เมื่อต้องอยู่กับปัญหาโลกแตก และไม่สามารถ MOVE ON ได้เป็นเวลานาน สิ่งที่มักเกิดขึ้นกับเรา คือ การสูญเสียความสามารถในการมองเห็นคุณค่าชีวิตของตัวเอง เราอาจเริ่มรู้สึกเหมือนไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ส่งผลให้เราใช้ชีวิตได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ปัญหานี้เรียกกันว่า “Existential Crisis” WHAT IS EXISTENTIAL CRISIS? Existential Crisis คือ ภาวะที่เราเกิดความไม่สบายใจในเรื่องความหมาย ทางเลือก และอิสระในชีวิตของตัวเอง โดยคำนี้มีรากมาจาก ปรัชญาอัตถิภาวนิยม (Existentialism) ที่ให้ความสำคัญกับทางเลือกหรือการใช้ชีวิตอย่างมีเสรีภาพของมนุษย์ ภาวะนี้เกิดขึ้นได้ เมื่อเราเจอกับปัญหาชีวิตหรือความยากลำบากที่สามารถแก้ไขได้ยาก ต่อให้หาคำตอบมาเป็นเวลานานเท่าใด ก็ยังไม่เจอทางออกที่น่าพอใจสักที และพอเราจมอยู่กับปัญหานาน เราก็จะไม่สบายใจจนรู้สึกสิ้นหวังเรื้อรัง และสูญเสียความสุขในการใช้ชีวิตอย่างหนัก นอกจากนี้มันยังเกิดขึ้นได้เมื่อเรารู้สึกผิดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต สูญเสียคนรัก ไม่พอใจในตัวเอง หรือ เก็บกักความรู้สึกแย่ ๆ เอาไว้ในใจเป็นเวลานานเกินไป เพราะสิ่งเหล่านี้มักทำให้เราจมปัก และรู้สึกสิ้นหวังกับชีวิตได้ คนที่เป็น Existential Crisis มักจะรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองไร้ค่าไร้ความหมาย และเกิดอาการสิ้นหวังในการใช้ชีวิต เพราะเหมือนกับว่า โลกทั้งใบของพวกเขาได้พังลงแล้ว จะทำอะไรต่อไปก็คงไม่ดีขึ้น พวกเขาจึงตั้งคำถามกับการมีตัวตนของตัวเอง เช่น ”เกิดมาเพื่ออะไร” หรือ
หลายคนน่าจะเคยมีช่วงเวลาที่โกรธใครสักคนมาก ๆ แล้วลงมือทำร้ายพวกเขาโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว พอนึกย้อนกลับไปก็อาจจะรู้สึกแย่ และคิดว่าไม่น่าทำอย่างนั้นลงไปเลย เหตุการณ์นี้อาจเป็นตัวอย่างของ amygdala hijack ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่ทำให้เราไม่สามารถควบคุมตัวเองและใช้เหตุผลได้ ส่งผลให้เราทำอะไรบางอย่างตามอารมณ์ และอาจสร้างปัญหาที่ยากเกินกว่าจะแก้ไขได้ในภายหลัง อะไร คือ AMYGDALA HIJACK ? amygdala hijack เป็นคำที่นิยามโดย แดเนียล โกลแมน (Daniel Goleman) นักจิตวิทยาผู้โด่งดังเรื่องแนวคิด ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) ซึ่งคำนี้ใช้อธิบายถึงปรากฎการณ์ที่สมองเทคโอเวอร์ความสามารถในการตัดสินใจของมนุษย์ เพื่อให้เกิดการตัดสินใจที่รวดเร็ว ในเวลาที่เราเจอกับปัญหาที่สร้างความเครียดอย่างหนัก ซึ่ง amygdala hijack จะเกิดขึ้นจากการทำงานของ อะมิกดาลา (amygdala) ซึ่งเป็นกลุ่มของเซลล์ที่อาศัยอยู่ในด้านข้างสมองสองซีกของเรา ซึ่งสมองส่วนนี้จะทำงานเกี่ยวข้องกับการจดจำ และการให้ความหมายของอารมณ์แต่ละประเภทที่เรามี และมันยังทำหน้าที่ในการจับคู่อารมณ์กับการตอบสนองทางกายที่เฉพาะเจาะจงด้วย เช่น บางคนที่มีนิสัยชอบทำร้ายคนอื่นเวลาโกรธ ก็อาจจะเกิดจากการทำงานของสมองส่วนนี้ amygdala ยังมีบทบาทสำคัญต่อการตอบสนองแบบ สู้หรือหนี (fight-or-flight response) อีกด้วย ซึ่งการตอบสนองประเภทนี้เป็นกลไกเอาตัวรอดสำคัญที่มนุษย์ใช้มาอย่างยาวนาน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่จะมาทำร้ายหรือฆ่าพวกเขา เช่น สัตว์ร้าย หรือ ศัตรูฝั่งตรงข้าม
พอโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว หลายคนต้องออกจากบ้านมาอยู่คนเดียว และห่างเหินกับคนรอบตัวมากขึ้น ทำให้พอเจอปัญหารุมเร้าแล้วเครียด ก็ไม่สามารถรับมือกับมันได้เหมือนเดิม จะมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นใครที่จะขอคำปรึกษาได้ ถ้าใครกำลังมีช่วงเวลาแบบนี้ เราอยากแนะนำให้ทุกคนเริ่มให้กำลังใจตัวเองกัน ซึ่งวิธีเหล่านี้จะช่วยให้เราดีขึ้นได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาใคร ให้เวลากับตัวเอง ในแต่ละวันเราอาจวุ่นอยู่กับการทำตามใจคนอื่น ไม่ว่าจะเป็น เจ้านาย คนในครอบครัว หรือ เพื่อน จนลืมที่จะทำอะไรเพื่อตัวเองไป นาน ๆ เข้าก็อาจรู้สึกเหมือนหลงทาง ดังนั้น เพื่อให้เรากลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความหมายดังเดิม เราควรหาเวลาว่างอย่างน้อย 10 – 15 นาทีในการอยู่กับตัวเอง ซึ่งเราสามารถใช้เวลาตรงนั้นทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น นอน นั่งสมาธิ หรือ เดินไปรอบห้อง แต่จำไว้ว่าพอยซ์ของกิจกรรมนี้ คือ การทำให้เราหันมาสนใจและตอบสนองความต้องการของตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้เราเกิดแรงจูงใจในการใช้ชีวิตมากขึ้นได้ อย่าคิดว่ากำลังแข่งกับคนอื่นอยู่ นิสัยอย่างหนึ่งที่หลายคนมักชอบทำ คือ การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เช่น เห็นคนอื่นก้าวหน้ากว่า แล้วเกิดอาการดูถูกตัวเอง เป็นต้น ซึ่งปัญหานี้ทำให้เกิดผลเสียต่อตัวเรา คือ มันบั่นทอนกำลังใจ และทำให้เรามองข้ามสิ่งสำคัญที่เราต้องทำอยู่เสมอ ดังนั้น เราควรโฟกัสที่ตัวเองมากกว่าคู่แข่ง และหาทางว่าจะทำให้ผลงานของตัวเองดียิ่งขึ้นอย่างไรจะดีกว่า เปลี่ยนความคิดเรื่องความล้มเหลวใหม่ เพราะความสิ้นหวังมักทำให้เราไม่กล้าลงมือทำอะไรใหม่ ๆ
ถ้าทุกครั้งที่มีช่องว่างให้กรอกว่าความสามารถพิเศษของเราคืออะไร แล้วในหัวมีแต่ความงุนงงว่างเปล่าไม่รู้จะเติมอะไรลงไป จนต้องฮัมเพลง “ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษ”กับตัวเองเบา ๆ ทุกครั้ง เราคือเพื่อนกัน เชื่อเถอะว่าบนโลกที่เรียกร้องให้ใคร ๆ ก็ต้องเก่ง ต้องพิเศษ ต้องเจ๋ง ไม่ได้มีเราคนเดียวแน่ ๆ ที่รู้สึกว่าตัวเองช่างห่วยเหลือเกินที่ไม่มีความสามารถพิเศษอะไรกับเข้าบ้างเลย แต่วันนี้ UNLOCKMEN อยากตะโกนบอกคุณว่า หยุดคิดอย่างนั้นเดี๋ยวนี้นะ! การไม่มีความสามารถพิเศษ หรือสกิลเทพที่โดดเด่นจนใครต้องเหลียวมองมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คุณคิด แถมวันนี้เรายังพกเอาเคล็ดลับหนึ่งเดียวมาฝาก ต่อให้คุณไม่มีความสามารถพิเศษใด ๆ ก็ประสบความสำเร็จได้ด้วยเคล็ดลับนี้ แม้เราจะกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะเชื่ออยู่ว่า จริงเหรอ? ไม่มีความสามารถพิเศษเด่น ๆ แต่เราก็จะสามารถประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่นเขาได้จริง ๆ น่ะเหรอ UNLOCKMEN อยากให้คุณเปิดใจ แล้วค่อย ๆ เรียนรู้วิธีคิดนี้ไปด้วยกัน ข่าวดีอย่างแรกก็คือเราไม่ได้รู้สึกอย่างนี้อยู่คนเดียว การรู้สึกว่าฉันไม่เก่ง ฉันไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเป็นความรู้สึกที่แทบทุกคนคิด แม้แต่คนที่ประสบความสำเร็จ ที่สำคัญก็คือในบรรดาคนที่ประสบความสำเร็จนั้นมันมีน้อยคนมากที่มีความสามารถพิเศษสุดในจักรวาลแล้วประสบความสำเร็จ เพราะนอกนั้นเขาก็รวบรวมหลาย ๆ สกิลของตัวเองมาประสบความสำเร็จทั้งนั้น อาจจะยังมองไม่เห็นภาพ ลองนึกถึง Bill Gates เจ้าพ่อไมโครซอฟต์ที่คงไม่มีใครไม่รู้จัก ถามตัวเองดูสิว่า
“ผมตื่นเช้ายิ้มรับโลกที่แสนสงบสุข เรียกแท็กซี่ออกไปทำงานในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนแบบชิล ๆ ทุกคันยินดีรับไปส่งทุกที่แบบไม่มีข้อแม้ ถนนหนทางในกรุงเทพฯ ก็ช่างโล่ง ทุกคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ทุก ๆ วันของผมเป็นวันที่ดี ชีวิตนี้ผมมีความสุขทุกนาที” ใช่ครับ ผมกำลังโกหกคุณอยู่ ทำไมคนเราถึงชอบโกหกกันนัก ? เรื่องนี้นักจิตวิทยาให้คำตอบไว้ว่า เรามักจะเผลอโกหกเพื่อให้คนที่เจอกันครั้งแรกประทับใจ บ้างก็ไม่อยากให้คนอื่นเจ็บปวด อยากยุติปัญหา หรือพยายามปรุงแต่งคุณค่าของตัวเองเพื่อเข้าสังคม ส่วนที่หนักที่สุดก็คือการโกหกแบบไม่มีเหตุผล เรียกว่าติดเป็นนิสัยไปเลย ถ้าโลกนี้มีแต่ความซื่อสัตย์ก็จะโคตรดี โชคร้ายที่โลกของความจริงมันไม่ใช่แบบนั้น อ่าว แล้วเราจะดูออกได้อย่างไรว่าคนข้างหน้ากำลังโกหกเราอยู่หรือเปล่า อย่ากังวลครับ ทีมงาน UNLOCKMEN มีวิธีอ่านความจริง–เท็จจากภาษากายเบื้องต้นจากนักจิตวิทยาฝากกัน โดยจากผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า ท่าทางเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในร่างกายตามธรรมชาติ เราไม่ได้บอกให้มองโลกในแง่ร้ายนะ แต่อยากให้เตรียมพร้อมรับมือจอมโกหกที่เราอาจเจอในชีวิตประจำวัน Step 1: ดูท่าทีที่มือก่อน ถ้าคนที่คุยคุยด้วยเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง มีความเป็นไปได้ว่าเขากำลังคิดไม่ซื่อกับคุณ ไม่ก็กำลังเจ็บปวด เศร้าใจ วิตกกังวล อันนี้ต้องดูดี ๆ ว่าควรจะเผื่อใจระวังหรือควรถามสารทุกข์สุขดิบมากกว่ากัน แต่ถ้ามือไม้เขาดูเป็นธรรมชาติ ปล่อยมือแบออกสบาย ๆ ก็พอจะเบาใจได้ว่าคนตรงหน้าไม่น่าจะโกหกกัน ในทางกลับกัน หากคู่สนทนากำหมัดคุยกับเราก็อาจตีความได้ว่าเขากำลังจะพูดปด มีความทุกข์
