ถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อซัก 10 กว่าปีก่อน หากเราต้องการหาร้านสกรีนเสื้อก็คงต้องนีกถึงย่านหลังสนามศุภชลาสัย (สนามกีฬาแห่งชาติ) เป็นที่แรก แต่ภายหลังได้มีการพัฒนาที่ดินให้กลายเป็นลักษณะศูนย์การค้ามากยิ่งขึ้น ทำให้ร้านละแวกนี้หายไปหลายร้าน แต่ก็ยังคงมีบางส่วนที่ยังคงเปิดให้บริการ และร้าน Bluescreen T-Shirt คือหนึ่งนั้น โดยย้ายจากที่ตั้งเดิมมาอยู่บนถนนบรรทัดทอง ซี่งปัจจุบันร้านนี้ก็อยู่ยาวนานมาเกือบ 20 ปีแล้ว และที่สำคัญเป็นร้านสกรีนเสื้อที่ศิลปินระดับประเทศไว้ใจให้ผลิตลายลงบนเสื้อก่อนจะส่งตรงไปถึงมือของบรรดาแฟนเพลง คุณพง คือเจ้าของร้านของ Bluescreen T-Shirt จบการศึกษาสาขาออกแบบดีไซน์มาโดยตรง และเป็นคนที่มีความชื่นชอบเสื้อยืดเป็นพิเศษ ชอบที่จะศึกษาดีเทลต่าง ๆ ของมัน รวมไปถึงชอบศิลปะลวดลายที่ถูกสกรีนผ่านบล็อกลงบนเสื้อ จนออกไปสู่สายตาของคนทั่วไป ประกอบกับแนวคิดของตนเองว่า “เสื้อยืดคือของคู่กายกับทุกคน ทุกคนต้องใส่ทุกวันอยู่แล้ว เพราะมันใส่ง่าย ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรเยอะ ไม่ต้องรีดก็ยังใส่ได้เลยครับ” เมื่อประกายไฟจุดติด ความคิดและไอเดียต่อยอดในการสร้างธุรกิจจากสิ่งที่ชอบก็เกิดขึ้น คุณพงจึงตัดสินใจเริ่มต้นสร้างอาชีพด้วยการเปิดร้านสกรีนชื่อขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า Bluescreen T-Shirt โดยเริ่มต้นจากร้านเล็ก ๆ อยู่ในตึกแถวแบบห้องเดียว ในช่วงแรกลูกค้าต่าง ๆ ก็ยังไม่ได้มีเข้ามาเยอะแยะมากมาย ทำให้ต้องต่อสู้กับปัญหาอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่วันหนึ่งคุณพงก็ได้ไปเจอลูกค้ากลุ่มใหม่ พวกเขาเหล่านั้นคือ “นักดนตรีอินดี้” “ตอนเปิดร้านช่วงแรก ๆ มีศิลปินอินดี้ที่จะเอาเสื้อไปขายงาน
Silly Fools ชื่อนี้บ่งบอกความยิ่งใหญ่ในฐานะของวงดนตรีร็อกอันดับต้น ๆ ของบ้านเราได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงยุค 2000’s ที่ “โต” ยังทำหน้าที่นักร้องนำอยู่ พวกเขาฝากสุดยอดผลงานเพลงเอาไว้มากมายที่ใครต่อใครก็ต้องรู้จัก เช่น “ไหนว่าจะไม่หลอกกัน”, “วัดใจ”, “ขี้หึง”, “น้ำลาย”, “เมื่อรักฉันเกิด”, “จิ๊จ๊ะ” และอีกเพียบ ดนตรีร็อกพวกเขาเต็มไปด้วยพลังงานล้นหลอด มากไปด้วยทักษะ จัดจ้านทั้งเพลงเร็วและเพลงช้า สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นสิ่งที่มัดใจคนฟังได้อย่างอยู่หมัด แม้ว่าปัจจุบันทางวงจะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนักร้อง 2 คน ได้แก่ “เบน” และคนล่าสุดคือ “ริม” แต่ DNA ซาวด์ของ Silly Fools ก็ยังคงชัดเจน ภาพภายนอกพวกเขาคือวงที่ประสบความสำเร็จ แต่แท้จริงแล้ว Silly Fools เป็นวงที่ค่อย ๆ เติบโต ค่อย ๆ ปรับจูนแนวทางจนสามารถเอาตัวตนกับความต้องการทางตลาดเบลนด์ออกมาได้อย่างลงตัว แบบที่ทั้งศิลปินและค่ายเพลงแฮปปี้ด้วยกันทั้งคู่ แต่หากย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นของการทำเพลงของวง พวกเขาไม่ได้นำเสนอแนวเพลงแบบที่เราคุ้นเคยกัน แต่กลับเลือกเพลงแนวเมทัลอันหนักหน่วงออกมาซัดใส่ผู้ฟัง จนใครบางคนถึงกับงงว่านี่คือวงเดียวกันหรือเปล่า? ย้อนกลับไปรากเหง้าทางดนตรีของวง Silly Fools พวกเขาเติบโตมากับเพลงเมทัลอันหนักหน่วง
ในช่วงแต่ละยุคแต่ละสมัยดนตรีมักจะมีอิทธิพลแฝงอยู่ในห้วงเวลาเหล่านั้นอยู่เสมอ มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปและอีกหนึ่งยุคที่ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมากคือยุค 90’s ที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย โดยเฉพาะในสายของร็อกที่แตกแขนงออกมาได้อย่างน่าสนใจ วันนี้เราขอหยิบ 11 เพลงร็อกเด็ด ๆ ฝั่งอเมริกาจากยุค 90’s มาให้ทุกคนได้เสพหรือยัดใส่เพลย์ลิสต์ไว้ฟังมันส์ ๆ กันครับ *ปีของเพลงจะนับจากวันที่ถูกโปรโมต NIRVANA – SMELLS LIKE TEEN SPIRIT (1991) ผลงานจากอัลบั้ม “Nevermind” ของวง Nirvana ที่เปลี่ยนให้ทั้งโลกก้าวเข้าสู่ยุคของดนตรีกรันจ์และอัลเทอร์เนทีฟอย่างเต็มตัว ตัวดนตรีไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ซัดกันแบบตรงไปตรงมา เต็มไปด้วยอารมณ์ทางดนตรีที่ก้าวร้าว แต่เมื่อรวมกันแล้วมันกลายเป็นเพลงที่โคตรทรงพลัง จึงไม่น่าแปลกใจที่สุดท้ายแล้วเพลง “Smells Like Teen Spirit” จะกลายเป็นเพลงสัญลักษณ์ของเพลงร็อกยุค 90’s ที่ใคร ๆ ก็ต้องนึกถึงเป็นเพลงแรก นี่คือมรดกสุดแสนล้ำค่าที่บ่งบอกความรุ่งเรืองในอดีตของดนตรีกรันจ์ได้ดีที่สุดเพลงนึงของโลก METALLICA – ENTER SANDMAN (1991) ซิงเกิ้ลเปิดตัวอัลบั้มปกดำของ Metallica ที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงแนวดนตรีเพื่อเจาะกลุ่มตลาดกว้างด้วยสไตล์เฮฟวี่เมทัลที่ฟังง่ายมากกว่าเดิมมาก มีการวางโครงสร้างเพลงแบบเพลงป๊อปอย่างชัดเจน “Enter Sandman” มาพร้อมกับจังหวะหน่วง ๆ
