“ไม่ว่าใครก็ติดไวรัสได้ ไม่ว่าจะรวยหรือจนหรือมีอำนาจล้นฟ้า” ประโยคดังกล่าวคือการนิยามถึงภัยร้ายจากการระบาดของไวรัสได้เป็นอย่างดี เพราะใคร ๆ ก็สามารถป่วยได้ด้วยกันทั้งนั้น จึงทำให้สถานการณ์การเมืองโลกในช่วงนี้ลดความร้อนระอุลงอย่างไม่น่าเชื่อ UNLOCKMEN จะพาทุกคนสำรวจไปทั่วโลกว่าประเทศน้อยใหญ่แต่ละที่เขามีมาตรการรับมือกับไวรัสอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะประเทศที่มีคู่กรณีหรือไม่ค่อยจะลงรอยกัน ดูสิว่าไวรัสระบาดสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการทูตมากน้อยแค่ไหน ช่วงแรกประเทศจีนเผชิญกับไวรัสโควิด-19 ทำให้คนทั่วโลกรู้จักเมืองอู่ฮั่นในฐานะเมืองแพร่เชื้อ ประเทศจีนกล่าวหาว่ากองทัพสหรัฐฯ อาจเป็นผู้ปล่อยเชื้อใส่ประเทศจีน ส่วนทางสหรัฐอเมริกากล่าวว่าเป็นจีนเองนี่แหละที่คิดค้นเชื้อโรคและเกิดความผิดพลาดจนทำให้คนตายไปจำนวนมาก ประเทศคู่กรณีอย่างไต้หวันกับจีนที่ทะเลาะกันอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่น้อยหน้า เมื่อไต้หวันบอกว่าพวกเขาเตือนองค์การอนามัยโลก (WHO) ไปตั้งแต่แรกแต่กลับไม่มีใครสนใจฟัง เพียงเพราะไต้หวันไม่ถูกนับว่าเป็นประเทศในสายตาของจีนและองค์การอนามัยโลก ทางฝั่งญี่ปุ่นที่มีข้อพิพาทกับจีนแถมยังไม่ค่อยลงรอยกับเกาหลีใต้ก็มาร่วมวงครั้งนี้ด้วย สำนักข่าวญี่ปุ่นเรียกร้องให้จีนแสดงความรับผิดชอบเพราะเป็นประเทศแรกที่เกิดการแพร่ระบาด ส่วนเกาหลีใต้ก็มีท่าทีแข็งกร้าวเมื่อเกิดการระบาดใหญ่ทั่วประเทศ หลายเมืองเกิดการโทษกันไปมา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เรียกไวรัสโควิด-19 ว่า “ไวรัสจีน” องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกแถลงการณ์เตือนผู้คนทั่วโลกว่าโปรดอย่าเรียกชื่อไวรัสชนิดนี้ว่า “ไวรัสจีน” เพราะการกระทำดังกล่าวจะสร้างภาพลักษณ์ผิด ๆ ให้กับเพื่อนร่วมโลก เพราะไวรัสไม่รู้เรื่องพรมแดน ไม่สนใจชาติพันธุ์อันแตกต่าง สีผิว หรือเงินเก็บที่คุณฝากธนาคารเอาไว้ ดังนั้นจึงอยากให้ทุกท่านอย่าสร้างภาพเหมารวมผิด ๆ ก่อให้เกิดความแตกแยก หลังจากหลายชาติต่างสลับสับเปลี่ยนวิวาทกันไปเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีไวรัสโควิด-19 ก็แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว โดยย้ายจากจีนมาเป็นอิตาลีที่อาการหนักเข้าขั้นโคม่า ถัดจากอิตาลีคือสหรัฐฯ ที่มีผู้ติดเชื้อมากขึ้นจนน่าใจหาย และจำนวนผู้ติดเชื้อกับผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อย
ทั่วโลกต่างตื่นตระหนกกับไวรัสโควิด-19 ที่แพร่กระจายไปทั่วและยังไม่สามารถหยุดยั้งได้ หลายประเทศออกมาตรการฉุกเฉิน ยกเลิกเที่ยวบิน ปิดห้างสรรพสินค้า ปิดประเทศ ห้ามผู้คนสัญจรไปมาเพื่อลดความเสี่ยง รวมถึงประเทศในอเมริกาใต้อย่างบราซิลที่เริ่มปิดบางย่านในเมืองหลวงแล้วเช่นกัน แต่การปิดเมืองของพวกเขาแปลกกว่าที่อื่นเพราะคนสั่งปิดไม่ใช่รัฐบาลแต่เป็นแก๊งมาเฟีย การปิดบางย่านในเมืองหลวงริโอ เดอ จาเนโร (Rio De Janeiro) ถูกตีข่าวโดยสำนักข่าวใหญ่ชื่อดังของโลก reuter (รอยเตอร์) เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อแก๊งพ่อค้ายาเสพติดผู้มีอำนาจใน Favela (ย่านสลัมที่กระจายตัวอยู่ทั่วกรุงริโอฯ) นำกองกำลังติดอาวุธลงพื้นที่ บังคับไม่ให้ประชาชนออกจากบ้านในยามวิกาล ปิดตลาดสดชั่วคราว สั่งใช้เคอร์ฟิวกับคนในชุมชนอย่างเข้มงวดเพราะกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยไม่แคร์รัฐบาลที่ยังไม่ยอมออกมาตรการใด ๆ เพื่อประชาชน ความกังวลต่อไวรัสของแก๊งมาเฟียคุมย่านสลัมของเมืองริโอฯ ถึงจุดแตกหัก เมื่อกระทรวงสาธารณสุขแจ้งว่าพบผู้เชื้อไวรัสในย่านเสื่อมโทรมมากขึ้นทำให้พวกเขาทนไม่ไหวตัดสินใจออกโรงเอง การเคลื่อนไหวของมาเฟียพวกนี้แสดงให้เห็นว่าไวรัสสามารถเข้าถึงทุกคนโดยไม่สนว่าจะรวยหรือจน หรือมีอำนาจล้นมือมากแค่ไหน แถมไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดในประเทศบราซิลไม่ได้เริ่มมาจากคนจนในชุมชนแออัด แต่ติดมากับพวกผู้ดีมีอันจะกินที่เดินทางกลับจากยุโรปและนำเชื้อไวรัสมาแพร่ให้คนอื่น ๆ ในประเทศ ไวรัสแพร่จากคนรวยสู่ผู้คนทุกชนชั้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งในชุมชนสลัมแออัดมีคนอยู่รวมกันเยอะ ๆ พวกเขาคือคนโชคร้ายรับภาระหนักกว่าคนอื่น จนทำให้คนบราซิลพากันเรียกชื่อไวรัสโควิด-19 กันว่า “The disease of the rich” หรือ “โรคของคนรวย” Thamiris Deveza แพทย์ผู้ทำงานอยู่ในย่าน Favela
“สถานการณ์แบบนี้ใครเขาจะยังมานั่งคิดเรื่องแฟชั่น ?” ครับ พวกเราชาว UNLOCKMEN ก็ยังคงคิดถึงแฟชั่นและการแต่งกายอยู่เสมอไม่ว่าจะเจอกับเรื่องราวแบบไหน ไม่ใช่ว่าเราไม่สนใจสิ่งรอบตัวแต่การตระหนักถึงเครื่องแต่งกายมีส่วนช่วยเราได้มากกว่าที่คิด บางคนอยู่บ้านแล้วเศร้าจนแทบหมดอาลัยตายอยาก หรือบางคนยังต้องออกไปเผชิญกับไวรัสโควิด-19 นอกบ้าน การแต่งตัวเหมาะสมตามสถานการณ์คือสิ่งที่จะช่วยปกป้องเราได้ ในวันนี้ UNLOCKMEN จะมาแนะนำสไตล์การแต่งตัวสองแบบด้วยกันทั้ง ‘คนต้องอยู่ติดบ้าน’ กับ ‘คนยังมีเหตุจำเป็นต้องออกไปเผชิญโลกภายนอก’ เพราะการใส่ใจกับการแต่งตัวสามารถช่วยเราได้ไม่น้อย คนที่ต้องอยู่ติดบ้าน แฟชั่นสำหรับคนอยู่บ้านอาจดูไม่มีอะไรมาก เพียงแค่เดินถือผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ เสร็จแล้วใส่กางเกงบ็อกเซอร์กับเสื้อกล้ามหรือเสื้อยืดหนึ่งตัวก็เป็นอันเสร็จ บางคนตื่นมาพร้อมชุดนอนก็ลุยงานหน้าคอมพิวเตอร์ต่อยาว ๆ พลางคิดว่าดีด้วยซ้ำเพราะไม่ต้องมานั่งรีดชุดทำงาน แต่ความรู้สึกแสนชิลมันจะมาแค่ช่วงแรกเท่านั้นครับ มีหลายคนต้อง work from home มาแล้วกว่าสองอาทิตย์ นั่ง ๆ นอน ๆ เดินวนไปวนมาอยู่ในพื้นที่จำกัด ออกไปเจอคนแปลกหน้าเพียงไม่กี่วินาทีเพราะรับอาหารจากการสั่งเดลิเวอรี่ นานวันเข้าความรู้สึกแสนสบายที่ใส่เสื้อผ้าง่าย ๆ เริ่มจางลง ความเบื่อหน่ายเข้ามาแทนที่ มีชาว UNLOCKMEN คนหนึ่ง บ่นว่ารู้สึกเศร้าเพราะไม่ได้เจอกับใครเลย ส่วนอีกคนบอกว่าเห็นตัวเองแบบเซอร์ ๆ ทุกวันก็รู้สึกเบื่อ สิ่งเหล่านี้คือเรื่องน่าเป็นห่วงที่ไม่ควรมองข้าม การแต่งตัวสามารถช่วยปรับสภาพอารมณ์ของคนต้องอยู่แต่บ้านออกไปไหนไม่ได้จนรู้สึกซึม เพราะสีสันบนเครื่องแต่งกายส่งผลต่อความรู้สึกมากกว่าที่คิด ถ้าใครรู้สึกอึดอัดกดดัน ไอเทมสีเขียวจะช่วยให้เรารู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับสิ่งรอบตัว สร้างความผ่อนคลาย
หนึ่งในสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของการทำงาน คือยังไม่ได้ทำใจในวันจากลา เหตุผลนี้กลายเป็นวิกฤตสำคัญของสถานการณ์ Covid-19 ไปเรียบร้อย บางคนโดนลอยแพกระทันหัน บางคนยังไม่รู้ชะตากรรม ตกงานระนาว ส่วนหนี้สินที่รุงรังอยู่ยังไม่รู้จะเริ่มสางตรงไหน เพราะมันไม่ได้หยุดทำงานเหมือนเรา เรื่องนี้อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมาจากประกันสังคมและกระทรวงแรงงานว่าผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้ กระทรวงแรงงานไม่ได้นิ่งนอนใจ ออกมาตรการเยียวยาผลกระทบ Covid-19 เพื่อให้เรายังพอมีเงินยังชีพระหว่างที่ขาดรายได้ โดยใครที่เข้าเกณฑ์เงื่อนไขใดในนี้ สามารถไปเข้าไปกรอกเพื่อรับสิทธิ์เงินสมทบได้ตามที่กำหนด Keyword: เพื่อให้อ่านต่อเนื่องจากนี้ไปแล้วเข้าใจมากขึ้น เราอยากให้ทุกคนทำความเข้าใจรูปแบบการเป็นผู้ประกันตนมาตราต่าง ๆ ก่อนว่าเราเข้าข่ายแบบไหน และแต่ละคนมีความแตกต่างอย่างไร ผู้ประกันตน มาตรา 33 = พนักงานเอกชนทั่วไป ผู้ประกันตน มาตรา 39 = เคยเป็นพนักงานแต่ลาออกและต้องการความคุ้มครองต่อเนื่อง ผู้ประกันตน มาตรา 40 = อาชีพอิสระ/แรงงานนอกระบบ หรือผู้ที่ต้องการทำประกันสังคม ไม่เคยทำมาก่อน ต้องมีอายุ 15-60 ปี เงื่อนไข แน่นอนว่าการคุ้มครองแรงงานในสถานการณ์นี้ ถึงจะบอกว่าช่วยเยียวยาแต่ก็มีเงื่อนไข โดยเงื่อนไขครั้งนี้คือลูกจ้างที่สามารถรับสิทธิ์ได้ ต้องส่งประกันสังคมมาแล้วไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ถ้าคุณเข้าเงื่อนไขนี้ก็ขอให้ข้ามไปดูต่อได้ว่าคุณอยู่ในข่ายผู้ได้รับผลกระทบแบบไหน
นอกจากการดูแลร่างกายที่หลายหน่วยงานบอกให้เราล้างมือ ยืนห่าง ใช้หน้ากาก และพยายามอย่าใช้มือสัมผัสใบหน้า ซึ่งเป็นการป้องกันเบื้องต้น แต่ยิ่งเราเข้าใจ Coronavirus มากเท่าไหร่ เรายิ่งสามารถป้องกันตัวเองจากมันได้มากขึ้น ล่าสุดมีผลวิจัยที่น่าสนใจจากประเทศอังกฤษ ประเทศที่มีตัวเลขการระบาดแบบก้าวกระโดด อธิบายระยะเวลาที่ Covid-19 มีชีวิตอยู่นอกร่างกายบนพื้นผิวต่าง ๆ ได้นานแค่ไหน ซึ่งมันทำให้เห็นว่านอกจากการป้องกันเบื้องต้นตามที่หลายหน่วยงานแนะนำ เรายังควรฆ่าเชื้อโรคบนพื้นผิวต่าง ๆ ที่เราต้องสัมผัส และการหมั่นล้างมือทุกครั้งเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ทุกคนน่าจะเข้าใจแล้วว่าเจ้าไวรัส severe acute respiratory syndrome coronavirus 2 (SARS-CoV-2) ต้นเหตุของโรค Coronavirus disease (COVID-19) สามารถแพร่กระจายทางผ่านทางละอองของเหลว การสร้างระยะห่าง Social Distance ไม่น้อยกว่า 2 เมตร รวมถึงการหลีกเลี่ยงไม่รวมตัวในหมู่คนจำนวนมาก จึงเป็นวิธีป้องกันที่ถูกต้องและทุกคนควรทำตามอย่างเคร่งครัด แต่ที่หลายคนอาจยังไม่รู้คือ เจ้าไวรัสชนิดนี้มันมีชีวิตอยู่ภายนอกร่างกายมนุษย์ได้นานหลายชั่วโมงไปจนถึงสูงสุดคือ 72 ชั่วโมง (3 วัน) ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นผิว เป็นการช่วยคอนเฟิร์มว่าเราจำเป็นต้องล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ไม่น้อยกว่า 20 วินาที ทำความสะอาดผิวสัมผัสก่อนจับเสมอ เนื่องจากเจ้า SARS-CoV-2
ถ้าพูดถึงประเทศแห่งแฟชั่นในทวีปยุโรปก็ต้องฝรั่งเศส เมืองที่ถูกเรียกว่าแดนน้ำหอม เมืองแห่งแฟชั่นและความงาม ต้นกำเนิดของแบรนด์แฟชั่นชื่อก้องโลกทั้ง แอร์เมส (Hermes) ชาแนล (Chanel) หลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton) เบอร์เบอร์รี่ (Burberry) อีฟส์ แซ็งต์ ลอร็องต์ (Yves Saint Laurent) จีวองชี (Givenchy) รวมถึง คริสเตียน ดิออร์ (Christian Dior) ซึ่งชื่อแบรนด์คุ้นหูเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของแฟชั่นที่เกิดจากฝรั่งเศสเท่านั้น UNLOCKMEN เชื่อว่าหากใครติดตามเทรนด์แฟชั่นอยู่ตลอดต้องรู้จัก Louis Vuitton Moet Hennessy (LVMH) บริษัทจำหน่ายสินค้าแฟชั่นลักชัวรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ณ เวลานี้ เพราะเขามีแบรนด์แฟชั่นดัง ๆ เป็น prestigious band มากกว่า 60 แบรนด์ ไม่ได้ยิ่งใหญ่แค่โลกแฟชั่นเท่านั้นแต่ยังวงการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยมีนักธุรกิจนามว่าแบร์นาร์ด อาร์โนลด์ (Bernard Arnuault) เป็นผู้กุมบังเหียนของอาณาจักร LVMH เมื่อต้นปี 2020
การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ COVID-2019 ที่เราทั้งหลายต่างประสบกันอยู่ ณ ตอนนี้ บอกเลยว่ามันส่งผลกระทบไปทุกหย่อมหญ้า ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนร่วมทวีปอย่างญี่ปุ่น ที่แม้จะเป็นประเทศมหาอำนาจด้านเทคโนโลยี และเป็นประเทศที่สามารถรับมือภัยพิบัติได้ดีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ก็ยังไม่วายถูกวิกฤติ COVID-2019 เล่นงาน จนตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ไปเยือนแดนอาทิตย์อุทัยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ลดลงไปกว่า 58% และเมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ภาคธุรกิจของญี่ปุ่นดูเหมือนจะยิ่งทรุดหนัก กับภาพสะท้อนของตลาดทุนสุดซบเซา ด้วยดัชนี Nikkei 225 ที่ดิ่งลงไปถึง 1.68% ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 3 ปี แต่ในวันที่อะไร ๆ ดูเหมือนจะเป็นลบ กลับมีหุ้นตัวหนึ่งฉายแสงขึ้นมา นั่นคือหุ้นของ Fujifilm Holdings Corp. ที่พุ่งทะยานขึ้นไปกว่า 700 จุด หรือพุ่งขึ้นไป 15.43% ปิดตลาดแบบชื่นมื่นที่ 5,238 จุด ในวันเดียวกันกับที่ดัชนี Nikkei 225 หดหู่ที่สุดในรอบ 3 ปี แบบไม่แคร์เพื่อนร่วมตลาด ถ้าไม่ได้อ่าน Headline
ต้องยอมรับว่าวันนี้หลายคนหวั่นใจกับการไปอยู่ร่วมกับคนอื่นทั้งคนแปลกหน้าและคนใกล้ชิด เพราะยอดการติดชื้อที่เพิ่มขึ้นโดยจับมือใครดมไม่ได้ ค่าตรวจเชื้อก็โหดเอาเรื่อง แพงกว่าค่าซื้อประกันไปอีก ดังนั้น ทุกธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจึงต้องออกระบบการจัดการเพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับมา UNLOCKMEN รวบรวมไอเดียจาก 5 ธุรกิจเสี่ยงที่ไม่ยอมแพ้และลุกขึ้นมาปรับตัว เปลี่ยนกลยุทธ์การให้บริการเพื่อเอาตัวรอดในสถานการณ์นี้ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับมาอีกครั้ง ใครที่อยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมเดียวกัน เคยสับสนว่าจะทำอย่างไรนอกจากรอมาตรการเยียวยา เราว่านี่คือโอกาสดีที่ทุกคนจะลุกขึ้นมาเริ่มต้นปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อหาทางออกก่อน ใครอยากลอกวิชาการตลาดเดียวกันนี้ไว้ก็ไม่ว่ากัน นาทีนี้คงไม่มีใครจะมานั่งคิดค่าลิขสิทธิ์ “เพราะสุดท้าย เราหวังเสมอว่า พวกเราจะไม่อดตาย ก่อนที่ไวรัสจะเข้ามาฆ่าเรา” โรงภาพยนตร์เว้นระยะห่างให้นั่งสบายเป็นส่วนตัว เริ่มต้นด้วยธุรกิจที่กระทบทั้งขึ้นทั้งล่องเป็นแห่งแรกคือ “โรงภาพยนตร์” เพราะเดิมก็มีปัญหาเรื่องต้องชนกับบริษัทสตรีมมิงทุกเจ้าทั้ง Netflix, Apple TV, Disney+ และ Youtube จนรายได้หดแล้ว วันนี้พอมรสุม Covid-19 เข้ายิ่งทำให้การตีตั๋วน้อยเข้าไปใหญ่ จากเหตุผล 2 ข้อหลัก คือ โรงภาพยนตร์เป็นสถานที่ปิดที่ต้องอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้า ตำแหน่งการใช้บริการที่คนซื้อตั๋วมาต้องนั่งติดกัน การแก้เกมเบื้องต้นเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของโรงภาพยนตร์จากเครือเมเจอร์ซินิเพล็กซ์จึงเป็นการประกาศเว้นระยะห่างในโรงภาพยนตร์ แบบแถวเว้นแถว และเว้นห่างระหว่างที่นั่งทุก 2 ที่นั่งเพื่อเป็นมาตรการป้องกัน COVID-19 ล่าสุดโรงภาพยนตร์ทั้งเครือเมเจอร์และ SF ได้ขยายมาตรการเพิ่มระดับความปลอดภัยด้วยการประกาศปิดโรงภาพยนตร์ตามมติ ครม. ชัตดาวน์สถานบันเทิง-ร้านนวดใน กทม.-ปริมณฑล 14 วัน
ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-2019 ในตอนนี้ ทำเอาธุรกิจหลายภาคส่วนต้องหยุดชะงัก หลัก ๆ ที่เห็นผลกระทบกันชัด ๆ ก็จะเป็นเรื่องงานอีเว้นต์ กิจกรรมต่าง ๆ ที่รวมผู้คนเอาไว้มากมาย ต้องถูกยกเลิกหรือเลื่อนออกไป เพื่อเป็นหนึ่งมาตรการควบคุมการะบาดของไวรัส แต่ในขณะเดียวกันธุรกิจอีกหลายประเภทก็ยังต้องรันกันต่อ เพราะหากอยู่เฉยสงบนิ่งรอให้ไวรัสหายขาดอาจจะต้องประสบภัยในฐานะผู้ยากไร้ ซึ่งเป็นอะไรที่ปวดใจไม่แพ้ภาวะโรคระบาดสักเท่าไหร่ ดังนั้นในเมื่อยังต้องลุยงานไปพร้อม ๆ กับป้องกันตัวจากการระบาดของ COVID-2019 หลากหลายบริษัทจึงตัดสินใจใช้แนวทาง Work from Home ให้งานยังไปต่อได้ แน่นอนว่าสำหรับบางที่ นี่อาจเป็นเรื่องปกติเพราะ Work from Home กันเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว แต่ที่แน่นอนยิ่งกว่าคือสำหรับอีกหลาย ๆ ออฟฟิศมันถือเป็นเรื่องใหม่มาก ๆ แม้เทคโนโลยียุคนี้จะพร้อมรองรับการทำงานทางไกลหลายรูปแบบ แต่ด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ นา ๆ อาจทำให้อีกหลายบริษัท อีกหลาย ๆ องค์กรไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสการทำงานแบบ Work from Home จริง ๆ จัง ๆ จนมาถึงวันนี้ วันที่วิกฤติบีบคั้นให้ต้องลองกันสักที เราจึงมีวิธีเตรียมตัวเบื้องตน
การหยุดวิกฤตสถานการณ์โควิด-19 วันนี้ เรื่องยากไม่ใช่วิธีรักษาแต่เป็นการกักกันการแพร่ระบาดของเชื้อมากกว่า เพราะวันนี้คนที่เป็นพาหะของเชื้ออาจจะไม่แสดงอาการและแพร่ไวรัสสู้คนรอบข้างจนลุกลามได้ หลังจากที่มหาเศรษฐีทั่วโลกพยายามใช้เงินที่มีหยุดวิกฤตนี้ Bill Gates เองก็ไม่นิ่งนอนใจ อัดฉีดเงินไปสู้เหมือนกัน และล่าสุดหนึ่งในโครงการที่เขาจัดตั้งอย่าง Bill and Melinda Gates Foundation ที่ตั้งอยู่ในเมือง Seattle ก็คิดค้นวิธีระงับไฟตั้งแต่ต้นลม โดยประกาศว่าจะปล่อยชุด Home Testing Kits ซึ่งคาดการณ์ว่าจะสามารถทดสอบได้กว่า 400 การทดสอบต่อวัน หลักการตรวจจะใช้พื้นฐานมาจากวิธี Nose-swab ซึ่งเป็นการทดสอบทางการแพทย์เกี่ยวกับผู้ที่มีปัญหาด้านระบบทางเดินหายใจทั่วไปอยู่แล้ว จากนั้นจะเอาอุปกรณ์ตัวนี้ส่งไปให้กระทรวงสาธารณสุขตรวจอีกครั้งเพื่อให้แจ้งผลกลับภายใน 2 วันว่าคุณมีผลทดสอบเป็น positive หรือเปล่า ถ้าพบเชื้อ เขาจะส่งแบบทดสอบออนไลน์มาให้กรอกอีกครั้งเพื่อระบุว่าก่อนหน้านี้เราเคยมีความเคลื่อนไหวอย่างไร พบปะใครบ้าง ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้จะส่งไปให้เจ้าหน้าที่เพื่อให้แจ้งสู่บุคคลเสี่ยงติดเชื้อให้ตรวจสอบและกักกักตัวเองต่อไป Scott Dowell จาก Bill & Melinda Gates Foundation ผู้เป็นแกนนำรับผิดชอบโปรเจกต์โคโรนาไวรัสให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ the Seattle Times ว่า “แม้จะมีอะไรให้ทำอีกมาก แต่สิ่งนี้มีศักยภาพมหาศาลต่อการพลิกสถานการณ์แพร่ระบาดโรค สิ่งหนึ่งที่สำคัญจากมุมเราที่ทำได้ คือการระบุผู้ติดเชื้อเพื่อให้แยกเขาไปดูแลต่ออย่างปลอดภัยและระบุตัวผู้เกี่ยวข้องเพื่อกักกัน ป้องกันการแพร่ระบาด”