ช่วงนี้มีหลายคนที่กำลังพูดถึง หรือไม่ก็กำลังดูภาพยนตร์ซีรีส์ที่ได้รับความนิยมอย่างหนักนั่นก็คือ ‘The Queen’s Gambit’ กันอย่างแน่นอน ซึ่งอย่างที่รู้ๆ กันว่า ซีรีส์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของหญิงสาวที่มีความสามารถเก่งฉกาจในกีฬาหมากรุก และหญิงสาวสุดแจ่มคนนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก Anya Taylor-Joy ที่ตอนนี้หนุ่มๆ หลายคนใจละลายในความแจ่มของเธอเข้าอย่างจัง จนต้อง Repeat ดูวนซ้ำไปซ้ำมาหลายๆ ครั้ง พลางคิดในใจถ้าได้เปิดแมตช์โขกหมากรุกกับสาวผู้นี้สักตาคงจะดีไม่น้อย แต่ใช่ว่าเรื่องนี้จะน่าสนใจที่ความสวยของดารานักแสดงเพียงอย่างเดียว เพราะทางด้านความเข้มข้น สนุกสนานของเรื่องนี้ก็ถือว่าจัดเต็มเหมือนกัน โดยเฉพาะเนื้อหาที่สมจริง และแฝงไว้ซึ่งเทคนิคอันแพรวพราว รวมไปถึงรายละเอียดต่างๆ ที่โคตรมีเสน่ห์ดึงดูดของกีฬาหมากรุก จนทำเอาหลายๆ คนเกิดสนใจอยากจะลองเล่นกันขึ้นมาบ้างเหมือนกัน และถ้าหากว่าใครที่กำลังสนใจกีฬาหมากรุกอยู่พอดี รวมไปถึงคนที่เพิ่งดู ‘The Queen’s Gambit’ มาแล้วเกิดแรงบันดาลใจอยากเล่นหมากรุกขึ้นมาเผื่อจะเจอกับนักหมากรุกสาวสวยๆ เหมือนในซีรีส์ล่ะก็ ต้องบอกเลยว่าอย่าเพิ่งหวังลมๆ แล้งๆ ในมากนัก! เพราะในบทความนี้เราอยากให้ทุกคนลองมาทำความรู้จักกับกีฬาหมากรุกแบบจริงๆ จังๆ กันดีกว่า เพราะเขาว่ากันว่า หมากรุกนั้นเป็นกีฬาที่มีประโยชน์มากกว่าแค่ฆ่าเวลา หรือแค่ให้ความสนุก เพราะวิทยาศาสตร์ได้ยืนยันมาแล้วว่า การเล่นหมากรุกนั้นช่วยพัฒนาสมอง เพิ่มความฉลาด และความสามารถในด้านอื่นๆ ได้อีกหลายด้านอย่างไม่น่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว การเล่นหมากรุกช่วยให้คุณฉลาดขึ้นได้อย่างไร? ช่วยเพิ่ม IQ เดิมทีหมากรุกนั้นมีปัญหาทางภาพลักษณ์ว่าเป็นเกมส์กีฬาของคนฉลาด หรือคนที่มี IQ สูง จึงทำให้หลายครั้งเกิดข้อถกเถียงกันว่า
หากย้อนกลับไปค้นความทรงจำของผู้คนเมื่อ 20 กว่าปีก่อน หลายคนน่าจะเจอเศษเสี้ยวของความทรงจำเดียวกันกับเรา ความทรงจำที่มีถึงเรื่องราวของดาวดวงหนึ่งที่เจิดจรัสสุด ๆ บนวงการบันเทิงไทย เรียกว่าระดับปรากฏการณ์ก็คงดูไม่เกินจริงนัก เขาเป็นเด็กหนุ่มตาหล่อเหลา คารมดี ขี้เล่น เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่หาตัวจับได้ยาก ซึ่งเราเชื่อเหลือเกินว่าคนที่เติบโตขึ้นมาในช่วงยุค 90 คงไม่มีใครไม่รู้จักผู้ชายที่ชื่อว่า ‘เจ มณฑล จิรา’ ก่อนที่เขาจะหายหน้าไปจากแสงไฟสปอตไลต์อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จะเหลือไว้ก็เพียงข่าวคราวผลงานด้านการทำเพลงในฐานะคนเบื้องหลังให้กับภาพยนตร์ระดับฮอลลีวู้ด