เดี๋ยวนี้ความเศร้าเป็นเรื่องที่สังเกตได้ยาก เพราะคนยุคนี้เก็บซ่อนความรู้สึกกันเก่งขึ้น จากการที่เรามีโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นดั่งพื้นที่โอ้อวดชีวิต และทำให้เราเปรียบเทียบกับคนอื่นมากขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้เราปฏิเสธความอ่อนแอทางจิตใจอย่างภาวะซึมเศร้ามากขึ้นเช่นกัน ปัจจุบันคนเศร้าจำนวนมากเลยเลือกที่จะปิดบังความเจ็บปวดทางใจของตัวเองเอาไว้ให้ใครเห็น และเกิดอาการที่เรียกว่า smiling depression ขึ้นมา WHAT IS SMILING DEPRESSION? ยิ้มซึมเศร้า หรือ Smling Depression เป็นคำอธิบายอาการที่เราพยายามซ่อนภาวะซึมเศร้าไว้ในใจ โดยการเสแสร้งว่าตัวเองโคตรมีความสุขกับชีวิต ซึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขาไม่อยากทำให้คนอื่นกังวล อับอายที่ตัวเองเป็นซึมเศร้า คิดว่าการเป็นซึมเศร้าจะทำให้ตัวเองดูอ่อนแอ หรือ รับไม่ได้ที่ตัวเองมีความผิดปกติ พวกเขาจึงเลือกที่จะปิดบังอาการเศร้า และแสดงออกมาในทางตรงกันข้าม คนที่เป็น Smiling Depression มักเจอความเสี่ยงมากกว่าคนอื่น เพราะไม่มีใครรับรู้อาการของพวกเขา และพาพวกเขาไปรับการรักษาที่ถูกต้อง เมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอาการซึมเศร้าเพียงลำพัง โอกาสในการหายจากอาการซึมเศร้าก็น้อยลง และเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงกว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้าปกติ HOW TO COPE WITH SMILING DEPRESSION ? การรับรู้ว่าอาการซึมเศร้าของตัวเอง และยอมรับมัน อาจเป็นก้าวแรกที่จะทำให้เรามีอาการดีขึ้น เพราะเมื่อเรารู้ว่าตัวเองมีปัญหาแล้ว เรามักจะพยายามค้นหาวิธีแก้ปัญหาเสมอ มันจึงช่วยลดโอกาสในการทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายที่เกิดจากการมีภาวะซึมเศร้าได้ ซึ่งคนที่เป็นซึมเศร้ามักมีอาการเหล่านี้ ได้แก่ น้ำหนักลด ความอยากอาหารน้อยลง นอนไม่หลับ
ตลอดช่วงอายุ 60 ปี ของภาพยนตร์ชุดเจมส์ บอนด์ (James Bond) นับตั้งแต่ภาคแรกออกฉาย เรื่องราวของสายลับอังกฤษเจ้าเสน่ห์ผู้นี้ ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วทั้งสิ้น 25 ภาค และมีนักแสดงก้าวเท้ามารับบทนำรวมทั้งสิ้น 6 คน โดยนักแสดงคนแรกที่ได้รับบทนี้คือ ฌอน คอนเนอรี (Sean Connery) นอกจากภาพจำในฐานะนักแสดงชื่อดังที่ฝากผลงานมาแล้วมากมาย โดยเฉพาะบทสายลับหน้าหล่อเวอร์ชันคลาสสิก เขายังเคยเป็นอดีตนักฟุตบอล