คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 นั้นเป็นสิ่งที่สร้างผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกเป็นวงกว้าง ครอบคลุมในทุกมิติทั้งทางด้านการสาธารณสุข เศรษฐกิจ และที่เห็นได้ชัดและใกล้ตัวที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงไปของวิถีชีวิตสู่รูปแบบ New Normal หรือปกติวิถีแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อลดผลกระทบของโรคติดต่อ ซึ่งก่อให้เกิดมาตรการ Lockdown กับความจำเป็นที่ต้องปิดสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นห้างค้าปลีก ร้านอาหาร สถานบันเทิง ฯลฯ ทำให้หลากหลายอาชีพต้อง “ว่างงาน” แม้ในปัจจุบันจะเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ แต่ตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน COVID-19 ทุกคนน่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าการใช้ชีวิต การทำมาหากิน คงจะยังไม่คล่องตัวเหมือนยุคก่อน COVID ไปอีกสักพัก และที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ หากจะให้พูดถึงอีกหนึ่งกลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบไปแบบเต็ม ๆ คงหนีไม่พ้นอาชีพ “นักร้อง นักดนตรี ดีเจ” ในร้านอาหาร ผับ บาร์ ที่ในช่วงต้นของมาตรการ Lockdown จำต้องอยู่ในภาวะไร้เวทีในการส่งมอบเสียงเพลง ความมันส์ รวมถึงความสุขให้ผู้ฟัง ซึ่งอีกแง่หนึ่งมันหมายถึงการขาดรายได้ในการหล่อเลี้ยงชีวิตเช่นกัน แต่สุดท้ายในวิกฤติที่ดูมืดมน ก็ได้มีโปรเจ็กต์ “เราไม่ทิ้งกัน มันส์กว่า” จาก LEO ผุดขึ้นมาเพื่อเปิดโอกาสการสร้างรายได้ให้กับนักดนตรี นักร้อง ดีเจ
ช่วงนึงของชีวิตเรา เราแทบไม่เคยกลับบ้านด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่อยู่กับเพื่อนหรือไม่ก็จบที่ผจญภัยเที่ยวที่ไหนสักแห่ง แต่ระยะเราทุกคนพร้อมใจอยู่บ้านช่วยชาติ แต่การทำอะไรเดิม ๆ ไม่มีอะไรท้าทายอาจจะทำให้เราเสียเวลาไปแบบเปล่าประโยชน์ UNLOCKMEN ขอแนะนำคอร์สกิจกรรมสนุก ๆ ช่วยเพิ่มความครีเอทีฟให้สาวกที่มีอุปกรณ์จากค่าย Apple ไปเลยฟรี ๆ เนื่องจากตอนนี้ Apple Store เขาเปิดโซนฝึกวิชาออนไลน์ ปลุกความคิดสร้างสรรค์ได้จากในบ้านใน “Today at Apple at home” ซึ่งปกติเป็นโปรเจ็กต์ที่ฝั่ง Apple เขาเปิดให้ลูกค้าเข้าไปเรียนรู้ด้วยการนำอุปกรณ์ไปเรียนรู้ในศูนย์เท่านั้น iPad ในมือ จับมาวาดให้หายคัน เริ่มด้วยกระดานชนวนอิเล็กทรอนิกส์อย่าง iPad ชิ้นนี้หลายคนคงรู้คุณสมบัติเด่นอยู่แล้วว่ามันมาพร้อมปากกา Apple Pencil จึงเหมาะกับการนำมาวาดภาพ คอร์สนี้เป็นการฝึกถ่ายภาพบุคคลและแต่งรูปด้วย iPad สอนโดย Harriet จาก Apple Regent Street เมือง London บอกเทคนิคง่าย ๆ ของการถ่ายและแต่งภาพให้เจ๋งตั้งแต่การเลือกแสง เลือกพื้นหลัง และเลือกลายเส้น เพื่อเปลี่ยนภาพนั้นให้กลายเป็นภาพ profile สุดพิเศษที่สามารถเปลี่ยนได้ทุกวันแม้ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน ระยะเวลา:
