เชื่อว่าผู้หลงใหลในเรือนเวลาทั้งหลาย น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก ‘Captain Cook’ อีกหนึ่งซีรีส์ระดับ Masterpiece ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ RADO มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1962 ซึ่งล่าสุดความคลาสสิกจากอดีต และความล้ำสมัยด้านนวัตกรรมวัสดุ รวมถึงกลไกบอกเวลาคุณภาพสูง ได้ถูกนำมากล่าวขานเป็นตำนานบทใหม่กับเรือนเวลาสุดพิเศษอย่าง RADO Captain Cook High-Tech Ceramic ที่รวบรวมทุกความเจ๋งของ RADO เข้าไว้ด้วยกัน เริ่มตั้งแต่นวัตกรรมซึ่งถือเป็น DNA ของผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุอย่าง RADO กับโครงสร้างตัวเรือนที่ใช้วัสดุ High-Tech Ceramic ชิ้นเดียวที่มีคุณสมบัติป้องกันรอยขีดข่วนและอาการแพ้ อีกทั้งขับเคลื่อนโดยกลไกออโตเมติก Cal.R734 ความถี่การทำงาน 21,600 ครั้ง/ชั่วโมง สำรองพลังงานได้สูงสุด 80 ชั่วโมง ปกป้องการรบกวนของสนามแม่เหล็กรอบตัวด้วยแฮร์สปริง Nivachron™ พร้อมถ่ายทอดความสวยงามของจักรกลให้ผู้สวมใส่ได้ยลโฉมเป็นสุนทรียภาพทางสายตา ด้วยหน้าปัด Skeleton และฝาหลังไทเทเนียมกรุแผ่นกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ เผยให้เห็นการทำงานของกลไกภายในอย่างชัดเจน นอกจากนี้เรื่องราวการเดินทางแห่งท้องทะเล ที่ถูกนำเสนอผ่านรูปแบบของ Diver Watch มาอย่างยาวนาน ยังได้ถูกตีความใหม่ใน RADO Captain Cook High-Tech
มหกรรมกีฬาโอลิมปิก คือการแข่งขันกีฬาที่มีความสำคัญมากที่สุดในโลก ถ้านับตั้งแต่การแข่งขันโอลิมปิกครั้งแรกที่จัดขึ้นใน Los Angeles ปี 1932 จนถึงปัจจุบัน จะมีการจัดไปแล้วทั้งหมด 28 ครั้ง และในวันที่ 23 กรกฎาคม ที่กำลังจะถึงนี้ ก็จะถึงช่วงเวลาสำคัญที่คนทั้งโลกเฝ้ารอคอย การแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 29 “Olympic Games Tokyo 2020 “ ตลอด 90 ปีที่ผ่านมาของกีฬาโอลิมปิก มีหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปมากมาย โดยเฉพาะสถิติโลกที่นักกีฬาทั่วโลกต่างพยายามจะทำลายมันลงในทุกการแข่งขัน กีฬาประเภทใหม่ ๆ ที่ถูกเพิ่มเข้าไปในแต่ละปี และเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาเพื่อใช้ในการตัดสินที่แม่นยำมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีบางอย่างที่ยิ่งใหญ่และไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นคือการเป็น Olympic Games Official Timekeeper ของ OMEGA ผู้จับเวลาตัดสินอย่างเป็นทางการของการแข่งขันระดับโลก ที่ต้องใช้ความแม่นยำระดับ Microsecond เพราะในโลกของการแข่งขันสำหรับนักกีฬาที่ทุ่มเทฝึกซ้อมมาหลายปีเพื่อเวทีแห่งนี้ ความเที่ยงตรงแม้ 1 ใน 1,000,000 วินาที ก็มีความสำคัญอย่างมากเพื่อการตัดสินที่เป็นเอกฉันท์ และเพื่อเป็นสักขีพยานยืนยันการทำลายสถิติที่คนทั้งโลกต้องจดจำ ไม่ใช่แค่ความแม่นยำ OMEGA ยังแนะนำเทคโนโลยีและอุปกรณ์ใหม่ ๆ
