“ร้านเขาอ่านว่า ‘สยามมิส’ เมื่อกี้มึงอ่านผิด” ขณะยืนเถียงระหว่างชี้ทางใน Google Maps กับเพื่อน AE ที่มาด้วยกันในวันนี้ เราทั้งคู่ก็เดินมาถึงหน้าร้าน Siamese Cocktail & Gallery ในสุขุมวิท 58 แบบไม่รู้ตัว วันนี้เราตามหาบาร์เทนเดอร์ของร้านเพราะมีทีเด็ดที่หลายคนบอกให้มาลอง นั่นคือเครื่องดื่มแก้วพิเศษที่สร้างสรรค์จาก Jameson Black Barrel และวัตถุดิบจากหลายภูมิภาคของไทย แถมยังเป็นการเสิร์ฟแบบ Pairing อาหารที่ช่วงส่งเสริมทั้งกลิ่นและรสชาติที่กลมกล่อมและแตกต่าง เล่าขานกันขนาดนี้ มีหรือที่เราจะพลาดได้ คอลัมน์ ManCave ในครั้งนี้ เราขอเสนอเรื่องราวของ Hand-selected Whiskeys ที่กลมกล่อมเพราะความพิถีพิถันใส่ใจซึ่งเป็น Herritage ของแบรนด์มาโดยตลอด ผ่านประสบการณ์จากบาร์ชื่อ Siamese Cocktail & Gallery ที่นำความเป็นค็อกเทลไทยมาเจอกับความเป็น Irish Whiskey ได้อย่างลงตัว แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น สิ่งที่ทุกคนต้องรู้ก่อนว่า คอนเซปต์ของบาร์แห่งนี้เขานิยามตัวเองเอาไว้ 2 คำ ซึ่งเป็นสิ่งที่บอกเล่าความเป็นไทยของร้านเอาไว้ทั้งหมดแล้ว นั่นคือ ‘Thai Drink
ปี ค.ศ 1920 ที่เป็นจุดกำเนิดเริ่มต้นของบาร์ลับ หรือที่เราคุ้นเคยอย่าง “Speakeasy Bar” ซึ่งในยุคของ ค.ศ 1920 นั้นเป็นยุคที่อเมริกาห้ามขายเหล้า หรือที่เรียกว่า Prohibition ของอเมริกา ซึ่งเป็นช่วงที่ห้ามผลิต และห้ามขายอย่างเด็ดขาด จึงเกิดเป็นยุคที่มีการลักลอบการขายเครื่องดื่มอย่างลับ ๆ แบบแอบเปิด จึงเป็นที่มาของคำว่า Speakeasy หรือแปลตรง ๆ ง่าย ๆ ว่า “ค่อย ๆ พูด” ซึ่งร้านพวกนี้จะต้องคุมเสียงไม่ให้ลูกค้าเสียงดังมากเกินไป ไม่งั้นเดี่ยวตำรวจจะมาจับเอา เล่าถึง Speakeasy ในปีค.ศ. 1920 ไปแล้ว เลยอยากชวนมารู้จัก Speakeasy Bar น้องใหม่ที่มีชื่อว่า “2463 Speakeasy” บาร์ลับที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของโรงแรม Civic เอกมัย โดยชื่อของร้านคือปี พ.ศ. 2463 ซึ่งเท่ากับปี ค.ศ. 1920 ในการเริ่มยุคของ Speakeasy Bar นั่นเอง
วันหยุดพักผ่อนมักลวงตาให้เราต้องกระเสือกกระสนเดินทางไปต่างจังหวัด ทั้งที่กลางกรุงเองก็มีสถานที่พักผ่อนอัดแน่นวัฒนธรรม มีอาหารดี ๆ มีที่ให้นอน แม้ในมุมที่เป็นย่านการค้าพลุกพล่านอย่างเยาวราชตอนนี้ก็เริ่มผุดทั้งคาเฟ่และโฮมสเตย์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจขึ้นมา 350 STATION CAFE & HOMESTAY คือคลาสสิกคาเฟ่และโฮมสเตย์แห่งใหม่ย่านเยาวราชที่เกิดขึ้นจาก คุณต๊ะและคุณแลม คู่หูนักเดินทางที่รักการเดินทางด้วยรถไฟ ฝันอยากสร้างที่พักเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง จนกระทั่งได้ตึกแถวสไตล์ลูกครึ่ง