หากจะให้พูดถึงความน่าหลงใหลในมนต์เสน่ห์แห่งเรือนเวลา ประเด็นหลัก ๆ ที่บรรดาเซียนนาฬิกาทั้งหลายไม่พลาดที่จะกล่าวถึงคงหนีไม่พ้นชื่อชั้นประวัติศาสตร์แบรนด์ ตลอดจนเรื่องราวของวัสดุชั้นยอด งานดีไซน์ที่งดงาม และแน่นอนว่าจะขาดไปไม่ได้กับสิ่งที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของนาฬิกา นั่นก็คือกลไกเครื่องบอกเวลาสุดซับซ้อน อีกหนึ่งความมหัศจรรย์ที่คิดค้นสร้างสรรค์จากฝีมือมนุษย์ เพื่อให้ได้มาซึ่งการบอกเวลาที่แม่นยำในระดับเสี้ยววินาที ซึ่งชื่อของแบรนด์นาฬิกาหรูระดับโลกสัญชาติสวิสอย่าง OMEGA ถือเป็นอีกสัญลักษณ์ของการบอกเวลาอันเที่ยงตรงแม่นยำ ที่เหล่านักสะสมนาฬิกาต่างรู้จักกันดี กับเรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์ที่สามารถการันตีถึงความใส่ใจในความแม่นยำของกลไกบอกเวลาแบบสุดขั้ว นับย้อนไปในปี ค.ศ.1848 ที่บุรุษนามว่า Louis Brandt (หลุยส์ บลาดต์) ริเริ่มก่อตั้งบริษัทนาฬิกา ด้วยความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะประดิษฐ์กลไกบอกเวลาความแม่นยำสูงสุดเท่าที่เคยมีมา จนกระทั่งในปีค.ศ. 1894 แม้ Louis Brandt จะจากโลกนี้ไป แต่ความอุตสาหะของเขาได้ผลิดอกออกผลในรุ่นลูก ที่ยังคงมุ่งมั่นพัฒนากลไกบอกเวลา จนเกิดเป็นผลงานชิ้นสำคัญ นั่นคือกลไก 19-ligne ‘OMEGA’ calibre (19-ลิญจน์ ‘โอเมก้า’ คาลิเบอร์) ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ถูกยกให้เป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมนาฬิกาครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งบนหน้าประวัติศาสตร์ และชื่อ ‘OMEGA’ ของกลไกบอกเวลารุ่นตำนานในครั้งนั้น ได้กลายมาเป็นชื่อแบรนด์ที่รู้จักกันไปทั่วโลกจวบจนถึงปัจจุบัน และต้องบอกว่า OMEGA คือผู้ผลิตนาฬิการายเดียวของโลกที่ตั้งชื่อแบรนด์ตามชื่อกลไกบอกเวลาประสิทธิภาพสูงที่ตัวเองคิดค้นขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ เพื่อให้ชื่อนี้เป็นตัวแทนเรื่องราวของเรือนเวลาที่ใส่ใจในกลไกที่เที่ยงตรงแม่นยำจากจุดเริ่มต้นมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งตลอดเส้นทางที่ผ่านมา OMEGA ได้พิสูจน์ตัวเองด้วยการคว้ารางวัลจากการทดสอบความแม่นยำมาแล้วนับไม่ถ้วน และหนึ่งในตัวอย่างชัดเจนที่สุดก็คือ การได้รับความไว้วางใจในฐานะผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกตั้งแต่ปีค.ศ. 1932 จนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่าสถิติของนักกีฬาที่ดีที่สุดในโลก ล้วนมาจากการบันทึกเวลาที่แม่นยำและเชื่อถือได้ของ
ตั้งแต่ปี 1905 เป็นต้นมา บริษัท Rolex SA ก็ได้ผลิตนาฬิกาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ และความหรูหราที่เรียกได้ว่าเป็นที่สุดของโลกมาโดยตลอด แน่นอนว่า การที่คุณกดเข้ามาดูบทความที่เรากำลังเขียนอยู่นี้ คุณต้องรู้อยู่แล้วว่าเรากำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร ที่เราเขียนบทความนี้ขึ้นมาก็เพราะว่า ก่อนที่คุณจะนำเงินจำนวนไม่น้อยไปให้กับคนแปลกหน้า เพื่อแลกกับนาฬิกาในฝันมาสักเรือนนั้น คุณจำเป็นต้องมีความชัวร์ และมั่นใจได้ว่า มันเป็นของแท้เท่านั้น เพราะการซื้อนาฬิกาอย่าง Rolex มันไม่ใช่เพียงแค่การซื้อเรือนเวลา แต่มันเป็นการลงทุนที่จะทำให้คุณมีผลกำไรต่อในอนาคต และยังเป็นทรัพย์สมบัติที่คุณสามารถส่งต่อไปให้กับลูกหลานของคุณได้อีกด้วย สรรพคุณของนาฬิกาอย่าง Rolex มีมากมายขนาดนี้ แน่นอนว่าใครก็ต้องอยากได้เป็นธรรมดา เพียงแต่ว่าจะมีสักกี่คนที่รู้ว่า Rolex ที่คุณกำลังจะซื้อนั้น เป็นของจริงแน่นอน ไม่ใช่ของปลอมจากเสิ่นเจิ้น ดังนั้นวันนี้ เราจึงนำเอาวิธีง่ายๆ ที่จะบอกได้ว่า Rolex ที่อยู่ตรงหน้าคุณนั้น มันเป็นของเก๊ หรือของจริง มาให้ได้ดูกัน The Weight การที่จะยอมให้ลูกค้าจ่ายเงินจำนวนมากได้นั้น ย่อมต้องแลกมาด้วยคุณภาพที่สมราคาด้วยเช่นกัน ดังนั้น นาฬิกาอย่าง Rolex จึงเลือกใช้แต่วัสดุที่มีคุณภาพ และดีที่สุดเท่านั้น ในการผลิตนาฬิกาของพวกเค้า ไม่ว่าจะเป็น อัญมณี, ทองคำ หรือ สแตนเลสสตีล 904L
เรามักจะเห็นผู้หญิงจับกลุ่มกันเรียกร้องสิทธิ์หรือแสดงความคิดเห็นร่วมกัน เสียงของพวกเธอกลายเป็นไวรัลกระแสหลักในสังคมผ่านสื่อ แต่หลายคนกลับไม่รู้ว่าผู้ชายเราก็มีความเป็นกลุ่มก้อนและรักการสร้าง community ใหม่ ๆ เช่นเดียวกัน แล้วผู้ชายเราคุยกันที่ไหน ผู้ชายอยากคุยกันไหม เราคุยอะไรกัน และเราได้อะไรจากการรวมแก๊ง คำตอบนี้เราคงต้องให้ผู้ชายที่รวมกลุ่มคนจำนวนกว่า 700,000 คน สร้างพื้นที่ขนาดใหญ่บนโลกโซเชียลอย่าง UNLOCKMEN ที่มีผู้เข้าชมในเว็บไซต์ราวสองล้านคนต่อเดือน ไว้ให้ผู้ชายออกมาพูดคุยกันอย่างเปิดเผย ปลดล็อกศักยภาพ มาแชร์แลกเปลี่ยนเรื่องราวของเขาให้เราฟัง เจ้าของบ้าน UNLOCKMEN ที่เริ่มต้นจากคอมพิวเตอร์ 1 ตัวและความคิดของเขา คุณกึ้ง – ชัยพร ไตรวัฒน์ศิริวัฒน์ Editor in chief และผู้ก่อตั้ง UNLOCKMEN “ผู้ชายเป็นกลุ่มคนที่ค่อนข้างซับซ้อน คือเขาอาจจะ comfortable กับคนที่สไตล์เดียวกันเหมือนกับกลุ่มเพื่อน มากกว่าที่จะคุยกับคนแปลกหน้า ผมเลยคิดว่าการสร้าง community แบบนี้ให้คนได้คุยกันจริง ๆ ทำให้เกิด connection มันทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน และเกิดการ learning ถ้าเราไม่ได้แชร์ข้อมูลกับใคร มีอะไรแล้วเก็บไว้คนเดียว มันจะทำให้เราติดกับกรอบความรู้และคำตอบจากความคิดตัวเอง ซึ่งเราอาจจะไม่สามารถพัฒนาไปไหนเลยก็ได้” UNLOCKMEN ที่เข้าใจผู้ชายได้ดีเกิดขึ้นจากจุดเริ่มต้นของผู้ชายที่ไม่ได้สมบูรณ์พร้อม แต่แสวงหาส่วนเติมเต็ม รินน้ำเข้าไปในแก้วเปล่า เพิ่มสกิลเพื่อพัฒนาชีวิตของตัวเอง
