หลังจากที่ Canon และ Nikon ได้ปล่อยกล้อง EOS R และ Z7 ออกมาเมื่อไม่นานนี้ ฝั่ง SONY เองก็ไม่ยอมนิ่งเฉย เตรียมเปิดตัวทายาทรุ่นต่อไปของตระกูล A7R อย่าง ‘SONY A7R IV’ เพื่อเข้าร่วมศึกครั้งนี้ด้วย แม้จะไม่ได้ครองส่วนแบ่งการตลาดของกล้อง mirrorless มากเท่าบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่คงต้องบอกว่าบริษัทแดนปลาดิบรายนี้ก็ไม่เคยย่อท้อเลยสักนิด เร่งขับเคลื่อนและพัฒนานวัตกรรมภาพถ่ายให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ SONY A7R IV ตัวนี้คือบทพิสูจน์ความสำเร็จของกล้อง mirrorless ที่มีศักยภาพสูงสุดแห่งยุค ความละเอียด 42.4 ล้านพิกเซลของรุ่นพี่ A7R III ตัวก่อนถูกอัปเกรดให้ทรงประสิทธิภาพกว่าเดิม ด้วยเซนเซอร์ BSI CMOS ขนาด 35 มิลลิเมตร ที่ความละเอียดมากถึง 61 ล้านพิกเซล ล้ำหน้าไปอีกขั้นด้วย Dynamic Range ที่ 15 Stop ช่วยให้ถ่ายภาพได้อย่างอิสระไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแสงแบบใดก็ตาม เหมาะสำหรับหนุ่ม ๆ ผู้หลงรักภาพถ่ายแบบ landscape
เสน่ห์ของการขับขี่พาหนะสองล้อทำให้หนุ่ม ๆ จำนวนมากเลือกเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์คู่ใจของตัวเองไปทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าระยะจะใกล้หรือไกลแค่ไหน แต่ความรู้สึกเป็นอิสระ มุมมองรอบตัว และกระแสลมที่ไหลบ่าปะทะร่างกายก็มักเติมชีวิตชีวาให้ผู้ชายอย่างเราได้เสมอ นอกจากการหลงใหลในความเร็วและเสพติดประสบการณ์อันยอดเยี่ยมที่ได้รับจากการขับขี่ อีกหนึ่งเรื่องที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้ คือเรื่องของความปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญทุกครั้งก่อนออกเดินทาง เพราะร่างกายแต่ละส่วนก็ควรได้รับการปกป้องจากอุปกรณ์เฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นหมวกกันน็อค รองเท้า รวมไปถึงแจ็ตเก็ตสำหรับขับขี่มอเตอร์ไซค์โดยเฉพาะ จะดีแค่ไหนถ้าแจ็คเก็ตเพื่อการขับขี่นั้นให้ทั้งความปลอดภัยและมีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ อย่างไรก็ตามหลายคนคงกำลังเผชิญปัญหารูปแบบแจ็คเก็ตไม่เหมาะสมกับอากาศร้อนระอุของเมืองไทย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ 4 หนุ่มผู้หลงใหลในการขับขี่มอเตอร์ไซค์และการเล่นเซิร์ฟให้กำเนิดแบรนด์แจ็คเก็ตที่เหมาะสมกับเหล่าไบค์เกอร์เมืองไทยขึ้นมาในชื่อ Sun of a Beach Thailand เติร์ด-ฐาปนิศร สุขพระโพธิ์, ไปป์-อภิสิทธิ์ เอี่ยมธารทอง, นิว-อิศรา โค้วถาวร และ พจน์-พจนฤทธิ นิมิตกุล ทั้งหมดต่างชื่นชอบการขับขี่มอเตอร์ไซค์ พวกเขาจึงใช้ประสบการณ์ตรงและฟังความต้องการจากเหล่าไบค์เกอร์ถ่ายทอดออกมาเป็นแจ็คเก็ตยีนส์ที่ตอบโจทย์ Urban Men Bikers โดยเฉพาะ วันนี้เรามีโอกาสสนทนากับพวกเขาถึงจุดเริ่มต้นและความพิเศษของแจ็คเก็ตตัวนี้ แรงบันดาลใจที่เป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ ? เติร์ด : ที่จริงแล้ว มันเกิดจากจุดเริ่มต้นที่เราชอบขี่มอเตอร์ไซค์กันครับ การที่เราขี่มอเตอร์ไซค์กันบ่อยก็ทำให้เราซื้อแจ็คเก็ตสำหรับขี่มอเตอร์ไซค์กันเยอะมาก ซึ่งคนที่ขี่ Big Bike หลายคนก็จะรู้กันว่าแจ็คเก็ตมีความหมายมากทีเดียวสำหรับคนที่ชื่นชอบกิจกรรมนี้ มาวันหนึ่งผมมีโอกาสซื้อแจ็คเก็ตตัวหนึ่งมาตัวละประมาณสองหมื่นกว่าบาท ช่วงที่ซื้อมาเราก็ออกทริปกันและมันก็ตอบโจทย์การใส่ในระดับหนึ่งเลย แต่พอเรากลับมาที่กรุงเทพเรารู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมกับสภาพอากาศร้อนของบ้านเราเลย ก่อนอื่นต้องยอมรับเลยว่าบ้านเราใส่แจ็คเก็ตจริงจังแบบต่างประเทศไม่ได้เพราะอากาศบ้านเราร้อนมาก
“ความสำคัญ คนสำคัญ” เป็น 2 คำที่น้อยคนจะใช้กับตัวเองแต่สามารถหยิบยื่นให้คนอื่นอย่างเต็มใจ เคยสังเกตกันบ้างไหมว่าเรามักมองคนทั้งโลกดีหมด ใจกว้างให้อภัยคนที่ทำให้เรารู้สึกแย่ได้ แต่กลับหวดตัวเองอย่างรุนแรงเมื่อพบข้อบกพร่องที่เกิดจากตัวเองเสมอ ถ้า “ดีเกินไป” คือสิ่งที่คุณทำให้คนอื่น แต่ไม่ยอมทำให้ตัวเอง เราขอให้ลดดีกรีมันลงอีกนิดเพราะบางครั้งมันอาจถ่วงคุณภาพชีวิตคุณลงจากผลสะท้อนทั้ง 3 ข้อต่อไปนี้ เมตตาธรรมค้ำจุนโลก แต่ไม่ค้ำจุนเรา อารมณ์สงสารเป็นธรรมดาของลูกผู้ชาย กายภาพของเราที่แข็งแรงกว่ามักมาพร้อมหน้าที่ที่ฝังหัวมาว่าควรปกป้องคนอื่น และถ้าดีกว่านั้นหน่อยหลายคนก็เลือกเป็นพ่อพระทางความคิด ทำไปทำมาจนเคยชิน โดยไม่รู้เลยว่าการรับเรื่องราวบอบช้ำของคนอื่นมามาก ๆ สงสารเขาไปเรื่อย มันทำให้เราเหนื่อยล้า สิ้นหวังกับเขาลงได้เหมือนกัน ผลการวิจัยจาก University of Bradford เผยว่าแค่การรับข่าวจากสื่อโซเชียลที่ผ่านตาก็สร้างความเครียด ความรำคาญให้เราได้แล้ว ความเครียดที่ได้รับผ่านประสบการณ์ไม่ว่าจะเป็นของเราโดยตรงหรือของคนอื่นเหล่านี้ค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปในตัวเราจนทำให้รู้สึกดิ่ง จม สิ้นหวังและไร้ค่า แถมผลกระทบนี้ยังสื่อออกมาผ่านพฤติกรรมและความคิดด้วย ถ้าคุณสังเกตว่าช่วงนี้การมองโลกไม่ค่อยเหมือนเดิม จัดการอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ ทักษะวิเคราะห์หรือความรู้สึกอยากริเริ่มสิ่งต่าง ๆ ลดลง นอนไม่ค่อยหลับ แสดงว่าต้องเริ่มหันมาเมตตาตัวเองบ้างแล้ว พักการเสพเรื่องแย่จากโซเชียลเสียบ้าง คนเจ็บปวดมือสอง เรื่องของเขาแต่พอเราฟังหรือเห็นก็เอามาเก็บไว้ให้เจ็บแทน สิ่งนี้คือเลเวลสองที่เพิ่มระดับจากความดิ่งแบบแรก การรับความเจ็บปวดมือสอง ฟังแล้วดูคล้าย ๆ ควันบุหรี่มือสอง แต่มันเล่นงานเราด้วยความเจ็บที่รวดเร็วและรุนแรงมากกว่านั้นเพราะจู่โจมการใช้ชีวิตเข้าอย่างจังจากภาวะเหล่านี้ ติดเป็นภาพจำจนเก็บมาเป็นฝันร้าย