เทรนด์การไปคาเฟ่ในเวลานี้ไม่เพียงเป็นการเสาะหาสถานที่ใหม่ ๆ เพื่อพบปะ สนทนา หรือทำคอนเทนต์ลงโซเชียลเท่านั้น แต่สำหรับผู้ชายหลายคน คือการได้ลิ้มรสกาแฟแบบใหม่ ๆ ในบรรยากาศที่ชอบ หาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ และหนึ่งในใจคงหนีไม่พ้นคาเฟ่สไตล์คอนกรีตที่มีเอกลักษณ์คือความดิบ เท่ ราวกับกำลังเปิดเปลือยทุกเรื่องราว นอกจากจะถูกใจผู้ชายแล้ว สาว ๆ ที่ไปด้วยกันก็อาจจะได้รูปสุดคูลไปลงโซเชียลอีกเพียบ วันนี้เราจึงอยากแนะนำคาเฟ่สไตล์คอนกรีต ดิบ เปลือยทั่วไทย ลองมาดูว่ามีที่ไหนน่าไปกันบ้าง Labyrinth Cafe คาเฟ่สไตล์อินดัสเทรียลลอฟท์สุดเท่ที่ตั้งอยู่ชั้น 1 ของ Shophouse1527 อาคารเก่าแก่อายุมากกว่า 80 ปีที่รักษาไว้ทุกความคลาสสิกและเต็มไปด้วย passion จากคนรักกาแฟ เสน่ห์สุดดึงดูดคือบาร์กาแฟยาวที่ร้านคัดสรรเมล็ดกาแฟและสับเปลี่ยนหมุนเวียนกาแฟ Special Blend จากประเทศต่างๆ มาให้หนุ่มๆ ผู้หลงใหลกลิ่นหอมและรสชาติของกาแฟได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ เป็นวัฒนธรรมการสนทนาของคนรักกาแฟที่กลมกล่อมจนอยากจะมาซ้ำๆ นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นพื้นที่ของศิลปะและดนตรี จึงมีอีเวนต์สุดเท่ที่รอให้ทุกคนมาแจมอยู่เรื่อยๆ ที่อยู่: 1527 ถนนพระรามที่ 4 แขวง วังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 โทรศัพท์: 061 529
เมื่อวันเวลาเปลี่ยนผ่านไป ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับรองเท้าสนีกเกอร์สุดคลาสสิคอย่าง The Chuck Taylor All Star ของแบรนด์ Converse ที่มีการพัฒนาต่อยอดมาสู่เจเนอร์เรชั่นใหม่แล้วในชื่อ The all-new Chuck Taylor All Star CX ภายใต้คอนเซปต์ “Step In And Go” การเปลี่ยนแปลงของ Chuck Taylor ถือเป็นเรื่องฮือฮาเป็นอย่างมาก เพราะทาง Converse ได้หยิบเอาเทคโนโลยี FlyEase ของรองเท้า Nike มาเบลนด์เข้ากับสนีกเกอร์รุ่นใหม่ของพวกเขา พร้อมมีการปรับรูปทรงใหม่ที่มองผ่าน ๆ คงไม่มีใครคาดคิดว่านี่คือรองเท้าของแบรนด์สัญลักษณ์รูปดาวอย่างแน่นอน FLYEASE คืออะไร? สำหรับคนที่เล่นรองเท้าสนีกเกอร์ของ Nike อยู่แล้ว อาจจะพอคุ้นหูคุ้นตากันอยู่บ้าง แต่สำหรับคนทั่ว ๆ ไป อาจจะยังไม่ทราบข้อมูลดังกล่าวมาก่อนว่าเทคโนโลยีของ FlyEase มันถูกออกแบบมาให้คนสามารถสวมใส่รองเท้าได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเสียเวลาลงไปนั่งผูกเชือกแต่อย่างใด เทคโนโลยี FlyEase ถูกเปิดตัวเมื่อปี 2015 มันเริ่มมาจากทาง Matthew Walze
