ถ้าพูดถึงปืนที่หนุ่ม ๆ อย่างเราคุ้นตามากที่สุด Walther PPK และ PKK/s คงเป็นหนึ่งในปืนพกที่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะแฟนของภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ เพราะนี่คืออาวุธประจำตัวของสายลับ 007 ซึ่งปัจจุบันกลับมาวางขายอีกครั้งแล้ว Walther PPK และ PKK/s เป็นปืนที่ผู้เขียนนวนิยายเจมส์ บอนด์ อย่างเอียน เฟลมมิง ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านปืนชื่อว่า Geoffrey Boothroyd ก่อนจะเขียนเรื่องราวให้เป็นอาวุธประจำตัวของสายลับ 007 มาตั้งแต่ภาค Dr. No ในปี 1962 และยังคงใช้มาจนถึงภาค Skyfall ซึ่งใช้งานในฉากสำคัญ และด้วยความที่มันเป็นปืนพกซึ่งเข้ากันได้ดีกับสไตล์และบุคลิกสุดเท่ของ 007 ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในปืนพกรุ่นคลาสสิกที่เหล่าแฟน ๆ เจมส์ บอนด์ ทั้งหลายอยากสะสมหรือมีไว้ในครอบครองมาโดยตลอด Walther PP คือปืนพกขนาด 7.65 x 17 มิลลิเมตร ผลิตขึ้นครั้งแรกในปี 1929 ออกแบบโดย Carl Walther Waffenfabric ในยุคแรกเริ่มตั้งใจออกแบบเพื่อใช้เป็นอาวุธประจำตัวสำหรับตำรวจและทหารของประเทศโซนทวีปยุโรป
สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจาก Coronavirus จบลง คือการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิต มนุษย์จะเกิดการเรียนรู้และมีการเปลี่ยนพฤติกรรมหลายอย่างไปอย่างถาวร หรือที่เรียกว่า New Normal นั่นเอง เช่นเดียวกับการออกแบบที่อยู่อาศัย ในอนาคตเราอาจจะต้องการบ้านที่ตั้งอยู่เป็นอิสระจากผู้คน เพื่อรองรับการทำ Social Distancing ที่อาจจะเกิดขึ้นบ่อยจากสารพัดไวรัสในอนาคต และคงไม่มีบ้านหลังไหนจะเหมาะกับการกักตัวอยู่อาศัยได้เท่า Lilypad Floating Villa หลังนี้ Lilypad คือ Private Floating Villa ทั้งที่อยู่อาศัยและเป็นแพลอยน้ำตั้งอยู่ใกล้ Australia’s Palm Beach ออกแบบโดย Chuck Anderson, Australian architect, Villa กลางน้ำขนาด 1 ชั้นครึ่ง ออกแบบอย่าง Minimal ด้วยวัสดุไม้น้ำหนักเบา ในโทนสีอ่อน กำแพงสีขาวที่ต่อเนื่องไปจนถึงเพดานช่วยทำให้ห้องดูใหญ่ขึ้น เพิ่มความเท่ด้วยการตัดลายเส้นบนขอบประตูกระจกและพื้นไม้สีดำ ไล่โทนให้อ่อนลงด้วยเฟอร์นิเจอร์โทนสีน้ำตาล ช่วยสร้างความรู้สึกผ่อนคลายให้ทุกครั้งที่ได้อยู่อาศัย ภายนอกล้อมรอบด้วยระเบียงสำหรับทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น paddle boarding หรือจะนั่งตกปลา ชมวิวทะเล ทานอาหารเคล้าวิวธรรมชาติล้อมรอบของ New