ตั้งแต่ภาพยนตร์ Bohemian Rhapsody ปลุกกระแสวง Queen และเพลงร็อก 70 ให้กลับมาฟีเวอร์อีกครั้ง บรรดาหนัง Biopic ของศิลปินคนอื่น ๆ ก็ถูกประกาศสร้างตามกันมาเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะ The Dirt หนังสารคดีวง Motley Crue ที่ลงฉายทาง Netflix, Rocketman หนังสารคดีชีวิต Elton John ล่าสุดก็เพิ่งมีการประกาศทำหนังสารคดี Elvis Presley ไปหมาด ๆ เรียกได้ว่าเป็นยุคที่อุดมหนังเพลงจริง ๆ แล้วแบบนี้จะขาดเรื่องราวของวงดนตรียิ่งใหญ่ตลอดกาล ผู้ไม่เคยถูกใครโค่นได้อย่าง ‘The Beatles’ ไปได้อย่างไร? อย่าเพิ่งเข้าใจผิด สี่เต่าทองยังไม่มีหนัง Biopic แต่หากคุณเป็นแฟนเพลงตัวยงของพวกเขา Yesterday อาจเป็นภาพยนตร์ดี ๆ อีกหนึ่งเรื่องที่คุณไม่ควรพลาด “เมื่อวานนี้ ทุกคนรู้จัก The Beatles แต่วันนี้ มีเพียงแจ็คเท่านั้นที่จำเพลงของพวกเขาได้” นี่คือภาพยนตร์แฟนตาซีที่นำบทเพลงและเรื่องราวของ The Beatles มาร้อยเรียงถ่ายทอด ผ่านพล็อตสดใหม่สุดแสนจะน่าสนใจ เรื่องราวของ
“แม้พวกเขาจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่ผมเป็นหนี้บุญคุณพวกเขาเสมอ ขอบคุณพ่อและจูลส์สำหรับทุกอย่าง ผมจะไม่มีวันลืมพวกคุณที่สนับสนุนและเชื่อในตัวผม” ประโยคข้างต้นคือคำกล่าวขอบคุณของชาร์ล เลอแคลร์ (Charles Leclerc) ถึงผู้เป็นพ่อและพี่ชายผู้ล่วงลับ ผู้ต่างเคยสนับสนุนและเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเขาฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ จนก้าวขึ้นมาเป็นนักแข่งรถสูตร 1 ของทีมเฟอร์รารี่ (Ferrari) ด้วยวัยเพียง 21 ปี ซึ่งทำให้เขาคนนี้กลายนักขับตัวจริงของทีมที่มีอายุน้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี 1961 ถ้าพูดภาพจำของกีฬามอเตอร์สปอร์ตอย่าง Formula 1 เชื่อว่าหนึ่งในภาพแรกที่สอดแทรกเข้ามาในหัวของทุกคน คงต้องเป็นรถแข่งคันสีแดงของทีมเฟอร์รารี่ หนึ่งในทีมรถสูตรหนึ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่เคยคว้าแชมป์โลกร่วมกับยอดนักขับมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนิกิ เลาดา (Nikki Lauda), คิมิ ไรโคเนน (Kimi Räikkönen) และตำนานอย่างมิชาเอล ชูมัคเกอร์ (Michael Schumacher) ที่ผ่านมาแฟน ๆ ของยอดทีมจากอิตาลี ล้วนเคยชินกับการที่ทีมรักของพวกเขาพร้อมไปด้วยนักขับที่เต็มเปี่ยมทั้งด้านฝีมือและประสบการณ์ แต่ทว่าก่อนฤดูกาล 2018 จะจบ เฟอร์รารี่ก็ตัดสินใจทำสิ่งที่หลายคนไม่คาดคิด ด้วยการเซ็นสัญญากับนักขับหน้าใหม่ที่มีประสบการณ์ในการแข่งขัน Formula 1 เพียงแค่ปีเดียว นั่นคือวันที่หลายคนต่างตั้งคำถามว่า ไอ้หนูที่ชื่อชาร์ล เลอแคลร์ นี่มันใครกันวะ ?
ไม่ว่าเศรษฐกิจจะขาขึ้นหรือลงแค่ไหน หนึ่งธุรกิจผู้กล้าที่ยังฝ่าทุกมรสุม ระเบิดโปรเจกต์ใหม่แบบหวั่นทางตัน คงหนีไม่พ้นร้านสะดวกซื้อที่ลอยตัวอยู่ในอาณาจักรในเครือ CP ALLอย่าง “เซเว่น” เพราะเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาเพิ่งแถลงโปรเจกต์ใหม่พร้อมนำร่องเพิ่มอีกแล้ว จนเรียกได้ว่าวันนี้เซเว่นกลายเป็นสถานที่สารพัดนึกที่ไม่ว่าเราจะตามหาอะไรก็พบได้ในนั้น เห็นเซเว่นแล้วคิดถึงอะไร? เชื่อหรือไม่ว่าวันนี้เซเว่นรุกคืบเข้ามาจองพื้นที่ไลฟ์สไตล์ภายใน 24 ชั่วโมงของเรา? ลองเริ่มจากการตอบคำถามเหล่านี้ก่อนว่า…ถ้าเห็นเซเว่น อีเลฟเว่น แล้วคุณคิดถึงอะไรกันบ้าง? คิดถึง 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด (เว้นแต่สาขานั้นจะรีโนเวต ขยายเพิ่มหรือปิดสาขาไป) เพราะทุกหัวมุมถนนที่เงียบเหงา เราจะได้เห็นไฟจากร้านเซเว่นอีเลฟเว่นส่องเป็นเพื่อนเสมอ คิดถึง ATM เพราะถ้าที่ไหนมีเซเว่น ข้าง ๆ มักมีที่ให้กดเงิน แถมวันนี้ยังได้คิดถึงธนาคารด้วยเพราะฝากถอนโอนจ่ายหน้าเคาน์เตอร์ได้ครบ คิดถึงอาหาร จะร้อนจะเย็นมีให้เลือกตามต้องการ อิ่มครบทุกมื้อทั้งคาวหวาน คิดถึงคาเฟ่ มีอาหารต้องมีเครื่องดื่มเตรียมให้พร้อม จะแอลกอฮอล์ ไม่แอลกอฮอล์ก็กวาดมาล้วน คิดถึงการชำระหนี้ ตราบใดที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสยังอยู่ในนั้น จะค่าอะไร รวมถึงค่าคอนเสิร์ตก็เดินไปจ่ายได้ คิดถึงการส่งพัสดุ ถ้าการหาไปรษณีย์มันต้องเดินทาง แค่เดินมาที่เคาน์เตอร์ก็ฝากส่งได้แล้ว คิดจะพักคิดถึงเซเว่น หมดที่ยืน ไม่มีที่ไป มาหาที่นั่งกินแบบไม่ต้อง take away ท่ามกลางแอร์เย็นฟรีเท่าไหร่ก็ได้ เซเว่นบางสาขาจัดเก้าอี้แบบบาร์ วิวติดกระจกร้านให้นั่งแช่ได้ตามสบายและมีที่เต้าเสียบสำหรับชาร์จแบตฯ อุปกรณ์ใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ด้วย คิดถึงที่จอดรถ
เป็นอีกครั้งที่แบรนด์เครื่องแต่งกายมักจะหยิบยกเรื่องราวจากภาพยนตร์และการ์ตูนมาปรับให้เข้ากับไอเทมแฟชั่นของตัวเอง และในครั้งนี้ก็เช่นกันกับแบรนด์เครื่องกีฬา Nike ที่หลายคนคุ้นเคย ได้นำคาแรกเตอร์ตัวละครสุดกวนจากการ์ตูนเรื่อง SpongeBob SquarePants มาอยู่บนรองเท้ากีฬารุ่น Kyrie 5 SpongeBob SquarePants การ์ตูนแอนิเมชันสัญชาติอเมริกาสุดกวน บอกเล่าเรื่องราวของฟองน้ำที่อาศัยอยู่ในโลกใต้ทะเลกับชุมชนชื่อ Bikini Bottom มีเพื่อนสนิทเป็นปลาดาวทะเลสีชมพู Patrick Star