คำแนะนำที่มีประโยชน์มาก และใช้ได้ผลจริงอย่างแน่นอน จากสุดยอด Creative “John C Jay”
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าบทความนี้ไม่ใช่การอุปมาอุปมัยอะไรทั้งนั้น แต่เป็นเรื่องจริงที่วิทยาศาสตร์เข้ามาศึกษาตรวจสอบทั้งสิ้น ในชีวิตนี้เรามักได้สนทนากับเพื่อนฝูงกันบ่อยว่า “การตรอมใจ” มันทำให้ตายได้จริงไหม หรือการรู้สึกยอมจำนนกับโลกใบนี้และสิ่งที่ถาโถมเข้าใส่แต่ไม่ลุกมาเอามีดกดบนผิวเนื้อมันจะทำให้เราอยู่ต่อไปได้นานแค่ไหน เมื่อในทางการแพทย์เรายังไม่อาจตายได้จนกว่าหัวใจจะหยุดเต้น สมองจะหยุดสั่งการ แต่วันนี้เราพบคำตอบแล้วว่า คุณตายจริงแน่นอนหากยอมยกธงขาวให้กับการใช้ชีวิตตามระดับขั้นตอนเหล่านี้ ซึ่งวินิจฉัยว่าเป็นอาการที่เรียกว่า Give-up-itis หรือการตรอมใจตาย และจะตายภาย 3 วันหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการยอมแพ้ต่อการมีชีวิตอยู่ Dr. John Leach จาก University of Portsmouth ได้ศึกษาปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “give-up-itis” ซึ่งใช้เรียกแทนอาการ “จิตตาย” ทางการแพทย์ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงและแตกต่างจากสิ่งที่เรียกว่าฆ่าตัวตาย แถมมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องอาการซึมเศร้าด้วยแต่เป็นการหมดอาลัย ยกธงขาวให้กับการใช้ชีวิตเสียเฉย ๆ ซึ่งสิ่งนี้มักเชื่อมโยงกับสมองส่วนหน้าของเราและเป็นเงื่อนไขให้เราตายได้จริง แพทย์สันนิษฐานความตายจาก give-up-itis ว่ามันคือสิ่งที่เปลี่ยนวงจรของ anterior cingulate cortex ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสมองที่มีส่วนต่อการคาดการณ์การตัดสินใจ การควบคุม และตอบสนองต่อความเครียด เรียกง่าย ๆ ว่าปกติเวลาที่เราเจอความผิดปกติส่วนนี้ เรามักจะข้ามผ่านมันได้เพราะว่ามีแรงกระตุ้นของความรู้สึกอยากมีชีวิตต่อไปเป็นแรงขับเคลื่อนจูงใจ แต่ถ้าคิดว่าวันนึงมันไม่มีอะไรไปรักษาแล้วเพราะไม่อยากอยู่แล้ว การเยียวยาทั้งระบบก็ไม่เกิด และมันจะยับยั้งการหลั่งสารโดพามีนซึ่งกระทบกับการทำงานของสมองและร่างกายในที่สุด Dr. Leach ได้อธิบาย 5 ขั้นของการยอมแพ้ทางใจที่จะนำเราไปสู่ความตายตามลำดับดังนี้ Social withdrawal
หากไม่ได้เห็นหน้า แค่เพียงเอ่ยถึงชื่อของ ‘มอร์-วสุพล เกรียงประภากิจ’ หลายคนอาจไม่คุ้นกับชื่อนี้มากนัก แต่ถ้าเอ่ยชื่อของ ‘มอร์-Ten to Twelve’ ภาพของหนุ่มมาดเซอร์นักร้อง, นักแต่งเพลงจากวง Ten to Twelve นั้นคงชัดเจนขึ้นมา ซึ่งก่อนหน้านี้ UNLOCKMEN เคยได้มีโอกาสพูดคุยกับมอร์มาแล้วถึง 2 ครั้งโดยแต่ละครั้งของการพูดคุย สิ่งที่เราสัมผัสได้คือความสามารถที่ล้นเหลือ และพลังงานในการสร้างสรรค์ที่เข้มข้นจากผู้ชายคนนี้ วันนี้จึงถือเป็นโอกาสดี เพราะเรามีนัดพูดคุยกับเขาอีกครั้งที่ LHONG 1919 กับการอัพเดทเรื่องราวชีวิตในขวบปีนี้ของ ‘มอร์-Ten to Twelve’ พร้อมทำความรู้จัก ‘มอร์’ ในมุมมองใหม่ ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ กับความหลงใหลในการถ่ายรูป และสไตล์การถ่ายรูปในแบบฉบับเฉพาะตัว จนทำให้เขาได้มีโอกาสรับหน้าที่เป็น Brand Ambassador ของ FUJIFILM ซึ่งถือเป็นอีกบทบาทใหม่จากอีกหลากหลายบทบาทในชีวิตของเขา และเราจะล้วงลึกเข้าไปปลดล็อคที่มาของแรงบันดาลใจซึ่งดูเหมือนจะไร้ขีดจำกัดของผู้ชายคนนี้ ว่าทำไมมันยังดูเหมือนเป็นพลังที่ลุกโชนอยู่ตลอดเวลา มันมีหมดบ้างมั้ย แล้วอะไรที่ทำให้เขายังคงควบหน้าที่หลายบทบาท ตั้งใจสร้างงานทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลังอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ อย่างที่หลายคนรู้กันดีว่าชีวิตของมอร์มีหลายบทบาทเหลือเกิน ช่วยอัพเดทให้เราฟังหน่อยว่า ตอนนี้กำลังเน้นหนักไปที่บทบาทไหนเป็นพิเศษ ? หลัก ๆ ตอนนี้เราก็ทำผู้กำกับ เป็นผู้กำกับหนังโฆษณา
ถือว่าเป็นข่าวดีรับปีใหม่กันเลยทีเดียวสำหรับยอดเงินบริจาคโครงการ ‘ก้าวคนละก้าวเพื่อ’ ที่มียอดทะลุ 1,200 กว่าล้านบาท จากการที่ได้ ‘นาย อาทิวราห์ คงมาลัย’ หรือ ‘ตูน’ นักร้องนำวง ‘BodySlam’ และทีมงานออกวิ่งจากเบตง – แม่สาย จุดใต้สุดไปจุดเหนือสุดของประเทศ รวมระยะทางสุทธิ 2,215.40 กิโลเมตร เพื่อชวนคนไทยร่วมใจกันบริจาคเงินช่วยเหลือโรงพยาบาล 11 แห่ง ทั่วประเทศ ซึ่งสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ไปเมื่อวานนี้ โดยโครงการนี้ถือเป็นการทำเพื่อสังคมอย่างแท้จริง ด้วยการริเริ่มความคิดที่จะเติมเต็มสิ่งสำคัญที่ยังคงขาดแคลน อย่างอุปกรณ์การแพทย์ให้กับชาวไทย เพื่อที่ทุกพื้นที่ของประเทศไทย และโรงพยาบาลในแต่ภูมิภาคจะได้มีเครื่องมือทางการแพทย์เอาไว้รักษาผู้ป่วยอย่างทั่วถึง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ก็เคยทำไปแล้วครั้งหนึ่งแล้ว ในชื่อโครงการว่า “ก้าวคนละก้าวเพื่อโรงพยาบาลบางสะพาน” ด้วยระยะทางกว่า 400 กิโล จากจังหวัด กรุงเทพฯ ไปจนถึงจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งก็สามารถระดมทุนจากคนไทยทั่วประเทศได้ถึง 85 ล้านบาท และนำเงินไปบริจาคให้ได้สำเร็จเช่นกัน การวิ่งของเขาทั้ง 2 ครั้ง ถือเป็นการวิ่งที่ยิ่งใหญ่ และคงจะไม่มีใครไม่พูดถึงอย่างแน่นอน มันไม่ใช่เพราะเรื่องระยะทางที่ยาวไกล หรือจะเป็นเรื่องยอดบริจาคที่ได้มาว่ามากมายเท่าไหร่ แต่คนจะจดจำการกระทำที่เสียสละด้วยหัวใจอันยิ่งใหญ่ ซึ่งต่อจากนี้ไปในวันข้างหน้า สิ่งที่เขารวมไปถึงทีมงานก้าวคนละก้าวได้ทำเอาไว้ทั้งหมดนี้
