COVID-19 เข้ามาเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตเรา โดยเฉพาะวัฒนธรรมการทำงานที่ไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ในเร็ววันนี้ การทำงานในส่วนที่ต้องใช้การสื่อสาร ยิ่งกระตุ้นให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ เราไม่ได้เข้าพรีเซนต์งานต่อหน้าคนทั้งห้องอีกต่อไป เราไม่ได้ประชุมแบบเห็นหน้าค่าตากันโดยสะดวกอีกแล้ว ทำให้หลายคนคิดว่า “ภาษากาย” ไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่ผิดถนัดยิ่งการประชุมผ่านวีดีโอคอล หรือเทคโนโลยี คนที่ปรับตัวได้เร็วกว่า รู้จักการใช้ภาษากายผ่านเทคโนโลยีอย่างมืออาชีพมากกว่า คนนั้นคือคนที่ได้เปรียบในสมรภูมิการงานที่ต้องฟาดฟันกันอย่างดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ สายตายังสำคัญ อย่ามองกล้อง อย่ามองจอ แบบตรง ๆ หัวใจสำคัญที่สุดของภาษากาย หากต้องการสื่อสารให้ทรงพลังก็ยังคงเป็น “อายคอนแทค” อยู่นั่นเอง แต่เมื่อเปลี่ยนสถานที่ทำงาน เปลี่ยนรูปแบบการทำงานและการประชุม ความท้าทายก็เปลี่ยนไป จากปกติที่เราอาจไม่กล้าสบตาคนในห้องประชุม หรือผู้เข้าร่วมประชุมเยอะเกินไปจนเลือกสบตาไม่ถูก การ Video Conference ก็มีอุปสรรคในแบบของตัวเองเช่นกัน สิ่งที่คนทำงานไม่ชินเมื่อต้อง Video Conference คือเราไม่แน่ใจว่าการสบตายังจำเป็นอยู่มากน้อยแค่ไหน? และถ้ามันจำเป็นเราจะสบตาคนที่อยู่คนละฝั่งโลก ฝั่งประเทศ หรืออยู่คนละมุมของเมืองอย่างไร? คำตอบก็คืออายคอนแทคยังคงเป็นภาษากายที่มีความหมายมาก เพราะนี่คือการสื่อทุกอารมณ์ ความรู้สึกที่คำพูดอาจบอกได้ไม่ครบถ้วน หรือช่วยเน้นย้ำคำพูดที่พูดออกไปให้ชัดเจนขึ้น การสร้างอายคอนแทคผ่าน Video Conference นั้นไม่จำเป็นต้องจ้องไปที่กล้องของเรา หรือจ้องที่หน้าจอ มันอาจดูไม่ชินในครั้งแรก ๆ แต่อย่าลืมว่าหลายคนอาจพลาดท่าหรือทำให้เสียบุคลิกเพราะเอาแต่จ้องภาพเคลื่อนไหวของตัวเองที่อยู่บนหน้าจอ จุดที่ควรจ้องนั้นผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าอาจเป็นด้านข้างของกล้องหรือข้างของจอ เนื่องจากที่จุดนั้นเราจะรู้สึกสบาย
วันนี้ “ทุกอย่างต้อง from home” แต่ตอนนี้เราก็ยังรู้สึกว่าตัวเองปรับตัวไม่ค่อยได้ เราเหงา เรารู้สึกไม่พร้อม เราไม่มีใจจะทำงานให้จบเลย นั่นอาจเป็นเพราะยังไม่มีรุ่นพี่มาคอยบอกเราจริง ๆ ว่า “เฮ้ย! วิธีนี้มันเวิร์กกว่าที่คิด และต้องทำแบบนี้” UNLOCKMEN อยากให้ทุกคนมีไฟแต่ต้องมีวิธีแก้ไขติดตัวให้ทำได้มาด้วย จึงขอแนะนำเทคนิคจากชาว TED TALK