และต่อให้เป็นฟองน้ำหรือดาวทะเลก็ต้องทำงานเหมือนกับเรา ๆ ทำให้ทั้งสองคนต้องเป็นพนักงานอยู่ร้านแฮมเบอร์เกอร์ของ Mr. Krabs ซึ่งอร่อยที่สุดในเมือง ฟองน้ำใต้ทะเลและผองเพื่อนกับความกวน บ๊อง ไร้สาระ เห็นทีไรก็หวนนึกถึงวัยเด็กอันสดใสและมีพลังคือกุญแจสำคัญที่ทำให้ SpongeBob SquarePants กลายเป็นการ์ตูนยอดนิยมข้ามโลกและทำรายได้สูงสุดตลอดกาลของช่อง Nickelodeon ดังนั้น คงไม่แปลกถ้าการเป็นขวัญใจมหาชนแบบนี้จะดึงดูดวงการแฟชั่นให้เข้าหาและใช้เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบคอลเลกชันพิเศษบ่อย ๆ ไม่เว้นแม้แต่ขาใหญ่ของวงการสนีกเกอร์อย่าง Nike “Kyrie 5” จากคาแรกเตอร์ SpongeBob SquarePants เป็นสนีกเกอร์อันดับที่ 5 ในตระกูลโมเดล Kyrie ซึ่งถือกำเนิดจากการร่วมมือระหว่าง Kyrie Irving นักบาสเกตบอลดาวรุ่ง NBA กับแบรนด์เครื่องกีฬาชื่อดังอย่าง Nike ออกแบบโดย Ben Nethongkome ดีไซเนอร์มากฝีมือที่เคยฝากผลงานไว้ใน Kyrie 4 แต่รุ่นล่าสุดเขาเพิ่มเติมความพิเศษด้วยลายพื้นรองเท้าที่มาจากรอยสักของ Kyrie Irving ผสมผสานเข้ากับความเจ๋งของฟังก์ชันการใช้งานที่ออกแบบมาเพื่อรองรับแรงกระแทกอย่างดีเยี่ยม
“เชี่ย! อาทิตย์นี้ลืมซักผ้า” “เวรละ งานที่ต้องส่งพรุ่งนี้ยังไม่เสร็จ” “โดนฆ่าแน่กู ลืมวันครบรอบไปสนิทเลยว่ะ” หากคุณเป็นหนึ่งคนที่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ แถมยังหลงลืมเรื่องราวสำคัญไปอย่างสนิทใจ ไม่ว่าด้วยการจัดสรรเวลาที่บกพร่อง ภาระหน้าที่หนักหนาเกินรับไหว หรือคิดว่า 24 ชั่วโมงต่อวันมันน้อยเกินไป โปรดรู้ไว้ว่านี่คือสัญญาณที่บอกว่าคุณกำลังก้าวสู่เส้นทางของ ‘ผู้ชายล้มเหลว’ จริงอยู่ที่ในหนึ่งวันมีเวลาให้ใช้เพียง 1,440 นาทีเท่านั้น แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะยัดทุกเรื่องที่อยากทำลงไปในนั้นอย่างเป็นระบบไม่ได้นี่ครับ วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากพาหนุ่ม ๆ มาปลดล็อกขีดความสามารถของตน ทำลายข้อจำกัดเวลา 86,400 วินาทีของหนึ่งวัน และยกระดับการใช้ชีวิตให้ productive กว่าที่เคย แล้วนิสัยแย่ ๆ แบบไหนบ้างที่ควรกำจัดทิ้งให้สิ้นซาก? มาดูกัน! พักงานจนดินพอกหางหมู หนึ่งในสามของเวลาในแต่ละวัน เราพลีกายถวายชีวิตให้กับการทำงานอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้บางครั้งงานจะหนักหนาสาหัสจนถึงขั้นต้องพลีชีพ แต่ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าเราหนีจากมันไปไม่พ้น ยิ่งเวลาทำงานเครียด ๆ ผู้ชายหลายคนคงต้องเปิด Facebook, Twitter, LinkedIn หรือส่อง Instagram สาว ๆ เพื่อพักสายตากันบ้าง แต่หนุ่ม ๆ รู้ไหม? ว่าพฤติกรรมแบบนี้มันบั่นทอนชีวิต
พอเข้าสู่ช่วงหน้าฝนทีไร เป็นเรื่องน่าหงุดหงิดใจอย่างมากที่ต้องมานั่งคอยระวังไม่ให้เสื้อผ้ารองเท้าต้องเปียก โดยที่เราเองก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามันจะตกลงมาเมื่อไหร่ เดี๋ยวเช้าเดี๋ยวเย็น ตกแป๊ปเดียว หรือตกเป็นชั่วโมง พาลให้เสียอารมณ์กันไป ซึ่งชุดความรู้เกี่ยวกับการใส่เสื้อผ้ากันฝนของหนุ่ม ๆ ไทยดูจะเป็นเรื่องแสนไกลตัว เพราะส่วนมากมักจะเน้นเอาง่ายไปตายเอาดาบหน้ายืมร่มคนแถวนั้นกันไป และบางครั้งก็มีไม่เพียงพอมาถึง ทำให้ต้องนั่งรอจนฝนหยุด หรือทนลุยฝนฝ่ากันไปหากไม่อยากจะเสียเวลา เราอยากให้หนุ่ม ๆ ทุกคนมาจบปัญหาสู้กับหน้าฝนในเมืองไทยไปพร้อมกัน ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองมาพกเสื้อกันฝนให้เป็นนิสัย แต่ครั้นจะซื้อเสื้อกันฝนใส ๆ สีสันตามร้านสะดวกซื้อราคา 10-20 บาท ก็ดูไม่ค่อยจะเท่สักเท่าไหร่ ดังนั้นมาเรียนรู้วิธีการเลือกเสื้อกันฝนอย่างไรให้เท่ เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง แม้สภาวะไม่เอื้ออำนวย เลือกสไตล์ที่ใช่ ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าเสื้อกันฝน (Raincoat) จริง ๆ มีดีไซน์ให้เลือกมากมายขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้สวมใส่ ซึ่งโดยส่วนมากจะแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ Cyclist และ Jogging ที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไป Cyclist Raincoat แปลได้ตามตัวว่าเสื้อกันฝน/กันลม เหมาะสำหรับคนที่ปั่นจักรยาน ดังนั้นชายเสื้อจะมีความยาวลงมาถึงบริเวณหัวเข่า และสามารถป้องกันน้ำได้เป็นอย่างดี ซึ่งยังเป็นที่นิยมสำหรับคนที่ชื่นชอบการเดินป่าอีกด้วย คุณสมบัติของเสื้อประเภทนี้ถือว่าค่อนข้างดี แต่มันอาจจะดูแปลกตาเสียหน่อยหากนำมาใส่บนท้องถนน ซึ่งถ้าคุณคิดถึงเรื่องของฟังก์ชั่นการใช้งานเป็นหลัก ไม่แคร์สายตาคนมองก็ถือเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน Jogging Raincoat เป็นอีกหนึ่งเสื้อกันฝนที่เรามักเห็นกันได้บ่อย ๆ ซึ่งเสื้อประเภทนี้จะมีความยาวถึงแค่บริเวณเอวเหมือนเสื้อแจ็คเก็ตปกติธรรมดาทั่วไป ดังนั้นจึงทำให้ไม่สามารถปกป้องท่อนล่างของคุณให้รอดพ้นจากการเปียกฝนได้