ถือเป็นก้าวใหม่ของการสั่งตัดสูท วันนี้เราสามารถวัดตัวได้ผ่านทางออนไลน์ โดยไม่ต้องใช้คน และไม่ใช่แค่สูท แต่รวมถึงเสื้อเชิ้ต กางเกง ไม่จำเป็นต้องมีสายวัดก็วัดตัวได้อย่างแม่นยำด้วยเทคโนโลยีการตัดสูทออนไลน์ครั้งแรกของ “SUITCUBE AI” “SUITCUBE AI” ใช่แล้วครับ คุณอ่านไม่ผิด นี่คือครั้งแรกกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจาก SUITCUBE ที่คิดค้นนวัตกรรมตัดสูทออนไลน์ได้เลยผ่านหน้าจอ Smartphone โดยที่เราไม่ต้องเดินทางไปวัดตัวที่ร้านให้เสียเวลา ช่วยแก้ปัญหาคนที่ต้องใช้สูท แต่ก็อยากจะ Social Distancing จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น โดยใช้เวลาในการวัดตัวผ่าน SUITCUBE AI เพียงไม่ถึง 5 นาที (ระยะเวลาจากที่เราลองใช้งาน) ที่เหลือก็นั่งรอชุดสูทส่งมาภายใน 7 – 10 วันทำการ ในราคาที่ไม่แพง ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มจากการเดินทางไปตัดที่ร้าน ตัดสูทออนไลน์ทาง SUITCUBE AI มีครอบคลุมครบทุกความต้องการโดยผสมผสานรายละเอียดที่เข้ากันมากที่สุด ตั้งแต่สูท Single Breasted สูทกระดุมแถวเดียว เลือกได้ทั้งแบบ 1, 2 หรือ 3 กระดุม) และสูท Double Breasted สูทกระดุมสองแถวแบบ
เริ่มต้นขึ้นแล้วสำหรับมหกรรมฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ “ยูโร 2021” ที่ได้ฤกษ์หวดแข้งกันหลังจากเลื่อนมา 1 ปีเต็มเนื่องจากการระบาดของโควิด 19 ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างมาก เพราะจริง ๆ แล้วความพิเศษในฟุตบอลยูโรครั้งนี้คือการฉลองครบรอบ 60 ปีรายการลูกหนังยุโรป ซึ่งเป็นครั้งแรกที่แข่งแบบไร้เจ้าภาพ ทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันจะต้องเวียนสนามไปทั่วยุโรปในแต่ละประเทศที่แตกต่างกันตามคอนเซ็ปต์ Romantic of Europe นอกเหนือจากเรื่องราวในสนามที่กำลังดุเด็ดเผ็ดมันส์แล้ว ยูโรครั้งนี้ก็ยังมีเกร็ดความน่าสนใจนอกสนามที่พวกเราไม่ควรพลาด เพราะสายตาของสื่อทั่วโลกต่างล้วนจับจ้องไปที่ยูโร 2021 ทำให้เราได้เห็นอิริยาบถต่าง ๆ ทำให้เห็นว่านักฟุตบอลต่างประเทศวันนี้มีสไตล์การแต่งกายที่เฉียบคม ไม่ต่างจากกูรูแฟชั่นดีไซน์เนอร์ วันนี้ UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปดูไอเดียการแต่งตัวของยอดดาวเตะจากมหกรรมฟุตบอลระดับโลกนี้กัน รับรองว่าจะต้องมีสไตล์ที่เราสามารถยืมไปปรับใช้ให้การแต่งตัวไม่น่าเบื่อได้อย่างแน่นอน สำหรับคนที่แต่ง Dresswear ได้เท่ที่สุดในสายตาเรา ต้องยกให้กับ Gareth Southgate โค้ชทีมชาติ England ที่พกสไตล์การแต่งตัวแบบผู้ดีอังกฤษในลุคสูทสุดเนี้ยบ ที่แม้ว่ารอบนี้อาจจะไม่โดดเด่นเท่าฟุตบอลโลกที่ Russia ปี 2018 ไม่ได้ ตอนนั้น Southgate มาในชุด 3-piece suit tailored Waistcoat ที่เนี้ยบยันรองเท้า ภาพลักษณ์ที่เต็มไปด้วยความคลาสสิคแบบ English
หนุ่ม ๆ ชาว UNLOCKMEN หลายคนอาจจะเห็นเหมือนกันว่า การแต่งตัวในประเทศไทยนั้นดูเป็นเรื่องยาก เพราะมีอุปสรรคหลายอย่างที่ทำให้สายแฟชั่นต้องกุมขมับกันอยู่ร่ำไป ไม่ว่าจะเป็น สภาพอากาศที่ร้อนระอุ หรือ การโดนทักเรื่องการแต่งตัวบ่อย ๆ จนบางคนอาจรู้สึกเสียเซลฟ์และไม่กล้าแต่งตัวไปเลยก็มี แต่อุปสรรคเหล่านั้นดูจะไม่เป็นปัญหาของ ฟาน-พิชญะ ภู่ไพบูลย์ สไตล์ลิสต์ระดับแนวหน้าของเมืองไทยผู้เคยร่วมงานกับคนดังมามากมาย ซึ่ง UNLOCKMEN ได้มีโอกาสพูดคุยกับเขาถึงเรื่องการเป็นสไตล์ลิสต์และแฟชั่น และในช่วงท้ายเขาได้แนะนำวิธีการแต่งตัวแนวสตรีทเจ๋ง ๆ ให้กับเราด้วย บอกเลยว่าห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง!! แนะนำตัวเองหน่อยครับ “ผมชื่อ ฟาน-พิชญะ นะครับ ใช้ชื่อในวงการว่า Weird Visuel ตอนนี้ผมทำสไตล์ลิสต์ให้กับ พีช-พชร และพี่แจ๊ส ชวนชื่น แต่ก่อนทำสไตล์ลิสต์ Music Video ด้วย” เริ่มเป็นสไตล์ลิสต์ได้อย่างไร “เริ่มจากพ่อก่อนครับ พ่ออยู่ในแก๊งพันธุ์หมาบ้า เป็นแก๊งฮิปปี้แก๊งแรกของไทย สิ่งแรกที่เราเห็นคือ เห็นพ่อใส่เทอร์ควอยซ์ ไว้ผมยาว เวลาไปดูคอนเสิร์ตคือแปลกมาก เพราะเห็นพ่อแต่งตัวนานกว่าแม่ ต้องมีเข็มขัด ต้องไดร์ผม ใส่ต่างหู ไม่ว่าร้อนขนาดไหนก็ต้องใส่แจ็กเก็ต ต้องมีอะไรเต็มไปหมด เราก็ซึมซับมาเรื่อย ๆ
กางเกงที่คุณผู้ชายใส่กันอยู่ทั่วไปมันเหมือนกันจริงหรือ ว่าด้วยเรื่องของกางเกง คุณผู้ชายหลายคนอาจจะคิดว่ากางเกงมันก็เหมือนๆกันไปหมดแหละ ดีไซน์เดิมๆ สีเดิมๆ ฟังก์ชั่นการใช้งานเดิมๆ ทำให้ผู้ชายส่วนใหญ่ก็มักจะใส่กางเกงซ้ำๆ หากคุณเป็นอีกคนที่กำลังคิดว่าใส่กางเกงสแล็คตัวไหนๆ ก็คงเหมือนๆ กัน เราอยากให้คุณได้เจอกับ GQ PerfectPants™ แล้วความคิดนี้จะเปลี่ยนไป! เพราะนี่ไม่ใช่กางเกงสแล็คธรรมดา แต่มาพร้อมกับ 10 ความต่างที่จะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นกว่าที่เคย GQ PerfectPants™ กางเกงสุดล้ำที่มีดีมากกว่าแค่ดีไซน์ รวมทั้ง 10 ฟีเจอร์ในกางเกงตัวเดียวที่จะทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น อย่างแรกเลยที่ GQ PerfectPants™ แตกต่างคือ ฟีเจอร์สะท้อนน้ำ (GQ Guard™) คุณสามารถใส่กางเกง GQ ไปลุยกรุงเทพฯ เมืองแห่งท่อน้ำทิ้งได้แบบไม่ต้องกลัวคราบเปื้อนหรือจะกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางก็ไม่ต้องกลัวน้ำเลอะกระเด็นใส่กางเกง