ที่เขาผ่านน้ำร้อนมาก่อน ว่าสิ่งไหนเราควรทำ ไม่ควรทำ และพวกเขาควบคุมงานผ่านห้องนั่งเล่นยังไง ทำงานอยู่บ้าน ดีกับธุรกิจจะตาย! ถึงแม้จะมีธุรกิจหลายประเภทต้องอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันถึงจะทำได้ แต่การทำงานทางไกลสำหรับหลายธุรกิจก็อาจจะเหมาะสมกว่าอย่างที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เรื่องนี้ขึ้นทอล์กโดย Matt Mullenweg ซีอีโอจากบริษัท Automattic บริษัทที่ทำงานอยู่เบื้องหลังบริษัทชั้นนำทั้ง wordpress.com, Jetpack และ WooCommerce เขาทำงานร่วมกับพนักงานถึง 900 คนผ่านระบบทางไกลจากต่างสถานที่มานาน และทำมันได้เวิร์กสุด ๆ แต่ถ้าใครอยากรู้ว่าวิธีการทำงานของเขา Step by Step เป็นอย่างไร แนะนำว่าไม่ควรพลาด เพราะบางอย่างที่ได้เรียนรู้จากคลิปนี้อาจเป็นสิ่งที่องค์กรของคุณกำลังตามหา 10 วิธีสร้างการสนทนาไกลให้เหมือนใกล้ การทำงานต่างสถานที่ ปัญหาน่ากลัวกว่างานไม่เดินคือคนไม่คุยกัน เพราะวันนี้ต่างฝ่ายต่างอยู่บ้าน แถมการพิมพ์และการพูดคุยผ่านช่องทางนี้อาจทำให้การสื่อสารผิดพลาด
รูปแบบการทำงานของใครหลายคนเปลี่ยนไปแบบพลิกโลก จากที่มีออฟฟิศเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ กลายเป็นต้องพึ่งอินเทอร์เน็ต น้ำ ไฟ จากที่บ้าน จากที่ทำงานเหนื่อย ๆ ตกเย็นหาที่ฟังเพลงจิบเครื่องดื่มคล่องคอหล่อเลี้ยงหัวใจ ก็เหลือแค่ห้องเดียวกับที่นั่งทำงานมาทั้งวันให้เอกเขนกดูซีรีส์จนตาแฉะ คนทำงานแต่ละประเภทจึงต้องเผชิญความท้าทายในรูปแบบที่ต่างกันไป รวมถึง “คนทำงานสร้างสรรค์” ศิลปิน นักดนตรี นักวาด นักเขียน ฯลฯ เมื่องานต้องการพลังสร้างสรรค์เท่าเดิม (หรือบางงานต้องการมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ) แต่การทำงานสร้างสรรค์ในห้องปิดตาย หรือสถานที่เดิม ๆ ซ้ำ ๆ นั้นไม่ง่ายที่จะขุดขุมพลังฉูดฉาดมาได้เหมือนที่เคยเป็นมา ทางออกคืออะไร? เราเชื่อว่าสายสร้างสรรค์หลายคนคงอยากฟังคำตอบจากเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ วันนี้ UNLOCKMEN รวบรวม 6 คำตอบจากคนทำงานสร้างสรรค์ว่าในสถานการณ์ชวนอึดอัดนี้และออกไปหาแรงบันดาลใจที่อื่นไม่ได้ พวกเขาทำอะไรเพื่อยังผลิตผลงานหรือใช้ชีวิตให้ไม่ทำร้ายศักยภาพตัวเองเกินไปนัก? ป๊อก-ไพโรจน์ พิเชฐเมธากุล ป๊อก-ไพโรจน์ พิเชฐเมธากุล ศิลปินผู้เชื่อเรื่องการแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้เพื่อนมนุษย์ เขาเลือกใช้ศิลปะช่วยเหลือคนไร้บ้าน สำหรับเขาในห้วงวิกฤตเช่นนี้ อีกหนทางที่คนผลิตงานสร้างสรรค์ยังพอทำได้ คือการพยายามมองหาส่วนที่ดีที่สุดจากสิ่งที่เกิดขึ้น อาจไม่ได้เพื่อลืมแต่เพื่อหาหนทางที่จะใช้ผลงานของเรา ช่วยเหลือหรือสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่น ๆ เท่าที่พอทำได้ในช่วงเวลาที่ทุกสิ่งนั้นไม่ง่ายเลย “ผมพยายามมองด้านบวกว่าในเหตุการณ์นี้พอมีเรื่องอะไรดีอยู่บ้าง เราจะมีเวลาเพิ่มมากขึ้น ได้มีเวลาวางแผนการงานและชีวิต เห็นวิกฤตเป็นความท้าทาย พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปกับมัน
ในช่วงที่คนค่อนประเทศต้อง Work from Home กันแบบไม่มีกำหนด อันเนื่องมาจากวิกฤต COVID-19 ที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ฝั่ง HR ของบริษัทเองก็รีบเร่งหาคนมายัดตำแหน่งที่ว่างอย่างเหน็ดเหนื่อยไม่แพ้กัน แม้บางบริษัทจะปิดตัวลงหรือเลิกจ้างพนักงานบางส่วนเพื่อถ่วงดุลรายรับรายจ่ายในช่วงวิกฤต แต่ยังมีหลายบริษัทที่อาศัยจังหวะเดียวกันนี้เปิดรับสมัครพนักงานเพิ่ม เตรียมรอพลิกวิกฤตเป็นโอกาสและวางแผนการทำงานในอนาคตอย่างเต็มรูปแบบ บริษัทจำนวนมากจึงหันมาใช้การสัมภาษณ์งานออนไลน์แทนการสัมภาษณ์งานแบบปกติ บอกเลยว่าการสัมภาษณ์งานออนไลน์เป็นอีกวิธีคัดกรองคนที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุด เพราะผู้สมัครสามารถสัมภาษณ์งานได้จากที่บ้าน ประหยัดค่าใช้จ่าย ประหยัดเวลาเดินทาง แถมยังสอดคล้องกับการเว้นระยะห่างจากสังคม หรือ Social Distancing ที่ชาวโลกกำลังให้ความสำคัญอยู่ตอนนี้ ดูเผิน ๆ แล้วการสัมภาษณ์งานออนไลน์จะแทบไม่ต่างอะไรจากการสัมภาษณ์ปกติ แต่ผู้สมัครจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ที่ต่างออกไป และอาจซ่อนรายละเอียดยิบย่อยที่หนุ่มมนุษย์เงินเดือนหลายคนไม่รู้ก็ได้ วันนี้ UNLOCKMEN เลยจะมาถามจากปาก HR ให้เคลียร์ ว่าการสัมภาษณ์งานออนไลน์ที่ดีควรเป็นแบบไหนและผู้สมัครคนใดที่จะถูกใจบริษัท? ในช่วงวิกฤตแบบนี้คิดอย่างไรกับการที่บางบริษัทเลิกจ้างคน ขณะที่บางบริษัทเร่งหาคนเพิ่ม? HR Manager, Marketing Agency: ถ้าบริษัทที่ได้รับผลกระทบไม่มากก็คงไม่ได้อยากเลิกจ้างและอาจขอความร่วมมือให้ปรับลดเงินเดือนแทน แต่ถ้าบริษัทนั้น ๆ ถึงขั้นต้องเลิกจ้างพนักงานก็คงได้รับผลกระทบมาหนักจริง ๆ ส่วนตัวคิดว่าบริษัทที่กำลังรับคนเพิ่มในตอนนี้เป็นเพราะมีโปรเจกต์พิเศษ รับสมัครพนักงานแบบลูกจ้างชั่วคราว ไม่ก็การสื่อสารในองค์กรเกี่ยวกับนโยบายการทำงานในช่วง COVID-19 ยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอ จนทำให้พนักงานแห่กันลาออกยกทีม HR, Digital
ช่วงนี้ออฟฟิศหลายแห่งกำลังขยายความกดดันจากผลกระทบของโควิด-19 การทำงาน Work from Home มันจึงเป็นบาลานซ์ความรู้สึกของคน 2 ฝั่ง ระหว่างนายจ้างกับคนทำงาน เพราะความตึงเครียดของรายจ่ายที่สวนกับรายรับ จึงอาจก่อให้เกิดหลายสถานการณ์ที่ทำให้เผลอแสดงอาการกระทบกระทั่งกัน ชวนให้หมดใจและย่ำอยู่กับที่ “ทำงานอยู่บ้านไม่ได้สบายอย่างที่คิดสักหน่อย” เราเชื่อว่ามนุษย์กำพร้าออฟฟิศหลายคนตอนนี้กำลังรู้สึกแบบนี้ แต่คุณรู้สาเหตุของความรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนแรงนั้นจริง ๆ หรือเปล่าว่ามันเกิดจากอะไรและจะแก้ได้อย่างไร UNLOCKMEN จะพาคุณไปทำความเข้าใจความรู้สึกเหนื่อยล้าจากข้างในของคุณเอง เราไม่ได้อยากทำงานที่บ้าน เหตุผลแรกคือ “บ้าน” อาจไม่ใช่สถานที่ที่สะดวกสำหรับการทำงานของทุกคน คุณรู้สึกว่า “เราไม่ได้อยากจะขอ Work from Home” สักหน่อย ไม่ได้อยากให้กิจวัตรมันเปลี่ยนไปจากเดิม สถานการณ์มันบังคับต่างหาก อิสรภาพที่ไม่ได้เลือกจึงอาจนำอาการสับสนและหงุดหงิดมาให้ วิธีแก้: หลายคนบอกว่าฟีลออฟฟิศมันให้งานเราได้มากกว่า งั้นเติมเต็มทุกวันเวลาด้วยตารางที่ทำให้กิจวัตรการทำงานเราไม่ต่างจากการทำงานออฟฟิศปกติ ทั้งการทั้งประชุม การควบคุมเวลาทำงาน การหยุดพัก สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นวิธีลดความหงุดหงิดได้ เพราะมันทำให้คุณควบคุมช่วงเวลาการทำงานและความเป็นอิสระได้เหมือนตอนที่ยังทำงานที่ออฟฟิศตามปกติ เราเหนื่อยกับการเรียนรู้เทคโนโลยี สายครีเอทีฟหลายคนยังจำเวลาคิดงานที่ระดมเป็นก้อนเดิมที่แค่ลุกจากโต๊ะขยับไปนิดนึงก็สามารถเขียนไว้บน whiteboard ได้ แต่ทุกวันนี้เราเริ่มเหนื่อยล้ากับบางจุดที่ขลุกขลัก ทั้งเรื่องการเรียนรู้ซอฟต์แวร์ที่งานผ่านทางไกลเพื่อแบ่งปันกับทีม ยิ่งถ้ามีปัญหารับสารได้ไม่ตรงกันเหมือนแต่ก่อน ต้องปรับแก้เทคโนโลยีที่บางคนรู้สึกว่าไม่ค่อยถูกกัน เรื่องนี้ก็ทำให้เหนื่อยได้มากกว่าปกติจริง ๆ วิธีแก้ : ทางออกคือพยายามต่อไป เรื่องนี้ตั้งต้นอาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเราต้องคิดต้องทำต่อเนื่องเพราะมันกำลังเป็นสิ่งที่เราจะต้องทำ
ชีวิตยามปกติที่เคยนอนในบ้าน กินอาหารข้างนอก ทำงานที่ทำงาน อยากผ่อนคลายก็ไปทะเลสักแห่ง ถูกสถานการณ์ COVID-19 บีบบังคับให้เราต้องกิน นอน ทำงาน ผ่อนคลาย มีชีวิตเกือบ 100% เต็มในสถานที่จำกัด บางคนอาจมีบ้านยังพอเดินไปเดินมาให้ผ่อนคลาย (แต่ก็ไม่อิสระเหมือนการได้ไปข้างนอกอยู่ดี) แต่หลายคนที่อาศัยอยู่ในห้องขนาดไม่ใหญ่มาก ยิ่งต้องเผชิญความท้าทาย ความกดดันทางอารมณ์มากขึ้นไปอีก ความโดดเดี่ยวในสถานที่คับแคบ การแบ่งเวลางานและเวลาพักผ่อน การพยายามหาหนทางผ่อนคลายให้ตัวเองจึงไม่ง่ายเลยสำหรับใครหลายคน จะมีใครเข้าใจ “วิธีมีชีวิตรอดในความโดดเดี่ยว” ดีไปกว่า Scott Kelly นักบินอวกาศผู้ต้องใช้เวลาบนสถานีอวกาศยาวนาน 1 ปี เขากิน นอน ทำงาน และผ่อนคลายที่นั่น ไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้ง หรือห่างจากสถานีอวกาศไปไหนไกลและนี่คือเคล็ดวิธีที่เขาอยากแนะนำ ในห้วงเวลาที่เราต้องอยู่ติดบ้านไปอีกพักใหญ่ อย่าปล่อยเวลาให้ไหลไป “กำหนดตารางเวลา” ให้ตัวเองเสมอ สิ่งหนึ่งที่ Kelly แนะนำคือเมื่อเราต้องอยู่ในสถานที่เดียวนาน ๆ แต่ทำสารพัดอย่าง เราต้อง “กำหนดตารางเวลา” ให้ตัวเอง ตัวเขามีตารางเวลาที่แน่นขนัด ตั้งแต่วินาทีที่ลืมตาตื่นไปจนถึงเข้านอน เพราะเรานั้นไม่สามารถใช้ “สถานที่” มาเป็นตัวกำหนดเวลาและกิจกรรมได้อีกแล้ว เช่น เมื่อก่อนเราไปถึงออฟฟิศ เราจะรู้โดยอัตโนมัติว่านี่คือเวลาทำงาน
เราพูดถึงคนทำงานกันมานาน แต่ฝั่งผู้บริหารระดับสูงล่ะเขาคิดอย่างไรกันบ้าง เคยสงสัยกันบ้างไหม ? หลายคนหวั่นใจแต่ไม่กล้าถาม หลายคนก็ยังคลุมเครือว่า “Work from Home” ของเรากับมุมมองของเจ้านายมันต่างกันไหม เรื่องนี้คงไม่มีให้ใครตอบได้ดีไปกว่า “ผู้บริหาร” ที่มีลูกน้องในปกครองซึ่งวันนี้ก็ต้องรับมือกับสภาพวิกฤตจากผลกระทบโควิด-19 UNLOCKMEN จึงถือโอกาสนี้สอบถามผู้บริหารทั้ง 4 คนจากบริษัทชั้นนำที่หลายคนรู้จักว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับวิกฤตนี้ และสำหรับพวกเขา คำว่า “Work from Home” ที่มันมีประสิทธิภาพจริง ๆ ควรเป็นแบบไหน ได้แก่ คุณเก่ง – สิทธิพงศ์ ศิริมาศเกษม CEO บริษัท RGB72 และ Creative Talk, คุณกลาง – สุจารี อัศวมงคลกุล CEO บริษัท Whiteline Group, คุณป๊อก–อติพล อิทธิวัฒนะ Head of Media บริษัท Publicis Group และคุณตูน – สุธีรพันธุ์
ช่วงนี้เราผ่านระยะการ Work From Home กันมาสักระยะหนึ่งแล้ว ตื่นลืมตามาก็ทำงานได้ทันทีโดยไม่มีอะไรมาคั่นกลาง ถึงหลายคนจะบอกว่าทำงานเหมือนเดิมแค่เปลี่ยนสถานที่ แต่ลึก ๆ แล้วเราทุกคนรู้แก่ใจดีว่าสถานการณ์ทรง ๆ ของบริษัท โชคอาจจะไม่เข้าข้างชาวมนุษย์เงินเดือนพลัดออฟฟิศอย่างเราก็ได้ การต่อสู้กับวิกฤตที่เห็นแววชัดว่าคงจะยืดเยื้อมันน่ากลัว ทั้งการความเปลี่ยนแปลงส่วนตัวและส่วนรวม โดยไม่รู้ว่าวันข้างหน้าเราจะเสี่ยงตกงานไหม เพื่อขจัดความกลัวของชาวมนุษย์ออฟฟิศให้ฟิตได้เสมอไม่ว่าจะทำงานที่ไหนทั้งกายและใจ UNLOCKMEN จึงขอคำแนะนำ เคล็ดลับการทำงานดี ๆ จากคุณตูน – สุธีรพันธุ์ สักรวัตร EVP Head of Marketing of SCB ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและการสื่อสารแบรนด์ ซึ่งเปรียบเสมือนขงเบ้งทัพธนาคารสีม่วงมาฝาก โดยเขาบอกเราว่า 3 สิ่งนี้อาจช่วยให้การ Work From Home ไม่น่ากลัวทั้งกับนายจ้างและลูกจ้าง และวิธีนี้คือวิธีที่เขากำลังใช้เป็นแนวทางการทำงานในองค์กร 3 เคล็ดลับพิชิต Work From Home การมีวินัย (Discipline) “การมีวินัยคือหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ และเป็นข้อแรกของการบรีฟสมาชิกในทีม ในวันก่อนที่พวกเราจะต้อง Work From Home เป็นวันแรก เหตุผลสำคัญก็คือ
เมื่อสถานการณ์บีบบังคับให้องค์กรหลายแห่งต้องเลือกชีวิต สุขภาพ และความปลอดภัยของคนทำงานมาเป็นอันดับหนึ่ง บริษัทหลายแห่งจึงประกาศนโยบาย Work From Home กันทั่วหน้า นั่นหมายถึงว่าการสื่อสารภายในองค์กร ภายในทีม หรือแม้แต่ระหว่างคนทำงานด้วยกันจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากการสื่อสารที่เคยคล่องตัวและตรงไปตรงมา แค่เดินไปหาก็พูดคุยได้ไม่ผิดพลาด สงสัยอะไรตรงไหนก็เจอตัวกันทันที หรือการประชุมแบบพร้อมหน้าพร้อมตาที่เห็นกันชัด ๆ ว่าจะไม่มีใครพลาดเรื่องสำคัญไป นำไปสู่วิธีการสื่อสารที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้าช่วย แต่อีกทางนี่คือโอกาสอันดีที่แต่ละองค์กรจะได้ทดสอบประสิทธิภาพของระบบเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มที่ใช้สื่อสารกันว่าจะเชื่อมผู้คนถึงกันได้มากแค่ไหน แต่สิ่งที่คนทำงานไม่ว่าระดับไหนควรรู้ไว้คือการสื่อสารเมื่อทุกคนต่างทำงานจากทุกหนทุกแห่งอาจเป็นอีกความท้าทายที่เราทุกคนควรเตรียมตัวให้พร้อม UNLOCKMEN จึงเอาวิธีการสื่อสารให้ทรงพลัง ในวันที่เราต้องทำงานไกลกัน เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดจากการเข้าใจผิด การพูดไม่เคลียร์ งานของเราจะได้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอไม่ว่าจะทำงานจากที่ไหนบนโลกใบนี้ก็ตาม เมื่อไม่ได้ประชุมต่อหน้า “คำพูดที่ไม่ได้พูด” คือหัวใจสำคัญ ไม่ว่าองค์กรของคุณจะเลือกใช้แพลตฟอร์มใดเป็นตัวกลางในการประชุมหรือสื่อสาร สิ่งสำคัญของการไม่ได้เข้าประชุมพร้อมหน้าพร้อมตากัน คือการสังเกตสิ่งที่ซ่อนไว้จากคำพูดที่ไม่ได้พูดให้ดี มนุษย์มีแนวโน้มจะระวังตัวและควบคุมตัวเองเป็นพิเศษเมื่ออยู่ในห้องประชุมอันเป็นทางการ ต่างจากการวีดีโอคอนเฟอเรนซ์จากที่บ้าน หรือการพิมพ์คุยงานผ่านแชตที่จะรู้สึกว่าอยู่ในพื้นที่ของตัวเองและเป็นตัวเองมากกว่า