จีนผสมชิโน-โปรตุกิส (Sino-Portuguese) ซึ่งเคยเป็นอดีตร้านขายอะไหล่มอเตอร์ไซค์ใกล้วงเวียน 22 มารีโนเวต จึงปรับพื้นที่ด้านล่างเป็นคาเฟ่และด้านบนเป็นที่พักสไตล์โฮมสเตย์ ด้านหน้าร้านตกแต่งสไตล์วินเทจด้วยประตูบานเฟี้ยมโบราณ มีต้นไม้สีเขียวสบายตา ใครเดินผ่านไปมาจะรู้สึกคล้ายเป็นโอเอซิสบนถนนมังกร ชวนให้อยากเดินเข้าไปพักดื่มเครื่องดื่ม แต่อาคารพาณิชย์ 2 ชั้นแห่งนี้มีเสน่ห์ยิ่งกว่าเมื่อก้าวเข้าไป เพราะทำให้เรารู้สึกเหมือนเดินเข้าพิพิธภัณฑ์จากการเก็บโครงสร้างดั้งเดิมของผนังที่กร่อนตามกาลเนื่องจากเจ้าของร้านสั่งให้ช่างเคลือบร่องรอยทั้งหมดไว้เพื่อให้คงความสวยงาม 350 station สถานีคลายความเหนื่อยล้า ชื่อร้าน 350 Station & Homestay มาจากคอนเซ็ปต์ “ยุครถไฟรุ่งเรือง” เพราะเจ้าของตั้งใจให้ที่นี่เป็น “สถานีหมายเลข 350” สำหรับพักกายใจของนักเดินทาง จากเหตุผลที่ลงตัวระหว่างความชอบเดินทางด้วยรถไฟ เอกลักษณ์ของการเดินทางด้วยรถไฟที่ค่อนข้างช้าไม่เร่งรีบเหมาะให้สโลว์ไลฟ์ ประกอบกับโลเคชั่นของร้านตั้งอยู่ในย่านสถานีรถไฟหัวลำโพงซึ่งจะปิดทำการและเปิดให้เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น ส่วนตัวเลข 350 นั้นมาจากเลขบ้านเลขที่ของคาเฟ่และโฮมสเตย์แห่งนี้ แต่ความประณีตที่ทำให้
ไม่ได้นัดกับเพื่อน ๆ เสียนาน พอหลาย ๆ ร้านเริ่มเปิดให้กลับไปกิน ดื่ม สมาคมกันได้ตามมาตรการรัฐ UNLOCKMEN ก็ได้ฤกษ์ขอกลับมาชวนไกด์ ไปชิลกันอีกครั้ง เปิดตัวด้วยร้านคาเฟ่คลาสสิกย่านพระนครเพื่อสายสกู๊ตเตอร์กับ Lambreta Cafe Thailand ร้านที่ไม่ได้มีดีแค่เมนูอร่อย แต่น้องแลมฯ สกู๊ตเตอร์คันเจ๋ง ๆ จอดรอเรียกเราตั้งแต่หน้าร้านแล้ว ใครที่ยังรู้ไม่จักสกู๊ตเตอร์แบรนด์อิตาลีอย่าง Lambretta สรุปย่อ ๆ ว่าแลมฯ เป็นสกู๊ตเตอร์ตำนานที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 1947 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นับอายุตอนนี้ก็เข้าขั้นปู่แล้วเพราะ 73 ปีแล้ว ถือเป็น Top 5 แบรนด์ที่เคียงคู่มากับเวสป้า ถึงแม้ในไทยจะยังไม่แมสเท่ากับเวสป้า แต่ก็เป็นแบรนด์ที่ดังในระดับสากลและเริ่มจะดังในไทยบ้างแล้วจากการนำเข้า ใครที่ชอบดีไซน์สองล้อคลาสสิกมักจะติดใจดีไซน์ของแลมฯ จากตัวถัง ทรวดทรงองค์เอวรอบคัน ไฟหน้า ไฟท้ายที่ทรงดีไม่แพ้เวสป้าเลย Lambretta Thailand Shop&Cafe แห่งนี้เป็นร้านมีประวัติเพราะเป็นร้านของคุณตูน – ภิญโญ สิงหเสนีและเพื่อน ๆ ที่ทำ LAMBRETTA
