เวลาเกิดปัญหาขึ้นมาสักอย่างเนี่ย นอกจากการแก้ปัญหากันหัวหมุนแล้ว อีกสิ่งที่เรามักจะทำอย่างแข็งขันคือการหาต้นเหตุของเรื่องนั้น แล้วหยุดยั้งเจ้าต้นเหตุเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องชวนหัวแบบนี้ขึ้นอีก แต่ทว่าการขุดคุ้ยหาต้นตอนั้น เราต้องทำอย่างระมัดระวังเพื่อที่จะได้เจอสิ่งที่เป็นสาเหตุของมันจริง ๆ ไม่เช่นนั้นการคว้าสิ่งไหนขึ้นมามั่วซั่วอาจนำมาสู่ตรรกะวิบัติที่เรียกว่า ‘SLIPPERY SLOPE’ ทางลาดชันที่จะพาเราไปสู่เหตุการณ์คนละเรื่องกับเรื่องราวในตอนแรก ฟังดูไร้เหตุผลสิ้นดี แต่เชื่อไหมว่าคนเรามักจะมีข้ออ้างแบบนี้กันอยู่บ่อย ๆ มาทำความรู้จักกับตรรกะวิบัติชนิดนี้ พร้อมกับทางหนีทีไล่เมื่อเจอคนที่ใช้ตรรกะขาด ๆ แหว่ง ๆ แบบนี้ ‘SLIPPERY SLOPE’ ทางลาดชันสู่เหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง มาดูกันเต็ม ๆ ว่า เจ้า ‘SLIPPERY SLOPE’ เนี่ย มันคือความไร้เหตุผลยังไงกัน พูดให้เห็นต้นสายปลายเหตุง่าย ๆ คือ “A ทำให้เกิด B ที่จะทำให้เกิด C และ D และ E ไปเรื่อย ๆ จนถึง Z เพราะฉะนั้น A ทำให้เกิด Z นั่นเอง” ป้าบเข้าให้ แค่นี้ก็งงแล้วว่า A มันจะไปยัน Z ได้จริงหรอ
สำหรับชาว UNLOCKMEN ที่เน้นใช้จ่ายผ่านบัตร นอกจากจะมีเหตุผลหลักเรื่องความสะดวกสบาย และความปลอดภัยกับการที่ไม่ต้องพกเงินสดมากมายในยามที่ต้องเดินทางไปไหนมาไหน เราเชื่อว่าอีกสิ่งหนึ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญคงหนีไม่พ้นเรื่องของสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นประเด็นหลักที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเปิดบัตรใหม่มาใช้งานกันสักใบหนึ่ง หลังจากได้ทำการเปรียบเทียบบัตรหลาย ๆ ใบที่ให้สิทธิพิเศษที่น่าสนใจมากสำหรับไลฟ์สไตล์พวกเรา วันนี้บอกเลยว่าสิทธิพิเศษจากชาร์จการ์ดอย่าง บัตรแพลทินัมเมทัลจากอเมริกัน เอ็กซ์เพรส นั้นจัดหนักจัดเต็มความ Privilege ซึ่งเรียกได้ว่าครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ผู้ชายอย่างแท้จริง และเมื่อย่างเข้าศักราชใหม่แบบนี้ ก็ถึงเวลาที่จะมาอัพเดท Benefit ใหม่ ๆ ว่าในปี 2021 นี้ บัตร Amex Platinum จะจัดสิทธิประโยชน์อะไรมาให้เหล่าสมาชิกได้ใช้เอกสิทธิ์เหนือระดับแบบคุ้มเม็ดเงินในทุกยอดใช้จ่าย ช่วยเติมเต็มไลฟ์สไตล์ทั้งเรื่องกิน เรื่องบิน เรื่องเที่ยว ได้อย่างไรบ้าง เริ่มต้นด้วยความพิเศษแรก กับมื้ออาหารรสเลิศจากห้องอาหารชั้นนำ ที่มาพร้อมเอกสิทธิ์พิเศษเฉพาะเจ้าของบัตร Amex Platinum เท่านั้น รับบัตรกำนัลรับประทานอาหารมูลค่า 17,000.- บาท ในโรงแรมชั้นนำ ได้แก่ – บัตรกำนัล 1,000.- บาท จำนวน 5 ใบ ที่ห้องอาหาร Liu, Conrad Bangkok –