Linkin Park คือหนึ่งในวงร็อกที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในวงการดนตรี พวกเขาประสบความสำเร็จกับทั้งยอดขายของซิงเกิ้ลและอัลบั้ม รวมถึงยังได้ออกเดินทางเพื่อเล่นคอนเสิร์ตไปทั่วโลก ถึงแม้ว่าวันนี้เราอาจจะไม่ได้เห็นการกลับมาของ LP อีกแล้ว แต่ผลงานที่ฝากเอาไว้มันยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง และหลาย ๆ เพลงก็มียอดวิวที่ถล่มทลายเกิน 1 พันล้านวิว เรามาดูกันดีกว่าว่า 10 เพลงที่มียอดวิวในสูงสุดในยูทูปของ Linkin Park มีเพลงอะไรกันบ้าง 1. ”NUMB” 1,749,380,980 views/ Meteora (2003) แม้จะเป็นผลงานจากอัลบั้มที่ 2 แต่ยอดวิวกลับนำโด่งขึ้นมาอยู่อันดับ 1 สำหรับเพลง “Numbs” ที่ตัวดนตรีมาพร้อมสูตรฮิตกดอัลติของวงด้วยเมโลดี้จากคีย์บอร์ดที่กดวนอยู่ไม่กี่ตัวโน๊ต การแบ่งพาร์ตการร้องในเพลงนี้ก็ถูกดีไซน์มาให้จดจำง่าย เข้าสูตรเพลงป๊อปแบบ 100% และเน้นเสียงร้องแบบปกติเป็นหลัก ปราศจากท่อนแร็ปและท่อนสครีม แต่เนื้อหายังคงแสดงความเจ็บปวดในแบบ Linkin Park ได้เป็นอย่างดี จริง ๆ แล้วจะบอกว่าเพลงนี้คือเพลงบัลลาดแห่งยุคนูเมทัลก็คงไม่ผิดแต่อย่างใด 2. ”IN THE END” 1,332,958,650 views/ Hybrid Theory (2000) บทเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้
Liam Gallagher ฟรอนต์แมนสุดห้าวเป้งอดีตวง Oasis เขาคือฮีโร่ของวัยรุ่นแห่งยุค 90s ที่ถวายจิตวิญญาณให้กับดนตรีบริตป๊อป หลายคนตัดผมแต่งตัวตาม บางคนก็ลักจำเอาท่ามือไขว้หลัง ตั้งไมค์สูง ๆ เชิดหน้าชูคางร้องเพลงตาม หรือบางคนก็ชอบเดินโยกแกว่งแขนตามก็มีเช่นกัน ในช่วงนั้นนอกจากความสามารถในการร้องเพลง อีกหนึ่งความสามารถที่โดดเด่นคือสกิลปากที่พร้อมจะด่ากราดใส่ทุกคนเพื่อสร้างไวรัลบนพื้นที่สื่อแบบที่ไม่ต้องเสียเงินโปรโมตเลยแม้แต่ปอนด์เดียว (วิธียอดฮิตของดาราและบรรดา KOL ไทยวันนี้ชัด ๆ) แต่หลังจากที่วง Oasis แยกย้ายกันไปในปี 2009 สาเหตุจากปัญหาผิดใจกันระหว่าง Liam กับ Noel Gallagher ก็ดูเหมือนว่าบทบาททางสื่อของ Liam ดูจะถดถอยลงไปด้วย ถึงแม้ว่าจะมาทำวงที่ชื่อว่า “Beady Eye” แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร รวมไปถึงเสียงร้องของเขาก็ดูจะดรอปลงไปมาก จนไม่สามารถกลับมาร้องคีย์สูง ๆ ที่เคยแตะถึงได้อีกต่อไป สุดท้ายวงใหม่ของเขาก็ต้องแยกย้ายกันไปในปี 2014 ด้วยปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมาตลอดเส้นทางอาชีพศิลปิน ทำให้ภาพจำของ Liam ในสายตาคนทั่ว ๆ ไป คือชายที่หยิ่งยะโสโอหัง, เอาแต่ใจตัวเอง, หาเรื่องทะเลาะกับคนอื่นไปทั่ว และทำอะไรไม่ค่อยแคร์แฟนเพลง นึกอยากจะลงจากเวทีตอนไหนก็ลงหายไปดื้อ ๆ แบบคนดูงงกันทั้งคอนเสิร์ต แม้บางคนจะบอกว่านี่คือสไตล์ของสาย
ใครที่ทำงานอยู่บ้านแล้วนั่งทั้งวัน ไม่ได้ออกกำลังกายเลยเพราะงานยุ่ง ตอนนี้มีตัวช่วยใหม่ที่ทำให้เราสามารถทำงานไปด้วยและมีสุขภาพที่ดีขึ้นไปด้วย ตัวช่วยนี้มีชื่อว่า Walkolution เป็นลู่วิ่งไม้แบบไม่ใช่ไฟฟ้าที่ทำให้เราวิ่งหรือเดินไปพร้อมกับการทำงานหน้าคอมได้ นวัตกรรมนี้ได้รับการออกแบบโดย Dr.Eric Söhngen และ Frank Ackermann จากประเทศเยอรมัน และช่วยให้คนทำงานสามารถเอนจอยกับการวิ่งได้แม้ในตอน meeting ออนไลน์ เพราะมันเป็นลู่วิ่งอนาล็อกจึงทำให้เกิดเสียงเบามาก แถมตัวลู่วิ่งยังมาพร้อมกับดีไซน์พิเศษที่มีลักษณะเหมือนที่พิงหลัง ช่วยให้เราสามารถพิงหลังได้อย่างสบาย แถมยังช่วยแก้โรคปวดหลังและปวดอกอีกจากการนั่งเป็นเวลานานอีกด้วย นอกจากนี้ การใช้งานลู่วิ่งยังไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้ากีฬา เพราะที่พื้นมีแผ่นบานเกล็ดที่มีคุณสมบัติเด่นเรื่องความยืดหยุ่นคล้ายสปริง เวลาวิ่งบนเครื่องจะให้ความรู้สึกเหมือนเหยียบพื้นป่าอ่อน ๆ ยิ่งไปกว่านั้น การกระดอนกลับและความแข็งหลายระดับของพื้น ยังช่วยคลายความตึงของกล้ามเนื้อและเกิดความผ่อนคลายอีกด้วย สิ่งนี้ช่วยป้องกันการเกิดการเจ็บปวดที่เดิมซ้ำ (Repetitive Strain Injury: RSI) ไปพร้อมกับการช่วยพัฒนาการประสานงานและสมดุล แถมพอเราซื้อสินค้า เราอาจมีส่วนช่วยโลกด้วย เพราะเมื่อขายสินค้าได้แต่ละชิ้น ทางบริษัทจะมีการปลูกต้นไม้ทดแทน 10 ต้น เพื่อชดเชยการนำวัสดุไปใช้และการปล่อยก๊าซในขั้นตอนการผลิด ความพิเศษของตัวลูวิ่งยังมีอีก คือ เราไม่จำเป็นต้องบำรุงรักษามัน แถมยังไม่ต้องทาน้ำมัน หรือ หล่อลื่นอีกด้วย ตัวลู่วิ่งทำมาจากบีชและไม้อัดเบิร์ช ส่วน inner frame ทำมาจากเหล็กแข็งที่รองรับน้ำหนักได้มากกว่า 160 กิโลกรัม
ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน กระแสดนตรีมีการปรับเปลี่ยนหมุนเวียนถ่ายเทไปมาอยู่ตลอดเวลา มีดนตรีแนวต่าง ๆ เกิดขึ้นมาใหม่มากมาย มีการผสมผสานครอสโอเวอร์ข้ามสายพันธุ์จนเกิดความแปลกใหม่ขึ้นมาให้เสพเสมอ แต่ในบางครั้งบางแนวเพลงที่เคยได้รับความนิยมในอดีตก็ถูกฟื้นฟู (Revival) ให้ฟื้นคืนชีพกลับมาได้รับความนิยมในกระแสหลักอีกครั้ง อย่างเช่นดนตรีแนวโพสต์พังก์ที่เคยได้รับความนิยมในช่วงยุค 80’s โพสต์พังก์ถูกเหล่าวัยรุ่นในยุค 2000’s ปัดฝุ่นหยิบกลับมันมาเล่นอีกครั้ง จนเกิดกระแสตอบรับไปทั่วโลกและถูกขนานนามว่าเป็นยุคแห่ง “Post-Punk Revival” (แม้ว่าดนตรีแนวเรทโทรอื่น ๆ จะตามมาด้วยก็ตาม) เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนก็น่าจะเคยไหลไปกับกระแสนิยมดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลงและการแต่งตัว เรามาย้อนช่วงเวลาความสนุกเหล่านั้นกับ 10 บทเพลงที่จะทำให้คุณนึกถึงยุครุ่งเรืองของ Post-Punk Revival กันดีกว่าครับ 1. THE STROKES – REPTILIA แม้จะเป็นวงดนตรีจากประเทศสหรัฐอเมริกา แต่การสื่อสารซาวด์แบบฝั่งอังกฤษของพวกเขาทำออกมาได้อย่างแนบเนียนจนทำให้ใครหลายคนเข้าใจผิดได้เลยทีเดียว เป็นอีกหนึ่งวงที่ทำให้วัยรุ่นลุกขึ้นมาแต่งตัวทำผมเลียนแบบกันเต็มไปหมด ส่วนผลงานเพลง “Reptilla” อยู่ในอัลบั้มที่ 2 ‘Room On Fire’ เป็นเพลงที่จังหวะเนิบ ๆ มีริฟฟ์กีตาร์ที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก แต่แค่นั้นก็เท่โคตรแล้ว ยิ่งพอมาเจอท่อนโซโล่กีตาร์อีกก็ยิ่งเติมเต็มอารมณ์ของเพลงให้เพอร์เฟกยิ่งขึ้น เพลง “Reptilla” ถูกโปรโมตครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ปี
Red Hot Chili Peppers ชื่อนี้คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธกับตำแหน่ง “วงร็อกระดับโลก” วงดนตรีที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานกว่าเกือบ 40 ปี ออกเดินทางตระเวนเล่นคอนเสิร์ตไปทั่วโลก มีลีลาการเล่นสดที่ถึงพริกถึงขิง สร้างเพลงฮิตด้วยสไตล์ฟังก์ร็อกสุดเท่มาประดับวงการไว้มากมาย และหนึ่งในเพลงที่จะต้องปรากฏในทุก ๆ เซตลิสต์ของทางวงนั่นคือ “Californication” ผลงานจากอัลบั้มที่ 7 ที่ใช้ชื่อเดียวกับเพลงนี้ ออกวางจำหน่ายเมื่อปี 1999 แน่นอนว่าแฟนเพลง RHCP หรือแฟนเพลงร็อกสากลย่อมรู้จักเพลงนี้เป็นอย่างดี แต่รู้หรือไม่ว่า กว่าเพลงนี้จะเสร็จสมบูรณ์จนกลายเป็นเพลงฮิตตลอดกาล เพลง “Californication” มันก็มีเรื่องราวมากมายซ่อนอยู่เบื้องหลังได้อย่างน่าสนใจ JOHN FRUSCIANTE ผู้กอบกู้ CALIFORNICATION ใครจะไปคาดคิดว่าจริง ๆ แล้วมันเกือบจะไม่มีเพลง “Californication” ออกมาให้ได้ฟังซะแล้ว เนื่องจากในตอนนั้นสมาชิกภายในวงกำลังมีปัญหาเรื่องการทำเพลงด้วยกันอย่างหนัก ฃตอนแรกทาง Anthony Kiedis นักร้องนำของวงได้เขียนเพลงนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเขามั่นใจมาก ๆ ว่ามันคือเนื้อเพลงที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาเลย แต่สมาชิกในวงคนอื่น ๆ หาไอเดียการทำดนตรีเพื่อมาใส่เพลงนี้ไม่ถูก ส่งผลให้งานมันค้างอยู่แบบนั้นและมีท่าทีว่าจะเสร็จไม่ทันตามไทม์ไลน์ที่วางเอาไว้ ซึ่งมันหมายความว่าอัลบั้มใหม่ของ RHCP จะไม่มีเพลงนี้รวมอยู่ด้วยนั่นเอง อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาที่คับขัน ทาง