เป็นเช้าที่ตื่นมาพบว่าโลกทั้งใบถูกปกคลุมด้วยความเศร้าอีกครั้ง เมื่อได้รู้ว่า Chester Bennington นักร้องนำวง Linkin Park จากโลกนี้ไปด้วยวัย 41 ปี เป็นการจากไปที่กะทันหัน UNLOCKMEN ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวและแฟนเพลง Chester Bennington มา ณ โอกาสนี้ ไม่ว่าจะเป็นการจากไปอย่างกะทันหันหรือการจากไปก่อนวัยอันควรของใครก็เป็นเรื่องชวนให้โศกเศร้าเสียใจทั้งสิ้น แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของวงการดนตรีต่างประเทศที่ต้องพบเหตุการณ์การจากไปอย่างไม่คาดคิดของนักร้อง นักดนตรีที่มีอนาคตทางดนตรีรอพวกเขาอยู่อีกมาก UNLOCKMEN ขอใช้โอกาสนี้ย้อนความทรงจำถึง 5 นักร้องนักดนตรีที่จากเราไปก่อนวัยอันควร เพื่อร่วมระลึกถึงเขาและเธอที่จะอยู่ในใจพวกเราไปตลอดกาลอีกครั้ง Chester Bennington หนึ่งในวงร็อกที่ได้รับการยอมรับว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดอีกวงหนึ่งคงหนีไม่พ้น Linkin Park พวกเขาทำยอดขายได้มากกว่า 70 ล้านแผ่น รวมถึงเพลงดังติดหูที่เราเชื่อว่าหลายคนล้วนแต่ร้องตามได้ ทั้ง In The End, Numb, One Step Closer และ Heavy ที่มาจากอัลบั้มล่าสุด One More Light Chester Bennington คือนักร้องอีกคนที่มีชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาเผชิญกับเรื่องเลวร้ายในชีวิตหลายอย่าง ทั้งการถูกล่วงละเมิดทางเพศในวัยเด็ก ปัญหาการแยกทางกันของพ่อแม่ อาการติดแอลกอฮอล์ รวมถึงการจากไปของเพื่อนรักอย่าง Chris Cornell
“รอยสัก” ศิลปะบนเรื่องร่างมนุษย์ที่คนจำนวนไม่น้อยต่างหลงใหล แต่อะไรที่อยู่เบื้องหลังคนทำงานศิลปะอย่าง “ช่างสัก” แรงบันดาลใจใดที่ขับเคลื่อนให้พวกเขามาอยู่ตรงนี้ ความกดดันกับการสรรค์สร้างศิลปะที่จะอยู่บนเรือนร่างผู้คนไปชั่วชีวิตทำให้ความคิดของพวกเขาหมุนวนไปทางใด วันนี้ UNLOCKMEN ชวน บอลและดุ่ย ช่างสักจาก St.Martin Tattoo Studio มาพูดคุยกันยาว ๆ เพื่อให้ได้บรรยากาศและการพูดคุยเจาะลึกเป็นกันเอง UNLOCKMEN บุกเข้าไปถึงตรอกข้าวสาร สถานที่ที่ St.Martin Tattoo Studio ตั้งอยู่ท่ามกลางร้านสักอีกหลายร้านและร้านรวงอื่น ๆ บรรยากาศแห่งความหลากหลายและสีสันของตรอกข้าวสารยิ่งกระตุ้นเร้าให้การสัก น้ำหมึก ศิลปะบนเรือนร่างดูมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อเดินทางไปถึง St.Martin Tattoo Studio เราจึงไม่รอให้ความสงสัยคุกรุ่นในตัวเราอยู่นาน เราเริ่มยิงคำถามกับช่างสักมากฝีมือ 2 คนนี้อย่างรวดเร็ว UNLOCKMEN: แนะนำตัวกับชาว UNLOCKMEN หน่อย บอล: ผมชื่อเล่นชื่อบอลครับ แล้วก็ทำงาน tattoo ทำงานสักได้ทั้ง bamboo และ machine ทั้งสองอย่างอยู่ที่ St.Martin Tattoo Studio ข้าวสารครับ ดุ่ย: ชื่อดุุ่ยนะครับ ทำงานเป็นช่างสักอยู่ที่ St.Martin Tattoo Studio
“โรคซึมเศร้า” กลับมาเป็นเรื่องเด่นประเด็นร้อนอีกครั้งเมื่อข่าวไลฟ์โค้ชชื่อดังท่านหนึ่งไล่ผู้ป่วยซึมเศร้าให้ “ไปตายซะ!” โดยอ้างว่าเป็นการทดสอบว่าผู้ป่วยท่านนั้นเสแสร้งแกล้งทำหรือเปล่า? ไม่รู้ว่าไลฟ์โค้ชชื่อดังเป็นจิตแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถในการวินิจฉัยตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่สถานะของไลฟ์โค้ชที่มีคนเชื่อถืออยู่มากอาจสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาการของโรคซึมเศร้ามากขึ้นกว่าที่เป็น เนื่องจากโรคซึมเศร้าก็เป็นโรคที่มักมีคนเข้าใจอะไรผิด ๆ เป็นประจำอยู่แล้ว ผู้ชายอย่างเราจะตกเป็นเหยื่อของข้อมูลผิด ๆ เหมือนคนอื่นไม่ได้ และเพื่อการรับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องเอาไว้แบ่งปันคนอื่นได้อีก วันนี้ UNLOCKMEN เลยเอา 7 ความเข้าใจผิด ๆ เรื่องโรคซึมเศร้าที่คนมักเชื่อกัน แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้น! ผู้ชายอกสามศอกเขาไม่ซึมเศร้ากันหรอก! จำไว้เลยว่าทุกคนมีโอกาสเผชิญหน้ากับภาวะซึมเศร้า ไปจนถึงโรคซึมเศร้า ไม่เว้นแม่แต่ผู้ชายอย่างเรา! โรคซึมเศร้าไม่ได้มานั่งเลือกว่าเพราะคุณเป็นผู้หญิงคุณถึงอ่อนแอและเป็นโรคนี้ คุณเป็นผู้ชายที่เข้มแข็งกว่า คุณไม่มีสิทธิ์เป็นโรคนี้หรอก ดังนั้นหยุดความเข้าใจผิด ๆ นี้ ถ้าคุณรู้สึกแย่เกี่ยวกับตัวเอง การยอมรับตัวเองและพาตัวเองไปพบจิตแพทย์ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นเรื่องเข้มแข็งต่างหากที่คุณกล้ายอมรับและพร้อมเยียวยาสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต โรคซึมเศร้าเป็นเรื่องของคนที่จิตใจอ่อนแอ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความอ่อนแอทั้งสิ้น นี่คือความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง เหมือนที่เรามีความสุข สมองก็หลั่งสารที่ทำให้เรามีความสุขออกมาเราถึงรู้สึกเช่นนั้น โรคซึมเศร้าก็เช่นกันเพราะสารสื่อประสาทที่ควบคุมอารมณ์เศร้า หดหู่ หมองหม่นของเราดันทำงานผิดปกติ หลั่งมันออกมามากเป็นพิเศษ เราถึงเกิดความเศร้าในปริมาณที่มากผิดปกติ ไม่ได้เกี่ยวกับความอ่อนแอของจิตใจแต่อย่างใด คนเป็นโรคซึมเศร้าต้องเคยผ่านเรื่องแย่ ๆ ร้าย ๆ มาเท่านั้น เราอาจเชื่อว่าผู้ป่วยซึมเศร้าต้องผ่านเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิตมา หรือมีวัยเด็กที่ย่ำแย่สุด ๆ
“ความขี้เกียจ” เหมือนจะเป็นสิ่งที่ติดตัวทุกคนมาแต่กำเนิด ขึ้นอยู่กับว่าขี้เกียจมาก ขี้เกียจน้อย หรือใช้เกณฑ์อะไรเป็นเกณฑ์ในการวัดความขี้เกียจกันแน่? คราวนี้นักวิจัยจาก Stanford เขาวัดเอาจากปริมาณการเคลื่อนไหวด้วยการเดินของผู้คนในประเทศนั้น ๆ ว่าเดินมากหรือเดินน้อย ประเทศที่เดินทางด้วยการเดินเป็นหลักถูกมองว่ามีความแอคทีฟมากในหนึ่งวัน ในขณะที่ประเทศที่เฉลี่ยออกมาแล้วว่าผู้คนในประเทศเดินเฉลี่ยต่อวันน้อยเหลือเกินก็ถูกมองว่าอุ้ยอ้ายและขี้เกียจไปโดยปริยาย ก่อนจะดราม่าไปกว่านี้ว่าตกลงการเดินสัมพันธ์กับความขี้เกียจจริงหรือเปล่า UNLOCKMEN ขอชวนคุณมาทำความเข้าใจงานวิจัยชิ้นนี้ไปพร้อม ๆ กันก่อน งานวิจัยครั้งนี้นับเป็นการสำรวจพฤติกรรมทางสุขภาพที่ยิ่งใหญ่จนต้องร้องว้าวมากที่สุดเท่าที่เคยมีการสำรวจมา เพราะมีกลุ่มตัวอย่างมากถึง 717,000 คน จาก 111 ประเทศทั่วโลก โดยการสำรวจครั้งนี้ใช้เครื่องมืออย่างสมาร์ทโฟนเข้าช่วยในการสำรวจว่าในวัน ๆ หนึ่งคนในประเทศนั้น เขาเดินกันวันละกี่ก้าวกันแน่ ผลการสำรวจออกมาว่าฮ่องกงคือประเทศที่แอคทีฟมากที่สุดด้วยการเดินเฉลี่ยต่อคน 6,880 ก้าว ในหนึ่งวัน ในขณะที่ประเทศที่เดินน้อยที่สุด ได้แก่ อินโดนีเซีย ซึ่งเดินเฉลี่ยต่อคนต่อวันอยู่ที่ 3,513 ก้าว มาดูประเทศใหญ่ ๆ อื่น ๆ กันบ้าง โดยจีนอยู่ที่ 6,189 ก้าวต่อคนต่อวัน ญี่ปุ่น 6,010 ก้าว สหราชอาณาจักร 5,444 และสหรัฐอเมริกาค่าเฉลี่ยต่อคนต่อวัน คือ 4,774 ก้าว
ภาพชินตาหน้าร้านเครื่องสำอางชื่อดัง หรือห้างสรรพสินค้าวันที่มีการเซลล์กระหน่ำ คือภาพพ่อบ้านใจกล้าชะตาตกนั่งหงอยเหงารอแฟนสาวช็อปปิ้งด้วยความหมดอาลัยตายอยาก ทำไมโลกนี้ไม่รังสรรค์กิจกรรมมาให้ผู้ชายอย่างเรามีอะไรทำระหว่างรอสาว ๆ ช็อปปิ้งกันบ้าง? เราอาจเคยคิดในใจ ถ้าคุณคือผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังภาวนาถึงกิจกรรมแก้เบื่อระหว่างรอสาว ๆ ช็อปปิ้ง เราอยากบอกว่าเหมือนสวรรค์จะมีตาเข้าข้างพวกเราแล้ว เพราะห้างสรรพสินค้าที่จีนเขาได้คิดค้นกิจกรรมแก้เบื่อที่ว่ามาให้พวกเรา Shanghai’s Global Harbour คือห้างสรรพสินค้าหัวใสปิ๊ง แถมเข้าถึงหัวอกชายหนุ่มเพื่อเหนื่อยหน่ายกับการรอคอย ห้างนี้ตั้งอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน โดยห้างใจดีนี้จัดนวัตกรรมสลายความเบื่อหน่ายของผู้ชายด้วยการสร้างตู้เกมขึ้นมา! เดี๋ยว ๆ เราอาจจะคิดว่า อ้าว ตู้เกมมันก็มีอยู่แล้วทุกห้างไม่ใช่หรอ มันคูลกว่าไอ้ตู้เกมกดที่เด็กมัธยมหัวเกรียนไปนั่งหยอดเหรียญเล่นยังไงกัน? มันไม่ใช่ตู้เกมที่อยู่ในโซนเด็กเล่น และเต็มไปด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวโหวกเหวกให้เราต้องรำคาญใจแต่อย่างใด แต่นี่เป็นตู้กระจกใสที่สร้างมาเพื่อให้คนเดียวเข้าไปนั่งเล่นอย่างเป็นส่วนตัว! ภายในตู้กระจกใส ๆ มีเก้าอี้ที่ออกแบบมาให้นั่งสบายใจ สบายตูด ไม่เหมือนที่นั่งของตู้เกมหยอดเหรียญ แถมเกมคอมพิวเตอร์ที่เขาจัดหามาให้เป็นเกมที่พาคุณย้อนวัยไปในยุค 90 เสียด้วย เรียกว่าเข้าอกเข้าใจผู้ชายวัยกำลังมีแฟนขาช็อปที่แท้จริง ที่สำคัญตอนนี้ยังเข้าไปเล่นฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ในอนาคตห้าง Shanghai’s Global Harbour ก็แพลนว่าอาจจะต้องแลกค่าเข้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยการให้สแกน QR code ถ้าต้องการเข้าไปเล่น เราก็ได้แต่หวังว่าเจ้าตู้แก่เบื่อนี้จะเดินทางไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว หรือห้างไหนในไทยจะอยากเอามาเลียนแบบบ้างเราก็พร้อมจะพาแฟนสาวไปอุดหนุนอย่างแน่นอน ก็นั่งเท้าคางคอตกรอแฟน
ความสัมพันธ์ต่างวัยกลายเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงทั่วบ้านทั่วเมืองอีกครั้ง คราวนี้เป็นเรื่องของสาวสูงวัยและหนุ่มอายุน้อยกว่า แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะเรื่องความสัมพันธ์ที่มีตัวเลขอายุเป็นตัวคั่นกลาง แต่คนสองคนหลงใหลในตัวกันและกันมีให้เห็นเป็นเรื่องปกติ ถ้ายังนึกภาพไม่ออก แต่อยากรู้ว่าความหลงใหลข้ามเขตแดนอายุหน้าตาเป็นอย่างไร UNLOCKMEN ขอนำเสนอหนัง 5 เรื่องที่ว่าด้วยลุงหรือป้าที่มีใจสเน่ห์หาสาว ๆ หนุ่ม ๆ ที่อายุอ่อนกว่าตัวเอง จะถึงพริกถึงขิงแค่ไหน? จะไปกันรอดหรือเปล่า? มีความรักจริงแท้หรือแค่ความใคร่กันแน่? เรามาดูไปพร้อม ๆ กัน Lolita ขึ้นหิ้งหนังความสัมพันธ์ต่างวัยที่อมตะนิรันดร์กาลที่สุดเลยก็ว่าได้ ภาพยนตร์มีออกมาแล้ว 2 เวอร์ชัน คือปี 1962 และ 1997 เรื่องราวความสัมพันธ์ของ ฮัมเบิร์ต หนุ่มใหญ่ที่หลงรักลูกบุญธรรมของตัวเองซึ่งมีอายุเพียง 12 ปีเท่านั้น! นี่จึงไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ต่างวัย แต่เป็นหนังที่ท้าทายศีลธรรมอย่างมาก ตลอดเรื่องจะถูกเล่าผ่านความหลงใหลคลั่งใคล้ของหนุ่มใหญ่ที่มีต่อเด็กสาว ส่วนเรื่องนี้จะจบอย่างไรนั้น? เราบอกเลยว่าคุณอาจจะคาดไม่ถึงเลยทีเดียว ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบความสัมพันธ์ต่างวัยกึ่งอีโรติกหรือไม่ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความคลาสสิคที่ควรค่าแก่การหามาดูเป็นอย่างยิ่ง The Lover The Lover พาเราก้าวเข้าสู่เวียดนามในช่วงที่ตกเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส ตัวเอกของเราคือเด็กสาวแรกแย้มชาวฝรั่งเศสวัย 15 ปีที่อาศัยอยู่ในเมืองไซ่ง่อน เธอมีความสัมพันธ์กับหนุ่มชาวจีนวัย 27 ปี ก่อนจะจบลงเพราะชายหนุ่มต้องไปแต่งงาน
ได้ยินคำว่า “หนังสือให้ความรู้” เราก็นึกออกแต่หนังสือปกสีเคร่งขรึม เปิดมาเจอตัวอักษรเล็ก ๆ เรียงยาวเหยียดชวนหลับ แต่หนังสือ 5 เล่มที่ UNLOCKMEN ภูมิใจนำเสนอนี้คือหนังสือ 5 เล่ม 5 สไตล์ที่สดใสจี๊ดจ๊าดตั้งแต่หน้าปก (แค่ถือก็คูลแล้ว) แถมอัดแน่นไปด้วยสาระความรู้ที่เรารับรองว่าหาอ่านจากที่ไหนไม่ได้ ที่สำคัญเป็นความรู้ สาระหนัก ๆ อย่างประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ จิตวิทยาแต่อ่านง่าย ภาษาสนุก ทำความเข้าใจได้ในรอบเดียว อ่านจบนอกจากได้ความรู้ ยังได้ความสนุก ได้เรื่องไปเล่าต่อให้คนอื่นฟัง ช่วย UNLOCK ความสามารถในการส่งต่อความรู้ไปสู่วงเหล้า เอ้ย วงเพื่อนไปอีกแบบ ยังไม่ต้องเชื่อหรอก แต่ลองเปิดใจดูสักนิด แล้วเราจะรู้ว่าหนังสือให้ความรู้ ไม่ต้องอ่านแล้วทำหน้ายู่ยี่เสมอไป อ่านไปยิ้มไปได้สาระไปก็ได้ รับรองเลย! ประวัติศาสตร์ความเป็นไทยฉบับไม่น่าเบื่อเหมือนในตำราเรียน ไทยๆ ในโลกล้วนอนิจจัง ผู้เขียน: ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ สำนักพิมพ์: Salmon Books ได้ยินคำว่าประวัติศาสตร์ ผู้ชายหลายคนก็พร้อมเบือนหน้าหนีแล้ว เพราะความทรงจำวัยเด็กกับตำราเรียนประวัติศาสตร์และการท่องจำปี พ.ศ. นั้นไม่น่าพิศมัยเอาเสียเลย ไทย ๆ
เราเติบโตมาพร้อมคำพูดที่ว่า “ขยันวันนี้สบายวันหน้า” เราอยู่ในสังคมที่บอกว่าต้องลำบากก่อนแล้วสบายทีหลัง เชื่อตามกันมาโดยคิดว่ามันดีที่สุด ถูกที่สุด ย้อนกลับไปตอนยังเด็ก เราถูกบอกว่าต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนถึงจะได้ออกไปเล่น ต้องกินอาหารจานหลักก่อนแล้วค่อยกินขนมหวาน ต้องตั้งใจเรียนก่อนแล้วถึงจะได้รางวัล สอบมิดเทอมเสร็จก่อนแล้วค่อยไปปาร์ตี้กับเพื่อน ฯลฯ แม้กระทั่งตอนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องคอยบอกตัวเองว่าทำงานให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปสนุกสุดเหวี่ยง การทำงานก่อน แล้วเอาความสนุก ความสุข ความสบาย ไว้เป็นเพียงรางวัลปลอบใจให้ความหนักหน่วงของชีวิตใช่คำตอบที่ถูกต้องเสมอไปหรือเปล่า? เราเคยสงสัยกันบ้างไหม? หรือเราแค่เชื่อตาม ๆ กันมาแล้วบอกว่าดีโดยไม่เคยตั้งคำถามกับมันกันแน่? โชคดีดันมีคนเขาสงสัยว่าวิธีคิดแบบนี้มันถูกต้องแน่หรือเปล่าจึงเกิดเป็นงานวิจัยที่ชื่อว่า Worth the Wait? Leisure Can Be Just as Enjoyable With Work Left Undone ขึ้น ซึ่งจัดทำโดย Ed O’Brien จาก University of Michigan งานวิจัยมีสมมติฐานหาญกล้าที่ว่า ไม่เห็นต้องทำงานก่อน สนุกทีหลังเลย คนเราควรสนุกแม่งเลย ทำงานด้วยสนุกด้วย อย่าเอากรอบมาขวาง จากนั้นเขาจึงทำการทดลองหลาย ๆ รูปแบบ เริ่มต้นที่พนักงานที่ทำงานในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งมาทำกิจกรรม 2 อย่าง
“กินอย่างกับแมวดม มันจะไปอิ่มอะไร” ผู้ชายอย่างเราอาจจะเคยบ่นสาวข้างกายไว้อย่างนี้ การดมกับการกินถูกเอามาเปรียบแบบงง ๆ เพราะถ้าเทียบกันแล้ว ดมยังไงก็ไม่น่าจะทำให้คนอิ่มหรืออ้วนได้ (ก็แน่ล่ะคนเราต้องกิน ไม่ใช่ต้องดม) แต่จะช็อคแค่ไหน ถ้ามีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ออกมาแล้วว่า แค่ดมกลิ่นอาหารก็สามารถทำให้เราน้ำหนักเพิ่มขึ้นได้แล้ว! ฟังดูทั้งช็อค ทั้งน่ากลัว มันจะดมไม่กี่ลมหายใจ แล้วจะหนักขึ้นมาเร็วไวเหมือนที่เราคิดหรือเปล่า หรือมีความซับซ้อนมากกว่านั้น? UNLOCKMEN หาคำตอบมาให้อ่านง่าย ๆ แล้ว The Sense of Smell Impacts Metabolic Health and Obesity คืองานวิจัยที่จัดทำโดย University of California, Berkeley การศึกษาครั้งนี้ก็ดำดิ่งเจาะลึกลงไปว่าการดมกลิ่นนั้นมันมีผลต่อกระบวนการเผาผลาญและความอ้วนของมนุษย์อย่างไรบ้าง ผลปรากฏว่าการดมกลิ่น การได้กลิ่นเชื่อมโยงกับร่างกายมากกว่าที่เราคิด โดยการดมกลิ่นนั้นมีส่วนให้ร่างกายของเราเลือกว่าจะเผาผลาญไขมันที่มีอยู่ หรือเลือกที่จะเก็บสะสมไขมันนั้นไว้ต่อไป การทดลองนี้ทำกับหนูทดลอง 3 กลุ่ม มีหนูทดลองที่มีประสาทรับกลิ่นตามปกติ หนูทดลองที่ไม่สามารถรับกลิ่นได้ และหนูทดลองที่มีความไวต่อกลิ่นเป็นพิเศษ จากนั้นก็เลี้ยงพวกมันด้วยอาหารชวนอ้วนเต็มพิกัดในปริมาณเท่า ๆ กัน ผลปรากฏว่าหนูทดลองกลุ่มที่ไม่สามารถได้กลิ่นอาหารมีน้ำหนักตัวน้อยที่สุดหลังจากการทดลอง แม้จะกินเท่ากันและเหมือนกัน ไม่เพียงเท่านั้นหนูทดลองที่ได้กลิ่นตามปกติมีน้ำหนักและขนาดตัวเพิ่มขึ้น 1 เท่า ในขณะที่หนูทดลองที่ไม่ได้กลิ่นกลับมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเพียง
โลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันคุ้นชินคือโลกที่สงบสุข แต่โลกที่เรารู้จักท้าทายตัวเองให้เปลี่ยนแปลงตัวเองบ้างคือโลกที่จะทำให้เรากลายเป็นคนใหม่ วันนี้ UNLOCKMEN ขอท้าลูกผู้ชายทุกคนให้ลองเปลี่ยนตัวเองเป็นเวลา 30 วัน! เพื่อทำอะไรที่ดูเหมือนง่ายแสนง่าย แต่อาจเปลี่ยนเราเป็นคนใหม่ได้แบบไม่รู้ตัว 6 ข้อง่าย ๆ ที่จะเปลี่ยนชีวิตเรานั้นมีอะไรบ้าง มาดูไปพร้อม ๆ กัน หัดปฏิเสธเสียบ้าง เราอาจเข้าใจว่าการปฏิเสธมีแต่ด้านไม่ดี แต่พลังแห่งการปฏิเสธก็มีด้านบวกเช่นกัน ลองกระบวนการปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่ปฏิเสธมันทุกอย่างที่เราไม่เต็มใจทำ (ไม่ใช่ต้องทำเพราะเกรงใจ) อย่างน้อย 30 วัน 30 วันแห่งการปฏิเสธจะช่วยให้เราได้บริหารจัดการการจัดลำดับความสำคัญในชีวิต แถมมันจะช่วยให้เราเรียนรู้ว่าจริง ๆ โลกมันไม่ได้หยุดหมุนเลยถ้าเราจะปฏิเสธคนอื่นแล้วทำอะไรเพื่อตัวเองก่อนบ้าง ลดการใช้โซเชียลมีเดีย โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยประโยชน์ และงานจำนวนมาก เราก็ต้องทำโดยใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือ จุดนั้นเราคงไม่ว่ากัน แต่การใช้โซเชียลมีเดียที่รุกล้ำเวลาในชีวิตเราไปจำนวนมากนั้นงานวิจัยจำนวนมาก อาทิ Facebook’s emotional consequences: Why Facebook causes a decrease in mood and why people still use it ที่บอกเราว่าการลดใช้โซเชียลมีเดียทำให้เรามีความสุขมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเชื่อ