ตอนนี้จะออกไปที่ไหนก็ลำบาก เพราการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ข้างนอกกลายเป็นพื้นที่ red zone แต่พออยู่บ้านเฉย ๆ หลายคนคงรู้สึกเหงาและเฉากันอยู่บ้าง เราเลยมาแนะนำแอปเล่นเกมมือถือที่ช่วยให้คุณสามารถปาร์ตี้หรือสังสรรค์กับเพื่อนได้อย่างมีความสุขมากขึ้น แม้จะไม่ได้อยู่ที่เดียวกันก็ตาม เตรียมเครื่องดื่ม สารพัดของคบเคี้ยวให้พร้อม แล้วไปสนุกกับเพื่อนกันได้เลย Plato มาเริ่มกันที่ Plato แอปเล่นบอร์ดเกมบนมือถือที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยแอปนี้จะมีเกมให้เราเลือกเล่นมากมายกว่า 45 เกม ไม่ว่าจะเป็น UNO (OCHO), Table Soccer, Chess, Bingo, Werewolf ไปจนถึง Poker (HOLD’EM) ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเล่นกันได้ไม่มีเบื่อ เราสามารถเล่นเกมเหล่านี้กับคนแปลกหน้า หรือ สร้างกลุ่มรวมเพื่อนมาเล่นด้วยกันก็ได้ นอกจากนี้ Plato ยังมีฟีเจอร์อื่นที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น การเก็บสถิติแพ้ชนะ ระบบห้องแชท การเพิ่มเพื่อน หรือ การสะสมเหรียญเพื่อซื้อของในแอป ใครที่สนใจสามารถเข้าไปโหลดได้ที่ Google Play และ App Store Tabletopia ใครที่ชื่นชอบการเล่นบอร์ดเกมกับเพื่อนเป็นชีวิตจิตใจ ต้องรู้จักกับ
อยู่บ้านนาน ๆ อย่าปล่อยให้เวลาเสียเปล่า มาใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ และเรียนรู้สกิลใหม่กันดีกว่า !! ในบทความนี้ UNLOCKMEN จะมาแนะนำ 5 วิธีที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถจดจำและเรียนรู้สกิลใหม่ได้เร็วขึ้น และช่วยให้ทุกคนไม่ล้มเลิกการเรียนกลางคันด้วย ตั้งเป้าหมายในการเรียน ก่อนอื่นเลย สิ่งแรกที่เราควรทำตอนเรียกสกิลใหม่ คือ การตั้งเป้าหมายในการเรียน เพราะมันจะช่วยให้เรามีกำลังใจในการเรียนต่อไปได้นาน และไม่รู้สึกท้อในระหว่างการเรียนได้ง่ายเมื่อเจอกับอุปสรรค์ การหาเป้าหมายสามารถทำได้โดยการตั้งคำถามกับตัวเอง เช่น ทำไมเราถึงอยากเรียนสกิลนี้ไม่ใช่สกิลอื่น ? หรือ เมื่อเราเรียนสกิลนี้สำเร็จแล้วเราจะทำอะไรต่อไป ? เป็นต้น แบ่งย่อยเนื้อหาของสกิล เมื่อเรากำหนดเป้าหมายในการเรียนแล้ว สิ่งต่อไปที่เราควรทำ คือ การค้นคว้าหาข้อมูลว่าสกิลไหนที่เราอยากจะเรียนรู้เพิ่มเติม เมื่อเรามีข้อมูลเกี่ยวกับสกิลใหม่เพิ่มขึ้นแล้ว ให้เราลองลิสต์องค์ประกอบของสกิลนั้นออกมาให้ได้มากที่สุด เช่น ถ้าเราอยากเรียนรู้ทักษะการพูดในที่สาธารณะ (public speaking) องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องก็จะมีตั้งแต่ ภาษากาย สีหน้าท่าทาง การนำเสนอ การใช้เสียง ฯลฯ การรู้เรื่องเหล่านี้จะช่วยให้เรามองเห็นทิศทางในการเรียนมากขึ้น และปวดหัวกับการเรียนน้อยลง สนใจทักษะย่อยที่สำคัญที่สุด หลักการของพาเรโต้ (Pareto’s principle) บอกว่า สิ่งที่สำคัญมีอยู่เป็นจำนวนน้อยกว่าสิ่งที่ไม่สำคัญ ความพยายาม 20% อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เราคาดหวัง
ในช่วงที่สถานการณ์ COVID-19 กำลังรุนแรง โรงพยาบาลหลายแห่งต่างประสบปัญหาเรื่องการรองรับผู้ป่วยติดเชื้อที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นหลายพันคนทุกวัน เครื่องมือตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่สะดวกรวดเร็วมากขึ้น จึงได้รับความสนใจมากขึ้น และตอนนี้รัฐบาลได้อนุญาตให้อุปกรณ์ตรวจที่น่าสนใจตัวหนึ่งชื่อว่า ‘Rapid Antigen Test’ เข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ในการตรวจหาเชื้อไวรัสแล้ว UNLOCKMEN จึงอยากพาทุกคนไปรู้จักเจ้าอุปกรณ์ตรวจนี้ให้มากขึ้น Rapid Antigen Test คือ อะไร ? ‘Rapid Antigen Test’ เป็นหนึ่งในวิธีการตรวจหาเชื้อ COVID-19 อย่างรวดเร็ว (Rapid Test) ที่มีลักษณะเป็น swab test หรือ การตรวจหาสารพันธุกรรรมของเชื้อในระบบทางเดินทางหายใจ โดย Rapid Test ประกอบไปด้วย 2 ประเภท ได้แก่ ‘Rapid Antigen Test’ และ ‘Rapid Antibody Test’ โดยทั้ง 2 ประเภทนี้มีความแตกต่างกัน Rapid Antigen Test จะตรวจโดยการค้นหาโปรตีนของไวรัส
ตอนนี้หลายประเทศเริ่มทยอยได้ฉีดวัคซีน COVID-19 กันแล้ว ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐฯ อังกฤษ หรือ รัสเซีย และในอนาคตอันใกล้คนไทยก็จะได้ฉีดวัคซีนแล้วเช่นกัน แต่พอพูดถึงเรื่องวัคซีนที่มีอยู่ตอนนี้มันก็มีอยู่หลายแบรนด์ เราเลยอยากมาพูดถึงความคืบหน้าของวัคซีนแต่ละตัวว่ามันไปถึงไหนแล้ว โดยได้หยิบยก 6 แบรนด์วัคซีนที่อยู่ในความสนใจของคน ณ ตอนนี้ เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจถึงประสิทธิภาพ และมีความเข้าใจในเรื่องวัคซีนอย่างถ่องแท้ Pfizer-BioNTech วัคซีนตัวแรกที่เราอยากพูดถึงชื่อว่า ‘BNT162b2’ หรือ ‘Tozinameran‘ ซึ่งเป็นวัคซีนประเภท m-RNA ซึ่งเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์แบบใหม่ที่ใช้การส่งสารเคมีที่ชื่อว่า Messenger RNA เช้าไปในร่างกายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างโปรตีนและภูมิคุ้มกัน วัคซีนตัวนี้เป็นผลงานร่วมของสองบริษัท ได้แก่ Pfizer บริษัทด้านเภสัชกรรมสัญชาติอเมริกัน และ BioNTech บริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพจากเยอรมัน หลังจากมีการเปิดตัววัคซีน เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาคนทั่วโลกก็ฮือฮากับมันมาก เพราะมีการเคลมว่า วัคซีนตัวนี้มีประสิทธิภาพในการหยุดยั้ง COVID-19 ได้สูงถึง 95% เลยทีเดียว (ข้อมูลจากการทดลองในเฟส 3 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมการทดลองราว 4 หมื่นคน) เรียกได้ว่าเป็นวัคซีนแห่งความหวังของใครหลายคน สำหรับข้อมูลจำเพาะของวัคซีนนี้คือเหมาะกับผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ต้องมีการฉีดถึง 2
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการรุกรานของ COVID-19 ทำให้เราทั้งหลายได้พบเจอกับข้อดีมากมายจากการทำงานอยู่บ้าน หรือ Work From Home แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อเสียอีกไม่น้อยซ่อนอยู่ ยกตัวอย่างเช่นการไม่ต้องรีบเดินทางไปทำงานตั้งแต่เช้าก็ถือเป็นเรื่องดีที่ทำให้มีเวลาให้นอนต่ออีกนิด แต่เวลานอนมากขึ้นนั้นทำให้หลายคนกลับต้องประสบปัญหาการนอนหลับเนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังจาก Work From Home ด้วยเหตุที่ว่าเตียงนอนดูดวิญญาณมันดันอยู่ในระยะทำการ ที่พร้อมให้พุ่งตัวไปนอนเมื่อไหร่ก็ได้ โดยที่มีคำว่า ‘Power Nap’ หรืองีบเอาแรงสักหน่อยเป็นข้ออ้าง จนทำให้งีบไปงีบมาสุดท้ายกลายเป็นว่ากลางวันก็ไม่สดชื่น แถมกลางคืนก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้ซะอย่างนั้น จากปัญหานี้ทำให้หลายคนกลับมาตั้งคำถามกันอีกครั้งว่าจริง ๆ แล้วการงีบหลับช่วงกลางวัน มันคือการ Power Nap ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หรือเป็นตัวทำลายนาฬิกาชีวิตจนส่งผลให้เกิดปัญหานอนไม่หลับกันแน่ ซึ่งข้อสงสัยนี้ถูกไขให้กระจ่างโดย Dr. Roxanne J Prichard, Professor of Neuroscience and Psychology จาก University of St. Thomas ที่ได้เปิดเผยถึงประโยชน์ของการงีบหลับว่า “ความเหนื่อยล้าอันหนักหน่วงจนร่างกายส่งสัญญาณอาการง่วงออกมานั้น ไม่มีวิธีแก้วิธีไหนที่จะดีไปกว่าการนอนหลับให้รู้แล้วรู้รอดไป” “และสำหรับใครที่ไม่มีเวลานอนหลับมากมาย เพราะยังมีงานอีกหลายชิ้นให้ต้องเคลียร์ การงีบหลับถือเป็นทางออกที่น่าสนใจ แม้มันจะไม่ได้ประสิทธิผลเท่ากับการนอนหลับตามปกติในเวลากลางคืน แต่การหาเวลา Nap Sleep คือวิธีฟื้นฟูสมองและร่างกายให้กลับมา
เมื่อไม่มีใครรู้ว่าการระบาดของ COVID-19 จะจบลงเมื่อไหร่ หลายคนคงใช้ชีวิตแบบไม่มีความสุขกัน เพราะในสภาวะไม่ปกติแบบนี้ หลายคนต้องอยู่บ้านเป็นเวลานาน อยากไปเที่ยวที่ไหนก็ไปไม่ได้ แถมยังต้องระมัดระวังสิ่งรอบข้างตลอดเวลา การต้องใช้ชีวิตด้วยความอดทนและอยู่ภายใต้ความกลัวโรค จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สภาพจิตใจของเราจะแย่ลงทุกวัน ๆ แม้สถานการณ์จะบั่นทอนความสุขของเราเหลือเกิน แต่การสิ้นหวังก็ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น มาลองดูวิธีรับมือกับอารมณ์ด้านลบที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤต COVID-19 ก่อน ซึ่งเราเชื่อว่า หากทุกคนทำตามแล้ว จะมีความสุขในการใช้ชีวิตมากขึ้นอย่างแน่นอน เช็คข่าวให้ดีก่อนเชื่อ ยุคนี้ข่าวปลอมเยอะมาก ซึ่งบางข่าวก็เน้นไปที่การสร้างความตื่นตระหนกด้วย แถมพอเราเชื่อและนำข่าวนั้นไปบอกคนอื่นต่อ ความตื่นตระหนกมันก็จะยิ่งแพร่กระจายในวงกว้างมากขึ้นอีก เราเลยต้องเลือกเสพข่าวกันหน่อย พร้อมกับเช็คความถูกต้องของข้อมูลด้วย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราได้รับข่าวจากคนในทวิตเตอร์ เราก็อาจนำข้อมูลนั้นไปเช็คกับแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เช่น สำนักข่าวใหญ่ หรือ มีเดียของหน่วยงานรัฐบาล เพื่อให้เราได้รับข้อมูลที่เป็นจริงมากที่สุด และป้องกันความแพนิคที่เกิดขึ้นจากการเชื่อข่าวปลอม รวมถึง การส่งต่อความแพนิคไปยังคนอื่นด้วย ควบคุมปริมาณการเสพข่าวของตัวเอง แม้การตื่นตัวเรื่อง COVID-19 จะเป็นเรื่องดี แต่เราไม่จำเป็นต้องเสพข่าวเรื่อง COVID-19 ตลอดเวลา เพราะพวกข้อมูลที่บอกว่าโรคระบาดแพร่เร็วแค่ไหน ? คนป่วยและตายมีจำนวนเท่าไหร่ ? สามารถเพิ่มความวิตกกังวลให้กับเราได้ การเสพข่าวประเภทนี้ตลอดเวลา จึงทำให้จิตใจเกิดภาระอย่างหนักได้เช่นกัน ดังนั้น จำกัดเวลาในการเสพข่าว และเอาเวลาที่เหลือมาทำในสิ่งที่เราชอบดีกว่า เช่น
‘ญี่ปุ่น’ ถือเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องอัตราการฆ่าตัวตายสูงติดอันดับโลกเสมอ จนถูกนับเป็นเมืองที่มีความเครียดสูงที่สุดเมืองหนึ่งของโลกไปแล้ว ด้วยเหตุผลหลายอย่างทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ การแข่งขันทางธุรกิจ การทำงาน รวมถึงพื้นที่ที่จำกัด และค่านิยมหลายอย่างที่อาจส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เกิดความเครียด เมื่อเครียดจนไม่รู้จะทำอย่างไร คนบางส่วนจึงเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองเพื่อปิดกั้นการรับรู้ถึงปัญหาต่าง ๆ ไปตลอดกาล การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่แพร่กระจายไปทั่วโลกก็แวะเวียนไปยังญี่ปุ่นเช่นกัน ในตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังเผชิญหน้ากับการระบาดระลอกสองที่ยากจะควบคุม แม้ตอนแรกจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศจะยังไม่สูง ซ้ำผลสำรวจของสื่อแทบทุกสำนักยังระบุตรงกันว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในญี่ปุ่นช่วงแรกที่รัฐบาลต้องสั่งล็อกดาวน์ สามารถลดความเครียดของชาวญี่ปุ่นได้อย่างน่าตกใจ แต่ตอนนี้ความเครียดที่หายไปได้กลับมาอีกครั้ง พร้อมอัตราการฆ่าตัวตายที่สูงขึ้นจนน่าใจหาย ช่วงต้นปีที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่น เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการฆ่าตัวตายของชาวญี่ปุ่นช่วงเดือนเมษายนว่าลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ๆ ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เมษายนคือช่วงเวลาเดียวกับที่โควิด-19 ระบาดหนัก รัฐบาลขอความร่วมมือประชาชนให้อยู่แต่ในบ้านและอย่าออกจากเคหสถานหากไม่มีความจำเป็นจริง ๆ รวมถึงการปิดเทอมของเหล่านักเรียน ส่งผลให้ทุกคนได้อยู่บ้าน และมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ประชาชนญี่ปุ่นถูกสั่งให้อยู่แต่บ้าน เหล่ามนุษย์เงินเดือนที่เดิมทีต้องตื่นแต่เช้าแต่งตัวออกไปทำงาน ยืนเบียดเสียดบนรถไฟ แล้วค่อยเดินกลับบ้านแบบหมดเรี่ยวหมดแรง แปรเปลี่ยนเป็นนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน หักเวลาเดินทางไป-กลับ มาเป็นเวลาที่จะได้นอนมากขึ้นกว่าเดิมสักนิดหน่อย บางคนมีครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แม่บ้านได้นั่งคุยกับสามีและลูกที่อยู่ในช่วงปิดเทอม ส่วนเด็ก ๆ ก็ไม่ต้องออกไปเผชิญกับไวรัสที่กระจายอยู่ทั่ว สมาชิกในครอบครัวร่วมชายคาเดียวกันมีโอกาสพูดคุยมากขึ้น ทั้งหมดส่งผลให้มวลความเครียดของชาวญี่ปุ่นลดลง แต่ข่าวน่ายินดีนี้เป็นเพียงแค่ช่วงแรกของการระบาดเท่านั้น ภาพในระดับครอบครัวชนชั้นกลางจนถึงสูงทั้งในเมืองและต่างจังหวัดเป็นเพียงส่วนเล็กของสังคมใหญ่ ภาพรวมในระดับประเทศช่วงการระบาดของไวรัสไม่น่าดูเท่าไหร่นัก
มนุษย์เงินเดือนหลายคนคงต้องใช้ขนส่งสาธารณะกันเป็นประจำ และหลังจากเกิดวิกฤต COVID-19 ก็คงต้องระวังตัวมากขึ้น เพราะมันเป็นโรคติดต่อจากคนสู่คน เมื่อ COVID-19 น่าจะอยู่กับเราไปอีกสักพัก UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีการเอาตัวรอดจากโรคระบาดเมื่อต้องใช้งานขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์และรถไฟฟ้า มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่เราควรทำ วางแผนเวลาเดินทางให้ดี ก่อนที่เราจะออกจากบ้าน หรือ ที่ทำงาน เพื่อใช้ขนส่งสาธารณะเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง เราต้องวางแผนการเดินทางกันสักหน่อย เพื่อให้เราสามารถหลีกเลี่ยงการเดินทางในเวลาที่คนใช้งานกันเยอะ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ทำให้การรักษาระยะห่าง และการป้องกันการติดเชื้อจากคนสู่คนทำได้ยาก พยายามวางใช้ขนส่งสาธารณะในเวลาที่ไม่ค่อยมีคน หรือ คนน้อยที่สุด เพื่อให้เราปลอดภัยจากการติดเชื้อมากขึ้น แต่ถ้าหลีกเลี่ยงการใช้งานในเวลานั้นไม่ได้ ลองคิดถึงวิธีการเดินทางแบบอื่นที่จะทำให้เราปลอดภัยมากขึ้นดูจะดีกว่า เตรียมของให้พร้อม สิ่งที่เราควรเตรียมให้พร้อมก่อนออกเดินทางไปที่ไหนก็ตาม คือ ผ้าเช็ดทำความสะอาดที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว รวมถึง เจลล้างมือแอลกอฮอล์ 60% ไว้ใช้สำหรับกรณีที่เราหาที่ล้างมือไม่ได้ และที่สำคัญอย่าลืมพกหน้ากากอนามัยสำรอง สำหรับใช้ในกรณีที่ทำหน้ากากหายหรือหน้ากากเสื่อมสภาพ เช่น เปียกหรือสกปรก และถุงพลาสติกสำหรับใส่หน้ากากที่เสียแล้วด้วย รักษาระยะห่าง ถ้าอยู่ในที่ที่มีคนแน่นอนว่าการรักษาระยะห่างเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะยิ่งเราอยู่ห่างจากคนมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งปลอดภัยจากการติดเชื้อโควิดมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นพยายามรักษาระยะห่างระหว่างคนอื่นราว 6 ฟุต หรือ 1 ช่วงแขน หรือ เวลานั่งก็พยายามเว้นที่นั่งด้านข้างไว้ เพื่อเป็นการเซฟตัวเอง แต่ถ้าวันนั้นคนเยอะมากจริง
หันมองคนรอบตัวเราตอนนี้ ถ้ามีใครสักคนที่งานยังรุ่ง การเงินยังพุ่งแรง ธุรกิจยังทะยานไปข้างหน้าได้แบบไม่ตก คงต้องคารวะอย่างสุดจิตสุดใจ แต่ข้อเท็จจริงคือคนเหล่านั้นไม่ใช่คนส่วนใหญ่ สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่มั่นคง ส่งผลต่อสภาพธุรกิจที่ไม่แข็งแรง จนหลายองค์กรต้องปรับตัวขนานใหญ่ (และปรับอยู่บ่อย ๆ เพื่อตามสถานการณ์ให้ทัน) สภาวะคับขันแบบนี้องค์กรจึงยิ่งต้องการคนทำงานที่ประสิทธิภาพมากพอที่จะพาองค์กรเติบโตหรือยังไปต่อได้ ดังนั้นใครที่ยังมีงานประจำ ยิ่งต้องกอดงานตัวเองไว้ให้แน่น เพราะการปรับเปลี่ยนพนักงาน ปรับโครงสร้างก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่องค์กรเลือกปรับ ถ้าคนทำงานไม่ตอบโจทย์ความท้าทายใหม่ ๆ ขององค์กรได้ คำถามก็คือในสภาวะที่ไม่มั่นคงแบบนี้ เราจะรักษามาตรฐานอย่างไรถึงจะเป็นคนทำงานที่องค์กรต้องการตัวเราอยู่เสมอให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรที่เราทำงานอยู่ หรือเผื่อต้องหางานใหม่ในอนาคต? มาตรฐานสูงเข้าไว้ (และอย่าให้มาตรฐานตก!) สิ่งที่ต้องจำให้แม่นมั่นในสถานการณ์อันยากลำบากแบบนี้คือเราต้องเป็นคนที่ดีที่สุด ต้องเป็นคนที่มีมาตรฐานที่สูงที่สุดในพื้นที่การทำงานของเรา หมั่นรักษาทักษะและศักยภาพที่มีให้สดใหม่และรักษาความแข็งแกร่งเดิมไว้ให้ได้ เพราะในขณะที่ตลาดงานหดตัวลง (คนต้องการทำงานเยอะ องค์กรมีอัตราการจ้างต่ำ) นายจ้างยิ่งมีทางเลือกมากขึ้นดังนั้นองค์กรมักเลือกคนที่ดีที่สุดมากกว่าเลือกคนที่ทำงานไปวัน ๆ อย่างไรก็ตามคำว่า “มาตรฐานสูง” ไม่ได้หมายความว่าถ้าเราเป็นระดับจูเนียร์แล้วจะข้ามไปซีเนียร์ ไปทำงานบริหาร แต่หมายความว่าเราต้องทำดีที่สุดในพื้นที่ของเรา ( เช่น ถ้าพูดถึงตำแหน่งนี้ของจูเนียร์ เราต้องเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่ผู้บริหารพูดถึง) ดังนั้นไม่ว่าเราจะอยู่ในระดับไหนของตำแหน่งที่เราทำ เป็นระดับปฏิบัติการ เป็นระดับบริหาร เป็นะดับอาวุโส ฯลฯ เราต้องรักษามาตรฐานให้สูงที่สุดในพื้นที่ของเรา ด้วยการเรียนรู้อยู่เสมอ พัฒนาทักษะใหม่ ๆ ที่สำคัญต่องานที่เราทำอยู่
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 นั้นเป็นสิ่งที่สร้างผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกเป็นวงกว้าง ครอบคลุมในทุกมิติทั้งทางด้านการสาธารณสุข เศรษฐกิจ และที่เห็นได้ชัดและใกล้ตัวที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงไปของวิถีชีวิตสู่รูปแบบ New Normal หรือปกติวิถีแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อลดผลกระทบของโรคติดต่อ ซึ่งก่อให้เกิดมาตรการ Lockdown กับความจำเป็นที่ต้องปิดสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นห้างค้าปลีก ร้านอาหาร สถานบันเทิง ฯลฯ ทำให้หลากหลายอาชีพต้อง “ว่างงาน” แม้ในปัจจุบันจะเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ แต่ตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน COVID-19 ทุกคนน่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าการใช้ชีวิต การทำมาหากิน คงจะยังไม่คล่องตัวเหมือนยุคก่อน COVID ไปอีกสักพัก และที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ หากจะให้พูดถึงอีกหนึ่งกลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบไปแบบเต็ม ๆ คงหนีไม่พ้นอาชีพ “นักร้อง นักดนตรี ดีเจ” ในร้านอาหาร ผับ บาร์ ที่ในช่วงต้นของมาตรการ Lockdown จำต้องอยู่ในภาวะไร้เวทีในการส่งมอบเสียงเพลง ความมันส์ รวมถึงความสุขให้ผู้ฟัง ซึ่งอีกแง่หนึ่งมันหมายถึงการขาดรายได้ในการหล่อเลี้ยงชีวิตเช่นกัน แต่สุดท้ายในวิกฤติที่ดูมืดมน ก็ได้มีโปรเจ็กต์ “เราไม่ทิ้งกัน มันส์กว่า” จาก LEO ผุดขึ้นมาเพื่อเปิดโอกาสการสร้างรายได้ให้กับนักดนตรี นักร้อง ดีเจ