เจอน้ำแข็งหยดใส่ หรือเดินไปเหยียบน้ำขังที่ไหน ก็ล้างรอยเลอะออกได้หมดจดด้วยน้ำเปล่า หมดห่วงเรื่องรอยเปรอะเปื้อน มั่นใจได้ตลอดวันจริงๆ ให้ความคล่องตัว ด้วยฟีเจอร์ GQ STRETCH™ บอกลาขากางเกงแน่นเปรี๊ยะไปได้เลย จะบุกน้ำคลอง ขึ้นรถ ข้ามเรือ นั่งพี่วิน หรือวิ่งตามรถเมล์ ก็สบายใจหายห่วง เพราะ GQ PerfectPants™
สาวกเรือนเวลาทั้งหลายคงรู้กันดีว่าชื่อชั้นด้านการบอกเวลาที่แม่นยำ รวมถึงการสร้างสรรค์ชิ้นงานที่ประณีตงดงาม ที่ทำให้ Seiko (ไซโก) เป็นอีกหนึ่งแบรนด์นาฬิกาตัวแทนความภูมิใจของชาวเอเชียนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาง่าย ๆ ในระยะเวลาอันสั้น แต่มันเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ถูกสั่งสมพัฒนามาอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่า 140 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่ Seiko ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1881 โดย Kintaro Hattori (คินทาโร ฮัตโตริ) ชายหนุ่มวัย 21 ปี ที่นำเอาความตั้งใจ ความรักและความหลงใหลในกลไกบอกเวลามาใช้เป็นแรงผลักดันในการรังสรรค์นาฬิกาคุณภาพสูงจนก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทนาฬิกาชั้นนำ ซึ่งความสำเร็จเหล่านั้นคือสิ่งที่ต่อยอดมาจากวิสัยทัศน์เพียงหนึ่งเดียวที่ชายผู้นี้ยึดมั่น นั่นคือ “One step ahead of the rest” หรือ “การที่ต้องนำหน้าคู่แข่งอยู่ 1 ก้าวเสมอ” โดยคำกล่าวของ Kintaro Hattori นั้นได้ฝังรากลึกอยู่ในจิตวิญญาณของแบรนด์ และยังคงสะท้อนกึกก้อง เป็นแรงบันดาลใจในการทำงานของ Seiko มาจนถึงปัจจุบัน และในวาระการเฉลิมฉลองครบรอบ 140 ปีของ Seiko จึงถือเป็นโอกาสดีที่วิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งอย่าง Kintaro จะถูกนำกลับมาถ่ายทอดโดยสะท้อนผ่านผลงานนาฬิกา 4 รุ่นพิเศษที่ผลิตในแบบจำนวนจำกัด
ด้วยประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 145 ปี ทำให้ Audemars Piguet (โอเดอมาร์ ปิเกต์) แบรนด์นาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ถือเป็นแบรนด์ผู้ผลิตเครื่องบอกเวลาชั้นสูงที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งยังคงดำเนินธุรกิจสืบทอดกันในครอบครัวผู้ก่อตั้งมาจนปัจจุบัน (ตระกูลโอเดอมาร์และตระกูลปิเกต์) นับตั้งแต่ปี 1875 Audemars Piguet ยังคงผลิตเครื่องบอกเวลาที่เมือง Le Brassus (เลอ บราซูส์) โดยสืบสานฝีมือการทำงานของช่างผู้เชี่ยวชาญจากรุ่นสู่รุ่น พร้อมทั้งพัฒนาทักษะและเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อขยายขอบเขตความชำนาญที่มีอยู่เดิม พร้อมทั้งเพิ่มขีดความสามารถอันนำไปสู่การก้าวข้ามขีดจำกัดที่เคยมีอย่างต่อเนื่อง ในช่วงปี 1970 โอเดอมาร์ ปิเกต์เริ่มต้นการเพิ่มสีสันบนหน้าปัดนาฬิกาด้วยอัญมณี ไม่ว่าจะเป็นโทนสีน้ำตาล สีเขียว และสีน้ำเงิน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการออกแบบหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเจเนอเรชันใหม่ที่ทั้งโดดเด่นและเปี่ยมชีวิตชีวาในช่วงปี 1990 และนับแต่นั้นเป็นต้นมาโอเดอมาร์ ปิเกต์จึงพัฒนาหน้าปัดสีสันต่าง ๆ มาจนถึงปัจจุบัน ล่าสุด Audemars Piguet แบรนด์เครื่องบอกเวลาชั้นสูงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์เผยโฉมเหล่าโมเดลใหม่ของนาฬิกาข้อมือจากคอลเลคชั่น Royal Oak ที่มาพร้อมหน้าปัดใหม่ในโทนสีเขียว โดยในครั้งนี้ยังได้นำเสนอ Royal Oak “Jumbo” Extra-Thin ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยแพลทินัม 950 ซึ่งมาพร้อมกับหน้าปัดสีเขียวสโมคกรีนในเทคนิค Sunburst และพิเศษยิ่งขึ้นกับรุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่นอย่าง
Collection พิเศษที่เกิดจากความเป็นแฟนกีฬาเบสบอลรุ่นใหญ่ของ Ralph Lauren ถูกถ่ายทอดผ่านแฟชั่นสุดเท่ที่ร่วมมือกับ 4 ทีมชื่อดังแห่ง MLB (Major League Baseball) ได้แก่ New York Yankees, Los Angeles Dodgers, Chicago Cubs และ St. Louis Cardinals หลายคนอาจไม่รู้ว่า Mr. Ralph Lauren เป็นแฟนคลับเหนียวแน่นของ New York Yankees ที่เติบโตในเขต Bronx โดยมีนักกีฬาดาวรุ่งอย่าง Joe DiMaggio “The Yankee Clipper” และ Mickey Mantle “The Commerce Comet” 2 นักเบสบอลที่เล่นให้กับ Yankees เป็นไอดอลมาโดยตลอด จากความชอบกลายเป็นแรงบันดาลใจในการดีไซน์ผลงานที่ผสมผสานจุดเด่นของทั้งแฟชั่นและเบสบอลเข้าไว้ด้วยกัน Polo Ralph Lauren x
กีฬาบาสเก็ตบอลเรียกได้ว่ามีส่วนสำคัญต่อหน้าประวัติของสนีกเกอร์ของโลกอย่างมาก เพราะหากว่ากันตามตรงแล้วรองเท้าโมเดลตลอดกาลที่เราสวมใส่กันอยู่ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็น Converse All Star Chuck Taylor , Nike Air Force 1 , Air Jordan Series ล้วนเคยเป็นรองเท้าบาสเก็ตบอลมาแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นบรรดาเหล่าแบรนด์ดังมากมายถึงให้ความสำคัญกับการว่าจ้างพรีเซ็นเตอร์ทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อผลักดันไลน์สินค้านี้ รวมถึงพยายามดึงตัวซุปเปอร์สตาร์ของลีค NBA มาไว้ในมือ เอาที่เห็นภาพชัดที่สุดก็คือ Nike ที่ต้องยอดควักเงินมหาศาลรวมนักกีฬาระดับ MVP ไว้แทบทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น Lebron James , Kevin Durant , Kylie Irving ,Giannis Antetokounmpo หรือในอดีตอย่าง Michael Jordan และ Kobe Bryant ผู้ล่วงลับ แต่การที่แบรนด์เหล่านี้ต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อดึงนักกีฬาดังไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ สิ่งที่แลกตามมาคือต้นทุนที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้กับรองเท้าโมเดล Signature รุ่นดังกล่าวจะมีราคาที่สูงขึ้น อย่างต่ำๆ เราต้องเสียเงินให้ค่างวดรองเท้ารุ่นพิเศษไม่ต่ำกว่า $150 (4,500 บาท) ทำให้บรรดาเด็กที่ต้องการจะดำเนินตามไอดอลของเขาไม่มีกำลังซื้อหรืออาจจะต้องไปรบกวนเงินของผู้ปกครอง เพื่อได้ครอบครองรองเท้าคู่ที่ตัวเองต้องการ เหตุการณ์นี้จึงเป็นเหมือนปมให้กับอดีตนักบอลระดับออลสตาร์คนหนึ่งอย่าง Shaquilie O’neal รู้สึกว่าไม่ได้หละ ทำไมเด็กคนที่มีไอดอลเป็นของตัวเองจะสามารถซื้อรองเท้าที่สวยและราคาถูกไม่ได้ โดยเขาคิดว่าตัวเองต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง กระทั่งมีอยู่วันหนึ่งสมัยที่เขาเล่นอยู่กับทีม Orlando Magic ขณะที่เขาซ้อมเสร็จ เขาได้พบกับแม่คนนึงมายืนร้องไห้ต่อหน้าเขา พร้อมบอกว่าเธอทำให้ลูกชายของเธอเสียใจเพียงเพราะไม่สามารถซื้อรองเท้างี่เง่าของพวกคุณในราคาแสนแพงได้ และด้วยความที่ Shaq เป็นคนที่ค่อนข้างเฟรนลี่และเป็นกันเองกับแฟน ๆ Shaq จึงพยายามให้เงินแก่แม่คนนั้น เพื่อเป็นซื้อรองเท้าให้ลูกเธอ แต่เธอปฎิเสธและบอกฉันไม่ได้ต้องการเงินคุณพร้อมเดินจากไป ปมนี้คือเรื่องในใจของ Shaq ตั้งแต่นั่นมา และเป็นไอเดียที่ว่าอยากจะทำรองเท้าในราคาที่สมเหตุสมผลออกมาขาย ซึ่งในช่วงแรกของอาชีพการเล่นของเขาไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้มากนัก เนื่องจาก Shaq ได้เซ็นสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์ Reebok ตั้งแต่ปีที่เป็น Rookie แล้วมีสินค้ารุ่นพิเศษของตัวเองรุ่น Attaq ออกมาอยู่ต่อเนื่อง ทว่ารองเท้าไลน์พิเศษของเขานั้นเรียกได้ว่าไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลย และเป็นเหมือนคำสาปสำหรับนักบอลในตำแหน่งเซ็นเตอร์ เพราะไม่ว่าคุณจะดังระดับซุปเปอร์สตาร์อย่าง Kareem Abdul Jabbar หรือ Patrick Ewings แต่รองเท้าของพวกเขาก็จะไม่ได้รับความนิยมเท่ากับผู้เล่นตำแหน่ง ฟาวเวิร์ด์ หรือ การ์ด เช่นเดียวกับ Shaq จนกระทั้งเขาย้ายออกจาก La Lakers ในช่วงกลางๆ การเล่นของเขาที่รองเท้าของเขาจะเริ่มมียอดขายที่ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ตามเป้าที่ Reebok คาดหวังไว้ ซึ่งมีการเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า Shaq พยายามนำเสนอโปรเจครองเท้าราคาถูกให้กับทาง Reebok ช่วงก่อนที่เขาจะหมดสัญญา