คุณเคยลองถามตัวเองไหมว่าทุกวันนี้เคยทำอะไรที่เป็นตัวเองได้เต็ม 100% แล้วหรือยัง? หรือเคยมีโอกาสได้ลองทำมันบ้างซักครั้งหรือยัง? เคยได้ออกจากกรอบที่คอยสกัดกั้นความกล้าบ้าบิ่นของเราแล้วหรือไม่? แน่นอนว่าคำตอบของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป แต่ไม่ใช่กับผู้ชายคนนี้ที่มีนามว่า “นราวุธ อำนวย” หรือที่ใครหลายคนรู้จักกันในชื่อ “แร็ปเอก” แร็ปเอกเคยสร้างกระแสไวรัลในโลกโซเชียลมีเดียเมื่อประมาณเกือบ 10 ปีที่แล้ว ด้วยการแร็ปพรีเซนต์ความเป็นตัวเองแบบได้แหวกแนวสุด ๆ สุดชนิดที่แบบไม่เหมือนใครและไม่มีใครกล้าเหมือน แถมยังมาพร้อมคำสร้อย “อัยย๊ะ ใช่ ๆ” ที่หลอนดูคนฟังมาจนทุกวันนี้ แต่กว่าที่เขาจะยืนหยัดมาได้ต้องสู้รบตบมือกับบรรดาคำวิจารณ์ด้านลบและการถูกบูลลี่ที่ทำให้เขาเคยท้อหนักมาแล้ว แต่เขารับมือกับมันอย่างไรให้ผ่านพ้นช่วงเวลาเลวร้ายเหล่านั้นมาได้ มาทำความรู้จักความเรียลอีกหนึ่งมุมของแร็ปเอกที่หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่เคยเห็นไปพร้อม ๆ กันได้เลยครับ แร็ปเอกอดีตพนักงานพิสูจน์อักษรที่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นศิลปินมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น แม้เขาจะสร้างชื่อด้วยการแร็ป แต่แท้จริงแล้วเขากลับชื่นชอบวงร็อกมากกว่าซะอีก จึงไม่แปลกใจที่ไอดอลของเขาจะมีทั้งวงหิน เหล็ก ไฟ, ดอนผีบิน, Silly Fools, Kiss รวมไปถึง Guns N’ Roses ด้วยเช่นกัน แต่ปัญหาของการทำวงนั่นคือการต้องหาสมาชิกให้ครบทุกตำแหน่ง ซึ่งมันกลายเป็นงานยากของแร็ปเอก ทำให้เขาตัดสินใจเบนเส้นทางจากร็อกเกอร์กลายมาเป็นแร็ปเปอร์แทน “เมื่อก่อนมีความฝันอยากมีวงเป็นของตัวเอง แต่หาไม่ได้เลยคิดว่าออกเดี่ยวไปเลยดีกว่า เพราะมันจะใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้น ก็เลยตัดสินใจมาเป็นแร็ปเปอร์ครับ” ดูเหมือนว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตที่ทำให้อดีตหนุ่มพนักงานประจำได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล หลังจากตัดสินใจได้แล้วว่าชีวิตนี้ต้องเป็นแร็ปเปอร์ เขาจึงลงมือเขียนเพลงที่พรีเซนต์ตัวตนออกมาโดยใช้ชื่อว่าเพลง “แร็ปเอก”
เคยใช่ไหมที่เรารู้สึกขุ่นเคืองใจทุกครั้งกับการประชุมในที่ทำงานเพราะความคิดเราโดนตีตก หรือเคยใช่ไหมที่ทะเลาะกับแฟนเพียงเพราะต้องการเอาชนะความคิดของเขาให้ได้ ปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นสามารถแก้ได้หากคุณสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนคือการอภิปรายเพื่อถกหาข้อเท็จจริง หรือสิ่งไหนถือการโต้เถียงเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เราต้องการ สำหรับความแตกต่างของทั้ง 2 แบบคือ 1.การอภิปรายถือเป็นวิธีที่การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ความเคารพทางความคิดซึ่งกันและกัน 2.ข้อโต้เถียงคือการพยายามที่จะทำให้อีกฝั่งยอมรับความคิดของเราว่าถูกต้องหรืออยู่เหนือกว่า ความแตกต่างของการอภิปรายและการโต้เถียงมันยังบ่งบอกได้จากน้ำเสียง เช่นการโต้เถียงมักจะมาพร้อมกับน้ำเสียงที่พร้อมจะทำลายความมั่นใจของฝั่งตรงข้าม แต่การอภิปรายจะมีความนุ่มนวล ประณีประนอม มีพยายามทำความเข้าใจกับคนที่เห็นต่าง และช่วยขยายมุมมองของแต่ละฝ่ายให้กว้างออกไปมากยิ่งขึ้นได้จากข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รวบรวมมา นอกจากนั้นการโต้เถึยงยังนำพามาสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกัน เพราะมันทำให้คุณรู้สึกถึงการสูญเสียอำนาจหรือความสำคัญอะไรบางอย่างไปเพียงเพราะเรารู้สึกว่าความคิดเราไม่ได้รับการสนับสนุน จนบางครั้งสมองได้ไปกระตุ้นอะดรีนาลีนทำให้รู้สึกอยากจะให้คู่โต้แย้งต้องยอมรับในความคิดเราให้ได้ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากบุคคลที่ไม่สามารถควบคุมอีโก้ของตัวเองได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นการโต้แย้งด้วยอารมณ์จะไม่มีทางได้ไอเดียหรือการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องกลับมาอย่างแน่นอน การโต้เถียงอย่างรุนแรงไม่ได้ส่งผลลบให้กับชีวิตการทำงานเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงชีวิตคู่ด้วย บ่อยครั้งการทะเลาะกันของคู่รักมักจะใช้คำพูดที่รุนแรงหรือภาษากายบางอย่างเพื่อลดทอนคุณค่าของอีกฝ่ายเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกมีอำนาจเหนือกว่า และต้องการจะเอาชนะในการโต้เถียงนี้ให้ได้ จุดนี้มันอาจจะส่งผลไปสู่ความสัมพันธ์ที่ถดถอยลงจนสุดท้ายต้องเลิกราหย่าร้างกันไป ดังนั้นเราจึงต้องยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ยอมรับความเห็นต่าง แม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นด้วยทุกประการก็ตาม ก่อนจะมีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องใช้การตัดสินใจที่รอบครอบ หรือมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงในวงกว้าง เราก็ควรจะต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ ใช้สติให้มาก เปิดใจพร้อมรับฟังความคิดเห็นคนอื่น มันก็จะช่วยให้ชีวิตของคุณมีความสุขมากขึ้นจากที่เคยเป็นมาอย่างแน่นอนครับ Source : 1
การโยกย้ายสโมสรของบรรดานักเตะในโลกฟุตบอลก็เป็นเรื่องปกติ เพราะนโยบายของแต่ละทีมก็ต้องการสร้างความแข็งแกร่งเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ได้ตั้งเอาไว้ ทีมงบน้อยก็ใช้น้อย ทีมงบเยอะก็ใช้เยอะ แตกต่างกันออกไปตามขนาดของสโมสร แต่การย้ายสโมสรจะกลายเป็นเรื่องไม่ปกติทันทีหากนักเตะคนใดคนหนึ่งตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมคู่อริ และนี่คือ 5 แข้งจูดาสแห่งพรีเมียร์ลีกที่โลกฟุตบอลไม่มีวันลืม 1.ไมเคิล โอเว่น ไมเคิล โอเว่น เจ้าของฉายาเบบี้โกลด์ เขาเคยเป็นเจ้าหนูนักเตะที่ฝีเท้าเจิดจรัสแสงตั้งแต่อายุยังไม่ 20 ปี ด้วยความเร็ว ความคม และการกระชากบอลหนีกองหลังอันน่าทึ่ง โดยเฉพาะในฟุตบอลโลก ปี 1998 กับแมตช์ที่พบกับทีมชาติอาร์เจนตินา แม้ว่าทีมชาติอังกฤษจะตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าในเกมวันนั้นคนที่โดดเด่นมากที่สุดก็คือโอเว่น กับจังหวะที่เลี้ยงหลบผู้เล่นทัพฟ้าขาวเข้าไปยิงมันบ่งบอกถึงความสุดยอดของเบบี้โกลด์ได้เป็นอย่างดี จึงไม่น่าแปลกใจที่เหล่าบรรดาเดอะค็อปต่างยกย่องให้โอเว่นกลายเป็นขวัญใจคนใหม่ประจำถิ่นแอนฟิลด์ และมองว่าเขาคนนี้นี่แหล่ะที่จะกลายมาเป็นฮีโร่ของการทวงแชมป์ลีกสูงสุดในเกาะอังกฤษกลับมาให้ได้ แต่แล้วบรรดากองเชียร์ทีมหงส์แดงก็ต้องฝันสลาย ในฤดูกาล 2004-2005 ทางโอเว่นตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมราชันย์ชุดขาว เรอัล มาดริด แต่เขาก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร มีโอกาสลงเล่นไม่ได้มากตามที่คาดหวังไว้ จนสุดท้าย Owen ก็อยู่่ในสเปนได้เพียแค่ 1 ฤดูกาลก่อนตัดสินใจกลับประเทศอังกฤษเพื่อมาร่วมทีมนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด โอเว่นใช้เวลาอยู่ในถิ่นเซนต์ เจมส์ ปาร์ค ทั้งหมด 4 ฤดูกาล แต่ลงเล่นรวมไปเพียง 79 นัด ยิงได้
ชีวิตของคนเราแน่นอนว่าต้องเจอทั้งวันที่ดี ๆ และวันที่ร้าย ๆ หมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนกันไป ในวันที่ดีย่อมสร้างกำลังใจในการใช้ชีวิตของเรา แต่ในวันที่แย่ก็มักจะมีเรื่องมาบั่นทอนความรู้สึกของเราได้เหมือนกัน จนในบางครั้งมันทำให้ความมีชีวิตชีวาของเราหายไปลุกลามถึงขั้นหมดกำลังใจได้เช่นกัน ในเมื่อหมดกำลังใจก็ต้องเติมกำลังใจไม่ว่าจะเป็นจากคนในครอบครัว, คนที่เรารัก, เพื่อนสนิท หรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงาน แต่ถึงแม้จะมีคนรอบตัวมากมายก็อย่าเพิ่งคิดว่าจะได้รับสิ่งที่เราคาดหวังกลับมา เพราะมันอาจจะกลายเป็นสิ่งที่มาตอกย้ำทำให้คุณยิ่งรู้สึกดิ่งลงไปอีก ดังนั้นแล้วเราจึงจำเป็นที่จะต้องมาเรียนรู้การให้กำลังใจกับตัวเองให้เป็น แม้คนจะตีตราว่าการพูดกับตัวเองไม่ต่างจากคนบ้า แต่การไม่รู้จักพูดอะไรกับตัวเองเลยจะทำให้เราเป็นบ้ามากกว่าเดิมซะอีก สิ่งเหล่านี้ยืนยันได้จากผลวิจัยของ American Psychological Association ที่บ่งบอกว่าการพูดคุยกับตัวเองในทางบวกนั้นดีต่อสุขภาพจิตใจของคุณอย่างมากเลยทีเดียว การพูดในเชิงบวกให้ตัวเองยังส่งผลให้มีส่วนช่วยในการปรับอารมณ์และสภาวะจิตใจ ซึ่งวิธีดังกล่าวบรรดานักกีฬาโอลิมปิกหรือนักกีฬามืออาชีพมักจะหยิบนำมาใช้เวลาซ้อมหรือก่อนลงทำการแข่งขันอยู่เสมอเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง รวมไปถึงบรรดานักดนตรีแนวร็อกที่มักจะมีคำพูดปลุกความฮึกเหิมให้กับตัวเองก่อนขึ้นเวที การพูดกับตัวเองในเชิงบวกเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเยียวยาจิตใจของตนเอง และมันยังสามารถใช้ได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่มีค่าใช้จ่ายซักบาท มันสามารถช่วยขจัดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าจากอารมณ์ของคุณออกไปได้ และเป็นวิธีการง่ายๆ ในการสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง เท่านั้นยังไม่พอการพูดกับตัวเองในเชิงบวกยังช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดให้ลดลงได้ ทาง Barton Goldsmith ปริญญาบัณฑิตสาขาจิตวิทยาได้เผยว่าตัวเขาได้เคยไปดูการทำงานของบรรดาสตั๊นท์แมนในกองถ่ายทำภาพยนตร์ ซึ่งจะมีฉากที่ดูแล้วยังไงต้องได้รับอาการบาดเจ็บอย่างแน่นอน เช่น การตกบันได แต่สตั๊นท์เหล่านั้นดูเหมือนว่าแทบจะไม่เป็นอะไรเลย ซึ่งพวกเขาได้เปิดเผยเคล็ดลับกับทาง Barton ว่า “คุณต้องทำจิตให้ว่างและคอยพูดคุยกับร่างกายของตนเอง” หลังจากนั้นทาง Barton ได้มีโอกาสทดลองด้วยตนเองเพราะเขาได้ลื่นตกจากบันไดในอพาร์ตเมนต์ และเขาได้พยายามพูดกับตัวเองว่า “ทุกอย่างจะโอเค ปล่อยใจให้สบาย” สุดท้ายเขาก็ได้ผลลัพธ์ตรงตามที่สตั๊นท์แมนเคยแนะนำ เพราะ Barton พบว่าเขาไม่ได้มีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก
ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา เราเชื่อว่าทุกคนคงเจอทั้งเรื่องราวดี ๆ ที่น่าจดจำ และเรื่องราวร้าย ๆ อันแสนเจ็บปวดกันมาอย่างโชกโชน แต่ชีวิตคนเรานั้น ไม่ได้มีอะไรที่คงอยู่ตลอดไป มีขึ้นก็ต้องมีลง มีชนะ มีพ่ายแพ้ นี่แหละคือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาเป็นแบบทดสอบใจของคน สำหรับบางคน ปีที่ผ่านมาอาจจะเป็นปีชงที่โคตรจะเฮงซวย ทำอะไรก็ไม่เป็นอย่างที่หวังไปซะหมด แต่ถ้าหากคุณลองทบทวนดูดี ๆ อีกที เรื่องราวตลอดทั้งปีที่ผ่านมานี้ จะช่วยสอนให้คุณได้เรียนรู้ว่า อะไรที่คุณควรจะทำต่อไป และอะไรที่คุณควรจะทิ้งมันไว้เป็นอดีต และจำมันมาเป็นบทเรียนในการใช้ชีวิตต่อไปในอนาคต ดังนั้น วันนี้เราจึงได้นำเอาวิธีการง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณนำไปใช้เริ่มต้นปีใหม่ เพื่อให้มีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาฝากกัน กับ 6 สิ่งในชีวิตที่บางครั้งคุณไม่จำเป็นต้องฝืน แต่ควรจะช่างแม่ง และปล่อยวาง รับรองได้เลยว่า คุณจะมีความสุขกับชีวิตมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาอย่างแน่นอน 1. ช่างแม่งกับบุคคลมลพิษ มันอาจจะฟังดูน่าตลก แต่มันเป็นเรื่องจริงที่คนเรามักพยายามเอาชนะใจคนอื่น แม้แต่กับคนที่เรารู้อยู่เต็มอกว่า แม่งไม่ได้ทำดีอะไรกับเราเลย Toxic People หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ‘บุคคลมลพิษ’ กับเรานี้ อาจจะได้ทั้ง เพื่อน ญาติ คนในครอบครัว หรือใครก็ตามที่ผ่านเข้ามาชีวิต แต่ที่รู้ก็คือว่า
“แต่งตัวแบบนี้คนอื่นหัวเราะเยาะแน่เลย” “เราต้องทำอะไรผิดพลาดไปแน่ๆ ทำไมคนอื่นดูไม่ค่อยพอใจเราเลย” รู้ไหมว่าบางครั้ง คุณอาจคิดไปเองว่าคนอื่นจะสนใจเรามากเกินความเป็นจริง เพราะมนุษย์มีธรรมชาติที่มักเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเสมอ และมักมองเรื่องต่าง ๆ ผ่านความรู้สึกและประสบการณ์ของตัวเอง คิดว่าคนอื่นจะต้องทำหรือรู้สึกเหมือนที่ตัวเองรู้สึก ทางหลักจิตวิทยาเรียกปรากฎการณ์นี้เรียกว่า ‘Spotlight Effect’ วันนี้ UNLOCKMEN จะมาอธิบายให้ฟังว่า Spotlight Effect คืออะไร ทำงานยังไง และเราจะก้าวข้ามมันไปได้อย่างไรบ้าง เพื่อให้ทุกคนเข้าใจคำว่า Spotlight Effect ตรงกัน ก่อนอื่นเราอยากให้ทุกคนลองจินตนาการว่า พวกเรากำลังอยู่ในโรงละครที่การแสดงละครเวทีกำลังดำเนินอยู่ บนเวที พระเอกและนางเองกำลังแลกเปลี่ยนบทสนากัน ภายใต้แสง spotlight ที่ส่องมายังทั้งคู่ เพื่อเป็นการบ่งบอกผู้ชมว่านี่คือตัวละครสำคัญในฉาก พร้อมดึงดูดความสนใจของสายตาทุกคู่ที่อยู่ในโรงละครให้จับจ้องไปที่นักแสดงใต้แสง spotlight นั้น Spotlight Effect จึงเป็นคำเรียก ปรากฎการณ์ที่คนคิดไปเองว่าตัวเองได้รับความสนใจจากคนอื่นตลอดเวลา เหมือนกับมีแสง spotlight ส่องมายังพวกเขาตลอดเวลา (ซึ่งในความเป็นจริงไม่ใช่โรงละคร ไม่มีแสง spotlight และคนเราไม่ได้สนใจคนอื่นมากขนาดนั้น) ทำให้พวกเขารู้สึกต้องระแวดระวังตัวเองอยู่เสมอ เพราะกลัวคนอื่นจะสังเกตเห็นความผิดพลาดของตัวเองได้ ยกตัวอย่าง เวลาเล่นกีฬา คนจะรู้สึกว่าเพื่อนร่วมทีมสังเกตข้อบกพร่องของตัวเองมากกว่าความเป็นจริง งานวิจัยหลายชิ้นได้พยายามอธิบายการมีอยู่ของ
คุณเคยรู้สึกไหมว่างานศิลปะสามารถผสมผสานและแตกแขนงไปในรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด หากคุณยังไม่รู้สึก อยากให้ลองมองไปรอบ ๆ ตัว สิ่งของต่าง ๆ ที่ปรากฏตรงหน้า หรือแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ ล้วนผ่านกระบวนการงานศิลปะมาแล้วทั้งสิ้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มันได้บ่งบอกความไร้ขอบเขตของงานศิลปะ แม้กระทั่งศิลปะวัฒนธรรมของไทยเองก็ยังสามารถนำไปประยุกต์ให้เข้ากับศิลปะร่วมสมัยได้อย่างลงตัว และ “โตส-ปัญญวัฒน์ พิทักษวรรณ” คือหนึ่งในตัวแทนศิลปินที่กำลังมาแรง ผลงานที่สามารถสะท้อนการฟิวชั่นของงานศิลปะให้ออกมาได้อย่างมีเอกลักษณ์ โตส ปัจจุบันประกอบอาชีพเป็นนักออกแบบเต็มตัว ตั้งแต่กำหนดภาพลักษณ์องค์กร รวมไปถึงทำแบรนด์เสื้อผ้าภายใต้ชื่อ Mia.Company โตส สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองอย่างมากจากผลงานที่ฝากไว้กับทาง Adidas Brand Center ที่สยามสแควร์ ซึ่งเป็นผลงานศิลปะสื่อผสมจำนวน 2 ชิ้น ได้แก่ “กึกก้อง” และ “เปล่งประกาย” รวมไปถึงยังเคยร่วมงานกับทางพิพิธภัณฑ์จิม ทอมป์สัน, นิตยสาร A Day, Joox Music Award 2019 และอีกมากมาย โตสมีความหลงใหลศิลปะไทยมาตั้งแต่วัยเด็ก เพราะเคยแสดงเป็นโขนมาก่อน “ตอนนั้นเราเริ่มหลงใหลวัฒนธรรมไทยเพราะรู้สึกมันมีความพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องของรามเกียรติ์ (Ramakien) มันจะมีเรื่องของตัวร้าย
แม้ประเทศจะมีเส้นแบ่งกั้นพรมแดน แต่สำหรับโลกของดนตรี มันสามารถข้ามพ้นขีดจำกัดเหล่านั้นได้ มันสามารถแทรกซึมไปได้ทั่วทุกหย่อมหญ้าอย่างง่ายดาย กระจายตัวอย่างรวดเร็วราวกับไวรัสที่แพร่ระบาดเจาะเข้าไปสร้างอิทธิพลให้กับผู้ฟังถึงขนาดที่ทำให้ใครซักคนหนึ่งได้ก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินระดับโลกได้เลยทีเดียว Vannda คือหนึ่งในนั้น แร็ปเปอร์หนุ่มวัย 25 ปี จากประเทศกัมพูชา ที่รับเอาวัฒนธรรมดนตรีฮิปฮอปเข้ามาแบบลงลึกถึงชั้น DNA เขาได้กลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย หลาย ๆ แทร็กมียอดเข้ารับชมถล่มทลายหลายสิบล้านวิว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้พูดคุยกับ Vannda และเราทำได้ วันนี้ UNLOCKMEN ขอพาทุกคนไปทำความรู้จักตัวตนและแนวคิดของ Vannda ให้มากกว่าเดิม ผ่านเรื่องราวที่ส่งออกมาจากบทเพลงของผู้ชายคนนี้กันครับ VannDa หรือ Mann VannDa เกิดมามีชีวิตที่ไม่แตกต่างจากเด็กธรรมดาทั่วไป ผู้ใหญ่ภายในบ้านต่างคาดหวังให้เขาเติบโตไปมีการมีงานที่ดี อยากให้เป็นนักธุรกิจ เป็นหมอ หรือเป็นทนายความ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ได้มาเจอกับดนตรีฮิปฮอป “ตอนผมอายุ 6 ขวบ ผมชอบฟังเพลงจากเครื่องเล่น MP3 มาก ๆ จนมีอยู่วันหนึ่ง วันดี พี่ชายของผมได้แนะนำให้รู้จักกับเพลงฮิปฮอป หลังจากนั้นเป็นต้นมาผมก็เลยกลายเป็นคนที่ชื่นชอบฮิปฮอปไปเลย ผมชอบมันมากครับ” นี่คือจุดเริ่มต้นง่าย ๆ กับเส้นทางความฝันที่ย่ิงใหญ่ของ VannDa หลังจากที่ค้นหาตัวตนเจอ Vannda จึงมีความมุ่งมั่นที่ต้องการก้าวขึ้นมาเป็นแร็ปเปอร์ให้ได้
ถือเป็นธรรมเนียมประจำของคนรักเสียงดนตรีก็ว่าได้ สำหรับช่วงเวลากลางเดือนเมษา (บางปีก็ตรงกับเทศกาลสงกรานต์ของบ้านเรา) ที่เราจะจับจ้องรอดูเทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่จัดมาอย่างยาวนานกว่า 2 ทศวรรษ นั่นก็คือ Coachella หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า Coachella Valley Music and Arts Festival เทศกาลที่ถือได้ว่าเป็นตัวกำหนดเทรนด์ดนตรีในยุคปัจจุบันว่าจะขับเคลื่อนไปในทิศทางไหน และด้วยโปรดัคชั่นที่ยิ่งใหญ่ตระการตา ทำให้หลายต่อหลายคนต่างตั้งเป้าหมายของชีวิตว่าจะต้องไปสักการะสักครั้งก่อนตาย แม้วิกฤตโรคระบาดจะทำให้เทศกาลนี้ต้องหยุดชะงักไปถึง 2 ปี แต่การกลับมาครั้งนี้ ก็ถือว่ามีโมเมนท์ที่น่าจดจำมากมาย UNLOCKMEN ขอมาย่อยโมเมนท์อันน่าประทับใจในครั้งนี้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเจ๋ง ๆ กันบ้าง MILLI กับการประกาศศักดาในฐานะศิลปินไทย และข้าวเหนียวมะม่วงสะท้านโลก เริ่มต้นด้วยความภาคภูมิใจของชาวไทย ที่สาวน้อยแร๊ปเปอร์ MILLI ได้เดินทางไปปักธงแห่งความภูมิใจด้วยการร่วมเดินทางไปกับ 88Rising ค่ายเพลงสุดทะเยอทะยานที่ต้องการประกาศศักดาแห่งดนตรีพ็อพเอเชียให้เจิดจรัสบนเวทีโลก และ MILLI ก็ทำสำเร็จดังฝันด้วยการไปขึ้นเวทีอันยิ่งใหญ่นี้ เคียงบ่าเคียงไหล่ศิลปินร่วมทวีปอย่าง Jackson Wang และ BIBI ได้อย่างไม่น้อยหน้าใคร ในโชว์ที่ชื่อว่า “88rising’s HEAD IN THE CLOUDS FOREVER” และไฮไลท์สำคัญของเธอนอกจากการสร้างทรรศนะคติให้กับชาวต่างชาติว่า
จากกระแสที่ Milli แร็ปเปอร์สาวตัวจี๊ดแห่งวงการเพลงฮิปฮอปไทยได้ไปแสดงฝีมือในเทศกาลดนตรีระดับโลกอย่าง Coachella 2022 โดยเฉพาะจังหวะประทับใจกับการนำข้าวเหนียวมะม่วงมารับประทานยั่วยวนน้ำลายคนดูทั่วโลกให้ไหลหยดติ๋ง ๆ เล่นเอากลายเป็นกระแสไวรัลทั่วโลกออนไลน์ราวกับน้ำมันติดไฟ จากเหตุการณ์ดังกล่าวก็ทำให้เราได้นึกย้อนไปถึงโชว์ที่มีการเอาอะไรแปลก ๆ มาเซอร์ไพรส์ให้กับเหล่าบรรดาคนดู โดยทาง Unlockmen ขอคัด 5 ศิลปินที่ทำให้โลกต้องอ้าปากค้างกันมาแล้ว จะมีใครบ้าง ตามมาเลยครับ! นักร้องวง BRASS AGAINST ฉี่ใส่คนดู เหตุการณ์สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2021 เมื่อ Sophia Urista นักร้องนำสาวเกิดอาการปวดฉี่กระทันหันระหว่างโชว์ และน่าจะมีอาการมึนเมาผสมอยู่ด้วย เธอได้กระทำการที่ไม่มีใครคาดคิด ด้วยการขออาสาสมัครคนดูขึ้นมาบนเวทีเพื่อกินฉี่ของเธอ ใช่แล้วคุณคงคิดว่าใครจะกล้า แต่มันก็ดันมีคนบ้าใจถึงพึ่งได้ขึ้นไปบนเวทีตามคำท้า ก่อนจะนอนลงให้เธอปลดกางเกงลงและปล่อยสายน้ำยิงตรงพุ่งสู่หน้าและปากแบบชุ่มช่ำ (ตรงไหน) เรียกได้ว่าคนฉี่ก็โล่ง คนโดนก็ฟิน วินวินกันทั้งสองฝ่าย แต่หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวทางวง Brass Against ก็ออกมาโพสต์ขอโทษและยืนยันว่าจะไม่ให้นักร้องนำของพวกเขากระทำอะไรแบบนี้อีก ไม่รู้ตอนนี้คนดูคนนั้นจะโดนเพื่อนล้อยับเยินว่าเป็น “คนกินฉี่” ไปแล้วหรือยัง RAMMSTEIN วงผู้ท้าทายเปลวเพลิง เป็นกิจวัตรประจำวัน Rammstein สุดยอดวงอินดรัสเตียลเมทัลจากประเทศเยอรมนี ขึ้นชื่อเรื่องการแสดงสดสุดอลังการงานสร้างเป็นอย่างมาก