ในที่สุดก็เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางของ Supercar ที่หามาครอบครองได้ยากสุด ๆ และสวยสุด ๆ นี่คือรุ่นพิเศษสุดท้ายก่อนปิดสายการผลิตของ generation ปัจจุบันของ Ford GT LM Edition ที่สร้างขึ้นเพื่อฉลองให้กับอดีตตำนานแชมป์ Le Mans 2016 และจะมีเพียง 20 คนในโลกเท่านั้นที่จะได้ครอบครองมัน ซึ่งหลังจากนี้อาจจะมีเพียง Ford GT ขุมพลังไฟฟ้าใน generation ถัดไป ตามแผนการขุมพลังโลกใหม่ของ Ford ในรถทุก segment Ford GT LM Edition ได้แรงบันดาลใจจาก Ford GT No. 68 ที่ตกแต่งในโทนสีแดงฟ้า วิ่งเข้าเส้นชัยคว้าแชมป์ 2016 Le Mans ไปครอบครอง แต่แทนที่จะมาในสไตล์การตกแต่งเดียวกัน Ford GT LM Edition เลือกใช้เพียงโทนสีแดงฟ้าในรายละเอียดบางจุดเช่น carbon fiber และเบาะนั่งภายในห้องโดยสาร ซึ่งผู้โชคดีที่มีโอกาสจับจองจะสามารถเลือกได้สี
เผยโฉมหน้าตา Ford Mustang ใหม่ทั้งคัน แถมยังมาในเวอร์ชันสุดโหดเต็มระบบพร้อมลงแข่งโดยเฉพาะ นี่คือ Ford Mustang GT Gen3 Supercar พัฒนาเพื่อลงแข่งรายการ 2023 Australian Supercars Championship ในตัวถังรหัส S650 ล่าสุด Mustang GT Gen3 Supercar วางเครื่องยนต์ Coyote V8 tuned by Ford Performance อัพเกรดไส้ในทั้งหมดพร้อมเพิ่มความจุเป็น 5.4 ลิตร ให้กำลังรวม 600 horsepower แรงบิด 650 Nm of torque ขับเคลื่อนสี่ล้อด้วย sequential shift Xtrac P1293 6-speed transaxle gearbox ถือเป็น Ford Mustang generation ที่เน้นสร้างชื่อเสียงด้านความเร็วมากกว่าที่ผ่านมา เพราะนับตั้งแต่เปิดตัวรหัส
Silly Fools ชื่อนี้มีอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่เสมอสำหรับวงการดนตรีเพลงร็อกในบ้านเรา โดยเฉพาะในยุคที่ “โต” ทำหน้าที่เป็นนักร้องนำ ซึ่งก็ได้สร้างเพลงฮิตเอาไว้มากมายไม่ว่าจะเป็น “คิดถึง”, “ไหนว่าจะไม่หลอกกัน”, “ขี้หึง”, “วัดใจ”, “น้ำลาย” เป็นต้น เพลงเหล่านี้เปิดที่ไหนรับรองว่าร้องตามกันได้อย่างแน่นอน ผลงานในยุคดังกล่าวมีการปรับซาวด์จูนเข้าหาตลาดมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทิ้งตัวตนของวง Silly Fools ออกไปแต่อย่างใด แต่ถ้าจะให้พูดถึงผลงานที่พวกเขาปล่อยของออกมามากที่สุด และประทับใจหมู่นักฟังเพลงมากที่สุด ผลงานนั้นกลับไม่ได้อยู่ในยุคของโต แต่มันอยู่ในยุคของ “เบนจามิน จุง ทัฟเนล (Benjamin Jung Tuffnell)” นักร้องนำชาวอเมริกัน เชื้อสายเกาหลี กับผลงานอัลบั้ม “The One” ที่หลายคนลงความเห็นตรงกันว่า “ซาวด์โคตรอินเตอร์แบบสุด ๆ!” “The One” เป็นผลงานที่ต่อยอดมาจาก EP.Mini วางจำหน่ายเมื่อปี 2007 บรรจุเอาไว้ทั้งหมด 4 เพลงด้วยกัน ได้แก่ “Stay Away”, “One Generation”, “I’ve Gone Blind” และ
การจะสร้างดนตรีให้กลายเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก ในบางครั้งเราอาจจะไม่ต้องสร้างงานเพลงที่มันเหนือชั้นหรือยากจนเกินไป แต่ในขณะเดียวกันการสับคอร์ดกีตาร์ง่าย ๆ เพียงไม่กี่คอร์ดก็สามารถครองโลกได้เช่นกัน ซึ่งแนวดนตรีที่ว่านั้นก็คือ “พังก์” โดยเฉพาะในสาย “ป๊อปพังก์” ที่ฟังง่ายแต่สนุก ได้ทั้งมันส์ ได้ทั้งความไพเราะไปพร้อม ๆ กัน และหนึ่งในวงที่ปูแนวทางมายาวนานกว่า 30 ปี แถมยังเป็นอิทธิพลให้วงรุ่นน้องมากมายนับไม่ถ้วน คงหนีไม่พ้น Green Day วงทริโอ-ป๊อปพังก์ จากอีสต์ เบย์, รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ก่อตั้งวงมาตั้งแต่ปี 1987 และค่อย ๆ ไต่ระดับชื่อเสียงจนกลายเป็นวงระดับโลกอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน สิ่งที่ได้กล่าวมาสามารถยืนยันได้จากยอดสตรีมมิ่งต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ เรามาดูกันดีกว่ามีผลงานเพลงไหนของวง Green Day ที่มียอดเข้าชม MV เกินกว่า 100 ล้านวิวบ้าง “BOULEVARD OF BROKEN DREAMS” VIEWS = 662 M เพลงช้าสุดฮิตของวง Green Day ผลงานจากอัลบั้ม “American Idiot”
รุ่นพิเศษเอาใจคนชอบขับหลัง Audi R8 V10 GT RWD โมเดลสุดท้ายที่จะใช้เครื่องยนต์ V10 FSi engine ทีเด็ดสร้างชื่อเสียงที่เริ่มใช้ครั้งแรกใน S8 ปี 2006 และผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 333 คันทั่วโลก ความแตกต่างของ Audi R8 V10 GT จากรุ่นปกติก็คือการจับคู่เครื่องยนต์ 5.2-liter V10 กับระบบขับเคลื่อนล้อหลังเป็นครั้งแรก ให้พละกำลังเทียบเท่าตัว Quattro ที่ 611 hp @8,000 rpm แรงบิดลดลงเล็กน้อยเหลือ 417 lb-ft เกียร์ 7-speed dual-clutch ถูกปรับอัตราทดให้ชิดขึ้น เพิ่มอรรถรสในการขับที่สนุกสนานสะใจ ในรุ่นขับหลัง จะมีระบบ torque-rear traction control system ที่ปรับแต่งใหม่เพื่อควบคุมแรงบิดให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ สามารถเลือกปรับ Driving mode ถึง 7 รูปแบบได้ที่ปุ่มบริเวณพวงมาลัย ทำงานร่วมกับช่วงล่างแบบ
หากเอ่ยถึงชื่อ Speedmaster หนึ่งในซีรีส์นาฬิการะดับไอคอนิกจาก OMEGA เชื่อว่าบรรดาผู้หลงใหลในเรือนเวลาส่วนใหญ่คงมีภาพจำถึงเรื่องราวการประกาศศักดาให้โลกจารึกในฐานะ Moonwatch นาฬิกาที่ถูกสวมโดยนักบินอวกาศ Neil Armstrong และ Buzz Aldrin ผู้ฝากรอยเท้าเล็ก ๆ ที่สุดแสนจะสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติลงบนพื้นผิวดวงจันทร์ในเดือนกรกฎาคม ปี 1969 แต่สำหรับสาวก Speedmaster อีกจำนวนไม่น้อยคงรู้กันดีว่า เดิมทีนาฬิกาเรือนนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อพิชิตดวงจันทร์ หากแต่ชื่อ Speedmaster ยังประกาศก้องถึง DNA แห่งความเร็วที่ชัดเจนเข้มข้นจนแทบไม่ต้องเสียเวลาตีความ นับย้อนไปตั้งแต่ปี 1957 ช่วงเวลาที่ปฐมบทของเรื่องราวแห่ง Speedmaster จาก OMEGA ได้เริ่มต้นด้วยเรือนเวลาที่มาพร้อมเข็มบอกทิศทางแบบ Broad Arrow รูปทรงหัวลูกศรสุดโดดเด่น และยังเป็นนาฬิกาข้อมือ Chronograph แบบแรกที่นำสเกล Tachymeter หรือมาตรวัดความเร็วมาไว้บนขอบตัวเรือน เพื่อจุดประสงค์สำหรับใช้งานในวงการ Motorsport เรียกได้ว่าก่อนจะไปโลดแล่นบนดวงจันทร์ เหล่านักแข่งรถ ช่างเทคนิค รวมถึงทีมงานในสนามประลองความเร็ว ต่างก็เคยประทับใจในความทนทาน, ประสิทธิภาพ รวมถึงงานดีไซน์ของ Speedmaster มาแล้ว จากวันนั้นถึงวันนี้ชื่อของ Speedmaster
‘การรอคอย’ เป็นสิ่งที่แย่เสมอ ไม่ว่าระยะเวลานั้นจะสั้นหรือยาวขนาดไหน เพราะเป็นการกระทำที่มาพร้อมกับความคาดหวังของมนุษย์ ถึงแม้ว่าจะมีการกำหนดเดดไลน์อย่างตายตัวเป็นเวลานัดกันแล้ว แต่ความผิดพลาดของการไม่ตรงเวลาก็สามารถเกิดขึ้นได้อยู่ดี และสิ่งที่แย่กว่าการรอคอยอย่างไม่รู้จุดหมาย คือการรอคอยที่ถูกสั่งให้รออย่างไม่เต็มใจแม้สักวินาทีเดียว “การรอคอยเป็นระยะเวลา 8 ปีเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากแค่ไหน?” UNLOCKMEN รวบรวมประวัติศาสตร์ของระยะเวลา 8 ปี (บวกลบนิดหน่อย) ที่เกิดขึ้นในหลากวงการมาให้ดูกัน ว่าจะสามารถเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง และโลกสามารถดีขึ้นได้มากแค่ไหน ถ้าเวลาถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่า .. แล้วทำไมต้อง 8 ปี ก็เพราะเขาคนนั้นไม่รักษาสัญญาอะไรเลยยังไงล่ะ Before Trilogy : หนังรักที่ถ่ายทำทุก 9 ปี ถ้าให้ยกตัวอย่างชื่อของผู้กำกับหนังที่คอนเซ็ปต์งานสร้างจัดที่สุดของโลกภาพยนตร์ เราขอเอาชื่อของ Richard Linklather ส่งเข้าประกวด นอกจากพรสวรรค์ที่เข้าใจชีวิตของมนุษย์ในมุมที่คนอื่นไม่เห็น พร้อมถ่ายทอดออกมาแบบ Slice Of Life แล้ว ผู้กำกับคนนี้ยังบ้าคลั่งเรื่องการเล่นกับไทม์ไลน์ของการสร้างหนังเอามาก ๆ อย่างหนังเรื่อง Boy Hood ของเขาก็ใช้เวลาถ่ายทำทั้งหมด 12 ปี เพื่อให้ตัวละครเติบโตจริงแบบไม่ใช้เทคนิคหรือนักแสดงแทน แล้วตัวหนังก็งดงามจนได้เข้าชิงออสการ์ปี 2015 จนเกือบชนะมาแล้ว (ในปีนั้น
ชายผู้เคยบอกว่า AI นั้นน่ากลัวและเป็นภัยต่อมนุษยชาติ เมื่อคืนพึ่งจะเปิดตัวผลงานเทคโนโลยีชิ้นล่าสุดที่กำลังพัฒนาโดย Tesla มีนามว่า “Optimus” AI Robot ที่เปิดตัวอย่างสวยงามบนเวทีงาน Tesla AI Day ใน Silicon Valley มันสามารถเดินและเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมโบกมือทักทายผู้คนในงานได้อย่างคล่องแคล่ว Elon Musk ตั้งใจพัฒนา Optimus ขึ้นมาเพื่อใช้ทำงาน routine ในโรงงาน Tesla ซึ่งคาดว่าจะสามารถวางขายเพื่อใช้แทนแรงงานมนุษย์ได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ด้วยราคาราว 750,000 บาทต่อตัว ซึ่งถือไม่แพงเลยหากมันช่วย automated บางขั้นตอนในการผลิตให้สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีป่วย ไม่มีลา ไม่มีจับกลุ่มด่านินทาเพื่อนร่วมงานให้เกิดดราม่าในองค์กร และไม่ต้องกลัวว่าวันนึง Optimus จะชวนกันกลายร่างเป็น The Terminator robot แล้วหันยึดครองโลกมนุษย์ เพราะ Elon Musk จะจำกัดขีดความสามารถของมัน เช่น จำกัดความเร็วในการวิ่งไม่เกิน 5 mph พร้อมปุ่มสำหรับปิดฉุกเฉินแบบ hardwired
การ collaboration ครั้งที่สองของ BMW และ KITH แบรนด์จาก New York ของ Ronnie Fieg ผู้คลั้งไคล้และสะสม BMW รุ่นเด็ด ๆ เอาไว้หลายคัน และการร่วมมือกันครั้งนี้คือ BMW i4 M50 ตกแต่งสีพิเศษ Vitality Green ที่จะมีจำนวนเพียง 7 คันเท่านั้น และยังมีเสื้อผ้า collection พิเศษวางจำหน่ายพร้อมกันอีกราว 51 ชิ้น โดยใช้สี Vitality Green รวมถึงสี Caramel Merino ซึ่งเป็นสีพิเศษของ BMW Individual สำหรับตกแต่งภายในรถคันนี้ ก่อนจะพูดถึง BMW i4 M50 เราขอแนะนำรถคลาสสิคคันข้าง ๆ ก่อน นี่คือ 1972 BMW 1602 Elektro by