เวลาเราเจอกับเรื่องแย่ ๆ ในชีวิต เช่น ตกงาน สอบตก หรือว่า อกหัก หลายคนมักจะเกิดอารมณ์แย่ ๆ ขึ้นมาหลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็น ความเครียด ความเศร้า ความกังวล บางคนอาจมีอาการถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่าทำไมเรื่องเหล่านั้นถึงเกิดขึ้น และอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขมันเสียเหลือเกิน แต่เมื่ออดีตเป็นเรื่องที่ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ การคิดถึงมันบ่อย ๆ จึงไม่ช่วยอะไร นอกจากทำให้เรายิ่งคิดมาก มูฟออนยาก และติดอยู่ในลูปของความเศร้าที่ไม่รู้จะจบลงเมื่อไร เรามีวิธีรับมือกับเรื่องแย่ ๆ ที่ดีกว่านั้นมาแนะนำนั่นคือการใช้ Gratitude หรือ การขอบคุณนั่นเอง สกิลนี้จะช่วยให้เราสามารถมองเห็นสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตมากขึ้น และจะทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้นด้วย เดี๋ยวเราจะอธิบายให้ฟังว่าเราจะพัฒนาสกิลนี้ได้อย่างไร WHAT IS GRATITUDE ? ถ้าแปลคำว่า Gratitude จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยตรง ๆ ความหมายของมัน คือ ความกตัญญู หรือ ความรู้สึกขอบคุณ ซึ่งมีหลายคนเหมือนกันที่มองว่า มันเป็นสกิลในการเอาตัวรอด (Survival Skill) จากความยากลำบากต่าง
มันต้องมีเพื่อนสักคนนึงแหละที่มีนิสัยชอบชมคนอื่นง่าย ๆ และดูจะคล้อยตามคนอื่นไปซะทุกเรื่อง หลายคนอาจมองว่าคนประเภทนี้ เฟรนด์ลี่ เข้าหาได้ง่าย และเต็มไปด้วยพลังงานด้านบวก โดยหารู้ไม่ว่าบางครั้งการเป็นคนที่ประทับใจอะไรง่าย ๆ ก็อาจส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตได้เหมือนกัน UNLOCKMEN เลยอยากมาอธิบายว่า การประทับใจอะไรง่าย ๆ มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ? และเราจะจัดการตัวเองอย่างไร เพื่อไม่ให้คนอื่นเข้ามาบงการชีวิตเรา ? ข้อดีข้อเสียของการประทับใจอะไรง่าย ๆ บางคนบอกว่า การที่เราประทับใจอะไรง่าย ๆ อาจทำให้เรามีความสุขในการใช้ชีวิตมากขึ้น เพราะเราจะสนใจแต่เรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตมากกว่าเรื่องที่เลวร้าย มองโลกในแง่บวก และสามารถเอนจอยกับชีวิตได้มากกว่าคนที่ประทับใจกับสิ่งต่าง ๆ ได้ยาก แถมการเป็นคนที่ชอบชมคนอื่นบ่อย ๆ ก็อาจทำให้ดูเข้าหาง่ายด้วย ซึ่งคุณสมบัตินี้สำคัญต่อการสานความสัมพันธ์กับคนอื่น แต่การเป็นคนที่ประทับใจคนอื่นได้ง่ายนั้น