หากพูดถึง ‘คาตานะ’ บางคนอาจยังไม่รู้จักและไม่แน่ใจว่าคืออะไร แต่ถ้าเอ่ยถึงดาบของซามูไรคนส่วนใหญ่มักรู้ถึงความแข็งแกร่ง ความคม กับจิตวิญญาณของนักรบผู้ถือดาบที่เชื่อมกับคาตานะในมือ ซึ่งชาวญี่ปุ่นต่างยกย่องว่าดาบคาตานะเป็นอาวุธร้ายกาจที่สร้างสรรค์จากเหล็กกล้าเนื้อดีและคมกริบจนน่าตกใจ เวลานี้มีดาบญี่ปุ่น 5 เล่ม ถูกเรียกว่า “ห้าดาบใต้หล้า” หรือ “ห้าดาบสวรรค์” (Tenka-Goken) ทั้งหมดล้วนเป็นดาบที่แข็งแกร่ง สวยงาม ผ่านกาลเวลามาอย่างโชกโชนแต่ยังคงความสมบูรณ์แบบ พร้อมถ่ายทอดประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของนักรบญี่ปุ่น โดยดาบนามว่า มิคาสึกิ มุเนะจิกะ (Mikazuki Munechika) หนึ่งใน 5 ดาบชั้นยอด ถูกเก็บไว้อย่างดีในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติโตเกียว แถมยังสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้มาเยือน เพราะเวลาผ่านมากว่าพันปีแต่ดาบยังคงเงางามเหมือนเพิ่งตีเสร็จใหม่ ๆ การตีดาบคาตานะถูกทำต่อเนื่องมากว่าพันปี ช่างตีดาบชาวญี่ปุ่นสามารถตีดาบด้านคมตัดได้แม้กระดาษหรือเส้นผมหนึ่งเส้นทั้งที่ยุคนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีทันสมัยหรือเครื่องจักรคุณภาพสูง จึงทำให้คาตานะกลายเป็นผลงานศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวญี่ปุ่น ยุคแรกเริ่มที่ญี่ปุ่นเริ่มตีดาบอย่างจริงจัง ว่ากันว่ามีช่างตีดาบคนหนึ่งจากยุคโบราณ (นักประวัติศาสตร์คาดเดาว่าเขาน่าจะอยู่ในยุคนารา (ค.ศ. 710194) หรือยุคเฮอัง (ค.ศ. 794-1185)) นามว่า “อามากุนิ” (Amakuni) รู้สึกหงุดหงิดเมื่อรู้ข่าวว่าลูกค้านำผลงานของเขาไปใช้แล้วดาบหักออกเป็นสองท่อน จึงเริ่มต้นค้นคว้าหาว่าพอจะมีวิธีไหนบ้างที่ทำให้ดาบแข็งแกร่งขึ้น ในที่สุดเขารู้เคล็ดลับการตีดาบว่าสิ่งสำคัญไม่ใช่การเลือกเนื้อเหล็กราคาแพงสุดหรือใช้วัตถุดิบหายากจากต่างแดน แต่เป็นเรื่องของการควบคุมความเย็น ปริมาณคาร์บอนที่เหมาะสมเพราะถ้ามีคาร์บอนมากเกินไปดาบจะเปราะแต่หากคาร์บอนน้อยเกินไปดาบจะอ่อน ตีดาบซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้เนื้อเหล็กทับซ้อนเข้าด้วยกัน และแยกสารปะปนในเหล็กออกมาทำให้ดาบไม่หักง่ายอีกต่อไป แม้วิธีของอามากุนิจะแก้ปัญหาดาบหักเป็นสองท่อนแต่ถือว่ายังไม่ดีพอ เหล่านักรบต้องการมากกว่าดาบที่ไม่หัก พวกเขาต้องการดาบที่สามารถบั่นคอคนกระเด็นด้วยการฟันแค่ครั้งเดียว