และฝีเท้าของเขาก็สามารถทำให้ผู้จัดการทีมฟุตบอลชื่อดังจากเกาะอังกฤษสนใจดึงตัวเขาไปร่วมทีม ฌอน คอนเนอรี เกิดเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ปี 1930 ที่เมืองเอดินเบอระ เมืองหลวงของประเทศสกอตแลนด์ เขาไม่ใช่เด็กโชคดีที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดเหมือนดาราดังทั่วไป เพราะชีวิตในวัยเด็กของเขาต้องต่อสู้กับความยากจน ครอบครัวของเขามีพื้นเพเป็นชาวไอร์แลนด์ที่อพยพมาอยู่อาศัยในสกอตแลนด์ พ่อเเม่ของเขาประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป ทำให้เมื่อคอนเนอรีโตพอจะดูแลตัวเองได้ เขาจึงเริ่มหางานพิเศษทำเป็นเด็กส่งนมตามบ้าน เมื่ออายุ 16 ปี คอนเนอรีตัดสินใจสมัครเข้ากองทัพเรือสกอตแลนด์ เป้าหมายคือการหางานที่มั่นคง และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัว แต่สุดท้ายอาชีพนายทหารของเขาต้องสิ้นสุดลงเนื่องจากเป็นแผลในกระเพาะอาหาร ทำให้เขาถูกปลดประจำการในอีก 4 ปีต่อมา คอนเนอรีต้องกลายเป็นคนตกงาน เขาจึงต้องหางานพิเศษทำเพื่อเลี้ยงปากท้อง ไม่ว่าจะเป็น ทำงานเหมืองถ่านหิน
พอเริ่มเข้าสู่วัยทำงานแล้ว หลายคนคงเริ่มรู้สึกว่าชีวิตมันยากขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะเจอกับการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ต้องแข่งกับคนอื่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เรื่องงาน ความสัมพันธ์ การใช้ชีวิต ต้องทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยทำในวัยเด็ก ต้องตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ด้วยตัวเองมากขึ้น หรือ บางคนอาจต้องย้ายออกมาอยู่คนเดียว สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เราตกอยู่ในภาวะที่เรียกว่า Quarter-Life Crisis และจะทำให้เราไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขเหมือนเดิมได้ WHAT IS A QUARTER-LIFE CRISIS ? วิกฤตหนึ่งส่วนสี่ชีวิต (Quarter-Life Crisis) คือ ภาวะที่คนวัยหนุ่มสาว (อายุ 18 – 30 ปี) ตกอยู่ในความเครียดและความกังวลในเรื่องคุณภาพชีวิตของตัวเอง เพราะพวกเขานำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นในวัยเดียวกัน หรือ ขาดเป้าหมายในการใช้ชีวิต ซึ่งคนที่เจอกับปัญหานี้มักรู้สึกว่าตัวเองกำลังติดอยู่ในปัญหาอะไรบางอย่าง และไม่สามารถหนีออกมาได้ เช่น หางานไม่เจอมาเป็นเวลานาน ทำงานที่ไม่รู้ทำไปเพื่ออะไร (dead-end jobs) มาเป็นเวลานาน หรือ หาแฟนมานานเท่าไหร่ก็ยังไม่เจอสักที เมื่อพวกเขารู้สึกว่าความพยายามของตัวเองช่างไร้ค่าไร้ความหมาย หรือ ทำอย่างไรก็ไม่ได่ในสิ่งที่คาดหวังสักที สุดท้ายพวกเขาก็จะตั้งคำถามกับชีวิตของตัวเอง เช่น “ทำไมคนอื่นแต่งงานมีลูกกันหมดแล้ว
เชื่อว่าหนุ่ม ๆ คอทองแดงทั้งหลาย ล้วนเคยผ่านการดวลเดือดบนสมรภูมิแอลกอฮอล์มาแล้วมากมายนับครั้งไม่ถ้วน และคงมีจำนวนไม่น้อยที่ได้ประสบพบเจอกับประสบการณ์ภาพตัด ตื่นเช้ามาด้วยอาการ “เอ๊ะ กูกลับบ้านยังไง?” กันมาแล้ว จนกลายเป็นที่มาที่ทำให้เราอยากคลายความสงสัยให้กับชาว UNLOCKMEN ว่าจริง ๆ แล้ว คนหนึ่งคนจะสามารถต่อกรกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้มากมายขนาดไหน สุดเหวี่ยงได้มากเท่าไหร่ถึงจะไม่ต้องเจอกับอาการภาพตัดหลับพับไปแบบไร้ฟอร์ม ซึ่งแน่นอนว่าการวัดลิมิตความเมา คงไม่ใช่การไปถามเจ้าตัวว่าเมารึยัง? เป็นแน่แท้ เพราะไม่ว่าจะถามนักดื่มคนไหน หรือแม้แต่ถามตัวเอง ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีใครยอมรับหรอกว่าตัวเองเมาแล้วจ้า ดังนั้นการวัดระดับความเมาจึงต้องอ้างอิงจากปริมาณความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดหรือ BAC (Blood Alcohol Concentration) ซึ่งสามารถวัดได้จากเครื่องเป่าที่เจอตามด่านตรวจ แต่ทีมดื่มไม่ขับ เมาแบบรับผิดชอบอย่างเรา ๆ คงไม่มีโอกาสโดนจับเป่าคาด่าน แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถโหลดแอพฯ ในมือถือมาคำนวณปริมาณ BAC ได้เช่นกัน โดยวิธีการทำงานของแอพฯ จำพวก BAC Calculator จะคำนวณจากตัวแปรต่าง ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ค่า BAC ของแต่ละคนไม่เท่ากัน แม้จะมีการดื่มในจำนวนที่เท่า ๆ กันก็ตาม ซึ่งตัวแปรหลัก ๆ ก็จะมีทั้งเพศ, อายุ, น้ำหนัก, ระยะเวลาในการดื่ม, ความถี่ในการดื่มต่อชั่วโมง,
คอลัมน์ The Profiles เดือนนี้ เราขอพาทุกคนไปทำความรู้จักเรื่องราวของสตรีมากฝีมือเจ้าของตำแหน่งกราฟิกดีไซน์เนอร์คนแรกของ Apple ผู้พลิกโฉมวงการอินเตอร์เฟซคอมพิวเตอร์ในยุคกำลังตั้งไข่ ถ้าพูดถึงแบรนด์อย่าง Apple หลายคนคงจะนึกถึง Steve Jobs ศาสดา CEO ผู้ล่วงลับ หรือถ้าเป็นสาย Product Design ก็ต้อง Jony Ive ผู้ออกแบบ Mac มาแล้วหลายต่อหลายรุ่น แต่หนึ่งในฟันเฟืองคนสำคัญที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ กับ Steve Jobs ปลุกปั้นเครื่อง Macintosh เครื่องแรกของโลก คือหญิงสาวที่ชื่อว่า Susan Kare (ซูซาน แคร์) และผลงานที่เธอฝากไว้นั้นมีอิทธิพลต่อวงการเทคโนโลยี และกราฟิกดีไซเนอร์อย่างไรบ้าง เชิญมาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกันได้เลย ซูซาน แคร์ จบการศึกษาวิจิตรศิลป์จาก Mount Holyoke College พร้อมทั้งปริญญาโทและปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เรียกได้ว่าเธอผู้นี้มีความรู้ความสามารถด้านการออกแบบไม่ใช่เล่น ๆ ประกอบกับในช่วงเวลานั้น Steve Jobs กำลังมองหาพันธมิตรที่จะสามารถฝึกอบรมซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ เมื่อเขาได้ไปที่บริษัท Xerox ทำให้เขาต้องทึ่งกับสิ่งที่เขาได้เจอ