ถ้าพูดถึงตัวร้ายในภาพยนตร์ฮอลลีวูดก็คงจะลืมชื่อของ Mads Mikkelsen ไปไม่ได้โดยเด็ดขาด หลายคนจดจำเขาได้ติดตากับบทบาทของ Dr. Hannibal Lecter จากซีรีส์ Hannibal (2013-2015) ที่หล่อเนี้ยบและให้ความรู้สึกลึกลับไปพร้อมกัน ทำให้ UNLOCKMEN อยากรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของหนุ่มใหญ่ที่มากไปด้วยเสน่ห์คนนี้ให้มากขึ้น นอกจาก Hannibal แล้วเขาก็ยังคงรับบทบาทเป็นตัวร้ายอีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นบทบาทพ่อค้ายาเสพติดชาวโคเปเฮเกนจากเรื่อง Pusher (1996) บท Le Chiffre ในสุดยอดหนังสายลับตลอดกาล James Bond: Casino Royale (2006) รวมถึงบท Rochefort เรื่อง The Three Musketeers (2011) และพ่อมดฝ่ายมืด Kaecilius จากเรื่อง Dr. Strange (2016) เรียกว่ารับบทแต่ละครั้งก็มักจะได้บทร้ายอยู่เสมอ จากบทบาทที่เขามักได้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับตัวเอกอยู่เสมอทำให้ผู้คนต่างตั้งข้อสงสัยว่า เพราะอะไรหนุ่มมาดเท่อย่าง Mads Mikkelsen ถึงเป็นตัวโกงเกือบทุกเรื่องที่แสดง ความน่าสนใจอยู่ตรงคำตอบที่ UNLOCKMEN ค้นพบซึ่งเมื่อเทียบจากการฟังความคิดเห็นของใครหลายคนล้วนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คำตอบเป็นเพราะหน้าตาเท่แบบที่ซ่อนความเจ้าเล่ห์ไว้ ความนิ่งของใบหน้ายามไร้รอยยิ้มที่ดูเคร่งขรึม ผสมกับสไตล์การแต่งตัวที่เนี้ยบอยู่เสมอ ไม่ว่าจะมองมุมไหนคงต้องยกให้เป็นผู้ชายที่ต้องเว้นระยะห่างไว้อย่างแน่นอน
เคยไหมเวลาบอกเพื่อนว่าชอบฟังเพลงร็อกแล้วคุณจะต้องโดนทำสัญลักษณ์แบบนี้พร้อมแลบลิ้นใส่ (ถ้าไม่เคยก็ดีไป) ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ เพราะสัญลักษณ์มือแบบนี้เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมชาวร็อกมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะร็อกประเทศไหน อังกฤษ อเมริกา แคนาดา หรือไทย ก็ล้วนแล้วแต่ทำมือเหมือนกันทั้งนั้น หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่ยังไม่รู้ที่มาที่ไปของมันละก็ วันนี้เราจะพาคุณเจาะเวลาหาอดีต มาดูกันว่าสิ่งนี้เริ่มต้นจากอะไรกันแน่? ชาวร็อกบอกต่อกันว่าชายคนแรกที่ทำให้สัญลักษณ์แบบนี้แมสในวงการก็คือ Ronnie James Dio นักร้องคนที่ 2 ของคณะ Black Sabbath วง Heavy Metal รุ่นบุกเบิกแห่งยุค 70 นั่นเอง เนื่องจากตัวเขารู้สึกว่านักร้องคนก่อนหน้าอย่าง Ozzy Osbourne เป็นคนมีเอกลักษณ์มาก โดยเฉพาะการทำมือชูสองนิ้ว (Peace Sign Hand) เขาจึงต้องหาอะไรมาดึงดูดแฟนเพลงบ้าง ซึ่งแท้จริงแล้วไอ้มือแบบนี้ Ronnie เอามาจากคุณยายเชื้อสายอิตาเลียนของเขา เธอมักจะยกมือทำสัญลักษณ์แบบนี้ทุกครั้งเวลาต้องการขับไล่สิ่งชั่วร้าย Ronnie คิดว่ามันก็เท่ดี เลยลองเอามาทำตอนขึ้นเวทีดูบ้าง ปรากฏว่าแฟนเพลงทำตามกันถ้วนหน้า จนกลายเป็นวัฒนธรรมแบบที่พวกเราเห็นกันในปัจจุบัน ฉะนั้นอาจถอดสมการได้ว่าจุดกำเนิดความแมสของมันอยู่ที่ราว ๆ ปี 1980 – 1982 ช่วงที่ Ronnie James Dio ยังอยู่ในฐานะฟรอนต์แมนของ Black Sabbath