ตอนนี้มีกระแสหนึ่งในทวิตเตอร์ที่กลายเป็นสงครามวัด EQ ระดับประเทศที่ใคร ๆ ต่างก็พูดถึงในโลกโซเชียลอย่าง #nnevvy ที่ทุกสื่อกำลังพูดถึง หรือบางคนอาจจะได้ร่วมแจมกับการติด Hashtag ไปแบบงง ๆ โดยไม่ทันรู้ต้นสายปลายเหตุ UNLOCKMEN จึงขอสรุปที่มาที่ไปให้เข้าใจง่าย ๆ จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ มาจากกระแสความดังของซีรีส์วายไทยที่ชื่อว่า เพราะเราคู่กัน (2gether The Series) ฉายทางช่อง GMM ทุกวันศุกร์ตอนนี้เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนที่ 8 แล้ว โดยเล่าเรื่องราวความรักของคู่ชาย–ชายในมหาวิทยาลัย ซึ่งเริ่มต้นจากการแกล้งเป็นแฟนกันของ 2 ตัวละครเอก ได้แก่ ไทน์ (รับบทโดย เมธวิน) และสารวัตร (รับบทโดยไบรท์ วชิรวิชญ์) จนพัฒนาเป็นความรัก จากเคมีที่เข้ากัน ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ดังในชั่วข้ามคืน และกระแสแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนนอกจากในประเทศไทยแถบเอเชียก็ถือว่ากวาดแฟนคลับชาติอื่น ๆ ทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลีไปได้เยอะพอสมควร และอะไรก็ตามที่มาจากซีรีส์เรื่องนี้มักจะติดเทรนด์ twiter เสมอ แถมหลายครั้งยังโผล่เป็นเทรนด์ทวิตโลกด้วย CHECK POINT 1 :
มาเฟีย คือชื่อเรียกของกลุ่มคนและสมาชิกแก๊งอาชญากรรมที่มีจุดเริ่มต้นจากประเทศอิตาลีในช่วงศตวรรษที่ 18 ระยะเวลาที่อยู่คู่กับผู้คนมาเป็นเวลานานจึงไม่แปลกที่องค์กรเหล่านี้จะมีอิทธิพลและความผูกพันฝั่งแน่นกับคนในพื้นที่ปกครอง ไม่ต่างจากยากูซ่าในญี่ปุ่น หรือพ่อค้ายาในเม็กซิโกหรือโคลอมเบีย รายได้ของกลุ่มคนเหล่านี้มักมาจากการหากินแบบผิดกฎหมายทุกรูปแบบ แอบแฝงไว้ในธุรกิจต่าง ๆ ทั้งยาเสพติด ค้าประเวณี ลักพาตัว และปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ทางการอิตาลีพยายามหาทางปราบปรามมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ใครจะคิดว่าในช่วงเวลาที่ผู้คนในประเทศส่วนใหญ่กำลังประสบปัญหาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดที่รุนแรงและกินระยะเวลายาวนานขึ้นเรื่อย ๆ จะเป็นช่วงเวลาที่เห็นแก๊งมาเฟียจยื่นมาเข้ามาช่วยเหลือประชาชนที่กำลังมีปัญหา! และชื่อของพวกเขาคือคามอร์รา อย่างที่หลายฝ่ายรับรู้ว่าอิตาลีกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ดูเหมือนจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจุบันพวกเขามียอดจำนวนผู้ติดเชื้อที่ 156,300 คน เสียชีวิตแล้ว 19,800 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 13 เมษายน 2563) แต่ก่อนหน้านี้การระบาดในประเทศลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ทำให้รัฐบาลต้องประกาศเคอร์ฟิวให้ประชาชนกักตัวอยู่ในบ้าน ซึ่งเวลาก็ผ่านมาจะครบ 1 เดือนแล้ว แต่สถานการณ์ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ทำให้ให้กลุ่มคนที่มีรายได้น้อยเริ่มประสบปัญหาขาดแคลนอาหารและอุปกรณ์ยังชีพที่จำเป็น ขณะเดียวกันเศรษฐกิจของประเทศอิตาลีก็ได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ ซึ่งอาจต้องกู้เงินเพิ่มหรือรอรับเงินระดมทุนช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป ทั้งหมดส่งผลให้การแก้ปัญหาของภาครัฐในพื้นที่ห่างไกล รวมถึงกลุ่มคนยากจนเป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง การขาดแคลนอาหารและรายได้ในหลายพื้นเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นในแคว้นซิซิลี ประชาชนหาเช้ากินค่ำเริ่มกดดันขออาหารจากเจ้าของร้านซูเปอร์มาเก็ตเพราะไม่มีเงินจ่าย บางแห่งถูกขโมยจนตำรวจต้องเข้ามาควบคุมเหตุการณ์ แต่ก็ยังมีอีกหลายร้านที่เต็มใจแจกจ่ายอาหารฟรี ๆ เพื่อช่วยเหลือคนในชุมชน แต่อาหารก็ยังคงไปไม่ถึงผู้คนอีกจำนวนมาก เมื่อคนที่มีอำนาจบริหารประเทศอยู่ในมือทำงานไม่ทันท่วงที
ในปี 1970 วันที่ 11 เมษายน ภารกิจ Apollo 13 ถูกสั่งยกเลิก ทั้งลูกเรือบนยานหรือเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินล้วนไม่เคยประสบกับเรื่องระทึกขวัญเฉียดหายนะแบบนี้มาก่อน นักบินอวกาศมากประสบการณ์ James Lovell พร้อมลูกเรือได้รับมอบหมายภารกิจให้เดินทางไปดวงจันทร์ ซึ่งนับเป็นภารกิจนำมนุษย์ไปยังดวงจันทร์ครั้งที่สาม และเป็นผลงานความสำเร็จชิ้นถัดไปของโครงการอพอลโล นอกจาก Lovell ทั้ง Jack Swigert นักบินประจำยานควบคุม และ Fred Haise นักบินประจำยานสำรวจดวงจันทร์ ต่างก็สวมใส่นาฬิกาโครโนกราฟ OMEGA Speedmaster Professional – หนึ่งในอุปกรณ์อย่างเป็นทางการของ NASA สำหรับทุกภารกิจอวกาศที่มีมนุษย์นับตั้งแต่ปี 1965 ด้วยเช่นกัน เครื่องบอกเวลายังคงเป็นหัวใจสำคัญของอุปกรณ์สำหรับภารกิจอย่างไม่มีผันแปร ตามที่ James Ragan วิศวกรของ NASA ที่เป็นผู้ทดสอบและรับรองมาตรฐานของ OMEGA Speedmaster กล่าวไว้เมื่อปี 1964 ว่า “นาฬิกาถือว่าเป็นอุปกรณ์สำรองที่มีความสำคัญยิ่งยวด หากนักบินอวกาศไม่สามารถติดต่อสถานีภาคพื้นได้ หรือเครื่องบอกเวลาดิจิตอลมีปัญหา ของชิ้นเดียวที่พวกเขาจะสามารถฝากชีวิตได้ก็คือนาฬิกาที่สวมอยู่บนข้อมือ ของที่ขาดเสียไม่ได้เมื่อมีปัญหา”
ในยุคที่เชื้อไวรัส COVID-19 กำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลก ประเทศในทวีปยุโรปและอเมริกาเริ่มรับช่วงต่อจากจีนแผ่นดินใหญ่และกลายมาเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสชนิดนี้แทน นำมาซึ่งการปิดบางเมืองในกลุ่มเสี่ยง งดประชาชนออกนอกเคหสถาน และเพิ่มมาตรการตรวจสอบข้อมูลรายคนแบบละเอียดยิบ ขณะเดียวกันรัฐบาลก็เริ่มหยิบยืมความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัย เข้ามาช่วยต่อสู้ฟาดฟันกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 มากขึ้น โดยพวกเขาเชื่อว่าเทคโนโลยีอาจเป็นความหวังเดียวที่จะแก้ปัญหาวิกฤตครั้งนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากนโยบายเว้นระยะห่างจากสังคมและการประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อจำกัดการออกนอกบ้านของประชาชน อาจยังไม่เพียงพอที่จะทำลายห่วงโซ่ของการแพร่กระจายไวรัสได้ รัฐบาลของหลายประเทศจึงใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการตรวจสอบการเคลื่อนไหว ประเมินความเสี่ยงของผู้ติดเชื้อ รวมถึงยับยั้งการแพร่กระจายเชื้อไวรัสที่ติดต่อจากคนสู่คน ทำให้ปัญหาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ถูกนำมาใช้งานอย่างหลากหลาย ตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ไปจนถึงระบุตัวตนผู้ที่ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัย หรือแม้แต่อากาศยานไร้คนขับอย่างโดรนที่เรารู้จักกันดี ยังถูกใช้ถ่ายภาพความร้อนเพื่อค้นหาผู้ที่ติดเชื้อไวรัส ตลอดจนพ่นยาฆ่าเชื้อในพื้นที่ที่ปนเปื้อนได้อย่างปลอดภัย สิงคโปร์กับแอปพลิเคชัน TraceTogether รัฐบาลสิงคโปร์เปิดตัวแอปพลิเคชัน ‘TraceTogether’ เพื่อติดตามการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสและตรวจสอบว่าผู้ใช้ปฏิสัมพันธ์หรือใกล้ชิดกับใครบ้าง เมื่อผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันนี้และเจ้าของสมาร์ตโฟน 2 เครื่องอยู่ใกล้กันภายในระยะ 6 ฟุต TraceTogether จะแลกเปลี่ยน temporary ID ระหว่างเครื่องโดยอัตโนมัติ ผู้ใช้ไม่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลการติดต่อของกันและกันได้ มีเพียงเซิร์ฟเวอร์เท่านั้นที่รู้ว่าเจ้าของสมาร์ตโฟนเครื่องนั้น ๆ เป็นใคร แล้วเมื่อใดที่ตรวจพบเชื้อ COVID-19 เจ้าหน้าที่จะขอเข้าถึงข้อมูลว่าผู้ใช้คนดังกล่าวได้แลกเปลี่ยน temporary ID กับใครไปแล้วบ้าง เพื่อประเมินความเสี่ยงและติดตามการแพร่กระจายของเชื้อต่อไป ฟีเจอร์เจ๋งและความเข้มงวดของรัฐบาลจีน นอกจากประเทศจีนจะใช้ DingTalk,
ถ้าใครพอรู้จักสไตล์การใช้ชีวิตกับความคิดของคนญี่ปุ่น เราจะรู้ว่าพวกเขามุ่งเน้นความคิดและจิตวิญญาณ การทำบางสิ่งจากความต้องการภายใน การเคารพธรรมชาติ บูชิโด อิคิไกและคิสึงิ ดังนั้นเมื่อมีคนทำผิดกฎหมายพวกเขาต้องรับโทษไม่ต่างจากคนทำผิดในประเทศอื่น ๆ ความแตกต่างที่น่าสนใจของกระบวนการยุติธรรมญี่ปุ่นคือพวกเขาไม่ต้องการให้นักโทษรู้สึกสูญสิ้นตัวตน ไม่ได้บอกว่าคนทำผิดเป็นคนสารเลว พยายามดึงให้คนที่จิตใจต่ำทรามที่สุดรู้สึกสำนึกให้กลับมาเป็นคนดีอีกครั้ง ผ่านการบีบคั้นอยู่ในห้องสอบสวนเป็นเวลานาน ๆ เพื่อให้นักโทษรับสารภาพให้ได้ ฟังเหมือนหนังสือการ์ตูนลูกผู้ชาย แต่ระบบความยุติธรรมและความคิดส่วนใหญ่ของชาวญี่ปุ่นเป็นแบบนี้จริงๆ หลายคนเมื่ออ่านแล้วอาจยังไม่อยากปักใจเชื่อ ดังนั้น UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปสำรวจคุกญี่ปุ่นไปพร้อมกันว่าภาพของเรือนจำตรงกับที่จินตนาการไว้ตอนแรกหรือไม่ ภายใต้ความเรียบง่ายนั้นซ่อนความกดดันมหาศาลให้กับเหล่านักโทษอย่างไรบ้าง หลังผ่านกระบวนการสืบสวนสอบสวนสุดหนักหน่วงและพิสูจน์แล้วว่ามีความผิด คนเหล่านั้นถูกส่งตัวไปยังเรือนจำ พอเข้ามาในเขตเรือนจำก็พบกับสไตล์สุดมินิมัลตามแบบฉบับญี่ปุ่น บรรยากาศโล่ง ไม่อึดอัด ไม่สกปรก สีขาวสะอาดตาตัดกับลูกกรงสีเทาสูงเลยหัวและพื้นกระเบื้องสีน้ำตาลอ่อน เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แถมห้องพักของนักโทษญี่ปุ่นจะแตกต่างจากคุกประเทศอื่น ๆ ปกติแล้วห้องนอนในคุกควรเป็นเตียงเหล็กสองชั้นสามหลัง นอนได้หกคนท่ามกลางบรรยากาศทึบ สีเทาของพื้นปูน กำแพงคอนกรีตไร้หน้าต่าง แต่ญี่ปุ่นนำสไตล์การแต่งห้องดั้งเดิมอย่างการปูเสื่อทาทามิ มีฟูกพับได้ให้นอนที่พื้น บางห้องอยู่คนเดียว บางห้องจุคนได้ 6-12 คน การจัดห้องให้ความรู้สึกเหมือนบ้านและสะท้อนภาพลักษณ์ชาตินิยมอย่างชัดเจน แถมห้องอาบน้ำยังมีบ่อแช่ตัวเหมือนโรงอาบน้ำสาธารณะข้างนอกเรือนจำ การใช้จ่ายภายในเรือนจำเหมือนกับภาพยนตร์หรือซีรีส์คุกที่เคยดูทั้งของญี่ปุ่นและต่างประเทศ นักโทษจะไม่ได้รับอนุญาตให้พอเงินสดแต่เงินที่ญาติ ๆ ส่งมาจะถูกเปลี่ยนเป็นแสตมป์ โดยนำโทษนำแสตมป์ไปซื้อสิ่งของที่ต้องการได้ ณ ร้านสหกรณ์เหมือนอย่างซีรีส์เรื่อง Orange is the New Black
เมื่อพูดถึงการสูญเสียของมนุษยชาติ คนส่วนใหญ่มักนึกถึงสงครามโลก สงครามนิวเคลียร์ หรือการก่อการร้าย แต่แท้จริงแล้วการสูญเสียประชากรโลกอย่างมหาศาลเกิดขึ้นจากโรคระบาดมากกว่า จำนวนผู้คนหลายร้อยล้านจากไปด้วยเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย รวมถึงในเวลานี้ที่ทั่วโลกต้องเผชิญกับวิกฤตไวรัสอีกครั้ง UNLOCKMEN จึงอยากย้อนเวลากลับไปในอดีตเพื่อดูว่าก่อนหน้านี้มีโรคระบาดอะไรบ้างที่คร่าชีวิตของผู้คนจนนับไม่ถ้วน และความน่ากลัวของโรคระบาดที่มาพร้อมกับความเจ็บปวดนั้นน่ากลัวไม่น้อยไปกว่าระเบิดนิวเคลียร์หรือรถถังของฝ่ายศัตรูช่วงสงคราม THE BLACK DEATH กาฬโรคสีดำจากสัตว์ฟันแทะ “ความตายสีดำ” “โรคห่า” หรือ “กาฬโรค” คือชื่อของโรคระบาดร้ายแรงเกิดจากแบคทีเรียเยอร์ซิเนีย เปสติส (Yersinia Pestis) ทั้งคนและสัตว์ก็สามารถติดเชื้อนี้ได้ โดยสัตว์ฟันแทะอย่างกระรอก กระจง กระต่าย และหนู มีเชื้อชนิดนี้อยู่ในร่างกายอยู่แล้ว เชื้อสามารถแพร่ไปตามอากาศ ผู้ป่วยกาฬโรคมักเกิดอาการหลากหลายแล้วแต่กรณี เช่น ต่อมน้ำเหลืองโตส่งผลให้มีไข้ หนาวสั่น ปวดหัวรุนแรง เกิดความผิดปกติทางระบบหายใจ บางคนไอเป็นเลือดจนอาจเสียชีวิตได้ภายใน 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยใกล้ตายผิวหนังจะเปลี่ยนเป็นสีดำเพราะเลือดคั่งบริเวณหนังกำพร้า จึงทำให้ใคร ๆ ต่างเรียกกาฬโรคว่าความตายสีดำ ด้วยความรุนแรงทำให้ผู้ป่วยสามารถตายได้ใน 24 ชั่วโมง ส่งผลให้กาฬโรคเป็นแบคทีเรียคร่าชีวิตของผู้คนจำนวนมากที่ยากจะมีเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียชนิดอื่นมาสู้ได้ แรกเริ่มที่มีการบันทึกประวัติศาสตร์โลกพบว่ากาฬโรคหรือโรคห่าเกิดขึ้นครั้งแรกในจักรวรรดิไบแซนไทน์ และแพร่กระจายไปถึงอียิปต์ เอเชียกลาง และเข้าสู่กลางกรุงคอนสแตนติโนเปิลอันโด่งดัง ผู้คนล้มตายกันวันละเป็นหมื่นคน กินเวลานานกว่า 50 ปี
สาวก NIKE น่าจะหลงรักแบรนด์มากขึ้นไปอีก เมื่อได้รู้ว่า Nike Air Sole เทคโนโลยี Signature ใกล้ตัว กำลังถูกปรับเปลี่ยนเป็นชิ้นส่วนสำหรับผลิตหน้ากาก Face Shields ให้กับเหล่าแพทย์และพยาบาล เพื่อต่อสู้กับมือกับ Coronavirus Nike เป็นแบรนด์ล่าสุดที่ร่วมพัฒนาอุปกรณ์ป้องกันทางการแพทย์ โดยเปิดตัวพร้อมดีไซน์ Face Shields ที่ออกแบบโดยร่วมพัฒนาภายใต้คำแนะนำของ Oregon Health & Science University (OHSU) เพื่อให้ได้ design และ function ที่เป็นประโยชน์กับผู้กล้าแถวหน้าที่ใช้งานจริง ผลิตจากวัสดุที่ใช้ผลิตรองเท้าและเสื้อผ้าของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสายรัดปรับขนาดที่ดัดแปลงมาจากวัสดุผลิตเชือกรองเท้า และตัวล็อคปรับระดับที่เอามาจากไลน์เสื้อผ้า แต่ที่น่าสนใจกว่าคือการนำวัตถุดิบ TPU สำหรับทำพื้น Air ของรองเท้า Nike มาผลิตเป็นแผ่นกันลมและกระจกใสด้านนอกเพื่อป้องกันสารคัดหลั่งจากคนป่วย ออกแบบเป็น Polyurethane film Shields แยกชิ้น 3 ชั้น เพื่อการป้องกันเฉพาะส่วนที่รัดกุมกว่า ในขณะเดียวกันก็ยังช่วยให้การถ่ายเทอากาศทำได้ดีขึ้น “Full-Face Shields เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากในการทำงานดูแลผู้ป่วย