เพราะชีวิตของเรามีหลายด้าน การเลือกบ้านและที่อยู่อาศัยจึงต้องใส่ใจกันมากหน่อย ว่าทำเลที่ตั้งนั้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเราในทุกแง่มุมหรือไม่ ทั้งการทำงาน การเดินทาง ความสะดวกสบาย และสิ่งแวดล้อมที่จะช่วยเติมเต็มวันพักผ่อนให้มีความหมาย สนองแนวคิดแบบ Work-Life-Balance ได้ดี องค์ประกอบเหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่ผู้ชายคนเมืองอย่างเรามองหา เวลาเลือกทำเลที่อยู่อาศัยให้กับตัวเอง และสำหรับสร้างครอบครัว ด้วยความที่ ที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 และเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์เพื่อการดำรงชีวิต ทำให้ปัจจัยในการเลือกถิ่นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในปัจจุบันนั้นส่วนใหญ่แล้วจะพิจารณาถึงความสะดวกในการเข้าถึง, คุณภาพของสิ่งแวดล้อม, ลักษณะที่ดินที่ใช้ในการปลูกบ้านและทำเลที่ตั้ง รวมถึงราคา โดยที่อยู่อาศัยนั้นสามารถตอบสนองมนุษย์ได้ทั้งความต้องการทางร่างกาย, ความต้องการทางสังคม และความต้องการทางจิตใจ มีหลายย่านที่น่าสนใจในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะย่านใจกลางเมืองที่ล้วนกลายเป็นทำเลทองเกือบทุกพื้นที่ ปัจจุบันไลฟ์สไตล์ใหม่ ๆ จึงขยายตัวไปรอบ ๆ มากขึ้น และเป็นพื้นที่ศักยภาพที่สามารถจับจองการใช้ชีวิตแนวราบในบ้านได้อย่างไม่เหนื่อย หนึ่งในย่านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้ดีก็คือ “ย่านราชพฤกษ์” ทำเลที่นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์มองว่าเป็นทำเลแห่งคุณภาพ หน้าด่านแรกที่รองรับการขยายตัวของเมืองหลวงในอนาคตก่อนใคร ประชากรในพื้นที่ไม่แออัดเนื่องจากการวางแผนรองรับการเติบโตที่รัดกุมกว่า โดยถนนราชพฤกษ์นั้นเชื่อมต่อระหว่างถนนรัตนาธิเบศร์กับเพชรเกษม เชื่อมพื้นที่กรุงเทพฯตะวันตกกับใจกลางเมือง เดินทางสะดวก ไม่ว่าจะเป็นจากแหล่งออฟฟิศใจกลางเมืองอย่างสาทร สีลม หรือบางรัก หรือสำหรับใครที่ทำงานอยู่ย่านจตุจักรก็ไปกลับไม่ยาก สามารถเชื่อมต่อกับทางด่วนศรีรัชได้ใน 10 นาที ไม่ไกลอย่างที่เคยคิด และกลายเป็นทำเลยอดฮิตแห่งใหม่เพื่อการอยู่อาศัยไปแล้ว ไม่ใช่แค่คุณภาพของทำเลเท่านั้น การใช้ชีวิตในย่านนี้ก็สะดวกสบาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่งบนพื้นที่ที่ห่างไกลความวุ่นวาย รายล้อมไปด้วยสถานที่แฮงเอาท์ อยากจะเดินเล่น หาของกิน มองหาของแต่งบ้าน ใช้เวลากับครอบครัว นัดสาวนัดเพื่อน