คุณเคยเจอปัญหายาก ๆ แบบที่นั่งคิดจนปวดหัว จดจ่อกับมันอยู่ทั้งวัน ก็ยังคิดไม่ออกไหม ถ้าเคย ผมมีเรื่องราวเกี่ยวกับวิธีการแก้ปัญหาของอดีตประธานาธิบดีโอบาม่าแห่งประเทศสหรัฐอเมริกามาเล่าให้คุณฟัง ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา ไปลุยกันเลยครับ เย็นวันหนึ่งในปี 2011 ขณะที่อเมริกากำลังอยู่ในช่วงตามล่าผู้ก่อการร้ายหัวรุนแรงอย่าง โอซามะ บินลาเดน อยู่นั้น ประธานาธิบดีโอมาม่าได้รับรายงานจากหน่วยข่าวกรองว่า พบสถานที่พักอาศัยแปลกประหลาดแห่งหนึ่งในปากีสถานตอนใต้ซึ่งน่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ก่อการร้ายและครอบครัวชั้นล่าง ๆ พูดง่าย ๆ ว่าพวกตัวกี้ ๆ และลูกเมียในไอ้มดแดงนั่นแหละ แต่ความประหลาดมันอยู่ที่ไอ้บ้านหลังนี้ดันมีกำแพงคอนกรีตหนาถึง 18 ฟุต แถมมีรั้วลวดหนามล้อมรอบระโยงระยางเต็มไปหมด คำถามคือ ไอ้นี่ต้องเป็นผู้ก่อการร้ายระดับล่างที่รวยขนาดไหนถึงขนาดสรรหาสิ่งป้องกันตัวเองได้อลังการขนาดนี้ ความประหลาดอีกอย่างหนึ่งที่พวกเขาพบคือ จากภาพสอดส่องทางอากาศระยะอย่างไกล พวกเขาพบผู้ชายหนึ่งหน่อที่ดูไม่เข้าพวกกับคนอื่น ๆ ที่ไม่เข้าพวกไม่ใช่ว่า คนหนึ่งแต่งตัวปากีสถานโคตร ๆ อีกคนหนึ่งแต่งเป็นผู้ดีอังกฤษนั่งจิบชา อะไรแบบนี้ไม่ใช่ สิ่งที่ไม่เข้าพวกคือ “ความยาวเงาของชายคนนั้น” ซึ่งบ่งบอกว่าเขาเป็นคนที่สูงกว่าคนอื่นมากเกินไป พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ เขาต้องไม่ใช่คนในครอบครัว ยังไงก็แล้วแต่ ก็ยังไม่มีอะไรบอกได้ว่านั่นคือ บินลาเดน เพื่อพิสูจน์สมมติฐานให้ชัดเจน ประธานาธิบดีโอบาม่าจึงเรียกผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ มาประชุมเพื่อหาแนวทางเข้าโจมตี ผลปรากฎว่ามีทางเลือกอยู่ 2 ทางคือ
แม้ความเสียใจยังคงอยู่ในจิตใจของชาวไทยทั้งปวง แต่ถ้าพ่อบอกเราได้ พ่อคงบอกเราว่า ชีวิตต้องก้าวเดินต่อไป และเราในฐานะลูกที่ดี ก็ต้องไม่ลืมที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพ่อ มุ่งมั่นตั้งใจทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ร่วมแรง ร่วมใจเป็นหนึ่งเดียว เพื่อสร้างชาติของเราให้แข็งแกร่ง เพื่อให้เรามีกำลังใจในการทำงานต่อไป ทีมงาน UNLOCKMEN ขอน้อมนำพระบรมราโชวาท เกี่ยวกับเรื่องการทำงาน มาเผยแพร่ เพื่อปลุกพลังและสติของผองเพื่อน