เมื่อรู้สึกผ่อนคลายในพื้นที่ของตัวเอง ภาษากาย สายตา หรือแม้แต่การเว้นจังหวะการพิมพ์ที่สื่อสารออกมา (โดยไม่ควบคุมตัวเองมากนักนั้นสำคัญ) ดังนั้นถ้าคุณคือผู้บริหารหรือคนนำการประชุมในแต่ละครั้ง นอกจากแค่รอฟังว่าองค์ประชุมแต่ละคนจะพูดอะไรออกมาโต้ง ๆ ก็อาจหมายรวมถึงการคอยสังเกตปฏิกิริยา ภาษากายของผู้เข้าร่วมประชุมคู่กันไปด้วย เนื่องจากบางคำที่พลาดไป บางเรื่องที่อาจสื่อสารได้ไม่ครอบคลุม ผู้เข้าร่วมประชุมอาจไม่ได้ยกมือถามได้ง่าย ๆ เหมือนตอนประชุมอยู่ต่อหน้ากัน รวมถึงระบบเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่อาจทำให้หัวข้อดีเลย์ การเป็นผู้นำการประชุมที่คอยสังเกตสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น “เลือกแพลตฟอร์มให้ตรงกับประเภทข้อมูล”
“การเรียนรู้ไม่มีวันหยุด” ใครหลายคนคงเคยได้ยินประโยคนี้บ่อยพอ ๆ กับประโยคที่ว่า “การเรียนรู้ไม่มีพรมแดน” แต่ 2 ประโยคนี้ก็คล้ายเป็นเรื่องนามธรรมที่กรอกหูผู้ชายอย่างเราไปแกน ๆ ว่า เฮ้ย มึงอย่าหยุดเรียนรู้นะเว้ย การเรียนรู้แม่งดีว่ะ โดยไม่ได้สร้างแรงจูงใจมากไปกว่านั้น แต่ในช่วงที่เราต้องออกนอกบ้านน้อยลงเพื่อลดความเสี่ยงจากไวรัสโควิด-19 หรือใครหลายคนที่กำลังรู้สึกไม่มั่นคงกับตำแหน่งการงานเพราะสภาวะเศรษฐกิจ จนร้อน ๆ หนาว ๆ ไม่รู้จะโดนปลดออกเมื่อไร คำว่า “การเรียนรู้ไม่มีวันหยุด” ก็คล้ายจะเริ่มเป็นรูปธรรมแจ่มชัดขึ้นมา แทนที่จะปล่อยเวลาให้หมดไปกับความเครียดหรือกังวล UNLOCKMEN ชวนมาปลดล็อกศักยภาพ พัฒนาตัวเองให้สุดขีดด้วยคอร์สออนไลน์ เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา ช่วยเพิ่มทักษะใหม่ ๆ ในวันที่หน้าที่การงานอาจสั่นคลอนเมื่อใดก้ได้ หรืออย่างน้อยที่สุดการมีความรู้ประดับตัวไว้จะหยิบจับอะไรก็คล่องตัวกว่าคนที่ไม่รู้เป็นแน่ edX ลึก ๆ ในใจเราทุกคนล้วนแต่ต้องเคยอยากเข้าเรียน หรืออย่างน้อยก็อยากรู้ว่ามหาวิทยาลัยคุณภาพระดับโลกนั้นเขาเรียน เขาสอนอะไรกัน? แล้วถ้าเราบอกว่า edX คือแพลตฟอร์มการเรียนการสอนออนไลน์จากมหาวิทยาลัยคุณภาพคับแก้วอย่างมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดคุณจะสนใจไหม? edX ไม่ใช่แค่มีคอร์สมาจากมหาวิทยาลัยคุณภาพเท่านั้นแต่ยังฟรีหมดอีกต่างหาก! ไม่ใช่แค่ได้เรียนคอร์สจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยเครือข่าย (ที่ดังและคุณภาพระดับโลก) เท่านั้น แต่เราชอบคอร์สออนไลน์ของ edX ตรงที่เราได้เห็นบรรยากาศการเรียนในคลาสนั้น ๆ ไปด้วย เช่น