ในยุคที่การทำดนตรีและมีเพลงของตัวเองไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป ทุกคนสามารถเป็นศิลปินได้ เพียงแค่มีใจรักและคอมพิวเตอร์ดี ๆ สักเครื่อง แต่การที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอสร้าง Beat ทั้งวันก็เป็นอะไรที่น่าเบื่อและเคร่งเครียดพอสมควร คงจะดีไม่น้อยถ้ามี Gadget อะไรเจ๋ง ๆ ที่สามารถสร้าง Beat ไปด้วยสนุกไปด้วย ไม่ต้องรอให้ถึงโลกอนาคต เพราะตอนนี้ Oddball Drum Machine ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว มันคือลูกบอลทรงกลมที่คุณสามารถสร้าง Beat ได้ทุกที่ทุกเวลาเพียงแค่ให้มันตกกระทบกับวัตถุต่าง ๆ เท่านั้นเอง Oddball Drum Machine คือเจ้าลูกบอลเด้งดึ๋งที่จะทำให้คุณได้ปลดปล่อยเสียงเพลงในใจ เพียงแค่คุณโยนมันเล่น คุณก็สามารถออกแบบดนตรีในแบบที่เป็นคุณผ่านการตกกระทบได้เต็มที่ ทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์และพรสวรรค์อยู่ในตัวเอง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสสร้างสรรค์อะไรออกมา เจ้าของไอเดียรู้ดีถึงความจริงข้อนี้ จึงได้ผลิต Oddball Drum Machine เพื่อให้ทุกคนสามารถสร้างดนตรีในแบบที่เป็นตัวเองได้ทุกที่ทุกเวลาแถมยังได้ความสนุกอีกต่างหาก Oddball แบ่งเป็นส่วนหลัก ๆ ได้ 2 ส่วนคือส่วนลูกบอลที่ภายในประกอบด้วยกลไกประเภทเครื่องตกกระทบ ทุกครั้งที่พื้นผิวของมันกระทบกับสิ่งใด ๆ ก็ตาม เซ็นเซอร์ที่ติดตั้งเอาไว้จะส่งสัญญาณไปอีกส่วนซึ่งก็คือแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อไว้ด้วยระบบบูลทูธ คุณจะได้ยินเสียง Beat ที่คุณสร้างผ่านการตกกระทบของเจ้าลูกบอลผ่านทางหูฟังหรือลำโพงที่คุณเชื่อมต่อไว้กับโทรศัพท์มือถือของคุณ ความดังเบาหรือหนาแน่นของเสียงขึ้นอยู่กับความแรงในการตกกระทบซึ่งแล้วแต่การออกแบบของคุณ นอกจากนั้นคุณยังสามารถเพิ่มความซับซ้อนให้ดนตรีของคุณด้วยการสร้างลูปหรือเพิ่มเอฟเฟกต์ลงไปได้อีกด้วย อีกหนึ่งจุดเด่นคือเหล่าผู้ใช้ Oddball Drum