ให้ลุกกลับมาตั้งใจทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อประโยชน์ต่อตนเองและประเทศชาติอย่างสูงสุด พระบรมราโชวาท เกี่ยวกับเรื่อง “การทำงาน” ”การทำงานใด ๆ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ควรอย่างยิ่งที่จะตั้งเป้าหมาย ขอบเขต และหลักการไว้ให้แน่นอน เพราะจะช่วยให้สามารถปฏิบัติมุ่งเข้าสู่ผลสำเร็จได้โดยตรง และ ถูกต้องพอเหมาะพอดี เป็นการป้องกัน และขจัดความล่าช้า ความสิ้นเปลือง ความเสียเปล่า ทุกอย่างได้อย่างสิ้นเชิง” พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 17 กรกฎาคม 2530 ลูกจะรู้จักการตั้งเป้าหมายและแผนการในการทำงาน เพื่อให้เป้าหมายสำเร็จ ”เมื่อมีโอกาส และมีงานให้ทำ ควรเต็มใจทำโดยไม่จำเป็นต้องตั้งข้อแม้หรือเงื่อนไขอันใดไว้ให้เป็นเครื่องกีดขวาง คนที่ทำงานได้จริง ๆ นั้น ไม่ว่าจะจับงานสิ่งใดย่อมทำได้เสมอ ถ้ายิ่งมีความเอาใจใส่
เหลืออีกวันเดียวเท่านั้น ก็จะถึงวันที่พสกนิกรไทยทั้งแผ่นดินคงไม่สามารถกลั้นน้ำตาจากความโศกเศร้าอาลัยเอาไว้ได้ กับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันที่ผู้คนทั่วทั้งผืนแผ่นดินไทย ต่างก็ต้องพร้อมใจกันถวายความอาลัยครั้งสุดท้ายแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พ่อหลวงอันเป็นที่รักยิ่ง ซึ่งหากใครที่วางแผนไว้ว่าจะเดินทางไปที่พระราชพิธีไว้ในตอนแรก แต่มีเหตุให้ไม่สามารถเดินทางไปได้ทัน หรือด้วยเหตุสุดวิสัยอื่นใดก็ตาม รวมไปถึงพ่อแม่พี่น้องชาวไทยทุกคนที่อาศัยอยู่ในต่างจังหวัดที่แม้จะไปร่วมพิถีถวายดอกไม้จันทน์ ณ พระเมรุมาศจำลองที่จัดสร้างขึ้นในแต่ละจังหวัดแล้ว แต่เราเชื่อว่ายังไงพี่น้องชาวไทยทุกคน ก็ยังอยากที่จะติดตามการถ่ายทอดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร อย่างใกล้ชิด โดยช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่จะมีขึ้นในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 นี้ ได้ถูกเตรียมการเอาไว้อีกหลายช่องทาง เพื่อประชาชนชาวไทยให้ติดตาม โดยคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้ดำเนินการถ่ายทอดสดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับชมและรับฟังบรรยากาศจากมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ดังนี้ สื่อโทรทัศน์ โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.) เป็นแม่ข่ายในการถ่ายทอดสดไปยังสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง และสถานีโทรทัศน์ภาคภาษาอังกฤษ NBT World และ Thai TV TGN Global Network ส่งสัญญาณเผยแพร่ภาพและเสียงไปยัง 177 ประเทศทั่วโลก สื่อวิทยุ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ เป็นแม่ข่ายถ่ายทอดสดไปสถานีวิทยุทั่วประเทศกว่า 5,000 สถานี