เมษายน เดือนที่ร้อนที่สุดของปีกำลังจะบอกลาเราไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีแววจะได้ย้ายกลับไปออฟฟิศเสียที หันไปมองทางไหนก็เห็นแต่ผนังเดิม ๆ ในห้องแคบ ๆ พาลทำให้รู้สึกหนืด ไม่สดชื่นอย่างที่เคยกับใครเขา ช่วงนี้หลายคนที่อยากปลดพันธการความรู้สึกอึดอัดเหมือนอยู่ในที่แคบ ซึมเซา เลยลุกมารีโนเวตห้องอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน จัดมุมใหม่ ๆ ให้น่านั่ง กันพื้นที่ทำความสะอาดและทิ้งของที่ไม่จำเป็นเพื่อสร้างความปลอดโปร่งไว้กระตุ้นการทำงาน ที่สำคัญถ้ามันสามารถทำให้เรารู้สึกหายใจโล่ง โปร่งขึ้น ก็ยิ่งน่าลอง ทีม UNLOCKMEN จึงอยากเสนอต้นไม้เลี้ยงในร่ม 5 ต้น ช่วยปรับฮวงจุ้ยบ้านให้น่าอยู่ น่านั่ง แถมยังทำให้รู้สึกผ่อนคลายและเปลี่ยนบ้านให้ดูมีสไตล์คล้ายหลุดมาจาก Pinterest ดังต่อไปนี้ ไทรใบสัก (Fiddle-leaf fig) เริ่มต้นแรกให้ถือว่าเป็นต้นไม้ Top of Mind ผู้ชายหลายคน เพราะรูปทรงของมันค่อนข้างสวย มีคุณสมบัติฟอกอากาศ แถมพอวางไว้ในบ้านหลายคนก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนชิค ๆ มีสไตล์ขึ้นมาทันที ไทรใบสักเป็นพืชเขตร้อน และโดดเด่นด้านรูปทรงเมื่อเทียบกับต้นไม้ฟอกอากาศหรือต้นไม้ในร่มชนิดอื่น เพราะขนาดของมันที่จัดว่าค่อนข้างใหญ่ ที่สำคัญใบสีเขียวที่มีขนาดใหญ่กว่ามือหรือหน้าของเราจะมีฟอร์มใบชี้ขึ้น ลำต้นสูงระดับกำลังดี ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ไม้ใหญ่มาไว้ในห้องนอน เปลี่ยนความรู้สึกอุดอู้ นี่แหละคือเสน่ห์ของมัน HOW TO PLANT : ใครที่เคยเห็นหรือเคยเลี้ยงไทรใบสักมาบ้าง
“ยานัตถุ์หมอมี แก้ฝีแก้หิด ยานัตถุ์หมอชิตแก้หิดแก้ฝี” ประโยคทดสอบการอ่านที่เราพูดเล่นกันมาตั้งแต่เด็กประโยคนี้ คงทำให้ผู้ชายหลายคนพอคุ้นชื่อ “หมอมี” กันอยู่บ้าง แม้ยานัตถุ์จะไม่ได้มีสรรพคุณช่วยแก้หิดหรือแก้ฝี แต่หมอมีที่ปรากฏในประโยคชวนลิ้นพันนี้มีตัวตนอยู่จริง หมอมีคือหมอยาชื่อดังผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงยาสมุนไพรจีนในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งตอนนี้บ้านเก่าแก่อายุร่วม 125 ปีของเขา ถูกเนรมิตให้กลายเป็นร้านอาหารไทยชาววังที่ซ่อนบาร์ลึกลับเอาไว้ในชั้นใต้ดิน Philtration สปีกอีซี่บาร์ในห้องปรุงยาเก่าของหมอมี ใต้โครงสร้างบ้านไม้สีขาวของร้านอาหารบ้านหมอมี เป็นที่ตั้งของ ‘Philtration’ บาร์ลับในห้องใต้ดินที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของหมอมีและศาสตร์แห่งการปรุงยาของเขา ก้าวแรกที่ผลักประตูไม้เก่าเข้าไปด้านในก็สัมผัสได้ถึงความมืดมิดและแสงไฟสลัวรางที่รอต้อนรับเราบริเวณทางเดินทรงเกือกม้า แต่เมื่อเดินงมไปตามแสงไฟส้มริบหรี่จนสุดทางกลับไม่พบประตูทางเข้าแต่อย่างใด พบเพียงชั้นไม้ปริศนาที่ดูมีเงื่อนงำ เรายืนนิ่งพินิจพิเคราะห์อยู่สักพักและใช้เวลาไม่นานนักก็หาวิธีเข้าไปข้างในได้สำเร็จ ภายในร้านเป็นห้องโถงไม้เก่าแก่ที่ดูลึกลับไม่ต่างจากทางเข้า โดดเด่นด้วยแสงไฟสีเหลืองอมส้มส่องสว่างท่ามกลางความมืด พื้นห้องมีกระเบื้องลายแปลกที่นำเข้าจากอิตาลีเมื่อหลายร้อยปีก่อนทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า บวกกับผนังบางส่วนที่บอกร่องรอยแห่งกาลเวลาได้อย่างดีเยี่ยม ทว่ามีเพดานทรงโค้งแบบสมัยใหม่เข้ามาช่วยรับน้ำหนักของโครงสร้างเดิม และเสริมกลิ่นอายร่วมสมัยจากเฟอร์นิเจอร์หนังและบาร์ไม้ทอดยาวที่ตั้งตระหง่านกลางร้าน จากตำรายาสมุนไพรสู่สูตรค็อกเทลที่ไม่เหมือนใคร เมนูค็อกเทลของ Philtration ถ่ายทอดตัวตนของหมอยาเลื่องชื่อคนนี้ออกมาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เพราะทางร้านจะเน้นเสิร์ฟ herb cocktails ที่ครีเอตขึ้นจากสมุนไพร เครื่องเทศ และผลไม้เป็นหลัก ปริมาณเหล้าที่ใช้จึงไม่ได้หนักแน่นหัวรุนแรงมากนัก หากสร้างสมดุลให้รสเหล้าและหลากวัตถุดิบอย่างลงตัว เพื่อให้ค็อกเทลแต่ละแก้วคงสรรพคุณทางยาที่เอื้อประโยชน์ต่อสุขภาพของนักดื่ม เราประเดิมแก้วแรกด้วย ‘Sam Kok’ ค็อกเทลวรรณกรรมเพชรน้ำเอกของโลกที่ได้ Saint James Rum เป็นเบส สมทบด้วยบรั่นดีรสเข้ม Giffard Apricot
ก่อนโบกมือลาจากเดือนกุมภาพันธ์แห่งความรักไป UNLOCKMEN อยากชวนมาละเลียดรสแอลกอฮอล์เข้มขมที่หนุ่มนักดื่มทุกคนหลงใหล พลางฟังดนตรีแจ๊สลื่นหู ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกของ ‘Crimson Room’ บาร์เหล้าย้อนยุคที่จะพาคุณย้อนวันวานหวาน ๆ ผ่านแอลกอฮอล์แก้วขมปนอร่อย Crimson Room บาร์แจ๊สสไตล์ Gatsby แห่งปี 1920 เมื่อแหวกผ้าม่านสีแดงสดและเลี้ยวสลับซ้ายขวาไปตามทางแคบ คุณจะพบกับบาร์เหล้าที่ถอดแบบงานดีไซน์ของโรงละครและโถงแสดงดนตรีหรูหรามาได้อย่างแนบเนียน บรรยากาศภายในตระการตาราวกับบาร์แห่งนี้หลุดมาจากยุคใดยุคหนึ่ง จริง ๆ แล้ว Crimson Room ได้แรงบันดาลใจมาจากยุค Gatsby ในช่วงปี 1920 ซึ่งเป็นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู ผู้คนในตอนนั้นจึงหลงใหลแสงสี ความสนุกสนาน และมองหาความสุขเพื่อทุเลาประสบการณ์เลวร้ายจากภัยสงคราม ยุคนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นยุคแห่งเสรีและดนตรีแจ๊สไปโดยปริยาย โซนที่นั่งแบ่งเป็นบาร์เครื่องดื่ม บาร์ยาวด้านบน ไล่ไต่ระดับลงมาถึงโซนโต๊ะหินอ่อนครึ่งวงกลม และโต๊ะชิดติดเวทีแสดง นอกจากพรมปูพื้นและเบาะนั่งกำมะหยี่สีแดง ยังมีราวเหล็กทองเหลืองที่เลื้อยวนไปตามโต๊ะต่าง ๆ เสริมบรรยากาศภายในร้านให้หรูหรามีระดับ ผนังของร้านออกแบบด้วยส่วนเว้าโค้งที่รับกันกับเสียงดนตรี อาจทำให้คุณด่ำดิ่งลงไปในบทเพลง หรือฟังดนตรีแจ๊สได้อย่างไพเราะยิ่งขึ้น แถมตามผนังและระหว่างทางเดินยังประดับประดาแสงไฟสลัวราง เหมาะแก่การสั่งค็อกเทลหนัก ๆ สักแก้วมานั่งละเลียดจนหมดคืน จากค็อกเทลดั้งเดิมสู่ซิกเนเจอร์ค็อกเทลยุคใหม่ไม่เหมือนใคร Crimson Room มีเมนูเครื่องดื่มให้เลือกมากมาย ตั้งแต่แชมเปญ
อาจนับเป็นโชคร้ายของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงอย่างเรา ๆ ที่แหงนหน้ามองฟ้าเมื่อไรก็ไม่เคยเห็นดาวชัดอย่างคนที่อื่นเขาสักที แต่ก็อาจนับเป็นโชคดีที่กรุงเทพมหานครแห่งนี้มีบาร์ดี ๆ ให้เราได้เอาความเศร้าที่ไม่เห็นดาวไปเททิ้ง โชคดีกว่านั้นถ้าบาร์ที่ว่านั้นตั้งอยู่บนดาดฟ้า แม้ไม่เห็นดาวเหมือนที่ไหน แต่การได้ดื่มด่ำเครื่องดื่มดี ๆ สักแก้ว (หรือหลายแก้ว) แล้วสบตากับแสงไฟระยับของเมืองหลวงก็ช่วยปลอบโยนความเหนื่อยล้าให้คลายลงไปได้บ้าง Dumbo Bkk คือหนึ่งในบาร์ที่เราว่า บาร์แจ๊ซย่านสะพานควายที่เราอยากชวนคนเหงาแห่งมหานครมาดื่มด่ำบรรยากาศบนดาดฟ้า พร้อม ๆ กับสบตาแสงไฟวาววามจากตึกสูงใหญ่ (แทนการสบตาดวงดาวบนฟ้า) ไปด้วยกัน ดังนั้นเพื่อแลกกับการเห็นวิวจากมุมสูง บาร์ตั้งอยู่บนชั้น 6 ของตึก INN-Office Building ย่านสะพานควาย การค่อย ๆ ไต่ระดับบันไดขึ้นไปทีละขั้น ๆ ช่วยเพิ่มระดับความถี่ของลมหายใจ กว่าจะถึงชั้น 6 ก็ต้องยอมรับว่าหอบไปหลายตลบ แต่วิวท้องฟ้าฉาบทาสีส้มอมชมพูของพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบตึกกลางเมืองกรุงก็ช่วยให้หายเหนื่อยได้ราวปลิดทิ้ง เพราะได้แรงบันดาลใจมาจากชื่อย่าน Dumbo ที่กรุงนิวยอร์ก Dumbo Bkk จึงเป็น Jazz & Vinyl Bar ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งมหานครนิวยอร์ก โดยเฉพาะการตกแต่งภายในร้าน ทั้งโปสเตอร์บนผนังซึ่งนับเป็นรายละเอียดที่แสดงให้เห็นถึงความพิถีพิถัน ทั้งภาพ Abraham Lincoln อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา
เข้าสู่เดือนแห่งความรักอย่าง ‘กุมภาพันธ์’ ทั้งที UNLOCKMEN ก็ไม่พลาดที่จะพาหนุ่มนักดื่มของเราไปลิ้มชิมรสแอลกอฮอล์เข้มขมที่คุ้นเคย ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นจากเสียงคลาริเน็ต ทรัมเป็ต ทรอมโบน ดับเบิลเบส เปียโน กีตาร์ กลอง และแซกโซโฟนที่สอดประสานรับส่งกันไปมา จนเกิดเป็นดนตรีแจ๊สโรแมนติกเข้ากับเดือนแห่งความรักเดือนนี้เป็นที่สุด แต่ถ้าจะพูดถึงตำนานบาร์แจ๊สในประเทศไทย คงมีเพียงไม่กี่ร้านที่โดดเด่นและมีสไตล์เท่ ๆ แบบที่เราโปรดปราน และเชื่อว่า ‘Smalls’ บาร์แจ๊สเล็ก ๆ ในย่านสาทร ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ร้านที่ผู้ชายหลายคนหลงใหล หรือถ้าลองไปแล้วอาจหลงรัก ‘SMALLS’ บาร์แจ๊สในตำนานที่ยังหายใจและบรรเลงเพลงมาเกือบ 6 ปี Smalls เป็นบาร์แจ๊สที่ตั้งอยู่หัวมุมตึกริมถนนเส้นหนึ่งในย่านสาทร นอกจากจะเป็นหนึ่งในเก้าบาร์ที่ CNN ยกนิ้วว่าสวยที่สุดในกรุงเทพฯ แล้ว ที่นี่ยังโด่งดังจากทั้งคลาสสิกและซิกเนเจอร์ค็อกเทลรสหนักแน่น แถมยังเป็นบาร์เก่าแต่เก๋าที่บรรเลงดนตรีแจ๊สมาเกือบ 6 ปี แม้บรรยากาศนอกร้านจะคึกคักและมากไปด้วยมนุษย์ออฟฟิศชาวสาทร แต่เมื่อผลักประตูบานเล็ก ๆ เข้ามาในร้าน ราวกับได้หลุดออกมาอีกโลกที่ไม่คุ้นตาแต่รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ภายในร้านตกแต่งด้วยผ้าม่านสีแดงเด่น ตัวร้านแบ่งเป็นสามชั้น แม้ชั้นล่างจะมืดกว่าชั้นอื่น ๆ แต่ก็มีแสงสลัวประดับประดาไว้ตามจุดต่าง ๆ เพื่อมอบความสว่างไสวและทำให้เราพอมองเห็นเคาน์เตอร์บาร์ไม้สไตล์วินเทจที่ตั้งตระหง่านกลางร้าน ตลอดสามชั้นมีภาพถ่ายและภาพวาดศิลปะจากฝีมือเจ้าของร้านทั้งสอง แถมนอกร้านยังดีไซน์ให้เป็นแกลเลอรีขนาดย่อม เปิดโอกาสให้ศิลปินนำผลงานของตนมาจัดแสดงและสับเปลี่ยนหมุนเวียนทุก ๆ
ตราบเท่าที่ความขมปนอร่อยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังเป็นรสชาติที่ถูกปากและถูกใจผู้ชาย UNLOCKMEN ก็ไม่เหน็ดเหนื่อยที่จะเสาะหาบาร์เหล้าเจ๋ง ๆ และค็อกเทลแก้วพิเศษจากทั่วกรุงเทพฯ มาแนะนำให้หนุ่มนักดื่มทุกคนได้รู้จัก ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านนี้ต้องยอมรับว่ามีบาร์เหล้าเท่ ๆ เปิดใหม่หลายแห่ง แต่ไม่ใช่ทุกบาร์จะออกแบบร้าน เสิร์ฟเครื่องดื่ม หรือบรรเลงบทเพลงได้ถูกจริตกับไลฟ์สไตล์แมน ๆ ของผู้ชายเรา ก่อนหมดปี 2019 นี้ UNLOCKMEN เลยอยากชวนหนุ่ม ๆ มาฉลองส่งท้ายปีกับ 5 บาร์เหล้าสุดเจ๋งที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ผู้ชาย และเรายกย่องให้เป็น Mancave of the Year เชื่อว่าหนึ่งในร้านเหล่านี้ต้องถูกใจพวกคุณแน่นอน Lennon’s เริ่มต้นที่ Lennon’s บาร์ลับยุค 70s ใจกลางเพลินจิตที่รวบรวมตลับเทปและแผ่นไวนิลไว้กว่า 6,000 แผ่น บรรยากาศของร้านตกแต่งให้ดูย้อนยุคและสะท้อนความเป็น Art Deco ความพิเศษของที่นี่คือทุกวันอังคารถึงวันเสาร์จะมีดีเจมาสปินแผ่นไวนิล เพื่อคงความเป็นแอนะล็อกเอาไว้ โดยปราศจากการเล่นเพลงดิจิทัล พร้อมใช้เครื่องเล่นเพลงเกรดพรีเมียมช่วยดึงผู้ฟังให้ดำดิ่งลงไปในท่วงทำนองดนตรีมากยิ่งขึ้น นอกจากโซนบาร์เหล้าที่ประดับด้วยโคมระย้าและโซนชมวิวตึกระฟ้า อีกจุดเด่นของร้านนี้คือเลานจ์สูบซิการ์ที่อบอวลไปด้วยแสงสลัวและม่านควัน แถมยังมีซิการ์หายากจากประเทศคิวบาอย่าง pre-embargo Cigars อีกด้วย ค็อกเทลของ Lennon’s ได้แรงบันดาลใจมาจากบทเพลงและตัวศิลปิน จึงตั้งชื่อเมนูที่บ่งบอกรสชาติของค็อกเทลและรสชาติดนตรีในเวลาเดียวกัน