การนอนในรถมักจะเป็นทางเลือกสุดท้ายยามฉุกเฉินของเราเสมอ เพราะนอกจากความไม่สบายตัว ชวนให้ปวดเมื่อยตั้งแต่ได้ยินว่าต้องนอนในรถแล้ว ยังอันตรายถึงชีวิตอีกต่างหาก จะเปิดกระจกทิ้งไว้ล่อตาโจรซะจริง ๆ แต่ UNLOCKMEN จะมาเสนอของเจ๋ง ๆ ที่หนุ่ม ๆ ควรมีติดรถไว้ สำหรับคนที่เดินทางบ่อย มีความจำเป็นต้องหาที่นอนแบบฉุกเฉินกันอยู่บ่อย ๆ ผลงานการออกแบบของ Sebastian Maluska กับนวัตกรรมที่ใช้ได้จริงอย่างเจ้า “The Nest” ที่เหมาะสำหรับหนุ่มรักการผจญภัย มีเหตุให้ต้องนอนนอกบ้านอยู่บ่อย ๆ ไม่ต้องลำบากหาที่พัก ไม่ต้องหลังขดหลังแข็งนอนในรถ หาโลเกชั่นดี ๆ ที่ไม่ทับรังมดหรือสัตว์รบกวนชนิดอื่นอย่างการกางเต็นท์บนพื้นราบ “The Nest” เป็น Rooftop Tent ที่จะเป็นเต็นท์ให้เรานอนได้บนหลังคารถของเราเองนี่แหละ Maluska ผู้ออกแบบ ตั้งใจให้ The Nest ออกมาในรูปแบบพกพาอยู่แล้ว โดยเน้นไปที่กลุ่มของคนรักการผจญภัย ตั้งเต็นท์ เข้าป่า หรือหาโลกเกชั่นดี ๆ นอนแบบไม่ต้องคิดเยอะ อาจจะใช้ได้ถึงการทัวร์รอบโลกได้เลยล่ะ (ถ้าคุณใจถึง) เพราะผู้ออกแบบเองก็รักในกิจกรรมกลางแจ้งซะจนเกิดแรงบันดาลใจให้สร้างของเจ๋ง ๆ ชิ้นนี้ขึ้นมาตอบโจทย์ของคนที่รักการผจญภัยด้วยกันนั่นเอง ว่ากันด้วยเรื่องการออกแบบ ส่วนโครงของมัน
หากพูดถึงเมนูไฮไลท์ทุกครั้งเมื่อเดินเข้าไปยังร้านฟาสต์ฟู้ดยอดฮิตที่มีแฟรนไชส์อยู่ทั่วทุกมุมโลกอย่าง McDonald’s แน่นอนว่า Big Mac จะต้องเป็นเมนูแรกที่หนุ่ม ๆ อย่างพวกเรา มักจะเลือกรับประทานเสมอ ด้วยขนาดที่ใหญ่โตอยู่ท้อง และรสชาติที่ถูกปาก ยิ่งถ้าบวกเข้ากับเฟรนช์ฟรายด์กับโค้กแล้วเรียกได้ว่าเป็นเซ็ตคอมโบระดับตำนาน ซึ่งเมื่อเราพูดถึงเจ้าเมนูยอดนิยมนี้ ถือว่ามีความเป็นมาแสนยาวนานพอ ๆ กับเฟรนไชส์ McDonald’s เลยก็ว่าได้ และเนื่องในปีนี้ถือเป็นวาระครบรอบ 50 ปีของเมนู Big Mac ดังนั้นเราจึงได้เห็นว่ามีแคมเปญต่าง ๆ ออกมามากมายทั้งคอลเลคชั่นเสื้อผ้า หรือแม้กระทั่งสกุลเงิน MacCoin เพื่อเฉลิมฉลองให้กับความโด่งดังของเมนูเบอร์เกอร์นี้ Big Mac ถือกำเนิดครั้งแรกเมื่อปี 1967 โดยนาย Jim Delligatti ที่ได้ซื้อแฟรนไชส์ McDonald’s จาก Ray Kroc เพื่อไปเปิดสาขาของตัวเองใน Pittsburgh ซึ่งเขาได้คิดค้นเมนูเบอร์เกอร์ที่ประกอบไปด้วยเนื้อสองชั้นอัดแน่นจุใจ และกว่าจะมาเป็นชื่อ Big Mac ก็ไม่ใช่อย่างง่ายที่คิด เพราะแต่เดิมมันถูกเรียกว่า Aristcrat ทว่าลูกค้าสามารถออกเสียงได้ยาก จึงมีการเปลี่ยนแปลงเป็น Blue Ribbon Burger และ Big Mac ในเวลาต่อมา
วันเวลาที่บังคับให้ชีวิตเดินไปข้างหน้าแบบไม่มีหยุดพัก แม้จะชั่วโมง นาที หรือวินาที เราและโลกใบนี้ที่ก้าวไปพร้อมกัน เคยสังเกตไหมว่าในตอนเริ่มเดินทาง เรามีสิ่งที่ติดตัวมาเท่าไหร่ พอเดินทางมาได้สักพักแล้ว เราเหลืออะไรอยู่กับเราบ้าง ไม่ว่าการเดินทางของคุณจะเป็นยังไง วันนี้เพื่อนในวันวานที่หายไประหว่างทางอย่าง “CLASH” ได้กลับมาเดินทางพร้อมกันทั้งห้าคนอีกครั้ง แม้เขาจะหยุดพักระหว่างทางไปถึง 7 ปี แต่สิ่งที่ไม่เคยหายไปเลยแม้จะหยุดเดินทางนั่นคือ “มิตรภาพ” ของพวกเขา เป็นสิ่งที่ยังคงเหนียวแน่นและไม่เคยจางหายไปตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ครั้งนี้ไม่ได้กลับมารวมตัวกันเฉย ๆ เท่านั้น แต่พวกเขากลับมาอีกครั้งเพื่อคอนเสิร์ตครั้งใหญ่ในรอบ 7 ปีของพวกเขาในคอนเสิร์ต “Leo Presents CLASH AWAKE Concert” วันเสาร์ที่ 15 กันยายน 2561 เวลา 20:00 น. มาดูกันว่ากว่าจะกลับมารวมตัวกัน เรื่องราวระหว่างทาง มิตรภาพที่ยังเหนียวแน่น และเสียงเพลงที่ยังคงยึดพวกเขาไว้ด้วยกัน จากวันนั้นจนถึงวันนี้พวกเขาเดินทางมาไกลแค่ไหนกันแล้ว ช่วงเวลาที่หายไป เมื่อช่วงต้นปี 2554 หรือเมื่อ 7 ปีที่แล้ว แฟน ๆ เพลงหรือแม้จะไม่ใช่แฟน ๆ ก็ตามต่างต้องช็อกกับข่าวคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของวง CLASH อย่าง “CLASH
ถ้าในวงการกีฬามีฟุตบอลโลกหรือ Super Bowl วงการเกมมีงาน E3 วงการ Comic ของเล่นก็มี San Diego Comic Con นี่แหละที่เป็นมหกรรมยิ่งใหญ่ประจำปีของชาวโลก และในทุกปีงาน San Diego Comic Con ก็จะมีการเปิดตัว Trailer หนังหรือข่าวสารอื่น ๆ ในวงการ Comic มาให้เราตื่นเต้นได้เสมอ ในปี 2018 นี้แต่ละค่ายหนังก็จัดหนักจัดเต็มปล่อย Trailer หนังที่หลายคนกำลังรอคอยออกมาเรียกน้ำย่อย ให้ผู้ชายอย่างเราได้ตื่นเต้นกัน Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald Newt Scamander และเหล่าสัตว์วิเศษของเขากลับมาอีกครั้งพร้อมเนื้อเรื่องที่ใกล้ชิดกับจักรวาล Harry Potter เข้าไปอีกขั้นเพราะในภาคนี้เราจะได้พบกับตัวละครหลักในซีรีส์พ่อมดน้อยที่หลายคนคิดถึงอย่าง Albus Dumbledore แต่เป็นช่วงที่เขายังเป็นหนุ่มไม่มีหนวดเครายาวแบบที่เราคุ้นตา ซึ่งจะรับบทโดยนักแสดงผู้มีเสน่ห์เหลือล้นอย่าง Jude Law Fantastic Beasts 2 หรือในชื่อภาค The Crimes of Grindelwald จะเล่าเรื่องย้อนอดีตไปในตอนที่ Newt Scamander