มันก็อาจทำให้เรากลายเป็นคนที่ถูกคนอื่นชักจูง (Influence) ได้ง่าย คล้อยตามคนอื่นได้ง่าย และคิดน้อยลงได้เช่นกัน เพราะคนที่ประทับใจอะไรง่าย ๆ จะขาดทักษะที่เรียกว่าการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) ซึ่งเป็นสกิลที่ทำให้เราคิดได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น ดังนั้น พอเห็นคนอื่นทำดีด้วย พวกเขามักจะไม่คิดถึงเจตนาที่อยู่เบื้องหลังการกระทำนั้นอย่างถี่ถ้วน คล้อยตามได้ง่าย และสุดท้ายพวกเขาก็อาจถูกหาประโยชน์ หรือ ถูกหลอกจนได้
ถึงแม้ว่าแรงกดดัน เช่น เวลาในการทำงานที่จำกัด จะช่วยให้เราเกิดความโปรดักทีฟมากขึ้นได้ แต่ในทางกลับกัน มันก็อาจทำให้เราเกิดอาการแพนิค และทำงานแย่ลงได้เหมือนกัน เพราะเวลาเรากลัวว่าตัวเองจะทำงานไม่ทัน เรามักรีบคิดและรีบปั่นงานให้เสร็จโดยไว ผลสุดท้าย งานที่ออกมาอาจไม่ได้รับการตรวจที่ถี่ถ้วนมากพอ จนมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น เมื่อแรงกดดันเป็นเหมือนกับดาบสองคม มีทั้งข้อดีข้อเสีย เราเลยจำเป็นต้องรับมือกับมันให้ได้อย่างดี บทความนี้ UNLOCKMEN จึงนำเทคนิคดี ๆ มาฝากทุกคนกัน ซึ่งถ้ารู้แล้ว เราจะทำงานภายใต้ความกดดันได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน ตั้งสติก่อนสตาร์ท !!! เวลาเราทำงานในช่วงที่เดดไลน์ใกล้เข้ามาแล้วนั้น เรามักจะโคตรเครียด เสียสติ และไม่คิดหรือตรวจงานให้ดี สุดท้ายงานที่ออกมามันก็แย่ หากใครเจอกับอะไรแบบนี้ เราอยากให้ลองตั้งสติ และพยายามเปลี่ยนโฟกัสจากความเครียดความกังวล มาเป็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเราดู ลองถามตัวเองว่าตอนนี้เรากำลังเห็นอะไร ? กำลังได้ยินอะไร ? เราหายใจเป็นยังไง ? แบบนี้จะช่วยให้เรารู้สึกถึงแรงกดดันน้อยลง มีสติมากขึ้น และแก้ปัญหาได้ดีกว่าด้วย มองย้อนกลับไปทบทวนความกดดันที่ผ่านมา ความกดดันมักเกิดขึ้นแบบเป็นแพทเทิร์น และเราอาจเจอกับแพทเทิร์นนั้นซ้ำ ๆ อยู่ก็ได้ ดังนั้น แทนที่จะปล่อยให้ประสบการณ์ความกดดันเหล่านั้นผ่านไปเฉย ๆ เราควรใช้เวลาในการเรียนรู้ และวิเคราะห์หาแพทเทิร์นของความกดดันจะดีกว่า เพราะมันจะช่วยให้เราหาแผนรับมือกับความกดดันได้อย่างมีประสิทธิภาพได้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราพบว่า
ช่วงนี้หลายคนน่าจะมีความเครียดและความกังวลกัน เพราะทุกอย่างในตอนนี้ดูไม่แน่นอนเสียเหลือเกิน ไม่มีใครรู้ว่า COVID-19 จะหายไปเมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรเราจะได้ใช้ชีวิตกันแบบปลอดภัยไม่กลัวโรค ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่สถานที่ต่าง ๆ จะเลิกโดนสั่งปิด ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรเราถึงจะได้ทำในสิ่งที่อยากทำได้อย่างเต็มที่ซะที เหล่านี้คงทำให้หลายคนรู้สึกดาวน์ และไม่อยากทำงานกันบ้างแหละ การทำงานที่ไม่อยากทำอาจทำให้เราเกิดความขี้เกียจ ซึ่งนอกจากจะทำให้เราไม่โปรดักทีฟแล้ว งานวิจัยบอกเราว่า ความขี้เกียจในระยะยาวอาจทำให้เรามีสุขภาพแย่ลง ร่ำรวยน้อยลง และมีความสุขน้อยลงด้วย แต่การออกจากงาน หรือ เปลี่ยนงานในช่วงนี้ คงเป็นเรื่องที่หลายคนรู้สึกว่า ยังไม่ปลอดภัยที่จะทำมัน เพราะอาจทำให้ถูกมองว่าไม่เป็นมืออาชีพ ไม่สู้งาน และขัดขวางความก้าวหน้าในการทำงาน บางคนจึงเลือกที่จะเก็บมันไว้ในใจ มากกว่าที่จะพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง และเผชิญหน้ากับปัญหานี้เพียงลำพังต่อไป ฟังดูเป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนซัฟเฟอร์ แต่โชคดีที่มันยังมีวิธีการประคับประคองตัวเองให้ทำงานต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนกัน เราได้นำวิธีเหล่านั้นมาแชร์กับทุกคนในบทความนี้ ลองทำตามดูแล้วดูว่ามันได้ผลมากแค่ไหน !! ตอบให้ได้ว่าทำไมเราถึงยังต้องทำงานนี้อยู่ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ควรจะมีการตั้งเป้าหมาย เพราะถ้าไม่ เราอาจรู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่มันไร้ค่าไร้ความหมาย และหมดแพสชั่นในการทำมันได้อย่างรวดเร็ว ในการทำงานที่เรารู้สึกว่าไม่อยากทำก็เช่นกัน ถ้าเราจมอยู่กับความรู้สึกที่ว่าทำไมเราถึงยังตัองทำงานนี้ต่อไป ทุกอย่างมันก็คงมีแต่จะแย่ลง เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราควรทำเป็นอย่างแรก คือ การหาให้ได้ว่าทำไมเราถึงยังต้องทำงานที่น่าเบื่อหน่ายอยู่ ? เพราะเงิน? เพราะความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน? เพราะฐานะสังคม? เมื่อเป้าหมายในการทำงานเราชัดแล้ว กำลังใจมันก็มักจะมาเอง แต่ข้อควรระวังเมื่อเราจะตั้งเป้าหมายในการทำงาน คือ
ในวงการแต่งรถ ทั่วทั้งโลกต้องรู้จักและยอมรับฝีมือของ 3 จตุรเทพจากประเทศญี่ปุ่น หนึ่งคือ Nakai-san แห่งสำนัก RWB ผู้เชี่ยวชาญด้าน air-cooled Porsche สองคือ Kato-san แห่งสำนัก LB-Performance หรือ Liberty Walk เจ้าแห่งสไตล์ Wide body และสามคือ Kei Miura-san ผู้ออกแบบ Rocket Bunny หรือ Pandem หนึ่งในสินค้าภายใต้บริษัท T.R.A. Kyoto เจ้าแห่งการผสมผสานความ Classic ให้เข้ากับทุกดีไซน์ทันสมัยจากฝั่งญี่ปุ่นและตะวันตก ในสามจตุรเทพนี้ ดูเหมือน Kei Miura จะเป็นคนที่ติสท์ พูดน้อยที่สุด ออกสื่อน้อยที่สุด เรื่องราวส่วนตัวของเค้าเป็นสิ่งที่หาได้ยากแม้กระทั่งในโลกออนไลน์ปี 2021 ติสท์กระทั่งที่มาของโลโก้ Rocket Bunny ยังไม่ค่อยจะตรงกันซะทีเดียว บ้างก็ว่ามาจากแก้วกาแฟทรงกระต่างที่เขาใช้ดื่มบ่อย ๆ บ้างก็ว่ามาจากการทำมือสัญลักษณ์ Ok เริ่มต้นจากการแต่งรถ Honda
เราเชื่อว่ามีหลายคนที่ย้อนหันกลับไปมองอดีตของตัวเอง แล้วรู้สึกเสียใจที่ละทิ้งความฝัน และเส้นทางชีวิตที่โคตรจะเป็นตัวเองไป เพื่อที่จะหันกลับมาเดินอยู่ในเส้นทางที่ปลอดภัย และใคร ๆ เขาก็ทำกันในแบบที่สังคม ผู้ใหญ่ ทุก ๆ คนรอบข้างได้สร้างมาตรฐาน ตีกรอบ รวมถึงกฎเกณฑ์ขึ้นมา และนำมันมาใช้ตัดสินคุณว่า สุดท้ายแล้ว ชีวิตคุณดีหรือไม่ดีในสายตาพวกเขา แต่ก็มีคนบางคนที่เลือกจะไม่หวั่นไหวต่อคำพูดใด ๆ เมื่อพวกเขาได้รู้ว่า เส้นทางที่พวกเขาเลือกที่จะเดินไป มันมีเส้นชัยรออยู่ถึงแม้ว่าคนอื่นจะมองไม่เห็นเหมือนพวกเขาก็ตาม ถ้าหากให้พูดตรง ๆ เราคงจะบอกว่า มันคงจะรู้สึกโคตรแย่ ถ้าเกิดมาทั้งที รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้ดี แต่ไม่กล้าที่จะทำ เพียงเพราะสิ่ง ๆ นั้น มันแตกต่าง นอกกรอบ และดูออกจะอิสระเกินไปสำหรับใครบางคน และนั่นเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นชีวิตของผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งในวันนี้เราได้นำเอาเรื่องราวที่น่าสนใจในชีวิตของเขาที่สามารถช่วยสร้างแรงบันดาลใจ ให้กับคนที่กำลังหมดไฟได้เป็นอย่างดีมาให้ได้อ่านกัน และผู้ชายคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น Wataru Kato ชายชาวญี่ปุ่น และเจ้าสำนักแต่งรถชื่อดังระดับโลก “Liberty Walk” เห็น ๆ เกริ่นมาแบบนี้ อย่าเพิ่งมองว่าชีวิตจะไปมีอะไร วัน ๆ ก็แค่แต่งรถ ถ้าหากคุณคิดแบบนี้ล่ะก็ ลองอ่านดูให้จบซักรอบแล้วผู้ชายคนนี้จะสอนให้คุณรู้ว่า ความสำเร็จที่อยู่นอกกรอบ มันเป็นอย่างไร
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการรุกรานของ COVID-19 ทำให้เราทั้งหลายได้พบเจอกับข้อดีมากมายจากการทำงานอยู่บ้าน หรือ Work From Home แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อเสียอีกไม่น้อยซ่อนอยู่ ยกตัวอย่างเช่นการไม่ต้องรีบเดินทางไปทำงานตั้งแต่เช้าก็ถือเป็นเรื่องดีที่ทำให้มีเวลาให้นอนต่ออีกนิด แต่เวลานอนมากขึ้นนั้นทำให้หลายคนกลับต้องประสบปัญหาการนอนหลับเนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังจาก Work From Home ด้วยเหตุที่ว่าเตียงนอนดูดวิญญาณมันดันอยู่ในระยะทำการ ที่พร้อมให้พุ่งตัวไปนอนเมื่อไหร่ก็ได้ โดยที่มีคำว่า ‘Power Nap’ หรืองีบเอาแรงสักหน่อยเป็นข้ออ้าง จนทำให้งีบไปงีบมาสุดท้ายกลายเป็นว่ากลางวันก็ไม่สดชื่น แถมกลางคืนก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้ซะอย่างนั้น จากปัญหานี้ทำให้หลายคนกลับมาตั้งคำถามกันอีกครั้งว่าจริง ๆ แล้วการงีบหลับช่วงกลางวัน มันคือการ Power Nap ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หรือเป็นตัวทำลายนาฬิกาชีวิตจนส่งผลให้เกิดปัญหานอนไม่หลับกันแน่ ซึ่งข้อสงสัยนี้ถูกไขให้กระจ่างโดย Dr. Roxanne J Prichard, Professor of Neuroscience and Psychology จาก University of St. Thomas ที่ได้เปิดเผยถึงประโยชน์ของการงีบหลับว่า “ความเหนื่อยล้าอันหนักหน่วงจนร่างกายส่งสัญญาณอาการง่วงออกมานั้น ไม่มีวิธีแก้วิธีไหนที่จะดีไปกว่าการนอนหลับให้รู้แล้วรู้รอดไป” “และสำหรับใครที่ไม่มีเวลานอนหลับมากมาย เพราะยังมีงานอีกหลายชิ้นให้ต้องเคลียร์ การงีบหลับถือเป็นทางออกที่น่าสนใจ แม้มันจะไม่ได้ประสิทธิผลเท่ากับการนอนหลับตามปกติในเวลากลางคืน แต่การหาเวลา Nap Sleep คือวิธีฟื้นฟูสมองและร่างกายให้กลับมา
เข้าสู่ช่วงสิ้นสุดปีหนุ่ม ๆ หลายคนคงมีโอกาสได้หยุดพัก หรือเดินทางกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวเพื่อพักผ่อนและเตรียมเริ่มต้นสำหรับปีต่อไปอีกครั้ง อย่างไรก็ตามในช่วงวันหยุดยาวที่กำลังจะมาถึง เชื่อว่าหลายคนคงมีความคิดอยากแบ่งเวลาให้กับการออกกำลัง เพื่อรีดไขมันส่วนเกิน เสริมกล้ามเนื้อและเรียกความฟิตของร่างกายให้กลับคืนมา และ Quick Workout วันนี้จะขอแนะนำโปรแกรมบอดี้เวท ที่ครอบคลุมกล้ามเนื้อหลายส่วน ซึ่งในโปรแกรมจะประกอบไปด้วยท่าอะไรบ้าง มาเรียนรู้และเตรียมฝึกซ้อมไปพร้อม ๆ กันได้เลยครับ Prone T เริ่มต้นการฝึกกับท่าบริหารอย่าง Prone T ท่าบริหารกล้ามเนื้อส่วน Traps ให้แข็งแรงขึ้น แถมยังเหมาะสมกับการเป็นท่าเริ่มต้น เพราะช่วยในอุ่นเครื่องกล้ามเนื้อและใช้พลังงานในการฝึกค่อนข้างน้อย เริ่มต้นฝึก Prone T ด้วยการนอนบนเก้าอี้ยกน้ำหนักหรือพื้นห้อง ให้ลำตัวและขามีลักษณะเหยียดตรง ต่อด้วยการกางแขนทั้ง 2 ข้าง ออกให้ขนานกับหัวไหล่เป็นรูปตัว T ก่อนเริ่มฝึกด้วยการเกร็งกล้ามเนื้อส่วนบนของลำตัวและยกแขนขึ้นและลงสลับกัน ใน 1 เซตฝึกด้วยการจับเวลา 20 – 40 วินาที โดยฝึกทั้งหมด 3 เซต Tricep Dips ต่อด้วยท่าที่ต้องใช้แรงเพิ่มมากขึ้นอย่าง Tricep Dips ท่าบอดี้เวทที่ฝึกได้ทั้งที่บ้านและยิม ในเวลาเดียวกันยังให้ประโยชน์กับกล้ามเนื้อหลากหลายส่วน