อน เสียเวลา ทำไปไม่ได้ใช้ ทำทำไมวะ! เป็นต้น) ซึ่งทั้ง 3 ส่วนผสมที่ว่านี้ไม่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นพร้อมกันก็ได้
สำหรับผู้ชายขี้อายหลายคน อาจจะรู้ตัวกันอยู่แล้วว่าเรามันขี้อายแค่ไหน แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าอะไรที่มันยังฉุดรั้งเราไว้ ทำให้เราก้าวข้ามความขี้อายไปไม่ได้ซะที ให้มองจากมุมของตัวเองมันก็ยาก เหมือนอะไรที่มันอยู่ใกล้มาก ๆ เรามักจะมองไม่เห็น ลองมาสำรวจตัวเองกับ UNLOCKMEN ที่จะพามาดูจุดอ่อนของหนุ่มขี้อาย ที่เป็นเหมือนกับดักที่ทำให้เราก้าวข้ามไปไม่ได้สักที มาดูกันว่าเรามีข้อไหนบ้าง แล้วกำจัดมันไปให้พ้นทาง อาจถึงเวลาที่เราจะได้เฉิดฉายสลัดภาพหนุ่มขี้อายออกไปได้แล้ว เอาแต่เก็บไอเดียดี ๆ ไว้กับตัวเอง ไม่ต้องตกใจไป มันเป็นปกติของหนุ่มขี้อายเอามาก ๆ หลายคนก็เป็นแบบนี้นี่แหละ เราอาจพลาดการแชร์สกิล โชว์ความเจ๋งของตัวเองหรือความรู้ดี ๆ ไป เพราะความไม่มั่นใจในตัวเอง ที่ทำให้เราคิดว่าคนอื่นเขาก็รู้เหมือนเรานั่นแหละ หรือคนอื่นเขาไม่ได้อยากจะรู้เรื่องของเราสักหน่อย เราไม่จำเป็นต้องพูดออกไปหรอก ถ้าทำแบบนี้อยู่ รีบเลิกแบบด่วน ๆ เพราะการคิดแทนคนอื่น มันไม่เวิร์คเอาซะเลย โดยเฉพาะการทำงานแบบ teamwork การหยิบไอเดียของตัวเองออกมาให้คนอื่นได้เห็นของดีที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา อย่ามัวคิดว่าคนอื่นเขารู้อยู่แล้วว่าเราคิดอะไรอยู่ ไม่มีใครรู้หรอกจนกว่าเราจะพูดออกมา คิดเยอะอย่างเดียว แต่ไม่บอกความต้องการของตัวเอง มันง่ายแหละที่จะปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งลงไปในปัญหา โดยไม่คิดแก้อะไร แค่ปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามอารมณ์แบบนั้น ไม่ทำแม้กระทั่งถามตัวเองว่าจริง ๆ ต้องการอะไร หากมีปัญหาแค่กับเรื่องส่วนตัว ตีกันในหัวตัวเอง มันไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก หากมีปัญหาที่ต้องดีลกับคนอื่นด้วย แต่ไม่กล้าที่จะบอกไปตรง ๆ ว่าตัวเองต้องการอะไร ปล่อยให้คนอื่นเดาเอาเอง หรือเออออไปตามสถานการณ์ มันก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
ในชีวิตเราย่อมต้องเจอกับวันหนัก ๆ ที่ทำให้เราคิดว่ามันเป็นวันแย่ ๆ จะมีทั้งคนที่คิดว่าปัญหามันช่างหนักเหลือเกิน กับคนที่ไม่แม้แต่มองว่ามันเป็นปัญหาด้วยซ้ำ สิ่งที่เราต้องการก็แค่เรื่องดี ๆ แค่เล็กน้อยโผล่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นอากาศดี ๆ หันไปเจอต้นไม้สวย ๆ หรือเจอคนรู้ใจที่ทำให้เรายิ้มได้ ก็เพียงพอจะทำให้ความคิดด้านลบอันแสนหนักหน่วง ที่เคยคิดว่ามันคืออุปสรรคก้อนโตอันน่าหม่นหมอง แหลกสลายหายกลายเป็นผุยผงหายไปในชั่วพริบตา ดั่งคำโบราณบอกไว้ว่า “stopping to smell the roses” แค่เรารู้จักหยุด เพื่อชื่นชมความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ รอบตัวบ้าง ก็ดีเพียงพอที่จะช่วยสร้างความสุขให้ชีวิตเราได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ บางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่าความสุขในชีวิตได้มาอย่างยากลำบาก ต้องมีรถหรูคันงานราคาหลายล้านบาท ต้องมีบ้านหลังใหญ่โตหลายไร่ ต้องประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นเจ้าของกิจการขนาดใหญ่หลายพันล้าน แต่ในปรัชญาของชาวญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่อเรื่องการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขท่ามกลางระเบียบหนาแน่นของสังคมนั้น กลับเต็มไปด้วยความสุขสบายใจในการใช้ชีวิตซึ่งผ่านการบาลานซ์มาอย่างดี ซึ่งเป็นปรัชญาที่โด่งดัง และได้รับการพิสูจน์ว่าดีจนถูกนำไปปรับใช้ทั่วโลก เรียกว่า “Ikigai (อิ-คิ-ไก)” เป็นแนวคิดที่บอกว่า เราไม่ต้องการโลกทั้งใบ เพื่อจะหาความสุขในชีวิต แต่เราแค่รู้จักชื่นชมสิ่งที่ยิ่งใหญ่จากเรื่องเล็กน้อยรอบตัว ก็ช่วยสร้างความสุขได้มากและยั่งยืนกว่านั่นเอง Ikigai ปรัชญาของคนญี่ปุ่นที่โด่งดังในย่านโอกินาว่า ย่านที่ผู้คนมีความสุขและอายุยืนกว่ามาตรฐานชาวโลก โดยความหมายของคำว่า Iki หมายถึง ชีวิต และ Kai
“ติดเกม ไม่ติดเกม” ยังเป็นประเด็นที่มาแรงเสมอ โดยเฉพาะกับหนุ่มทุกคนที่ Work กันเต็มเหนี่ยว Play กันแบบเข้าเส้นไม่ว่าจะอายุขนาดไหน ถ้ายังจำกันได้เมื่อปลายปีที่แล้ว “โรคติดเกม” ได้รับการวิเคราะห์จากนักจิตวิทยาจัดให้เป็นหนึ่งในอาการทางจิตและได้รับการรับรองโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) และล่าสุดจัดให้เป็นโรคที่ควรได้รับการบำบัดรักษาทางการแพทย์โดยเผยแพร่ผ่านคู่มือสำหรับการวินิจฉัยและจัดประเภทของโรคระหว่างประเทศ หรือ ICD (The International Classification of Diseases) “Game Disorder” คือคำนิยามโรคสำหรับเรียกอาการติดเกม ซึ่งพี่ใหญ่ WHO เขาให้คำอธิบายโรคนี้ใน ICD เอาไว้ว่า “อาการติดเกมไม่ว่าจะเป็นรูปแบบดิจิทัลหรือวิดีโอเกม โดยมีพฤติกรรมการเล่นเกมต่อเนื่องซ้ำกันไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า ในปริมาณที่มากกว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น” ภายใต้เงื่อนไขที่เป็นคีย์หลัก 3 เรื่อง ได้แก่ ไม่สามารถควบคุมการเล่นเกมได้ ทั้งการเริ่มต้นเล่น ความถี่ ความรุนแรง ระยะเวลา การเลิกเล่นเกม ไปจนถึงบริบทอื่น ๆ การให้ความสำคัญกับการเล่นเกมเหนือกิจกรรมอื่นในชีวิตและกิจวัตรประจำวัน แม้พบผลเสียหรือเกิดผลกระทบในทางลบกับตัวเองก็ไม่สามารถหยุดการเล่นเกมได้ Shekhar Saxena ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตและการใช้สารเสพติดบอกว่า สถิติที่เรียกได้ว่าเป็นขั้นที่แย่ที่สุดตั้งแต่เคยพบมาในโลกนี้คือ gamer ที่เล่นเกมต่อเนื่องแบบไม่ทำอย่างอื่นติดต่อกัน 20 ชั่วโมง ข้าวไม่กิน นอนไม่นอน
ถ้าจะพูดถึงซูเปอร์สตาร์ประจำ FIFA World Cup Russia 2018 และทุกทัวร์นาเม้นต์ฟุตบอลในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แน่นอนว่าต้องมีชื่อของ ‘CR7’ Cristiano Ronaldo สุดยอดกองหน้าทีมชาติโปรตุเกสจากสโมสร Real Madrid โคตรแข้งวัย 33 ปีรายนี้ไม่ได้แค่เรื่องฝีเท้าในสนามและความเนื้อหอมนอกสนามให้ฮือฮาเท่านั้น แต่ยังเป็นนักเตะที่ฟิตมาก ๆ ส่งผลต่อผลงานในสนามอย่างเห็นได้ชัด สามสิบกว่าแต่ยังขึ้นแท่นระดับโลกแบบแรงไม่ตก ความเร็วสูง คล่องตัวจัด ยิงโคตรแรง ร่างโคตรแกร่ง แถมยังดูแลตัวเองดีสุด ๆ ชายหลายคนอยากได้หุ่นแบบเขา ขณะที่สาวหลายคนก็อยาก…ให้แฟนตัวเองมีหุ่นแบบเขา (อย่าคิดลึก) โดย CR7 เคยได้รับคำชมจาก Arnold Schwarzenegger ดาราฮอลลีวู้ดรุ่นใหญ่ อดีตแชมป์เพาะกายโลก ว่า “เป็นนักกีฬาที่มีรูปร่างสุดยอด” แต่จะให้ผู้ชายอย่างเรามีหุ่นแบบกัปตันทีมโปรตุเกสแบบเป๊ะ ๆ ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าได้ออกกำลังตามแนวทางของ Cristiano ก็จะช่วยให้เราแข็งแกร่ง และมีรูปร่างที่ดีขึ้นแน่นอน นี่คือโปรมแกรม workout ในแบบเขาที่เราเอามาฝากกัน MONDAY – Lower Body Circuit Barbell squat: 8
หลังจากผ่านสัปดาห์แรกของฟุตบอลโลกมาแล้ว เชื่อว่าหลายกระแสคงจะพุ่งเป้าไปที่เรื่องผลงานในสนามของสองนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดแห่งยุคอย่าง Cristiano Ronaldo และ Lionel Messi เพราะคาดว่าทัวร์นาเมนต์นี้จะเป็นรายการเมเจอร์ใหญ่สุดท้ายของทั้งคู่ ที่ได้แสดงฤทธิ์เดชของตนเอง เนื่องจากตลอดสิบปีที่ผ่าน มักมีการเปรียบเทียบว่าใครกันแน่คือเบอร์ 1 ของโลก แต่เมื่อผ่านนัดแรกไป สิ่งที่ปรากฎคือแม้จะเก็บผลเสมอมาด้วยกันทั้งคู่ ทว่า Messi กลับโดนวิจารณ์อย่างหนักทั้งเรื่องการยิงจุดโทษผิดพลาด และไม่สามารถทำประตูได้เลย แตกต่างจาก Ronaldo เพราะจัดการกระทุ้งประตูไปถึง 3 ดอกด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นจุดโทษ ฟรีคิก ยิงไกล นักฟุตบอลเจ้าของฉายา เจ็ดโด้ เก็บเรียบหมด ซึ่ง UNLOCKMEN คงจะไม่มานั่งพูดความยาวสาวความยืดเกี่ยวกับเรื่องของฟุตบอลอีกแล้ว เพราะเชื่อว่าหนุ่ม ๆ คงได้รับข้อมูลข่าวสารนี้มาจากสื่ออื่น ๆ นับครั้งไม่ถ้วน แต่วันนี้เราจะขอมาเปรียบชีวิตไลฟ์สไตล์ของทั้งสองว่า แบบไหนที่ Beyond ในสายตาชาว UNLOCKMEN มากกว่ากัน GIRL ถ้าเทียบกันในเรื่องของผู้หญิงแล้วต้องบอกเลยว่า Messi ค่อนข้างจะเป็นรอง Ronaldo ชนิดแทบไม่เห็นฝุ่น เนื่องจากรายหลังนี้เปลี่ยนแฟนบ่อยเป็นว่าเล่น จนได้ฉายา Playboy แห่งวงการลูกหนัง แถมที่สำคัญรายชื่ออดีตสาว