เป็นอีกครั้งที่ UNLOCKMEN ได้แวะเวียนไปเยี่ยมชายคา What The Duck โดยที่ผ่านมาเรามีโอกาสพูดคุยกับศิลปินจากค่ายนี้มากมายหลายคน แต่คราวนี้คนที่อยู่ตรงหน้าคือศิลปินน้องใหม่ของค่ายอย่าง ‘BOWKYLION’ หรือ โบกี้-พิชญ์สินี วีระสุทธิมาศ หลายคนอาจติดตามเธอพร้อม ๆ กับผู้ติดตามอีกกว่า 5 แสน 2 หมื่นคนทาง YouTube หลายคนอาจรู้จักเธอผ่านการประกวด The Voice Thailand จะว่าเราเป็นแฟนคลับเธอก็ไม่เชิงนัก เรียกว่าเติบโตมาด้วยกันดีกว่า ด้วยช่วงวัยที่ใกล้เคียงกัน เคยฟอร์มวงประกวด Hotwave Music Awards ต่างกันที่วงเธอเข้ารอบ วงเราตกรอบ เท่านั้นเอง แต่ด้วยคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจนของโบกี้ ทำให้ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เราก็ยังจดจำเธอได้เป็นอย่างดี ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะได้สนทนากับเธอ เรื่องราวจากจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอหลงรักการร้องเพลงจนถึงตอนนี้ เส้นทางที่ผ่านมาเป็นอย่างไรและจะมุ่งไปทางไหนในอนาคต เริ่มรู้ตัวตอนไหนว่าชอบร้องเพลง? จริง ๆ ก็รู้ตัวตั้งแต่ตั้งแต่ยังไม่รู้ตัว เพราะว่าเริ่มร้องเพลงได้ตั้งแต่พูดได้ ในความรู้ตัวก็มีความไม่รู้ตัวอยู่ เอาจริง ๆ ก็จำไม่ได้แล้วว่าตอนไหน เพราะเราได้รับอิทธิพลจากครอบครัวด้วยหรือเปล่า ? เพราะคุณแม่เป็นนักร้องเหมือนกัน ถือว่ามีอิทธิพลมาจากครอบครัวเหมือนกันเพราะคุณแม่เล่าให้ฟังว่าตอนที่อุ้มท้องอยู่ก็ร้องเพลงตลอด อยากให้ลูกร้องเพลงได้ ตอนที่จะเรียนดนตรีที่มหิดลก็ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะเลือกการร้องเพลงเป็นอาชีพเลยไหม? จริง ๆ ตอนนั้นก็ไม่มั่นใจนะคะ เข้ามั่ว ๆ เลย ตอนแรกที่เข้ามหิดลก็คือ เห็นเขาบอกว่ามีเอก
หลายคนรอผลงานใหม่ของศิลปินที่ตัวเองชอบมานานแสนนาน แต่พอเขาปล่อยอัลบั้มออกมาจริง ๆ ดันพลาดตกข่าวซะงั้น! ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของคนฟังเพลงเยอะ ยิ่งบางคนหาย 4-5 ปีขึ้นไป แม้เคยชอบแค่ไหนก็หลุดวงโคจรกันได้ วันนี้เราเลยจะมาสะกิดบอกคอเพลงว่า ในช่วงเร็ว ๆ นี้มีศิลปินคนไหนเตรียมจะปล่อยงานกันบ้างในเร็ว ๆ นี้ จะได้กาปฏิทิน ตั้งแจ้งเตือนกันได้ถูกวัน TIM – Avicii Release: 6 June 2019 แม้ว่าดีเจมากความสามารถคนนี้จะจากพวกเราไปแล้ว แต่ทีมงานของเขาได้นำบทเพลงที่ยังไม่ถูกปล่อยของเขามาสานต่อ จนเกิดเป็นอัลบั้มนี้ขึ้นมา ซึ่งคำว่า Tim มาจากชื่อจริง Tim Bergling ของเขานั่นเอง ส่วนอัลบั้มนี้ที่จริงก็ถูกปล่อยออกมาเรียบร้อยแล้ว แต่เราอดพูดถึงไม่ได้จริงๆ Doom Days – Bastille Release: 14 June 2019 หลังจากได้ฟังทั้งสามซิงเกิ้ลที่ปล่อยออกมาก่อนหน้าก็บอกได้เลยว่าวงคงจะเดินหน้าความเป็น Electronic Pop กันเต็มตัว สำหรับอัลบั้มนี้จะมีจำนวนเพลงทั้งหมด 11 แทร็ก ใครยังไม่ได้ฟังก็ไปหาเพลง Joy, Doom Days และ Those Nights