เคยสงสัยไหมว่าเวลาโจรกระโดดขึ้นรถขับหลบหนีทีไร ทำไมตำรวจต้องไล่ตามด้วยรูปแบบเดิมซ้ำ ๆ แถมไม่ได้ผล ไม่ว่าจะเป็นการขับแล้วชะโงกหัวออกมานอกหน้าต่างหยิบปืนพกไล่ยิงล้อผู้ร้ายเพื่อสกัดการหลบหนีทุกที ทั้งที่เปอร์เซ็นต์ที่จะยิงโดนมันก็น้อย แถมสุดท้ายพอขับผ่านแยกโจรก็ขับปาดหลบหนีไปได้ตลอดทุกที (ผู้ชายอย่างเราเห็นฉากแบบนี้ทีไรก็หัวร้อนทุกที) เหตุผลที่เจ้าหน้าที่ต้องใช้วิธีนี้คงเพราะยังไม่มีวิธีใหม่ที่ดีกว่า แต่ความเสี่ยงที่ไม่ตอบโจทย์ก็ทำให้หลายคนพยายามช่วยแก้ปัญหานี้ เช่นเดียวกับบริษัท Grappler Police Bumper บริษัทหัวใสที่คิดค้นนวัตกรรมจากแนวคิดที่ง่ายเหลือเชื่อแต่ได้ผลเกิดคาดอย่างการยิงตาข่ายดักล้อรถผู้ร้ายมันเสียเลย เอาสิ! อยากขับหนีไปไหน เชิญลากตำรวจตามไปด้วยเลย อุปกรณ์ตัวนี้เป็นตาข่ายติดตั้งใต้รถ จังหวะขับไล่ล่าตามท้องถนนแค่ตำรวจกดใช้งาน เจ้าตาข่ายพิเศษที่มีคุณสมบัติเดียวกับหนังสติ๊กก็จะยืดออกมา จากนั้นแค่เล็งให้ได้ระยะใกล้พอจะครอบล้อรถโจรไว้แล้วเหยียบคันเร่งให้ได้ระยะ แป๊ปเดียวยางตาข่ายจะครอบล้อปั่นดึงไว้อย่างอยู่หมัด พอดึงจังหวะแตะเบรกไว้ รถของตำรวจจะดึงรถของผู้ร้ายให้หยุดได้ นอกจากนี้มันยังสามารถคุมระยะได้ด้วย ถ้าคิดว่ามันใกล้ไปแล้วเป็นอันตราย อุปกรณ์นี้ยังสามารถยืดหรือหดได้ตามต้องการ ทำให้ตำรวจสามารถควบคุมได้ตามใจอยาก หรือถ้าอยากตัดเขาก็ซัพพอร์ตระบบไว้พร้อม แม้ว่าผู้ช่วยตัวนี้ยังไม่เหมาะจะใช้ในบ้านเรา เพราะเป็นเมืองที่การจราจรติดขัดอยู่ตลอด และไม่ได้วางระบบให้เอื้อกับการติดตามคนร้ายแบบคนใช้รถใช้ถนน แค่รถพยาบาลกับรถดับเพลิงวิ่งไปปฏิบัติหน้าที่เอกก็ยังหืดขึ้นคอ คงไม่ต้องรวมเรื่องนี้เข้าไปอีกเรื่อง แต่เราก็เห็นว่าเป็นหนึ่งการออกแบบที่มีแนวคิดการแก้ปัญหาดี และไม่มีใครต้องเสียเลือดเนื้อหรือโดนลูกหลงที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟัง อุปกรณ์ชิ้นนี้เปิดวางจำหน่ายไปแล้วตั้งแต่ต้นปีในสหรัฐฯ น่าลุ้นว่าพอเอามาใช้งานจริง มันจะไปปรากฏในภาพยนตร์ด้วยหรือเปล่า และจะเปลี่ยนมิติการตามล่าในหนังบู๊ทั้งหลายที่ผู้ชายเราติดตามเป็นประจำไหม ส่วนใครที่อยากพิสูจน์สมรรถภาพของมันว่าเฉียบแค่ไหนในรูปแบบภาพเคลื่อนไหว ลองมาดูวิดีโอด้านล่างได้เลย SOURCE
ในยุคที่โลกกำลังแข่งกันสร้างสรรค์รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่สุดแสนจะไฮเทค ขุมพลังแรง และวิ่งได้ไกลแสนไกล แต่ในโลกแห่งความล้ำหน้า ย่อมตีคู่มาด้วยโลกของความคลาสสิค วันนี้เราขอแนะนำให้รู้จักกับ Iconic car ที่โด่งดังในอดีต รถทรงไข่ขวัญใจชาวประชาทั่วโลก และเป็นฮีโร่ที่ช่วยกอบกู้สถานการณ์ให้ BMW กลับมาจากสถานการณ์ใกล้ล้มจนยิ่งใหญ่แบบในทุกวันนี้ นั่นคือ Isetta Micro Car แต่วันนี้มาในรูปแบบ All-Electric พลังงานไฟฟ้าสุดล้ำสำหรับคนเมืองในชื่อ ‘Microlino’ Microlino มาในรูปแบบเดียวกับ Isetta เป๊ะ ๆ ด้วยรูปทรงไข่ขนาด 2.4 เมตร ที่เปิดประตูเข้าออกได้จากหัวรถด้านหน้าเต็มบาน นั่งได้เต็มที่ 2 คน แต่ผ่านการเปลี่ยนหัวใจใหม่ให้เป็นแบตเตอรี่ขนาด 8 kWh และ 14.4 kWh ให้เลือกได้ตามต้องการ ขุมกำลัง 15 kW แรงบิดสูงสุด 110Nm สามารถชาร์จผ่านปลั๊กไฟแบบ Type 2 มาตรฐานโลกได้ตามปกติ ชาร์จแบตเต็มหนึ่งครั้งใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง สามารถวิ่งได้ระยะทางไกล 120
เชื่อว่าขณะที่คุณกำลังเปิดอ่านบทความนี้ ส่วนใหญ่คงกำลังอยู่ในที่พักอันอบอุ่น มีงานให้ทำ มีเงินเดือนให้ใช้ แต่รู้หรือไม่ว่านอกรั้วบ้านของเราทุกวันนี้มีคนไร้บ้าน – ไร้ที่พึ่งหรือบุคคลที่เราเรียกว่า “โฮมเลส” เฉพาะในประเทศไทยนั้นมีมากถึง 70,539 คน (ผลสำรวจปี 2560) เมื่อโฮมเลสส่วนใหญ่คือคนที่เราเดินผ่านไปผ่านมาโดยไม่ค่อยสนใจพวกเขามากนัก แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ David Casarez ชายโฮมเลสที่ยืนริมถนนพร้อมป้ายกระดาษหนึ่งใบในแคลิฟอร์เนียได้รับความสนใจจากคนในสังคมออนไลน์ จนมีคนลุกมาถ่ายภาพ โพสต์ และรีทวีตข้อความถึงบริษัทในซิลิคอนวัลเลย์ให้ช่วยรับชายคนนี้เข้าทำงาน และผลของพลังโซเชียลครั้งนี้ก็ทำให้เขาดังเป็นพลุแตกชนิดที่บริษัทกว่า 200 แห่งในซิลิคอลวัลเลย์แห่กันเรียกให้เข้าสัมภาษณ์งานเลยทีเดียว อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาเปลี่ยนสถานะจากโฮมเลสหางานเป็นคนที่งานวิ่งเข้าหา ได้รับโอกาสต่างจากโฮมเลสคนอื่น เขาสมควรได้รับโอกาสนี้หรือเปล่า หรือเป็นแค่ความสงสารไร้เหตุผลของคนโซเชียล เราล้วงที่มาและเรื่องราวของเขามาบอกแล้วในนี้ “Homeless, hungry 4 success, take a resume” คุณเคยอ่านป้ายกระดาษที่อยู่ในมือโฮมเลสทั้งหลายบนสะพานลอยบ้านเราไหม เราเชื่อว่าคงต้องมีสักแว้บที่สายตาพลันเหลือบไปอ่าน แต่นี่ผู้ชายร่างใหญ่ ๆ ยืนถือป้ายกลางสี่แยกท่ามกลางแดดร้อน ๆ ด้วยข้อความโต ๆ ว่า “Homeless, hungry 4 success, take a resume” หรือ “ผมคือโฮมเลสที่โหยความสำเร็จ รับ Resume ผมไปทีครับ” ทำไมเราจะไม่หยุดดูล่ะ งานนี้ถือเป็นการขายตรงเรซูเม่ที่ฮุคเข้าตากรรมการได้โคตรทรงพลัง