ไม่มีอะไรที่เพื่อนทหารจะทำให้กันไม่ได้ โดยเฉพาะทหารผ่านศึกที่ปลดประจำการก่อนเพื่อนร่วมรบ ย่อมรู้ดีที่สุดว่าเพื่อนในสมรภูมิต้องการอะไรมากที่สุด และนั่นก็คือ “เบียร์” ในปี 1967 สงครามเวียดนามกำลังเข้าสู่จุดเดือดสุด มีทหาร U.S. มากถึง 11,000 ชีวิตที่เสียไปในการรบครั้งนั้น แต่สำหรับทหารในสังกัด Marine Corps นามว่า John “Chickie” Donohue ทหารผ่านศึกจากสงครามเวียดนามที่ประจำการครบ 4 ปี ได้รับอนุญาตให้ปลอดประจำการ กลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิดในอเมริกาก่อนเพื่อนร่วมรบ ซึ่งเป็นการหมุนเวียนปกติของกองทัพ ในขณะที่ Donohue อยู่ที่บ้านในเมือง Inwood เขาต้องเจอกับศพทหารเพื่อนบ้านมากมายที่ถูกส่งกลับมาฝังในบ้านเกิดของตน วันนึง Donohue นั่งดื่มอยู่ที่บาร์ ได้พูดคุยกับ Bartender และทั้งสองเห็นตรงกันว่า ทหารที่กำลังรบอยู่ในเวียดนามตอนนี้เป็นฮีโร่ที่น่ายกย่อง พวกเขาควรจะได้รับคำชม พร้อมกับเบียร์เย็น ๆ สักกระป๋อง ระหว่างที่นั่งฟัง Donohue เข้าใจความรู้สึกนั้นได้ดีกว่าใคร พร้อมกับคิดถึงเพื่อนร่วมกองทัพที่กำลังรบอยู่ในตอนนี้ขึ้นมา คิดว่าพวกเขาน่าจะต้องการเบียร์เย็น ๆ สักกระป๋องจริง ๆ ว่าแล้วก็ตัดสินใจเก็บกระเป๋า พร้อมหิ้วเบียร์เย็น ๆ เพื่อนำไปฝากสหายในกองทัพกลาง War
คนญี่ปุ่นเล่นสเก็ตบอร์ดไหม? แล้วทำไมคนที่ถือแผ่นบอร์ดในญี่ปุ่นจะต้องมักถูกมองว่าเป็นอันธพาล NIHON STORIES หาเหตุผลเพื่อตอบคำถามคาใจมาให้แล้ว คำว่าสเก็ตบอร์ด skateboard ในญี่ปุ่นมักออกเสียงว่า ‘sukeetoboodo’ ส่วน skateboarders มักเรียกกันสั้น ๆ ว่า ‘sukebo’ ที่รับอิทธิพลมาจากสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะการวัฒนธรรมสเก็ตบอร์ดผ่านภาพยนตร์ฮอลลีวูด ชาวสเก็ตรุ่นแรกเริ่มมากจะรวมตัวกันวาดลวดลายอยู่บนบอร์ดในซอยแคบๆ ที่มีลานโล่ง แม้แสงไฟของเสาไฟสาธารณะจะเป็นแค่แสงสลัว แต่หากเดินผ่านแล้วสังเกตดี ๆ ก็จะเห็นเหล่าวัยรุ่นขาโจ๋ลากแผ่นบอร์ดติดล้อกันไปมาอยู่เป็นอิสระ แม้การเล่นสเก็ตบอร์ดในปัจจุบันจะกลายเป็นกิจกรรมที่ใครก็สามารถมีส่วนร่วมได้ แต่พอย้อนกลับไปยังหลายสิบปีก่อน กลุ่มแก๊งที่เล่นสเก็ตบอร์ดในญี่ปุ่นมักถูกมองว่าเป็นพวกเกเร ทำตัวไร้สาระ นิสัยไม่เป็นมิตร ต่อต้านสังคม และค่อนข้างไม่น่าคบหา ผิดเพี้ยนกับหลายพื้นที่บนโลกที่ในเวลาเดียวกันไม่ได้มองว่าคนเล่นสเก็ตบอร์ดมีภาพลักษณ์แย่เท่ากับที่คนญี่ปุ่นมอง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนในลานโล่ง ๆ ที่จอดรถ หรือสวนสาธารณะ ก็มักเห็นป้ายตัวใหญ่ที่เขียนว่า ‘ห้ามเล่นสเก็ตบอร์ด’ เป็นผลมาจากการต่อต้านวัฒนธรรมป๊อปของอเมริกันชนในญี่ปุ่น บ่อยครั้งที่วัยรุ่นชายถือสเก็ตบอร์ดเดินเข้าสถานีรถไฟฟ้า แล้วจะถูกเจ้าหน้าที่เรียกเพื่อขอค้นกระเป๋า เป็นความคิดแบบเหมารวมที่กาหัวไว้ก่อนแล้วว่าอาจเป็นพวกป่วนเมือง เรียกร้องความสนใจ หรือมีโอกาสพกอาวุธสูงกว่าคนอื่น ๆ ในสังคม ฮิกาอิ โยชิโระ (Higai Yoshiro) ช่างภาพสเก็ตบอร์ดรุ่นเก๋าวัย 55 ปี นั่งย้อนจินตนาการถึงการหัดเล่นในช่วงแรกว่า “รู้สึกถึงสายลมแห่งแคลิฟอร์เนีย โคล่าและเสื้อยืดฮาวาย มันให้ความรู้สึกสดชื่น”
เรียกได้ว่าฉลองชัยในการเป็นแชมป์หนังทำเงินตลอดกาลทั่วโลกได้เพียงไม่กี่ปี ในที่สุดบทสรุปหนังรวมดาวจักรวาลมาร์เวลเฟสสาม Avengers: End Game ที่สร้างสถิติหนังทำเงินตลอดกาลในปี 2018 ก็ถูกทำลายลง ซึ่งหนังที่มาเบียดตำแหน่งจนเหล่าซูเปอร์ฮีโรหล่นตุ้บลงไปอยู่อันดับ 2 ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน อดีตแชมป์ที่เคยถูกโค่นจนร่วงหล่นมาอันดับ 2 อย่างหนัง Avatar นั่นเอง ได้รับการยืนยันจากตาราง Box Office อย่างเป็นทางการแล้วว่า Avatar ที่นำกลับมาฉายใหม่ที่ประเทศจีนในสุดสัปดาห์ที่ 12 มีนาคม 2021 ที่ผ่านมานั้นทำรายได้รวม 21 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 127 ล้านหยวนของจีน ซึ่งตัวเลขนั้นเองไม่ได้มากมายนัก แต่ก็มากพอที่จะพาตัวเองกลับเข้ามาครองบัลลังก์หนังทำเงินสูงสุดในโลกอันดับ 1 ได้อีกหนด้วยรายได้รวม 2,810 ล้านเหรียญสหรัฐ ปรากฎการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้อย่างไรในยุคสมัยที่ภาพยนตร์และธุรกิจโรงหนังนั้นกำลังอยู่ในภาวะซบเซาจากวิกฤตไวรัสระบาด Unlockmen ขอทำการถอดรหัสความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ไปด้วยกัน จริงอยู่ว่าในช่วง Lockdown ที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้ดูหนังเก่ามากมายเพราะสตูดิโอค่ายยักษ์ใหญ่ต่างพากันเลื่อนฉายหนังใหญ่ของตนไปอย่างไม่มีกำหนด ไม่ว่าจะเป็น No Time to Die / Black Widow / The Fast
ในยุคปัจจุบัน ฟอร์แมทในการฟังเพลงนั้นมีรูปแบบมากมาย แต่หนึ่งในฟอร์แมทที่สำคัญที่คนยุค 80s-90s ต่างพากันรู้จักกันดีนั่นก็คือการฟังเพลงผ่านคาสเซ็ทท์เทปนั่นเอง หลายท่านที่ผ่านยุคนั้นต่างนึกถึงอดีตอันงดงามไม่ว่าจะเป็นการใช้ปากกาในการกรอเทป / อัดเพลงที่ชอบให้คนที่แอบรักฟัง หรือจับมันโยนใส่ตู้เย็นเมื่อฟังจนเทปยาน แต่ผู้อยู่เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของวงการเพลงนี้หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเป็นใคร อีกทั้งเราเพิ่งทราบข่าวร้ายถึงการจากไปในวัย 94 ของปู่ Lou Ottens บุคคลผู้เปรียบได้ดั่งบิดาของคาสเซ็ทท์เทป จึงอยากจะขอใช้พื้นที่นี้ทำการอำลาอาลัย และถ่ายทอดเรื่องราวต้นกำเนิดของตลับเทปจากอดีต รวมถึงบทบาทของมันในโลกยุคดิจิทัล ณ ปัจจุบันนี้ให้ได้อ่านกัน จากการฟังเพลงอันเทอะทะ ปฏิวัติสู่การฟังเพลงแบบพกพา ในยุคแรกเริ่มของการฟังเพลงในยุค 50s-60s หลายคนน่าจะคุ้นเคยการฟังเพลงจากแผ่นเสียง Lou Ottens วิศวะกรชาวดัตช์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ เองก็เช่นกัน ที่เขารู้สึกว่าการฟังเพลงในยุคนั้นเป็นสิ่งที่ยากลำบาก กว่าจะได้ฟัง หากคุณไม่นั่งฟังนอนฟังอยู่ที่บ้านจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงหรือวิทยุเครื่องใหญ่โตมโหฬาร คุณก็แทบไม่มีโอกาสได้สัมผัสอรรถรสแห่งเสียงดนตรีนี้ กระทั่งเขาได้ทำงานที่บริษัท Philips ในปี 1952 เขาเห็นเครื่องบันทึกเสียงที่ชื่อ “Magnetophon” ของประเทศเยอรมัน ที่เป็นเครื่องอัดเสียงแบบ Reel-to-Reel แต่ก็มีขนาดที่ใหญ่และราคาค่อนข้างสูงเช่นกัน โดยแรกเริ่มนั้นมาจากความบังเอิญที่เครื่องอัดเสียงนั้นพังจนไส้เทปรีลนั้นพันกันยุ่งเหยิงเขาจึงค้นคว้าหาทางจัดระเบียบเจ้าเครื่องเทอะทะนี้ให้สะดวกและเล็กที่สุดให้จงได้ เขาจึงใช้เวลานานถึง 8 ปี เพื่อคิดค้นเครื่องบันทึกเสียงแบบพกพาจนเทปคาสเซ็ทท์ม้วนแรกได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลกในงานแสดงสินค้าที่กรุงเบอร์ลินในปี 1963 ด้วยสโลแกนที่ว่า “เล็กกว่าซองบุหรี่” ซึ่งแน่นอนมันได้สร้างความตื่นตะลึงอย่างมาก ในฐานะอุปกรณ์บันทึกเสียงที่จิ๋วแต่แจ๋ว
หลายคนอาจจะรู้จักเขาในฐานะนักแสดงตลกสุดฮา ที่มาพร้อมความป่วนและความกวนแบบสุดห่ามแห่งทศวรรษที่ 2000’s จวบจนปัจจุบัน แถมยังออกตัวว่าโปรดปรานกัญชาแบบเข้าเส้นอีกด้วย และในวันนี้ ฝันของเขากำลังจะเป็นจริง เมื่อดาวตลกท่านนี้ สามารถผลักดันแบรนด์กัญชาสู่ประชากรอเมริกันได้เป็นผลสำเร็จ เรามาทำความรู้จักทั้งตัวตนของชายสุดห่ามคนนี้ รวมถึงแบรนด์ Houseplant ที่เป็นมากกว่าสมุนไพรสายเขียวของผู้ชายคนนี้ Seth Rogen สำหรับคอหนังคงไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงกันมากมาย สำหรับนักแสดงสายฮาผู้มาพร้อมความกวนระดับพระกาฬ จากที่เขาได้แจ้งเกิดในหนังตลก Knocked Up เรื่องของความสัมพันธ์เพียงชั่วข้ามคืนของหนุ่มเนิร์ดที่รับบทโดย Seth กับสาวสวย แต่ต้องซวยตลอดไปเมื่อพวกเขาเผลอมีลูกด้วยกันแบบไม่ตั้งใจ ที่กลายเป็นหนังฮิตสะท้อนชีวิตสายอันเดอร์ด็อกได้อย่างถึงแก่น ทำให้ Seth Rogen เป็นดาวตลกที่เข้าถึงผู้ชาย Gen-Y จนถึง Gen-Z กันอย่างล้นหลาม ด้วยความห่ามและตลกในแบบที่เข้าถึงได้ นอกจากนี้ยังวาดลวดลายในหนังเจ๋งๆอีกหลายต่อหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Funny People (2009) 50/50 (2011) The Green Hornet (2011) Bad Neighbors (2014) รวมไปถึงการให้เสียงพากย์ในหนังแอนิเมชั่นอย่าง Kung Fu Panda (2008) แถมยังฉาวไปกำกับหนังที่เล่าถึงการไปตามสัมภาษณ์ท่านผู้นำแห่งเกาหลีเหนืออย่าง The
เนื้อเรื่องของดาบพิฆาตอสูรภาคต่อใน Anime ที่เน้นการผจญภัยใน ‘โยชิวาระ’ ย่านอโคจรที่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับเข้มงวดเหมือนด่านตรวจคนเข้าเมืองตามสนามบินในยุคปัจจุบัน อยู่ ๆ ดินแดนแห่งความรื่นเริงใจของบุรุษกลับเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาด เหมือนกับว่ามีปีศาจร้ายออกอาละวาด หน่วยพิฆาตอสูรแห่งยุคไทโช จึงต้องตามหาต้นตอของปัญหา จัดการเหล่าร้ายร่วมกับ ‘อุซุย’ เสาหลักเสียง …และนี่คือเรื่องราวคร่าว ๆ ของ ดาบพิฆาตอสูรแอนิเมชันซีซัน 2: ย่านเริงรมย์ ต้องเกริ่นกันไว้ก่อนว่า NIHON STORIES ตอนนี้จะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือการดื่มด่ำกับบรรยากาศของโยชิวาระในยุคไทโชที่ประชาธิปไตยเบ่งบาน อาจจะมีเนื้อหาที่ผู้รอชมแอนิเมชันอย่างใจจดใจจ่อแต่ไม่เคยอ่านมังงะไม่ควรได้รู้ตอนนี้ (เพราะจะเป็นการสปอยล์ให้เสียอารมณ์) ส่วนที่สองคือพาร์ทที่สามารถอ่านได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเปิดเผยเนื้อเรื่อง เนื่องจาก UNLOCKMEN เตรียมแผนไว้ในอนาคตข้างหน้า กับโยชิวาระในยุคปัจจุบัน หากโควิด-19 จบลงเมื่อไหร่ สถานที่ในมังงะก็กำลังรอให้ทุกคนได้ไปเยี่ยมเยียนเพื่อย้อนรอยความยิ่งใหญ่ของย่านบันเทิงที่มีปีศาจสิงสู่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น *เนื้อเรื่องส่วนนี้มีการสปอยล์ต่อคนที่ยังไม่ได้อ่านมังงะ เนื้อเรื่องของดาบพิฆาตอสูรเล่ม 9 เริ่มต้นกับบท ‘แผนแทรกซึมเข้าย่านเริงรมย์’ หากใครเคยอ่านบทความของ NIHON STORIES ก่อนหน้านี้ที่เล่าถึงประวัติศาสตร์ของดินแดนต้องห้ามโยชิวาระ จะรู้กันดีว่าบุรุษที่ต้องการเข้าเมืองนั้นไม่สามารถพกอาวุธ หรือเดินดุ่ม ๆ ไม่ดูตาม้าตาเรือเข้าย่านนี้ได้ หากจะทำอะไรบางอย่างนอกเหนือเพลิดเพลินกับสาวงามในโยชิวาระ ทุกอย่างต้องวางแผนไว้อย่างรอบคอบก่อนเสมอ กฎข้อบังคับที่เข้มงวดตั้งแต่หน้าประตู ทำให้อุซุยที่พยายามเข้าโยชิวาระในฐานะลูกค้าเพื่อสืบข้อมูล แต่เขากลับไม่ได้อะไรมากมายกลับมา
เพราะโหยหาบรรยากาศของเทศกาลดนตรี ชาวเมืองผู้ดีหลังจากเผชิญหน้ากับวิกฤติ COVID-19 มาตั้งแต่ปี 2020 จนถึง 2021 ที่ระบาดแล้วระบาดอีก ตอนนี้เริ่มระดมการฉีดวัคซีนป้องกัน และรัฐบาลก็ค่อย ๆ ปลดล็อกบางเมืองบางแห่งให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติบ้างแล้ว ซึ่งวัฒนธรรมของคน UK ก็ไม่รอช้า เมื่อทราบข่าวการเปิดขายตั๋ว Early Bird เทศกาลดนตรีบางแห่ง ก็แห่กันรุมจองตั๋วกันจน Sold Out อย่างรวดเร็วสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Boris Johnson นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร ได้ประกาศผ่อนปรนการล็อคดาวน์รวมไปถึงคลายล็อคกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ เพื่อให้บ้านเมืองอยู่ในสภาวะปกติโดยเร็วไว โดยตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะให้สังคมกลับคืนสู่ความปกติสุขอย่างสิ้นเชิงภายในวันที่ 21 มิถุนายนนี้ ซึ่งเทศกาลดนตรีต่าง ๆ ก็ขานรับนโยบายนี้ด้วยการเริ่มประกาศขายตั๋วเทศกาลดนตรีล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลดนตรีอิเลคทรอนิคส์ Field Day Festival ที่จะจัดในวันเสาร์ที่ 10 กรกกฎาคม หรือเทศกาลอย่าง Reading & Leeds Festival ที่จัดขึ้นในวันที่ 27-29 สิงหาคม โดยมีเฮดไลน์ตัวเป้งๆอย่าง Liam
ย้อนกลับไปยังวันที่ 27 มกราคม 2012 สำนักข่าว CNN รายงานข่าวภัยพิบัติใหญ่ที่เกาะญี่ปุ่น เมื่อเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิโถมเข้าใส่จังหวัดฟูกูชิมะ ส่งผลให้โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เกิดความเสียหาย กัมมันตภาพรังสีจากโรงงานรั่วไหลออกมาโดยรอบ รัฐบาลต้องสั่งอพยพประชาชนในพื้นที่กว่า 1.6 แสนคนโดยด่วน ชาวบ้านที่ตื่นตระหนกจำต้องทิ้งบ้าน ทรัพย์สิน รวมถึงสัตว์เลี้ยงไว้ข้างหลัง เพื่อรักษาชีวิตตัวเองให้รอดปลอดภัยก่อน การรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีจากโรงงานนิวเคลียร์ในช่วงแรก ส่งผลให้สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงที่ถูกทิ้งไว้ได้รับสารเคมีอันตราย สัตว์เลี้ยงเพื่อบริโภคอย่างโคและสุกรจำนวนมากในหลายหมู่บ้าน จะถูกเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อทำการุณยฆาต ก่อนฝังทั้งหมดลงดิน เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อสัตว์ที่มีสารเคมีปนเปื้อนออกสู่ตลาด ทว่าสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าจำนวนมากยังคงถูกทิ้งไว้ในดินแดนที่ไม่มีผู้อาศัย สัตว์หลายชนิดในบริเวณรอบที่ใกล้โรงฟ้าไฟนิวเคลียร์พากันล้มตาย เหลือไว้เพียงซากเน่ารอวันย่อยสลายเหลือแต่กระดูก กลิ่นเหม็นชวนคลื่นเหียนส่งกลิ่นตลบอบอวล บางตัวที่อ่อนล้าพยายามเอาตัวรอด ทว่าน้ำในแอ่งก็เต็มไปด้วยสารพิษ ต้นไม้ใบหญ้าก็อาบสารเคมี อากาศที่หายใจก็ไม่สะอาด เมืองที่ตายแล้วกำลังคร่าสิ่งมีชีวิตให้หมดลงไปเรื่อยๆ มีเพียงวันเวลาอันยาวนานเท่านั้นที่จะให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟูตัวเอง แล้วชาวฟูกูชิมะบางส่วนที่ต้องหนีไปก่อนหน้านี้ได้กลับบ้านอีกครั้ง ทว่ามีชายคนหนึ่งตัดสินใจมุ่งหน้าสู่ดินแดนรกร้าง ตั้งมั่นกับตัวเองว่าจะไม่ย้ายไปไหน อยู่ต่อเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกที่กำลังทุกข์ทรมาน มัตสึมูระ นาโอโตะ (Matsumura Naoto) คือชื่อของชายคนสุดท้ายที่ยืนหยัดอยู่ในเมืองโทมิโอกะที่ร้างไร้ผู้คน โทมิโอกะเป็นหนึ่งในชุมชนที่อยู่ในพื้นที่จำเป็นต้องลี้ภัยหลังการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไดอิจิ ก่อนเกิดเหตุระเบิดที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ มัตสึมูระเลี้ยงหมาไว้หนึ่งตัว และมักผูกมิตรกับสัตว์อื่นในชุมชนเสมอ ทุกคนในชุมชนจะรู้ว่าเขาชอบเอาอาหารไปเลี้ยงแมวจรจัดท้ายหมู่บ้าน ส่วนหมาจรจัดที่ดุแค่ไหนก็ยอมไว้ใจมัตสึมูระ หลังเกิดเหตุระเบิดไม่คาดฝัน ประชาชนส่วนใหญ่ที่อพยพไม่ได้นำสัตว์เลี้ยงไปด้วย หมาแมวจำนวนมากถูกปล่อยทิ้งไว้ตามเดิม เพราะใคร ๆ ก็คิดว่าเดี๋ยวก็คงได้กลับบ้าน ด้านมัตสึมูระที่ต้องอพยพออกมาเหมือนกับคนอื่น
เมื่อเอ่ยถึง ‘นิวเคลียร์’ ในวงสนทนา สิ่งแรกๆ ที่จะได้ยินคือนิวเคลียร์จากการต่อสู้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้ง ‘Little Boy’ ที่ถูกทิ้งลงสู่เมืองฮิโรชิมะ ตามด้วย ‘Fat Man’ ที่ล้างผลาญเมืองนางาซากิ นอกจากนี้นิวเคลียร์ในความทรงจำของใครหลายคนอาจยังนึกถึง ‘เชอร์โนบิล’ เมื่อเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ของประเทศยูเครนเกิดระเบิด เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในฟูกุชิมะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะญี่ปุ่น นับเป็นโศกนาฏกรรมที่ล้วนเกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์ด้วยกันทั้งหมด UNLOCKMEN จะพาผู้อ่านย้อนไปยังอดีตเพื่อพบกับเหตุการณ์น่าสะพรึงจากภัยธรรมชาติ และคูณความรุนแรงสองเท่าด้วยสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างนิวเคลียร์และสารเคมีร้ายแรง เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นนับแสนต้องพลัดถิ่น ไม่สามารถกลับบ้านหลังเดิมได้นานหลายสิบปี และทุกอย่างนับจากจุดเริ่มต้นไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป ญี่ปุ่นนับเป็นดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องการเผชิญหน้ากับภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวและสึนามิบ่อยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก และภัยพิบัติทั้งสองก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2011 แผ่นดินไหวกว่า 9 ริกเตอร์ สะเทือนไปยังโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ไดอิจิในเมืองฟูกูชิมะ หากคิดว่าแผ่นดินไหวเข้าขั้นย่ำแย่แล้ว เคราะห์ยังซ้ำกรรมยังซัดญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องด้วยสึนามิสูงราว 15 เมตร ซัดผ่านแนวกั้นกำแพงที่สูงเพียง 10 เมตร ทะลักเข้าสู่โรงงานและเตาปฏิกรณ์ ทำให้ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินไม่สามารถใช้งานได้ ระบบหล่อเย็นของเตาปฏิกรณ์ 3 จาก 6 เครื่องหยุดทำงาน ความร้อนในเตาพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ก๊าซไฮโดรเจนภายในเตาปฏิกรณ์จึงระเบิด สร้างความเสียหายใหญ่หลวงจนสารเคมีอันตรายเล็ดลอดออกมาจากโรงงาน เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐทราบถึงความผิดปกติครั้งใหญ่ พวกเขาทำอะไรไม่ได้มากนอกจากสั่งอพยพประชากรในละแวกใกล้เคียงในรัศมี 20
เคยเหงาจนลองคิดว่าจะจ้างคนแปลกหน้าให้มานั่งเฉยๆ อยู่ข้างๆ บ้างไหม? ถ้าไม่ แสดงว่าคุณอาจยังรู้สึกสบายใจกับการแบ่งปันเรื่องราวกับครอบครัว เพื่อนฝูง หรือคนรัก แต่มีชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกไม่สบายใจจะเล่าบางเรื่องให้คนรู้จักฟัง ‘ธุรกิจเช่าคน’ ที่คิดว่าไม่ทำได้จึงได้รับความนิยมมากในแดนอาทิตย์อุทัย โมริโมโตะ โชจิ (Morimoto Shoji) ชายหนุ่มธรรมดาที่มีอะไรไม่แปลกแตกต่างไปจากชาวโตเกียวคนอื่น ทว่าตอนนี้กลายเป็นคนที่มีเรื่องเล่าไม่ธรรมดาเสียอย่างนั้น ชายวัย 37 ปี จบการศึกษาด้านฟิสิกส์ในระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยโอซาก้า ทำงานด้านสื่อสารมวลชน และเคยเป็นบรรณาธิการให้กับสำนักพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการเรียนการสอน โปรไฟล์ชีวิตของโชจิถือว่าอยู่ในระดับดีเยี่ยม ที่ลองถามเพื่อนเขาคนไหนก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะเบนเข็มมาไกลได้ถึงขนาดนี้ หลังเริ่มต้นชีวิตวัยทำงานได้ไม่นาน โชจิเกิดความรู้สึกเบื่อกับความจำเจของการทำงานเดิม ๆ อยากมีเวลาว่างให้พักหายใจมากขึ้น อยากลองทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน เขานั่งใคร่ครวญแล้วพบว่าตัวเองไม่ได้มีความสามารถพิเศษที่โดดเด่นหรือเก่งมากกว่าใครเลย แต่เรียนจบปริญญาโทเพราะสังคมที่เขาอยู่พากันเรียนต่อ เขาจึงเรียนต่อเหมือนกับเพื่อนในวงสังคม พานคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับอะไรสักอย่าง และสิ่งที่ใช่ที่สุดอาจหมายถึงการอยู่เฉย ๆ ก็ได้นั่งครุ่นคิดกับตัวเองอยู่พักใหญ่ว่างานแบบไหนที่จะตอบทุกโจทย์ที่ตั้งไว้ สุดท้ายโชจิลองโพสต์ข้อความลงโซเชียลมีเดียเมื่อเดือนมิถุนายน 2018 เสนอใครก็ตามที่เลื่อนฟีดมาเห็นว่าสามารถจ้างเขาให้อยู่เฉย ๆ เป็นเพื่อนได้ สำหรับใครที่เหงาหรือต้องการใครสักคนให้จ้างเขาได้เลย ใครจะคิดว่าการโพสต์ข้อความแบบไม่จริงจังนักทำนองจ้างผมทำงานได้ จ้างผมอยู่เป็นเพื่อนได้ หรือจ้างเราไว้รับฟังเรื่องปวดหัวของคุณสิ จะมีคนให้ความสนใจมากกว่าที่คิด รายการคำสั่งที่เขาได้รับมีทั้งนัดเจอเพื่อพูดคุย (หรือถ้าพูดกันตรง ๆ คือจ้างให้ไปนั่งฟังคนอื่นระบายปัญหาชีวิต) จ้างไปกินข้าวกลางวันเป็นเพื่อน จ้างไปนั่งดื่มเบียร์เย็น ๆ แก้วโต หรือจิบสาเกเคล้าเนื้อย่างในร้าน