ดนตรีกับแฟชั่นมีความคล้ายคลึงกันในเรื่องการสร้างสุนทรีย์และแรงบันดาลใจ UNLOCKMEN ได้พบกับวงดนตรีอินดี้-ป๊อปร็อก วงหนึ่งที่นำดนตรีและแฟชั่นร้อยเรียงออกมาเป็นบทเพลงเพื่อบอกเล่าประสบการณ์ สิ่งที่ทำให้เราสนใจวงดนตรีที่มีชื่อว่า De Flamingo มีหลายอย่างทั้งบทเพลงที่หนักแน่นสื่ออารมณ์ เนื้อเพลงที่เล่าเรื่องราวกินใจ รวมถึงแฟชั่นที่จัดจ้านของสมาชิกแต่ละคนไม่ว่าจะเป็น โบนัส (ร้องนำ), จา (เบส), ปอม (กีตาร์) และ บีม (กลอง) แต่ละคนมีสไตล์ที่ไม่เหมือนกันแต่มารวมวงกันเพราะคำว่าดนตรี เมื่อเราได้นั่งพูดคุยกับพวกเขาพักใหญ่ก็ทำให้รู้ว่านอกจากเพลงและแฟชั่นแล้ว De Flamingo เป็นวงดนตรีมีที่อะไรมากกว่าที่เราเห็น ในวันที่เพลงร็อกมีแต่สีดำ De Flamingo กลับปรากฏตัวพร้อมกับสีชมพู มารวมตัวกันได้อย่างไร ? โบนัส: จุดเริ่มต้นการทำวงของเราเกิดขึ้นเพราะเราเรียนที่ดุริยางคศิลป์มหิดลเหมือนกัน ผมกับจายังไม่รู้จักใครมาจึงรวมวงกันแค่สองคนก่อน จากนั้นก็หาสมาชิกไปเรื่อย ๆ ตอนแรกมีนักร้องนำเป็นผู้หญิงแล้วก็ทำวงจนจะจบปีสี่วงก็แตกไป หลังจากวงแตกแล้วเกิด De Flamingo ขึ้นมาได้อย่างไร ? โบนัส: ตอนแรกเคว้งกันอยู่ช่วงหนึ่งเพราะเราตั้งใจทำวงนี้มาก ๆ แต่ด้วยสมาชิกมีความฝันกันคนละอย่าง บางคนออกจากวงเพื่อไปทำตามฝัน บางคนตัดสินใจจะเดินทางต่อด้วยสมาชิกที่เหลือ ทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่จากนักร้องนำหญิงที่เป็นคนเล่าเรื่องก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นผู้ชาย วันที่กำลังปรึกษากันผมดันพูดขึ้นมาว่า De Flamingo ก็เลยได้ชื่อวงแบบไม่ได้ตั้งใจ ทำไมต้อง De Flamingo ? โบนัส: ผมเป็นคนชอบดูนิตยสารแฟชั่นครับ
สำหรับ THE 1975 วงอินดี้ร็อกจากแมนเชสเตอร์ขวัญใจชาวเรา และเพิ่งจะประกาศคอนเสิร์ตที่ไทยไปแบบจัดหนักถึง 2 รอบ หากย้อนไปถึงการประกาศจากพวกเขาเมื่อปีก่อน ยังจำกันได้หรือไม่ว่าวงได้ลั่นวาจาเอาไว้ว่าจะสร้าง era แห่ง Music For Cars โดยจะมีทั้งหมด 2 อัลบั้มด้วยกันก็คือ ‘A Brief Inquiry Into Online Relationships’ ที่เพิ่งออกมาเมื่อปีก่อน และ ‘Notes on a conditional form’ ที่มีแผนจะปล่อยออกมาให้ฟังกันภายใน 2019 นี้ โดยทางวงยังบอกว่าสองอัลบั้มที่กล่าวมาแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องจนเรียกเป็นส่วนเดียวกัน แต่ก็ถือว่าอยู่ใน era เดียวกัน ซึ่งตอนนี้ Notes on a conditional form ถูกเผยชื่อเพลง 3 เพลงเท่านั้น ประกอบไปด้วย The Birthday Party, Playing On My Mind และ Frail State Of Mind
หลังซีรีส์เรื่องดังอย่าง Game of Thrones ลาจอไปหมาด ๆ ทางช่อง HBO ก็ไม่ยอมปล่อยให้กระแสเรตติ้งซา รีบส่งซีรีส์เรื่องใหม่ที่สร้างขึ้นจากเค้าโครงเรื่องจริง ของเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่เข้ามาแทนที่ ‘โศกนาฎกรรมแห่งเมืองเชอร์โนบิล’ ที่ได้รับการบันทึกความเลวร้ายไว้ในประวัติศาสตร์ ได้รับการตีความและนำเสนอใหม่โดยใช้ชื่อเดียวกันกับสถานที่ที่เกิดเหตุว่า ‘Chernobyl (2019)’ UNLOCKMEN จะพาคอซีรีส์ทุกคนไปทำความรู้จักกับเมืองเชอร์โนบิลให้มากขึ้น และค้นหาคำตอบไปพร้อมกันว่า เกิดอะไรขึ้นในวันที่ 26 เมษายน 1986 เพื่อสร้างอรรถรสและเรียกความอินให้กับการดูหนัง เสียงระเบิดและขี้เถ้าที่ล่องลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศ รุ่งเช้าของวันที่ 26 เมษายน 1986 ย่านชานเมืองเชอร์โนนิลที่เงียบสงบเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลระเบิด ส่งผลให้รังสีและสารเคมีอันตรายจำนวนมากแพร่กระจายสู่ชั้นบรรยากาศปกคลุมทั่วทั้งเมือง ความผิดพลาดที่ทั่วทั้งโลกต้องจดจำเกิดขึ้นจากนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทดสอบระบบหล่อเย็นกลางแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์ แต่แรงดันไอน้ำกลับพุ่งขึ้นสูงอย่างฉับพลัน แถมระบบตัดการทำงานฉุกเฉินก็ดันใช้การไม่ได้ ส่งผลให้เครื่องร้อนจัดจนแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์หลอมละลาย ลุกไหม้ และระเบิดสารเคมีทั้งหลายที่อัดแน่นอยู่ภายในเตาปฏิกรณ์จึงพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ความรุนแรงของรังสีนิวเคลียร์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้สารพิษปกคลุมเมืองไว้กว่า 30 ปี และมีอานุภาพมากกว่ารังสีนิวเคลียร์ที่ถล่มใส่เมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิในสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงสี่ร้อยเท่า เปลี่ยนชีวิตผู้คนในเชอร์โนบิลและละแวกใกล้เคียงไปตลอดกาล ทันทีที่เกิดการระเบิดของโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ขึ้นทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 31 คน (บางรายงานบันทึกว่า 28 คน) ทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องปฏิกรณ์และคนงานในโรงงาน แต่ระหว่างที่สารพิษกับรังสีจากนิวเคลียร์กระจายไปทั่วทั้งเมือง แทนที่จะเร่งสั่งให้ประชาชนในพื้นที่อพยพ
แฟนเพลงของศิลปิน Hip hop ผู้ล่วงลับอย่าง ‘Mac Miller’ อาจจะเคยได้ยินข่าวกันมาบ้างว่ากำลังจะมีสารคดีชีวิตเขาที่ชื่อว่า ‘Difinitive’ ออกมา ผลงานชิ้นนี้เป็นของผู้กำกับนามว่า CJ Wallis ผลิตและสร้างสรรค์โดยบริษัท Production ของตัวเองที่ชื่อว่า Magrette Bird Pictures โดยก่อนหน้านี้เขาได้ออกมาสอบถามแฟนเพลงผ่านทางทวิตเตอร์ @fortyfps ของเขาว่า อยากจะให้ใครมาให้ข้อมูลสัมภาษณ์ในสารคดีเรื่องนี้กันบ้าง? ซึ่งแฟน ๆ ก็ส่งรายชื่อที่น่าสนใจมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นแฟนเก่าอย่าง Ariana Grande, Anderson .Paak และ Thundercat เป็นต้น กระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา CJ Wallis ได้ประกาศความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางทวิตเตอร์ เมื่อเขาได้รับการติดต่อจาก Christian Clancy ผู้จัดการของ Mac Miller ว่าทางครอบครัวของ Mac Miller อยากให้ CJ Wallis พักโครงการนี้ไปก่อน (แบบไม่มีกำหนด) ซึ่งตัวเขาก็ไม่ได้ต่อต้านแต่อย่างใด แถมยอมยุติโปรเจกต์นี้ลงอย่างว่าง่าย โดยให้เหตุผลว่า ‘ไม่อยากให้เกิดผลกระทบด้านลบกับใครทั้งนั้นจากการสร้างสารคดีชุดนี้’ อีกทั้งยังอธิบายว่าเหตุผลที่เขาออกมาประกาศสร้างก่อนการขออนุญาต ทั้งหมดเป็นเพียงเพราะเขามีความตั้งใจจริง ไม่ได้มีเจตนาอะไรมากไปกว่านั้น
ดนตรีกับสายฝนเรียกได้ว่าเป็นของคู่กัน เพราะอากาศมักส่งผลกับการฟังเพลงของเราเสมอ แน่นอนว่าวันศุกร์สิ้นเดือนแบบนี้ก็มีเพลงใหม่ ๆ จากศิลปินหลากหลายแนวถูกปล่อยออกมามากมาย มาอัปเดตกันดีกว่าว่ามีอะไรน่าเพิ่มลงเพลย์ลิสต์ให้ชุ่มฉ่ำหัวใจกันบ้างในช่วงนี้ The Life – Electric Youth จะมีอะไรดีไปกว่าซินธ์ป๊อปฟุ้ง ๆ ในวันฝนพรำ นี่คือผลงานดี ๆ จากสองคู่ดูโอ้จากแคนาดาที่จะนำเอาซาวด์ดนตรีสังเคราะห์มาเปิดโลกแห่งจินตนาการของคุณ เพลงเพราะที่หูเปลี่ยนภาพให้งดงามในดวงตา เสียงเพลงของพวกเขาเรียกได้ว่าขับสีสันในจินตนาการได้เป็นอย่างดี Sad Forever – Lauv จะมีอะไรดีไปกว่าการฟังเพลงเหงา ๆ ในวันฝนพรำ อีกหนึ่งผลงานจาก Lauv ศิลปินดาวรุ่งวัย 24 ปี ที่เพิ่งจะมาทัวร์คอนเสิร์ตที่ไทยไปหยก ๆ ลองมาปล่อยตัวปล่อยใจให้ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ป๊อปสุดลื่นไหล พาใจลอยล่องไปในวันที่ฟ้าสีเทา Modern World – Max Jury Max Jury ศิลปินยังไม่ดังแต่ฟังดีชาวอเมริกัน จากเพลงแนวโฟล์ก, อเมริกาน่า สู่ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์โซล ถึงเปลี่ยนแนวแต่ยังคงความเบาสบาย ฟังง่าย ลื่นหู แถมเสียงร้องของหนุ่ม Max ยังนุ่มนวลเป็นเอกลักษณ์สุด ๆ หากใครเคยฟังเพลง Numb
ช่วงนี้มีศิลปินหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมาย แถมแต่ละคนยังสร้างสรรค์แนวเพลงที่แตกต่างและมีแนวคิดอันเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ศิลปินหนุ่มสุดเท่วัย 21 ปี นามว่า ‘Yungblud’ ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่น่าจับตามองในขณะนี้ เขาเป็นใคร มาจากไหน มาทำความรู้จักเขาไปพร้อมๆ กัน Yungblud มีชื่อจริงว่า Dominic Harrison เขามาจากเมือง Doncaster ประเทศอังกฤษ ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่แฟชั่นจัด ทำให้ศิลปินหนุ่มคนนี้ถูกครหาว่าเป็น ‘วอนนาบี ร็อกสตาร์’ แต่อย่าเพิ่งตัดสินเขาจากภายนอก เพราะงานเพลงต่างหากที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ เขาคนนี้คือศิลปินรุ่นใหม่ที่นำเอาดนตรีร็อกแบบ Old Classic Punk มาผสมเข้ากับฮิปฮอปและป๊อป แถมยังเติมกลิ่นอายสกาเข้าไป จนเกิดเป็นซาวด์ที่แปลกแตกต่าง ฟังสนุก หนักหน่วงถึงใจ โดยเขานิยามแนวทางของตัวเองเอาไว้ว่า ‘ศิลปินที่รับรู้ความเป็นไปของโลกและไม่กลัวที่จะทำเพลงแหวกแนว เพื่อเป็นปากเสียงแห่งการประท้วง’ ถึงแม้ว่าสื่อหลายเจ้าจะยกให้เขาเป็นอนาคตใหม่ของวงการเพลง แต่ Yungblud กลับไม่ใส่ใจเรื่องนั้นเท่ากับความตั้งใจส่งสารให้เข้าถึงผู้คนวัยเดียวกับเขาให้มากที่สุด เขามีศรัทธาอย่างแรงกล้าว่าคนรุ่นใหม่มีพลังมากพอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้โลกได้ เขาได้รับแรงบันดาลใจมากมายมาจากดนตรีฝั่ง British Rock โดยเฉพาะวงรุ่นพี่อย่าง Arctic Monkeys ที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยกให้ศิลปินหญิงอย่าง Lorde, Dua Lipa และ Camila Cabello