รวมถึงศิลปินดังมากหน้าหลายตาทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ พร้อมงานเพลง Side Project เล็ก ๆ ที่ทำร่วมกับเพื่อนฝูงให้กลุ่มคนที่ยังติดตามผลงานของเขาอยู่ได้หายคิดถึงกันบ้าง และในวันนี้เมื่อเราได้ยินข่าวเกี่ยวกับการตัดสินใจกลับมาเป็นคนเบื้องหน้าอีกครั้ง เราจึงไม่พลาดที่จะชวน ‘เจ มณฑล จิรา’ มาพูดคุยถึงชีวิตของเขาในหลายแง่มุมซึ่งหลายคนอาจไม่มีโอกาสได้ถาม นับตั้งแต่ที่เขาเลือกหายไปจากงานเบื้องหน้าในวงการบันเทิง จนกระทั่งการกลับมาพร้อม ‘ด้วยความเคารพ’ ผลงานอัลบั้มเดี่ยวภาคภาษาไทยในรอบ 24 ปีของเขา อะไรที่ทำให้เขาปลีกตัวจากงานบันเทิงที่กำลังรุ่ง อะไรที่ทำให้เขาหันไปทุ่มเทกับงานเพลง และอะไรที่ทำให้ชายวัย 41 ย่าง 42 ปี (ที่ยังคงหล่อเหลาดูดีเกินอายุ) นั้นกลับมามุ่งมั่นสร้างผลงานเดี่ยวของตัวเองอีกครั้ง ขอเชิญชาว UNLOCKMEN ทุกท่านไปพบคำตอบพร้อม ๆ กันในคอลัมน์
ปฏิเสธไม่ได้ว่าพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ พื้นที่ข่าวทางหน้าจอโทรทัศน์ ไปยันบทสนทนาของผู้คนในชีวิตประจำวัน ณ ขณะนี้ มีเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองเป็นหนึ่งในหัวเรื่องหลักด้วยเสมอ ๆ ไม่ว่าคุณจะคือคนที่สนใจการเมืองมาก สนใจน้อย หรือไม่สนใจเลย แต่เมื่อข่าวสารบ้านเมืองไหลเร็วและพุ่งมาจากทุกทิศทุกทางก็อาจนำความตึงเครียดมาสู่จิตใจได้โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะถ้าคุณคือคอการเมืองตัวยง สนใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรายวันหรือบางครั้งไหลเร็วถึงขั้นรายชั่วโมง รายนาที การตื่นตัวและทันเหตุการณ์อยู่เสมอนั้นไม่ใช่เรื่องผิด แต่เมื่อไรก็ตามที่เริ่มรู้สึกนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ปวดหัว ไม่เป็นอันทำการทำงาน อยากติดตามความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ฯลฯ นั่นก็อาจเป็นสัญญาณเตือนให้หันมาดูแลสุขภาพจิตใจของเราแล้ว สุขภาพจิตใจของเราก็มีความหมายไม่แพ้เรื่องการเมือง UNLOCKMEN จึงอยากชวนมารับมือกับความเครียด ในห้วงเวลาที่ข่าวสารบ้านเมืองกำลังร้อนระอุเช่นนี้ แบ่งเวลาให้ความสุขของตัวเองไม่ใช่เรื่องผิด สิ่งหนึ่งที่ต้องเข้าใจคือเราไม่ต้องรอให้ใครมาอนุญาตให้เรามีความสุข เราสามารถเป็นคนที่ติดตามและตื่นตัวทางการเมืองไปพร้อม ๆ กับการมีความสุขและดูแลสุขภาพจิตตัวเองได้ โดยเฉพาะถ้าคุณคือคนที่ติดตามการเมืองอยู่เสมอ วิธีการรับมือกับความเครียดที่ดีมากอย่างหนึ่งคือการกำหนดเวลาพักให้ตัวเอง อาจจะเป็นการกำหนดว่าทุกวันอาทิตย์เราจะพัก ไม่เปิดเฟซบุ๊ก ไม่ไถทวิตเตอร์ ไม่รับข้อมูลข่าวสารใด ๆ หรืออาจจะกำหนดเวลาพักรายชั่วโมงในแต่ละวัน เช่น ทุก ๆ วันจะมีเวลา 3 ชั่วโมงก่อนเข้านอนที่เราจะปิดการรับรู้ข่าวสารทุกอย่าง โดยในเวลาพักเหล่านี้หาสิ่งที่เยียวยาหัวใจตัวเองทำ ถามตัวเองว่าอะไรที่เราทำแล้วมีความสุข (แม้จะเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม) เล่นกับแมวที่บ้าน ออกไปวิ่งที่สวนสาธารณะ ดูซีรีส์สืบสวนให้ตาแฉะ
ในหนึ่งชีวิตนี้เราทุกคนล้วนเคยป่วย เราอาจเคยเป็นหวัดเพราะอากาศเปลี่ยน เราอาจเคยเป็นไข้เลือดออกเพราะโดนยุงลายที่มีเชื้อกัด เราอาจเคยเป็นไมเกรนเพราะเครียดกับงานที่ทำมากเกินไป การป่วยจึงเกิดขึ้นได้กับทุกคนเป็นปกติ และอาการป่วยส่วนใหญ่รักษาให้หาย หรือหาวิธีร่วมอยู่กับอาการได้ เมื่อร่างกายป่วยได้ ก็หมายความว่าความรู้สึก จิตใจที่ผ่านการสั่งการจากสมองนั้นป่วยได้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าเราจะได้เจอคนที่ป่วยใจในชีวิต บางคนเป็นโรคซึมเศร้า บางคนอาจเป็นไบโพลาร์ บางคนอาจเป็นโรคเครียด ฯลฯ แต่เมื่อคนใกล้ตัว โดยเฉพาะคนที่เรารักป่วยใจ เราคงอยากรู้ว่าเราควรเข้าใจโรคซึมเศร้าแบบไหน มีอะไรที่เราต้องยอมรับบ้าง วันนี้ UNLOCKMEN ชวนทำความเข้าใจไปพร้อมกัน แง่บวกมากไปไม่ช่วยอะไร เราล้วนเลือกทำอะไร พูดอะไรกับคนที่เรารัก เพราะความหวังดี โดยเฉพาะเมื่อเขาป่วย เรายิ่งรู้สึกว่าอยากไล่เมฆหมอกแห่งความอึมครึมหม่น ๆ ที่เขารู้สึกออกไปให้พ้น เราเลยเลือกโยน “ก้อนการมองแง่บวก” ใส่เขารัว ๆ ในวันที่เขาบอกความรู้สึกว่าเศร้า เราก็ดันไปบอกเขาว่าอย่าคิดมากเลย มีคนลำบากตั้งเยอะ, เศร้าทำไม ชีวิตมีสิ่งสวยงามอีกมาก แม้เราจะพยายามชวนให้เขามองโลกในแง่บวกเพราะเจตนาดี แต่อย่าลืมว่าการทำมากไป หรือบ่อยไป มันไม่ต่างจากการที่เรามองข้ามสิ่งที่เขารู้สึก หรือบอกว่าเขาผิดเองที่ไม่มองโลกในแง่บวก ดังนั้นคุณต้องอย่าลืมว่าเขาไม่ได้อยู่ ๆ อยากเศร้าหรือห่อเหี่ยวแบบนี้ แต่มันคืออาการของโรค เหมือนเวลาเป็นหวัดแล้วน้ำมูกไหล เราห้ามน้ำมูกไม่ได้ เช่นเดียวกับที่จะไปห้ามเขาเศร้าไม่ได้ สิ่งที่ดีที่สุดคือการพยายามรับฟังเวลาเขาบอกว่าเขารู้สึกอะไร โดยไม่ตัดสินสิ่งที่เขารู้สึก ยืนเคียงข้างทุกเป้าหมายของเขา สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อป่วยเป็นโรคซึมเศร้าคือการขาดแรงจูงใจ
ในช่วงเวลาที่การทำงานหาเงินเป็นเรื่องยากลำบาก ปัญหาการใช้ชีวิตในแต่ละวันที่สวนทางกับสโลแกน “กรุงเทพ ชีวิตดี ๆ” ราวกับคนคิดไม่เคยออกมาใช้ชีวิตบนท้องถนนและทางเท้า หรือแม้แต่ปัญหาการไม่เข้าใจกันด้านความเชื่อของคนในบ้าน ทุกความหนักอึ้งที่เราได้แต่เก็บมันไว้ในใจ ภายนอกคือหน้าตายิ้มแย้มให้กับลูกค้า เพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ซึ่งงานวิจัยของ UNIVERSITY PARK พบว่า ยิ่งฝืนยิ้มเก็บกดปัญหาเท่าไหร่ เรายิ่งมีปัญหาดื่มเหล้าหนักมากขึ้นไปด้วย ผลงานวิจัยที่ University Park ชิ้นนี้ถูกเรียกว่า “National Survey of Work Stress and Health” และมีการตีพิมพ์ใน “Journal of Occupational Health Psychology “ รวบรวมข้อมูลจากคนทำงานด้านบริการด้วยวิธี Phone Interview คนทำงานใน USA จำนวน 1,592 คน เพื่อสอบถามว่าในการทำงานต้องฝืนยิ้มบ่อยแค่ไหน (ในงานวิจัยเรียกว่า “surface acting,”) และหลังเลิกงานไปดื่มบ่อยและเยอะแค่ไหน โดยเน้นอาชีพที่ประสิทธิภาพและรายได้ขึ้นอยู่กับการยิ้มแย้ม เช่น คุณครูที่ต้องบริการนักเรียน พนักงานขายอาหารที่ต้องบริการลูกค้า หรือพยาบาลที่ต้องดูแลผู้ป่วย
ตอนนี้นับได้ว่าเพจ ‘กอล์ฟมาเยือน’ เป็นอีกหนึ่งเพจ Influencer เรื่องกล้อง ที่คนรักการถ่ายรูปต้องเข้าไปเยือนอยู่เป็นประจำ แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ กอล์ฟได้ผ่านการลองผิดลองถูกมาแล้วนับไม่ถ้วน เขาใช้เวลาปั้นเพจอยู่ 2 ปี กว่าจะได้คนติดตามหลักแสน และกระโดดไปครึ่งล้านในเวลาอีก 1 ปี จนปัจจุบัน มียอด Follower ใน Facebook เป็นหลักล้านคนเข้าไปแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่เรา และคนส่วนใหญ่เห็น คือตัวตน ชื่อเสียง ความสำเร็จที่ผู้ชายคนนี้มีในปัจจุบัน แต่อะไรคือสิ่งที่ทำให้กอล์ฟ กลายมาเป็น ‘กอล์ฟมาเยือน’ ในวันนี้? คือประเด็นสำคัญที่ทำให้เราชวน ‘กอล์ฟ-กันตพัฒน์ พฤฒิธรรมกูล’ ชายหนุ่มวัย 28 ปี มาพูดคุยกันในคอลัมน์ The Real สัปดาห์นี้ จุดเริ่มต้นที่นำพากอล์ฟมา ‘เยือน’ วงการถ่ายรูป กอล์ฟเล่าย้อนให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้น กับการซื้อกล้องตัวแรกในชีวิตเพื่อไปถ่ายรูปเล่นในช่วงไปเที่ยววันหยุดกับพรรคพวก ซึ่งก็ยังเป็นมือสมัครเล่นมาก ๆ ถ่ายกันขำ ๆ กับเพื่อนทั่วไปตามประสา หลังกลับมาจากทริปนั้น ก็อัปรูปลง Facebook ปรากฏว่าคนกดไลก์เยอะ คนชอบรูปของเขา
Dr. Yoshiro Nakamatsu คือชื่อเต็มของ “Dr. NakaMats” ชายผู้เคยถูกเรียกขานว่าเป็นหนึ่งในนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ผู้มีเป้าหมายในชีวิตคืออยู่ให้ถึง 144 ปี และต้องมีสิ่งประดิษฐ์เจ๋ง ๆ ให้ได้อย่างน้อย 6,000 ชิ้น จุดเริ่มต้นเส้นทางสายนักประดิษฐ์ ผลงานประดิษฐ์ชิ้นแรกเกิดขึ้นตอนอายุ 14 ปี เมื่อต้องเห็นคุณแม่ของเค้ายก soy sauce หนัก ๆ เทจากถังใหญ่ใส่ขวดเล็กท่ามกลางอากาศหนาว ด้วยความเป็นห่วงอยากแบ่งเบาภาระ จึงเกิดเป็น “Shoyu Churu Churu” ตัวดูดสูญญากาศที่เราใช้กันอย่างแพร่หลายถึงปัจจุบัน เป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างความสำเร็จ นำไปสู่การคว้ารางวัล International Grand Prix award Invention Content มากถึง 41 ครั้ง และมีสิทธิบัตรมากกว่า 3 เท่าของ Thomas Edision ตลอดชีวิตแม้จะมีสิ่งประดิษฐ์แปลก ๆ เหมือนหลุดออกมาจากมังงะ จนคุณต้องอ้าปากค้างแล้วถามว่ามันใช้ได้จริงเรอะ อย่างเช่น “Cerebrex” เก้าอี้เพิ่มพลังสมอง “Pyon
หลายคนอาจเบื่อเวลาบริษัทจัดการประชุมงานตอนเช้า โดยอาจเพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เสียเวลา และตัวเองก็รู้สึกไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรกับการประชุมมาก การประชุมที่ไม่มีประสิทธิภาพบ่อยๆ ให้ผลเสียมากกว่าผลดีต่อทุกฝ่าย ทั้งคนที่จัดประชุมและผู้เข้าร่วมการประชุม UNLOCKMEN จึงอยากแนะนำวิธีการจัดการประชุมเช้าที่มีประสิทธิภาพ เพราะเห็นว่า การประชุมเช้ามีประโยชน์ต่อการทำงาน และถ้ามีการจัดประชุมที่ดี จะส่งผลดีต่อทุกคน วิธีการประชุมในตอนเช้าที่ดีที่สุดควรไม่ใช่เวลานาน แต่ควรเป็นในแบบที่ภาษาอังกฤษเรียกกันว่า ‘morning huddle’ คือ เป็นการพบปะกันโดยใช้เวลาไม่เกิน 15 – 20 นาที เพราะตอนเช้าเป็นเวลาที่หลายคนอาจมีงานที่ค้างอยู่ และไม่สามารถให้ความสนใจกับการประชุมยาวๆ ได้เต็มที่ การประชุมสั้นๆ จึงมีประสิทธิภาพมากกว่า แม้จะเป็นการประชุมสั้นๆ แต่ ‘morning huddle’ ก็ให้ประโยชน์กับองค์กรมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ทำให้เกิดการพูดถึงปัญหาที่พบเจอในการทำงาน เพราะ ทุกคนได้รับโอกาสในการพูด ทำให้การทำงานเป็นทีมเวิร์กมากขึ้น เพราะเปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงความคิดเห็น และทำให้ทุกคนมีความเข้าใจตรงกันและรู้ทิศทางในการทำงาน สามารถวางแผนการทำงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรได้ สร้างความรู้สึกการมีส่วนร่วมในการทำงานอย่างแท้จริง และองค์กรยังสามารถใช้ morning huddle สร้างแรงจูงใจในการทำงานให้กับพนักงานในบริษัทได้ด้วย เช่น ให้ทุกคนท่อง motto ขององค์กร พูดถึงวิสัยทัศน์ขององค์กร ฯลฯ ความสำคัญของ morning huddle เห็นได้จากการที่บางประเทศจัดกันเป็นวัฒนธรรม
ผู้อ่านหลายคงเป็นแฟนทีมกีฬาฟุตบอลสักทีม ไม่ว่าจะเป็น chelsea liverpool ฯลฯ และคงเคยเชียร์ทีมที่ตัวเองชอบอย่างสุดใจเวลาชมการแข่งขันต่างๆ แต่รู้ไหมว่า การเชียร์กีฬาที่ลุ้นหนักๆ ก็อาจส่งผลเสียต่อหัวใจของเราได้เช่นกัน และงานวิจัยหลายชิ้นก็พบว่า การได้เห็นทีมที่ตัวเองเชียร์แพ้อาจทำให้เรามีความเสี่ยงต่อหัวใจวายมากขึ้น ในบทความนี้ UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีการป้องกันตัวไม่ให้การเชียร์กีฬาทำร้ายหัวใจเรา เพื่อที่จเราจะได้ชมกีฬาที่เราชื่นชอบไปได้อีกนานๆ ทำไมเราถึงใจเสียเมื่อเห็นทีมฟุตบอลที่ตัวเองเชียร์เล่นแพ้ ? แม้การชมกีฬาจะเน้นความบันเทิงเป็นหลัก แต่ถ้าเราเป็นแฟนตัวยงของทีมฟุตบอลสักทีม และทีมนั้นเล่นแพ้ อารมณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นอาจส่งผลเสียต่อหัวใจของเราได้ ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการรับรองจากงานวิจัยหลายชิ้น เช่นมหาวิทยาลัย Medical University of Bialystok ที่พบว่า ความเครียดและผลกระทบทางจิตใจที่เกิดจากการเห็นทีมฟุตบอลพ่ายแพ้ สามารถกระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจได้ ผ่านการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผลงานการเล่นของทีมฟุตบอล Jagiellonia Bialystok และการแอดมิทภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ซึ่งทีมวิจัยได้สำรวจผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และได้รับการแอดมิทที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย Medical University of Bialystok จำนวน 10,529 คน ในระหว่างปี ค.ศ.2007 – 2018 ซึ่งผู้ป่วยทั้งหมดมีอายุเฉลี่ยราว 66 ปี และ 62% เป็นเพศชาย ในช่วงของการวิจัย ทีมฟุตบอล
วันหนึ่ง Kyle Burgess ชาวสหรัฐฯ ในรัฐยูทาห์ ได้ออกจากบ้าน เผื่อมาวิ่งบนภูเขา วันนั้นน่าจะเป็นวันที่เขาได้ออกกำลังกายชิลๆ ถ้าไม่เจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันซะก่อน! เมื่อเขากำลังวิ่งในหุบเขา Slate Canyon ที่อยู่ใกล้เมือง Provo ของรัฐยูทาห์ โดยที่ไม่ทันตั้งตัว เขาก็โดนสิงโตภูเขาเพศเมีย หรือที่เรียกกันว่า คูการ์ (cougar) ไล่ตามเป็นเวลากว่า 6 นาที ซึ่งเขาได้ถ่ายคลิปตอนที่เผชิญหน้ากับมันไว้ด้วย “Go away! I’m big and scary!” ถ้อยคำที่ Burgress พูดใส่ cougar เพื่อขู่ให้มันเลิกตามเขา ซึ่งในขณะที่เขาโดนมันไล่ตาม เขาก็เดินถอยหลัง เพื่อเผชิญหน้ากับมันตลอดเส้นทางโดยที่ไม่หันหลังให้มันเลย สุดท้าย เมื่อเขาเห็นว่ามันไม่ได้ผล จึงได้รวบรวมความกล้า และปาหินใส่สิงโตตัวเมียตัวนั้น และมันก็วิ่งหนีไปในที่สุด UNLOCKMEN เห็นว่าเหตุการณ์นี้น่าสนใจ เลยอยากพูดถึงวิธีการเอาตัวรอดจาก cougar ที่ถูกต้องซะหน่อย เพื่อให้ทุกคนสามารถเอาชีวิตรอด เวลาไปเที่ยวบนภูเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์ป่ามากมาย cougar ดุร้ายแค่ไหน? Cougar เป็นคำเรียกสิงโต หรือ