แต่แน่นอนว่าสำหรับ Reebok ที่กำลังตีตลาดสร้างแบรนด์ ต้องมาขายรองเท้าราคาถูก ไอเดียนี้จึงถูกปรับตกอย่างรวดเร็ว ควบคู่ไปกับยอดขายรองเท้าของ Shaq ก็ไม่ได้ดีพอที่จะมีปากมีเสียงมากนั้น ทั้งคู่จึงบอกเลิกสัญญากันไป และ Shaq ก็เป็นนักกีฬาที่ไม่มี Sponsorship ส่วนตัวใดๆ ในระหว่างนั้นเองเขาก็ได้เจอกับผู้บริหารของ ACI International ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์กีฬาราคาถูกอย่าง la Gear และอีกมากมาย ทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันในไอเดียการสร้างรองเท้าราคาถูกเพื่อทุกคน จึงได้สร้างไลน์สินค้าใหม่ที่เรียกว่า Dunkman และมีสัญลักษณ์เป็นภาพของ Shaq กำลัง Two Hand Dunk ขึ้นมา สำหรับดีไซน์แรกๆ ของ Dunkman เรียกว่าได้ถูกคนวิจารณ์อย่างหนักมาก เนื่องจากมีความคล้ายคลึงหรือแทบจะถอดแบบมาจากรองเท้าสุดฮิตอย่าง Air Jordan เลยก็ว่าได้ แต่ Shaq ก็ไม่ได้สนใจคำวิจารณ์เหล่าเพราะเขาบอกว่าของที่มันดีอยู่แล้วจะไปเปลี่ยนมันทำไม อีกทั้งเขารู้ว่าปนิธานของการทำแบรนด์นี้คืออะไร โดยรองเท้าของ Shaq เรียกได้ว่าสวนทุกกฎการตลาดทั้งหลายเลยก็ว่าได้ เนื่องจากราคาสุดถูกเพียง $35 ( 1,050 บาท ) แต่มีดีไซน์สวยเหมือนรองเท้าราคาแพง แถมมี endorser เป็นระดับผู้เล่น All Star ของลีค ( โดยในขณะนั้น Shaq เพิ่งจะคว้าแหวนแชมป์วงที่สามร่วมกับ La Laker ) อีกทั้งเขาเลือกที่จะวางขายมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ไม่ว่าจะเป็นร้านอย่าง Payless, Walmart และหลายที่ เพียงแค่ปีแรกรองเท้า Dunkman ขายมาก 2 ล้านคู่ เรียกว่ามากที่สุดในบรรดาผู้เล่นทั้งหมดของ NBA แม้ว่าจะราคาถูกแต่เนื่องจากปริมาณที่สูงลิบทำให้ Shaq ได้รับส่วนแบ่งคร่าวๆ ราวๆ $ 6 ล้านเหรียญสหรัฐ ( 180 ล้านบาท ) เทียบกับค่าจ้างที่เขาได้รับจากทีมในตอนนั้น สำหรับเบื้องหลังความสำเร็จนี้ทาง Matthew Powell นักวิเคราะห์จาก SportsOneSource ได้อธิบายว่ารองเท้าของ Shaq เป็นรองเท้าที่ราคาถูก เด็กสามารถซื้อใส่ไปเรียนหรือเล่นบาสจนทำให้มันพังได้โดยไม่เสียดาย แถมไม่จำเป็นต้องไปเบียดเบียนผู้ปกครอง มันง่ายขนาดที่ว่าหากวันนี้เด็กคนนึงลืมนำรองเท้าบาสไป และเขาอยากลงไปเล่นกับเพื่อน เพียงแค่เขาเดินเข้า Payless ซื้อมันออกมาลงสนามเหมือนกับพวกเราซื้อของออกจากร้านสะดวกซื้อเลยก็ว่าได้ ความสำเร็จของ Dunkman ไม่ได้ประสบความสำเร็จเพียงแค่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น เพราะว่าในจีนเอง Shaq ก็มีฐานแฟนคลับค่อนข้างมากๆ เนื่องจากเขาเป็นคนที่สนิทสนมกับ Yao Ming เซ็นเตอร์ออลสตาร์ชาวจีน รองเท้าของเขามียอดขายมากกว่า $ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี