ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ UNLOCKMEN ทำต่อเนื่องกันเป็นประจำทุกปีกับการจัดอันดับที่สุดในสาขาต่าง ๆ บางครั้งเราก็รวบรวมอันดับเทรนด์แฟชั่นของโลก รวม 5 ภาพยนตร์ที่ใคร ๆ ต่างโหวตว่าดีที่สุด หรือจัดอันดับเหตุการณ์เด่นที่เกิดขึ้นในปีนั้น ๆ สำหรับปี 2019 เราก็ไม่พลาดที่จะเลือกเรื่องราวของเหล่าสุภาพบุรุษที่ UNLOCKMEN ได้มีโอกาสไปนั่งพูดคุย รู้จักตัวตน ล้วงลึกถึงประเด็นน่าสนใจ เรื่องราวจิกกัดแบบแสบ ๆ หรือความล้มเหลวก่อนก้าวสู่ความสำเร็จ จากบุคคลหลากสาขาหลากอาชีพที่รวมอยู่ใน ZERO TO HERO และเลือกให้เหลือ 5 บุคคลที่เราชื่นชอบและประทับใจในเรื่องราวของพวกเขา รังสรรค์ จันทร์วรวิทย์ ราชา ZIPPO เมืองไทย ไม่ใช่ทุกคนจะจับความชอบของตัวเองให้กลายเป็นธุรกิจแล้วทำให้มันประสบความสำเร็จ แต่ด้วยแพสชันอย่างแรงกล้าต่อความหลงใหลไฟแช็ก Zippo ของ ‘แต๋น-รังสรรค์’ ทำให้เขากลายมาเป็นผู้ก่อตั้งและประธานชมรม Zippo Club Thailand และถูกผู้คนเรียกว่าเป็นราชา Zippo ของเมืองไทย หลายคนในวัยเด็กต่างก็เห็นผู้ใหญ่ใกล้ตัวพกไฟแช็ก Zippo ตั้งแต่รุ่นปู่จนถึงรุ่นพ่อ เพราะไฟแช็กทรงเหลี่ยมที่มีเสียงอันเอกลักษณ์ถือเป็นอีกหนึ่งตัวแทนความเท่ของผู้ชายที่อยู่มาทุกยุคทุกสมัย และคุณแต๋นที่เห็นลุงใช้ Zippo มาตั้งแต่เด็กก็ชื่นชอบจนอยากมีไว้เป็นของสะสมเช่นกัน แต่กลายเป็นว่าความชอบของเขาถูกผู้คนมองว่าไร้สาระ
ต้องยอมรับว่า บิล เกตส์ (Bill Gates) เป็นต้นแบบทางความคิดของผู้ชายหลาย ๆ คน เพราะนอกจากเขาจะเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟต์ (Microsoft) เขายังครองตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกหลายปีซ้อน จนคนทั่วโลกขนานนามว่าเป็น “ชายผู้ประสบความสำเร็จ” ไม่แปลกเลยถ้าผู้ชายอย่างเราจะอยากรู้ว่าวัน ๆ บิล เกตส์ ทำอะไรบ้างถึงได้ประสบความสำเร็จและร่ำรวยขนาดนี้ แท้ที่จริงแล้วใต้ฉากหลังของนักธุรกิจชาวอเมริกันรายนี้ซ่อนกองหนังสือขนาดมหึมา และ บิล เกตส์ ก็เป็นหนอนหนังสือตัวยงที่อ่านหนังสือมากกว่า 50 เล่มต่อปี เพราะเขาเชื่อว่าการอ่านช่วยให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และทดสอบความรู้ไปในตัว แล้วนี่คือหนังสือ 3 เล่มที่ บิล เกตส์ อ่านในวันหยุดช่วงปลายปี 2019 และเราอยากให้คุณลองอ่านดูสักครั้ง! These Truths: A History of the United States These Truths: A History of the United States เขียนโดย Jill
กล้ามเนื้อไหล่ (Shoulder) ถือเป็นมัดกล้ามเนื้อที่มีความสำคัญกับผู้ชายอย่างเรา การมีมัดหัวไหล่ที่สมส่วนช่วยให้หนุ่ม ๆ อย่างเราแต่งตัวได้ดูดีและผอมเพรียวมากขึ้น รวมถึงบทบาทในชีวิตประจำวันอื่น ๆ ของกล้ามเนื้อส่วนนี้ สำหรับหนุ่ม ๆ ที่อยู่ระหว่างวัยรุ่นถึงวัยทำงาน เราใช้งานกล้ามเนื้อหัวไหล่มากกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นการนั่งทำงาน การขับรถ รวมถึงการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน กล้ามเนื้อหัวไหล่คือส่วนที่รักษาความสมดุลของร่างกายและศีรษะ สังเกตได้จากตอนขับรถเป็นเวลานานก ล้ามเนื้อไหล่ของเราจะยกสูงขึ้นเพื่อช่วยในการรองรับน้ำหนักของศีรษะ ช่วยให้กล้ามเนื้อคอและกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องไม่บาดเจ็บได้ คงเห็นแล้วว่าประโยชน์ของการเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อหัวไหล่ คือเรื่องที่ผู้ชายอย่างเราควรให้ความสำคัญ อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนจะมีฟิตเนสอยู่ใกล้บ้าน หรือมีดัมเบลอยู่ใกล้มือ QUICK WORKOUTS จาก UNLOCKMEN วันนี้จึงอยากแนะนำ 6 ท่าบอดี้เวท (Bodyweight) เพิ่มความแกร่งของหัวไหล่ที่เลือกฝึกได้ทุกสถานที่ เพราะไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์ 1 Cat & Cow เริ่มต้นกันกับท่ายืดบวกบริหารอย่าง Cat & Cow ซึ่งส่วนใหญ่เราจะเห็นคนเลือกฝึกเพื่อบริหารกล้ามเนื้อหลัง หรือบรรเทาอาการเจ็บหลัง โดยหลายคนอาจไม่ทราบว่า Cat & Cow คือท่าที่มีผลต่อกล้ามเนื้อหัวไหล่เช่นกัน ในขณะส่งน้ำหนักยึดและหดลำตัว ถือเป็นท่าอุ่นเครื่องก่อนที่จะท่าฝึกต่อไปที่เข้มข้นมากขึ้น How To:
“ความสุข” คือสิ่งที่ใคร ๆ ก็อยากสัมผัส เพียงแค่ได้จินตนาการถึงห้วงเวลาที่จะทำให้เรามีความสุข หัวใจก็พร้อมโลดแล่นด้วยความยินดีแล้ว ปาร์ตี้สิ้นปีที่รอคอยมาแสนนาน ของขวัญปีใหม่ที่ลุ้นมากว่าจะฉีกกล่องมาเจออะไร หรือการฉลองวันเกิดที่รายล้อมไปด้วยคนที่เรารัก วินาทีแห่งความสุขเหล่านี้ แค่นึกถึง ใบหน้าก็ถูกระบายด้วยรอยยิ้มเสียแล้ว แต่ใครจะรู้ว่ามนุษย์บางคนนั้นต่างออกไป พวกเขากลัวที่จะมีความสุข เพียงแค่นึกถึงช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและรู้ว่าตัวเองจะได้อยู่ท่ามกลางกลิ่นอายของความสุขนั่นก็ทำให้พวกเขาสั่นเทาได้ ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่รู้สึกแบบนั้น คุณอาจอยู่ในภาวะ Cherophobia หรือภาวะกลัวความสุขก็เป็นได้ เมื่อความสุขอยู่ตรงหน้า แต่ถอยไม่ได้ เดินต่อไปก็เจ็บ ยิ่งใกล้เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองมากเท่าใด เราตระหนักว่ากำลังจะปีใหม่ กำลังจะสงกรานต์ กำลังจะมีปาร์ตี้ กำลังจะถึงคอนเสิร์ตศิลปินคนโปรด หรือกำลังจะถึงวันเกิด เรารู้ดีอยู่แก่ใจว่าวันเหล่านี้จะอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข วันในปฏิทินกำลังคืบคลานเข้ามาเรื่อย ๆ เราไม่อาจหยุดเวลาได้ เราไม่อาจถอยย้อนกลับไปยังวันธรรมดา ๆ อันแสนสงบ แต่ไม่ว่าเราจะกลัวแค่ไหน ทุรนทุรายเพียงใด เราก็ต้องเดินต่อไปถึงให้วันแห่งความสุขนั้น และนั่นคือสาเหตุที่เราถอยไม่ได้ แต่ยิ่งเดินไปข้างหน้าเราก็ยิ่งเจ็บปวด Cherophobia มีที่มาจาก “chero” ในภาษากรีกที่หมายถึงความชื่นชมยินดี ความสุข ผสมรวมกับ “phobia” ที่แปลว่าความกลัว ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะนี้จะเกลียดกลัวสถานการณ์ที่คนจำนวนมากหรือตัวเองจะมีความสุข อย่างไรก็ตาม Cherophobia นั้นไม่ถือเป็นโรคทางจิตเวช เมื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์การวินิจฉัยความผิดปกติทางจิต หรือ Diagnostic
ชีวิตเราอาจจะยืนยาว แต่เวลาในแต่ละวันของเราช่างแสนสั้น เผลอนิดเดียวก็หมดวันอย่างง่ายดาย ถ้าเราไม่อาจจัดสรรปันส่วนเวลาและใช้มันอย่างทรงประสิทธิภาพ แต่ละวันย่อมผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ วันเดียวที่เปล่าประโยชน์เรียงต่อเชื่อมร้อยกลายเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน ลงท้ายด้วยปีทั้งปีที่สูญเปล่า เราทำได้แค่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ หาความสุขที่อยู่กับเราชั่วคราว แต่ในระยะยาวมองรอบตัวแล้ว…เราไม่เหลืออะไรเลย ใครที่กำลังติดกับดักวันเวลาและปีที่ผ่านมาใช้ชีวิตไปอย่างสูญเปล่า ปีหน้าต้องไม่เหมือนเก่าด้วยวิธีคิดจากนักปรัชญาที่ขบคิดและมีชีวิตอยู่เมื่อสองพันกว่าปีก่อน แต่แก่นความคิดของพวกเขายังสามารถปรับใช้กับชีวิตเราในปัจจุบันได้อย่างทรงพลัง “Beware the barrenness of a busy life.” – Socrates การตื่นเช้ามาพร้อมงานที่ประเดประดังไม่หยุดหย่อน ความยุ่งเหยิงที่สะสางเท่าไหร่ก็ไม่หมด คือกลลวงที่ล่อให้ผู้ชายอย่างเราหลงเข้าใจไปว่าชีวิตที่ยุ่งเหยิงนี่แหละคือชีวิตที่ทำงานหนักหรือชีวิตที่มีประสิทธิภาพ เราคิดว่ามันดีแล้วและปล่อยให้ตัวเองยุ่งจนไม่เหลือเวลาให้ตัวเองอีกต่อไป ปีหน้าต้องไม่เป็นแบบนี้ เพราะชีวิตที่ยุ่งอยู่เสมอหมายถึงการจัดการเวลาอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ที่สำคัญการทำหลายสิ่งหลายอย่างในวันเดียวแปลว่าเราทุ่มพลังให้มันในระดับปานกลางเป็นสิบ ๆ สิ่ง แทนที่เราจะลดเหลือเพียง 3-4 อย่างที่สำคัญจริง ๆ แล้วทุ่มเทความตั้งใจไปกับมันได้มากกว่าเดิม ดังนั้นการทำอะไรเยอะ ๆ ให้ตัวเองดูยุ่ง ๆ ในหนึ่งวันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น จงระวังความยุ่งใหดี! แต่การจัดลำดับความสำคัญและทำอย่างมีประสิทธิภาพนั่นแหละคือหัวใจแห่งการจัดการเวลาและชีวิต “Better a little which is well done, than a
ญี่ปุ่นเป็นประเทศเล็ก ๆ บนเกาะที่หลายคนลงความเห็นว่าน่าอยู่และเจริญที่สุดประเทศหนึ่ง บางคนก็มองว่ามีเสน่ห์น่าหลงใหลเพราะความตั้งใจจริงของคนในชาติ แต่เราเชื่อว่าหลายคนยังคงตั้งคำถามว่า การอยู่ในกรอบสังคมญี่ปุ่นที่เป๊ะไปเสียทุกอย่างมันสร้างความกดดัน และเกี่ยวพันกับอัตราการฆ่าตัวตายที่สูงขึ้น หลังจากมีโอกาสพูดคุยกับ ดร. กฤตินี พงษ์ธนเลิศ เราพบมุมมองที่น่าสนใจว่า “งานไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงของการตาย” และมีคำอธิบายมุมมองที่น่าสนใจอื่น ๆ ที่ทำให้รู้ว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้องค์กรของญี่ปุ่นเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ยอดฆ่าตัวตาย ไม่ได้มาจากคนตั้งใจทำงาน “ครูมองว่ามันต้องแยกกันค่ะ คนที่ตั้งใจทำงานอาจจะเป็นคนละกลุ่มกัน มันไม่ได้แปลว่าคนที่ตั้งใจทำงานจะทำงานหนักจนต้องฆ่าตัวตาย” บางคนอาจเชื่อมโยงสถิติการฆ่าตัวตายวันจันทร์เข้ากับเรื่องการทำงานท่ามกลางสภาพความกดดัน เป๊ะ ๆ ของสังคมญี่ปุ่น แต่นั่นคือภาพมองแบบเหมารวม เพราะหากเราติดตามรายละเอียดจริง ๆ สถิติการตายเหล่านี้มีคณะวิจัยระบุว่าอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นในช่วงที่อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น นั่นแปลว่าเขารู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เครียด เมื่อไร้การทำงานจนต้องจบชีวิตตัวเองต่างหาก การทำงานเป็น A MUST สำหรับคุณ แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน แม้จะมีความเป็นไปได้ที่บางคนรู้สึกทุกข์ทนถึงขนาดหดหู่ที่ต้องตื่นลืมตามาทำงาน แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นในองค์กรญี่ปุ่นทุกองค์กร เพราะตามประสบการณ์ที่ ดร. กฤตินี พบแม้จะทำงานหนักแค่ไหน แต่ผู้คนในญี่ปุ่นกลับรู้สึกสนุกและเห็นคุณค่าของการทำงานจนไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ทำคือการทำงาน เธอยกตัวอย่างของเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่ทำเว็บไซต์การทำอาหารและส่งเสริมให้คนรับประทานอาหารในบ้านมากขึ้น เพราะเชื่อว่าการทำอาหารคือการส่งมอบความรัก แม้ ดร. กฤตินีให้คำแนะนำว่าสังคมไทยเป็นสังคมรับประทานอาหารนอกบ้านและเสนอให้จ้างอินฟลูเอนเซอร์ตามค่านิยมการตลาดไทย แต่เพื่อนยืนยันว่าจะทำงานหนักแทนโดยให้เหตุผลว่า “เราต้องทำให้คนรักจากหัวใจ” “เขามานั่งทำงานหนักมา ปรับโปรแกรม ปรับเว็บไซต์ให้คนไทยใช้งานง่าย
ไม่นานมานี้หนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบเรื่องราวของญี่ปุ่นและโปรดปรานการลิ้มรสชาติแสนเฉพาะตัวของซูชิต่างต้องตกใจไปตาม ๆ กัน เมื่อร้านซูชิโคตรดังอย่าง Sukiyabashi Jiro Honten ที่ซ่อนตัวอยู่ในชั้นใต้ดินย่านกินซ่าใจกลางกรุงโตเกียวถูกถอดดาว 3 ดวง และลบชื่อออกจาก Michelin Guide ทั้งที่เป็นร้านซูชิที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการอาหารญี่ปุ่นทำให้คนทั่วโลกต่างจับตามอง UNLOCKMEN จึงไม่พลาดนำเรื่องราวของเจ้าของร้าน Sukiyabashi Jiro นามว่า Jiro Ono มาบอกเล่าให้ฟังกันว่าเพราะเหตุใดเขาถึงกลายเป็นชายที่โลกเรียกว่า ‘ปรมาจารย์ซูชิที่ไม่มีใครเทียบชั้น’ และทำไมร้านอาหารเล็ก ๆ ของเขาถึงกลายเป็นร้านที่เหล่านักชิมทั่วโลกต้องมาเยือนสักครั้ง JIRO ONO ตำนานของวงการซูชิที่ยังมีลมหายใจ แรกเริ่มเดิมทีเรื่องราวของ Jiro Ono และร้านซูชิ Sukiyabashi Jiro ของเขาไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขนาดนี้ เขาเป็นเพียงแค่ผู้ชายที่เปิดร้านซูชิต้นทุนต่ำประทังชีวิตเท่านั้น เพราะฐานะทางบ้านของ Jiro ไม่ได้มั่งคั่งร่ำรวย เขาต้องแอบทำงานพิเศษในร้านอาหารตั้งแต่ 7 ขวบ (ที่ต้องแอบทำเพราะผิดกฎหมายแรงงาน) ถูกพร่ำสอนเสมอว่าเมื่อโตขึ้นเราจะไม่หันหลังกลับ บ้านที่อยู่อาจจะหายไปเมื่อไรก็ได้ ดังนั้นสิ่งที่จะติดตัวเราไปทุกที่คือความตั้งใจและการไม่ยอมแพ้ เมื่อ Jiro เปิดร้านซูชิช่วงแรกเขาไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นเชฟได้เต็มปาก ลูกค้าที่เข้ามาในร้านก็ถือว่าเป็นคนหลงเข้ามาเสียมากกว่า
“เสี้ยววินาที” คือคำนิยามความเร็วของการติดต่อสื่อสารยุคปัจจุบัน คิดถึงใคร แค่กดโทรหา อยากสื่อสารอะไร แค่พิมพ์ข้อความส่งผ่านอากาศจากมุมโลกหนึ่งก็ถึงอีกมุมโลกหนึ่งอย่างง่ายดาย ไม่เว้นแม้แต่ “เซ็กซ์” ทางไกล สำหรับคนที่ตัวห่างแสนห่าง แต่โหยหากันและกัน อะไรจะดีไปกว่าการแสดงความโหยหาผ่านตัวอักษรและเทคโนโลยีได้อีก? SEXTING นิยามเฉพาะของข้อความซาบซ่าน แม้ผู้ชายหลายคนจะเคยส่งข้อความคุยกับสาว ๆ แบบวาบหวามมาแล้ว จนหลายคนอาจรู้สึกตะขิดตะขวงใจเบา ๆ ว่ามีแค่คู่เราหรือเปล่าที่ทำแบบนี้ UNLOCKMEN อยากบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใดมีคนจำนวนมากในโลกนี้ที่ “มีเซ็กซ์ผ่านตัวอักษร” จนกลายมาเป็นที่มาของ “SEXTING” หรือ SEX รวมร่างกับ TEXTING จนเป็นคำศัพท์ที่นิยามกิจกรรมสุดสยิวทางข้อความนี้อย่างเป็นทางการ งานวิจัยจาก Drexel University ระบุว่าผู้คนกว่าร้อยละ 80 ล้วนแต่เคย SEXTING ทั้งนั้น ซึ่งสำหรับประชากรโต ๆ แล้วอาจดูปกติธรรมดา แต่งานวิจัย The Nature and Extent of Sexting Among a National Sample of Middle and
ในชีวิตมนุษย์ทำงานทุกคน เราล้วนต้องเผชิญหน้ากับคำวิจารณ์หรือฟีดแบ็คอยู่เสมอเพื่อพัฒนาตัวเองและผลงานให้ดียิ่งขึ้น คำวิจารณ์เชิงบวกไม่ต่างอะไรจากของขวัญล้ำค่าที่เรารอคอย ในขณะที่คำวิจารณ์หรือฟีดแบ็คเชิงลบเป็นสิ่งที่เราอยากหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว เพราะฟังทีไรก็เจ็บลึก สร้างแผลทางความรู้สึกไปนานแสนนาน แต่อยากให้รู้ไว้ว่าบนโลกใบนี้ ไม่มีใครที่รับฟีดแบ็คด้านลบได้อย่างร่าเริงเสมอไป เพียงแต่โลกใบนี้มีมีหนทาง “รับฟีดแบ็คด้านลบแบบมืออาชีพ” อยู่ ที่ต่อให้ข้างในเราจะกระทบกระเทือนเพียงไหน แต่เราจะสามารถรักษาความเป็นมืออาชีพและสามารถนำฟีดแบ็คนั้นมาพิจารณาอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดได้ เพราะในชีวิตการทำงานหรือแม้แต่ชีวิตด้านอื่น ๆ ฟีดแบ็คเชิงลบนี่เองที่จะทำให้เราเห็นข้อผิดพลาด หรือส่ิงที่ต้องปรับปรุง รวมถึงได้เห็นตัวเองในเวอร์ชันที่เราอาจไม่เคยมองเห็นมาก่อน UNLOCKMEN จึงเอาทั้งศาสตร์และศิลป์แห่งการ “รับฟีดแบ็คด้านลบแบบมืออาชีพ” มาฝากกัน รับฟังคำวิจารณ์ครั้งต่อไป เราจะรับฟังอย่างสง่างาม มืออาชีพ และนำมาปรับปรุงตัวเองได้ดีขึ้นแน่นอน ศาสตร์แห่งการไม่หัวร้อน: เพราะคำวิจารณ์ด้านลบ ทำลายภาพที่เราเห็นตัวเอง วินาทีแรกที่เราถูกวิจารณ์ ไม่แปลกที่เราจะโกรธ เนื่องจากนี่คือกลไกอัตโนมัติที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคนเมื่อตัวเองได้ฟังฟีดแบ็คที่เราไม่เชื่อว่าตัวเราเป็น โดยขั้นแรกเราจะเริ่มโมโห หัวร้อน จากนั้นเราจะเริ่มสร้างเกราะมาปกป้องตัวเองทุกหนทางเท่าที่จะทำได้ และเราจะจบลงด้วยขั้นสุดท้ายคือการเข้าข้างตัวเอง และโยนคำวิจารณ์นั้นทิ้งไป (ทั้ง ๆ ที่มันอาจมีประโยชน์ต่อเรามาก) Tasha Eurich นักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาระบุไว้ในบทความ The Right Way to Respond to Negative Feedback ว่าทั้งหมดนั้นเป็นกลไกปกติ แต่ถ้าเราอยากเป็นมืออาชีพมากขึ้น และรับฟีดแบ็คลบ
แม้ปีใหม่จะวนมาทุก ๆ 365 วัน แต่เมื่อวันที่ 1 มกราคมใกล้มาถึงทีไร ผู้ชายอย่างเราก็ยังตื้นเต้นและรอคอยสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาทักทายอยู่เสมอ เพราะปีใหม่คล้ายเป็นหมุดหมายว่า “ได้เวลาเปลี่ยนแปลง” อีกครั้งหนึ่ง อะไรจะดีไปกว่าการได้ “ปลุกความคิด” ตัวเองให้ตื่น พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่กำลังหมุนเร็วขึ้นทุกวัน และเพื่อเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รับมือทุกอุปสรรคได้แกร่งกว่าเดิม รวมถึงเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่มีความสุขกว่าเดิมด้วย Principles: Life and Work แม้แต่มหาเศรษฐีที่เก่งระดับโลกอย่าง Bill Gate ยังยกย่องว่าหนังสือเล่มนี้ “เปลี่ยนชีวิต” เขา เพราะ Principles: Life and Work ได้ให้คำแนะนำและแนวทางสุดล้ำค่าที่เขานำไปใช้ในชีวิตได้จริง Principles: Life and Work ว่าด้วยหลักคิดสุดแข็งแกร่งที่ผู้ชายทุกคนสามารถนำไปปรับใช้กับการทำงานและชีวิต โดยยอดขายจากผู้อ่านทั่วโลกก็การันตีได้เป็นอย่างดีว่าหนังสือเล่มนี้เปลี่ยนชีวิตผู้คนมาแล้วจำนวนมาก นอกจากนั้นผู้เขียน Ray Dalio ยังถูกขนานนามว่าเป็น Steve Jobs แห่งโลกการลงทุนอีกด้วย ใครที่รู้สึกว่าชีวิตตัวเองปีนี้ช่างยุ่งเหยิงจัดการไม่ได้ และอยากเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ในปีหน้าอย่างมีหลักให้ยึดและพิสูจน์แล้วว่าทำได้จริง Principles: Life and Work