เคยสังเกตไหม เวลาที่เรานั่งรถไปเรื่อย ๆ เรามักจะมองเห็นตึกแถวติดป้าย “โรงรับจำนำ” ตัวเป้ง ๆ ตั้งแทรกอยู่ตามถนนหนทาง อักษรสีขาวตัดกับพื้นหลังสีแสดมองเห็นได้แต่ไกลคุ้นตาแบบนี้อยู่มานานตั้งแต่รุ่นอาม่าอากง และไม่ว่าเศรษฐกิจจะขึ้นหรือลงแค่ไหน “โรงรับจำนำ” ก็ดูเหมือนจะเป็นอมตะ ธุรกิจแมว 9 ชีวิตที่ฆ่าไม่ตายอยู่มาได้เรื่อย ๆ ตัดกลับมาที่ทีมเรา แค่พูดคำว่า “โรงรับจำนำ” ก็ยอมรับพร้อมกันว่าไม่เคยเข้า เรารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมาก มีแค่ภาพลาง ๆ จากสื่อตามรายการที่เคยดู รู้แค่ว่าเป็นสถานที่ “ตึ๊ง” ของแก้ขัดสน ‘ของวาง เงินมา’ ยื่นหมูยื่นแมว พร้อมตั๋วรับจำนำและต้องปั๊มลายนิ้วมือเท่านั้น แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราสงสัยและคิดว่าไม่ควรเก็บปริศนานี้ไว้กับตัวจนแก่ เราจึงค่อย ๆ หาข้อมูลและเข้าไปพูดคุยกับ คุณชูศักดิ์ ตั้งเลิศสัมพันธ์ เจ้าของกิจการ Money Cafe Group ซึ่งมีโรงรับจำนำที่มีอายุกว่า 40 ปีและอยู่ระหว่างรีแบรนด์ดิ้ง ขยายสาขาเพิ่ม! แถมยังมีไลน์ธุรกิจเพิ่มอย่าง Brand Off หรือแบรนด์เนมมือสองจากญี่ปุ่นที่ปักหลักอยู่ในสยาม ถ้าลองไปหาข้อมูลมาจะรู้ทันทีว่า “โรงรับจำนำสำราญราษฎร์” คือโรงรับจำนำแห่งแรกที่เกิดขึ้นในไทย มีอายุมากว่า 153 ปีและปัจจุบันยังคงอยู่ แต่ที่เราตั้งใจมาพูดคุยกับโรงรับจำนำ
ไม่ว่าจะจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปเสียหมดสำหรับ Iron Man ในชีวิตจริง หรือหนุ่มอีลอน มัสก์ แม้หลายช่วงที่ผ่านมาจะเจอมรสุมจากการทวิตไม่หยุดหย่อน แต่แค่ระยะเวลาไม่ถึงครึ่งปี 2019 เขาก็กลับมาท็อปฟอร์มคืนบัลลังก์อีกครั้งจากการปิดจ็อบเซ็นสัญญาล่าสุดกับลาสเวกัสเพื่อทำอุโมงค์ความเร็วสูงที่ใช้ชื่อว่า “LVCC LOOP” ด้วยบริษัทที่เพิ่งเปิดมา 2 ปี อย่าง Boring Company ได้สำเร็จ โดยเซ็นด้วยมูลค่าสูงถึง 48.6 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1,554 ล้านบาท พื้นที่สำหรับสร้างโปรเจกต์อุโมงค์อีลอนในลาสเวกัสครั้งนี้อยู่ที่ศูนย์ประชุมลาสเวกัส หลังจากที่โปรเจกต์ของอีลอนเข้ามาเสียบแก้ปัญหาได้ทันเวลาช่วงการบูรณะพอดิบพอดี เพราะบริษัทที่เคยรับผิดชอบดันล้มละลาย เขาจึงปรับหางเสือแก้รูปแบบการขนส่งจากระบบรถรางที่เคยคิดจะทำมาเป็นระบบ Hyperloop ของอีลอนแทน โดยใช้ชื่อว่า “LVCC LOOP” ซึ่งย่อมาจาก The Las Vegas Convention Center Loop แม้ตอนนี้ยังไม่มีประกาศออกมาว่าทาง Boring Company จะใช้รถโมเดลไหนวิ่งในอุโมงค์ แต่ที่แน่ ๆ รถคันนั้นต้องเป็นรถที่ใช้ไฟฟ้าเพราะป้องกันเรื่องภาวะสันดาปของรถเพื่อป้องกันการสร้างมลพิษภายในอุโมงค์ พอบอกอย่างนี้ก็คงมองภาพออกว่าหนีไม่พ้นภาวะอัฐยายซื้อขนมยาย ดังนั้น เมื่อสร้างสำเร็จบางทีที่ศูนย์ประชุมแห่งนี้อาจจะเต็มไปด้วยรถของ Tesla 48.6 ล้านดอลลาร์จะได้อะไรข้างในบ้าง จ่ายเงินไปเยอะจะได้อะไรบ้าง ยังไงก็เป็นสิ่งที่หลายคนอยากรู้ เรื่องนี้แม้เราไม่ได้สืบลึกถึงรายละเอียด แต่จากข้อมูลที่เผยมาของเว็บไซต์ The Verge ระบุว่าระบบ LVCC LOOP
โลกของธุรกิจมีมากกว่าตัวเงิน สำหรับคนที่ไม่ชอบเรื่องตัวเลขหรือต้นทุนเลยอาจจะมองว่าน่าปวดหัว แต่ความจริงมันยังมีหลายมิติที่น่าสนใจ โดยเฉพาะแง่ของการตลาดและการโฆษณา เพราะมันคือแหล่งรวมความคิดสร้างสรรค์ล้วน ๆ ซึ่งถ้าเรารู้ทันและเข้าใจมัน เราก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อและนำความคิดสร้างสรรค์เหล่านั้นไปต่อยอดได้ ช่วงนี้ไม่ว่าจะแบรนด์ไหนก็เริ่มบุกตลาด AI และ AR กันเป็นแถบ อย่างล่าสุดที่เราเพิ่งนำเสนอกันไปก็เป็น Application วัดขนาดเท้าของ Nike อย่าง “Nike Fit” เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการซื้อรองเท้าแต่ขนาดไม่ตรงกับความจริง แต่ล่าสุดเราเพิ่งไปพบรูปแบบการตลาดของ AI ที่น่าสนใจ เรียกได้ว่าน่าจะเป็นปรากฏการณ์ใหม่เขย่าวงการด้วยการใช้ AI กับ “สุนัข” เพื่อเพิ่มยอดขายอย่างจริงจัง ร้านขายสัตว์เลี้ยงประเทศบราซิลในเครือ Petz แหวกแนวเปิดชอปปิงออนไลน์สำหรับสุนัขอย่างแท้จริง โดยเรียกมันว่า Pet-Commerce หรือการซื้อของออนไลน์ที่เลือกจากความต้องการของสัตว์เลี้ยงเอง โดยใช้ AI ดักจับความสนใจของสุนัขผ่านกล้องของอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟน แท็ปเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ การเลือกซื้อของระหว่างสุนัขกับระบบ AI จะใช้วิธีการ access เข้าเว็บไซต์ก่อนโดยให้สุนัขนั่งอยู่ที่หน้าตักเราหรือจุดไหนก็ได้ที่มองเห็นกล้องหน้า จากนั้นให้เราเลือก Pet Commerce หน้าจอจะแสดงคลิปสินค้าแบบแรนดอม ไม่ว่าจะเป็นกระดูก บอลยาง ฯลฯ ขั้นตอนนี้เอง
เคยไหม เวลานั่งอยู่บนรถที่ไม่มีที่ท่าว่าจะขยับ แต่หิวไส้แทบขาดแล้วทำอะไรไม่ได้ ทิ้งรถก็ไม่ได้เพราะพะวักพะวง บอกตรง ๆ ว่าหลายครั้งที่เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะเห็นกระเป๋ารถเมล์โดดลงไปสั่งของกินร้านข้าง เราเองก็หิวมองตาละห้อย อยากจะฝากซื้อ แต่กลัวเสียม้า แต่ก็เกรงใจกระเป๋ารถเมล์ ลุกไปซื้อเองก็กลัวเสียม้า สุดท้ายเลยต้องแขวนท้องแล้วหันเหไปมองอย่างอื่นแทน ถ้านั่งหิวคารถติดแล้วสั่งอาหารให้มาส่งถึงที่ได้ก็คงดี เป็นเรื่องที่เราเคยคิดมานานแล้วแต่ยังไม่มีใครลองทำ ในที่สุดวันนี้ Burger King ก็คิดแบบเดียวกับเราเหมือนกันจึงสร้างแคมเปญใหม่ให้บริการที่เรียกว่า “the Traffic Jam Whopper.” ส่งเบอร์เกอร์ชิ้นโตของ Burger King ด้วยมอเตอร์ไซค์มาถึงหน้าต่างรถที่เรานั่ง We Believers คือ Agency เจ้าของแคมเปญนี้ พวกเขาผสมผสานระหว่างการใช้ฟีเจอร์สุดไฮเทคกับการจัดส่งรูปแบบดั้งเดิม ส่ง Whoopers (ชื่อเรียกเบอร์เกอร์ซิกเนเจอร์ของเบอร์เกอร์คิง) ในพื้นที่แออัดของเม็กซิโก หลังจากเริ่มต้นแคมเปญไป พบว่าผลลัพธ์มันเกินคาด เพราะยอดการสั่งเบอร์เกอร์เพิ่มขึ้นถึง 63% ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ปล่อยแคมเปญออกไป และมีการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันของ Burger King เพิ่มสูงขึ้นถึง 44 ครั้ง ส่งผลให้ Burger King ก้าวขึ้นมาเป็นแอปฯ Fast Food อันดับ
ธุรกิจใหม่รอแจ้งเกิดรายวันเยอะแยะก็จริง แต่ใช่ว่าเจ้าเก่าจะยอมร้างไปง่าย ๆ ดังนั้น สำหรับโลกธุรกิจเวลาใครที่คิดจะเข้าไปขอส่วนแบ่งเค้กแต่ละทีเลยต้องพกไปทั้งดวง ทั้งความมั่นใจ เป้าหมาย และกำความเก๋าทันเกมเรื่องการต่อรองไปด้วย เพราะต้นทุนการทำธุรกิจไม่สูงก็ไม่ใช่อุปสรรค ถ้าไอเดียของเราดีและโตได้ มันจะดึงดูดนักลงทุนเงินหนาให้มาช่วยหนุนธุรกิจเอง SHARK TANK คือรายการเรียลริตี้ด้านธุรกิจที่ซื้อลิขสิทธิ์จากอังกฤษนำมาทำใหม่ในบ้านเราแล้วใช้ชื่อว่า SHARK TANK THAILAND รายการนี้ทำหน้าที่เหมือนนัดบอร์ดระหว่างคนมีไอเดีย กับนักธุรกิจมือเก๋าเกมที่มีเงินหนาพร้อมให้โอกาสและต้องการร่วมทุนกับนักธุรกิจหน้าใหม่ ใช้เวลาสั้น ๆ ที่พบกันในรายการทำข้อตกลงทางธุรกิจ ฝ่ายนักธุรกิจแจ้งเกิดจะต้องเป็นตั้งไข่ธุรกิจมาบางส่วนแล้ว จากนั้นนำมาเสนอขายความน่าสนใจของโปรดักส์พร้อมขอเงินทุนและแจ้งสัดส่วนที่บรรดา Shark (นักลงทุนแถวหน้าที่มีทรัพย์สินมากและมีมันสมองด้านธุรกิจ) จะได้จากการลงทุนนั้น ๆ ซึ่ง Shark สามารถปฏิเสธข้อเสนอได้ทันทีที่มองว่ามันไม่ Make Sense หรือต่อรองนักธุรกิจหน้าใหม่ได้ตามอัตราที่ตัวเองต้องการ ส่วนนักธุรกิจก็ต่อรองในอัตราที่ตัวเองต้องการได้เช่นกัน แต่การดีลทั้งหมดจะสำเร็จได้ต้องมาจากการตกลงพร้อมใจกันของทั้งสองฝ่าย Shark หรือฉลามแถวหน้าในวงการธุรกิจทั้ง 6 คน ที่คัดสรรมาฟาดฟันในรายการนี้ ได้แก่ คุณกฤษณ์ ศรีชวาลา เจ้าของอาณาจักรฟิโก้ กรุ๊ป คุณเฉลิมชัย มหากิจศิริ ลูกชายและทายาทคนเดียวของมหาเศรษฐีแห่งอาณาจักร PM Group คุณนิชิต้า ชาห์ ทายาทธุรกิจขนส่งทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดของไทย จีพี กรุ๊ป คุณแชนนอน กัลยาณมิตร ผู้ก่อตั้ง ORAMI &
“หากปราศจากความเชื่อใจ ความเป็นทีมก็ไร้ความหมาย” Paul Santagata ผู้เป็น Head of Industry แห่ง Google กล่าวไว้แบบนี้ และเราก็เห็นด้วยแบบปราศจากข้อกังขา คำพูดนี้ยังเชื่อมโยงกับทีมที่ทำงานมีประสิทธิภาพสูง ๆ ส่วนใหญ่มีสิ่งหนึ่งที่ตรงกันคือ “ความรู้สึกมั่นคงทางใจ” ที่เป็นแบบนั้นเพราะว่า“ความมั่นคงทางใจ”เชื่อมโยงกับความคิดสร้างสรรค์ การกล้าพูด กล้าคิด กล้าทำ ลองจินตนาการดูสิว่าถ้าที่ทำงานที่เรามัวแต่กลัว กังวล ไม่มั่นใจว่าพูดอะไรก็ผิด พูดอะไรก็โดนต่อว่า โดนจ้องโจมตีตลอดเวลา จนเราไม่สามารถเชื่อใจหรือมั่นใจได้อีกต่อไป สมองเราจะค่อย ๆ หยุดกระบวนการคิดหรือสร้างสรรค์ไปแล้วเอาแต่คิดว่าทำยังไงถึงจะเอาชนะได้เท่านั้น ซึ่งถ้าทุกคนในทีมคิดแต่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ก็คงไม่ต้องพูดถึงคุณภาพงานอีกต่อไปว่ามันจะห่วยลงแค่ไหน “ตื่นไปทำงานหรือตื่นไปรบ?” ถามตัวเองก่อนจะสายเกินไป ในทางกลับกัน ถามตัวเองสิว่าวันนี้เราตื่นขึ้นมาไปทำงานด้วยความรู้สึกแบบไหน? ถ้ามีความสุขเต็มเปี่ยมอยากไปทำงานที่รักเต็มที่ดีใจด้วยที่คุณรู้สึกมั่นคงทางใจกับงานตรงหน้า แต่ถ้ากำลังรู้สึกว่าการทำงานไม่ต่างอะไรจากการเดินเข้าสนามรบหรือสังเวียนต่อสู้ ต้องไปฟาดฟันเอาชนะกับเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าอย่างหนักตลอดเวลา แถมเป็นการสู้ที่ไม่ได้เพื่อขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้า แต่คล้ายว่าต้องสู้เพื่อหาว่าใครแพ้ใครชนะ ใครผิดใครถูกตลอดเวลา เสียใจด้วยคุณอาจกำลังอยู่ในทีมที่ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยทางใจให้ และมันคือส่วนหนึ่งที่จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของคนทั้งทีมห่วยลง! แต่อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป ทุกปัญหามีทางออก ในเมื่อเรารู้แล้วว่า“ความรู้สึกมั่นคงทางใจ”เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ทีมทำงานได้มีประสิทธิภาพ เรายิ่งต้องสร้างพื้นที่และบรรยากาศการทำงานให้เป็นแบบนั้น เพราะไม่ว่าจะอยู่ในฐานะหัวหน้างาน คนทำงาน หรือตำแหน่งไหน เราทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของทีมและองค์กรทั้งนั้น องค์กรควรจะเป็นพื้นที่ที่ทำให้คนทำงานรู้สึกท้าทาย แต่ไม่ใช่รู้สึกไม่ปลอดภัย พร้อมปะทะและเอาอีกฝ่ายให้ถึงตายตลอดเวลา ถ้าอยากสร้างความมั่นคงทางใจไม่ใช่สนามรบ
หดหู่ที่ต้องกลับไปทำงานหลังวันหยุดยาว เชื่อเถอะเราไม่ได้เป็นแค่คนเดียว
นานพอสมควรที่เราไม่ได้คุยกับคนทำหนังสือ แต่มหกรรมหนังสือระดับชาติที่ประกาศย้ายสถานที่จากศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ไปที่เมืองทองธานีสะกิดเราให้รู้สึกว่า ถึงเวลาที่จะต้องออกไปพูดคุยกับคนทำหนังสือ ถึงเวลาไปสำรวจความจริงของตลาดหนังสือที่ใครเขาว่าซบเซากับตาแล้วว่าของจริงมันเป็นยังไงกันแน่ แล้วก็ไม่ผิดหวังเพราะบรรยาศที่คึกคัก จำนวนคนที่มางานช่วงที่เราแวะไปเห็นชัดว่ามีคนสนับสนุนสิ่งพิมพ์อยู่มาก ส่วนสำนักพิมพ์ที่แวะไปคุยด้วยก็จัดจ้านทั้งเรื่องราวที่ตีพิมพ์และคำตอบทุกคำถามที่ผ่าตรงถึงใจแบบนี้ “ใครเป็นคนบอกวะ จริง ๆ เราเจอคำถามแบบนี้มาประมาณ 3 รอบได้” “มันก็ใช่นะเวลาที่ทุกคนจะทำอะไรมันต้องมีจุดมุ่งหมายเพื่อสังคมอยู่ในนั้น เพื่อให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้เปล่าประโยชน์เกินไป แต่เราก็มองว่า มันไม่ได้เป็นจุดประสงค์หลักขนาดนั้น เราไม่ได้เป็นโรงเรียนหรือว่าไม่ได้มีหน้าที่ทางสังคม ไม่ได้เป็นสถาบันทางสังคมที่จะทำหน้าที่ยกระดับให้สังคม” ประโยคคำตอบกลั้วเสียงหัวเราะของ 2 สาว คุณจุ๋ม – ปนิธิตา เกียรติ์สุพิมล และคุณนิ่ม – สุพรรณี สงวนพงษ์ ผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ P.S. Publishing ที่กระตุกให้เราตั้งคำถามกับตัวเอง เออ…จริง ใครบอกก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกทีมันเป็นหนึ่งในลิสต์คำถามที่เราโพล่งออกไปแล้วว่า “การเป็นสำนักพิมพ์ผลิตหนังสือออกไป เรามีเป้าหมายอยากเปลี่ยนแปลงสังคมหรือเปล่า” หนังสือที่ไม่ได้ตัดสินความเป็นมนุษย์ สำนักพิมพ์ที่ไม่ได้อยากเป็นศาลเตี้ยเสนอเรื่องราว “P.S. ยืนหนึ่งเรื่องความสัมพันธ์” เป็น Motto ที่ค่อนข้างเรียบง่ายและอธิบายความเป็น P.S. ได้ดี แม้การพูดเรื่องความสัมพันธ์จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน แหย่ขาข้างหนึ่งเข้าไปขยี้จารีต ซ้อนประเด็นหนัก ๆ อีกชั้นแต่อ่านไปแล้วไม่รู้สึกขยาด ต่างหากที่ทำให้ตัวอักษรทุกเล่มของ
SPORE BANGKOK ในเครือ CJ WORX ผนึกกำลัง What The Duck ร่วม BED : Branded Entertainment Data เป็น Exclusive Partner รายแรก บุก Entertainment Data ดึงอินไซต์ผู้บริโภคใช้ Data สร้างโอกาสทางธุรกิจ ที่เข้าใจผู้บริโภคแบบเจาะลึกพฤติกรรม และสื่อสารกับผู้บริโภคโดยให้ไม่รู้สึกยัดเยียด ในยุคที่เรื่อง Data เป็นเรื่องที่ถูกหยิบยกมาพูดถึง และเป็นขุมทรัพย์ของการทำการตลาดและแบรนด์ต่าง ๆ ต้องการพิชิตใจผู้บริโภคให้มากที่สุด ไม่เพียงหวังยอดขาย แต่เพื่อหวังครองใจและจงรักภักดีในแบรนด์ Data จึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ไม่มี Data ไหนที่ผู้บริโภคจะเปิดใจเท่ากับ Entertainment Data ข้อมูลของผู้บริโภคที่ชมรายการบันเทิงรูปแบบต่าง ๆ นั่นเอง BED หรือ Branded Entertainment Data นับว่าเป็น Media Solution ใหม่ล่าสุดของ SPORE
เครียดมาหลายวัน นอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว นั่งคิด นอนคิด ลังกาหลังสองรอบ จนแทบเอาเท้าก่ายหน้าผากยังไงก็ยังติดอยู่กับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ในกระเป๋าที่กำลังติดขัดอยู่เลยครับพี่ ไม่รู้จะหาทางออกยังไงดี ใครที่นอนไม่หลับอยู่เพราะกำลังเจอสถานการณ์เงินขาดมือ ตอนนี้คุณกำลังเผชิญเหตุการณ์เหมือนคำกล่าวของเฮีย Mark Twain นี่แหละ กำลังจ่ายหนี้ก้อนแรกที่เราไม่ได้ยืมอยู่ และบางทีอาจจะต้องจ่ายมันตลอดไปจนกว่าจะได้เป็นหนี้จริงเพื่อแก้ปัญหาที่กำลังเจอ ขึ้นชื่อว่าเป็น “หนี้” ย่อมไม่มีใครอยากเข้าใกล้ แต่นาทีสำคัญของชีวิตที่เรียกว่า “วิกฤต” มันก็ดันชอบมาเคาะประตูชีวิตเราแบบไม่ทันตั้งตัวเสมอ ไม่ว่าจะจากเรื่องอุบัติเหตุที่ทำให้ต้องเสียเงินก้อนที่สะสมมา การพยุงธุรกิจที่วันนี้ไม่ได้ขายดีเหมือนวันก่อน ไปจนถึงการลงทุนจังหวะดี ๆ ที่โผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียงแต่เราดันไม่มีเงินมาต่อยอด ของแบบนี้บางทีมันก็ไม่เลือกเวลา UNLOCKMEN ขอชวนพวกเรามาตั้ง “สติ” ก่อนสตาร์ต และก้าวไปอีกขั้นด้วยการแนะนำวิธีได้เงินด่วนทันใจมาเลือกใช้ได้ทันเวลาไปพร้อมกัน กู้เงินไม่ใช่ยาพิษร้าย ถ้ารู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์ ก่อนไปเป็นหนี้ ต้องเข้าใจเรื่องหนี้ก่อน เชื่อว่าหลายคนเติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่สอนมาฝังหัวว่าอย่าไปกู้เขา เพราะกู้มันทำให้เราเป็นหนี้ หนี้มันคือตัวซวย ถ้ามีหนี้เมื่อไหร่สุดท้ายเราอาจต้องจมกองหนี้สินเพราะดอกโหด ๆ ไม่มีจ่ายระวังจะไม่มีที่ซุกหัวนอน แน่นอนว่าคำสอนน้ีมันก็ถูกในยุคนั้น อาจจะเป็นประสบการณ์ที่พวกท่านเคยเจอ แต่สำหรับยุคของเราการใช้คำตอบเดียวกันคงไม่ถูก 100% เพราะการปลอดหนี้แล้วทู่ซี้ใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ บางทีมันเฟลและทำให้เราต้องเสียอะไรไปหลายอย่างยิ่งกว่านั้น จากเหตุผลเหล่านี้ สภาพคล่องการเงิน : เราไม่มีหนี้
ถึงจะมีข่าวเป็นระยะ แต่หลายคนก็ยังปล่อยเบลออยู่ไม่ได้กระตุ้นตัวเองดูยอดทั้งรายรับและรายจ่ายที่วิ่งเข้าวิ่งออกบัญชีเลย เพราะไม่รู้ว่าดาบภาษีจะลงวันไหน ใครที่ไม่ตามข่าวให้รู้ไว้ว่าเขาประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงพระปรมาภิไธยให้เป็นข้อบังคับแล้ววันนี้ (วันที่ 21 มีนาคม 2562) ชาว UNLOCKMEN คนไหนที่สงสัยว่าตัวเองเข้าข่ายนี้หรือเปล่า จะรอดภาษีนี้ไหม ลองมาดูพร้อมกันว่าคุณจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง แต่บอกไว้ก่อนเลยว่าในพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรฉบับที่ 48 พ.ศ. 2562 นี้ เริ่มใช้งานแล้วตั้งแต่นาทีแรกของวันนี้และถ้าพวกเราคนไหนก็ตามเข้าข่าย จะต้องดำเนินการส่งรายการข้อมูลต่อกรมสรรพากรครั้งแรกภายในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2563 นี้ หรือเรียกเก็บภายในปีหน้านั่นเอง จับได้ ไล่ทันเพราะมีตัวช่วย เมื่อข้อมูลคือหลักฐานยืนยันการเรียกเก็บภาษี หลายคนคงสงสัยว่าแล้วใครบ้างที่จะมีเอี่ยวเรื่องการส่งข้อมูลครั้งนี้ คำตอบชัด ๆ ระบุในพรบ. ไม่ได้มีแค่เฉพาะหน้าร้านออนไลน์ของเราเท่านั้น แต่ยังมีสถาบันอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย โดยมีคนที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้น 3 กลุ่มที่ต้องรายงานข้อมูลบุคคลที่มีธุรกรรมลักษณะเฉพาะ (e-payment หรือคนที่ทำธุรกรรม) ได้แก่ สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน สถาบันการเงินของรัฐที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น ผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยระบบการชำระเงิน แปลว่าอะไร? แปลว่าต่อให้เราไม่ส่ง บุคคลต่าง ๆ ที่เรามีบัญชีไปเอี่ยวด้วยทั้งหลาย ทั้งสถาบันการเงินที่เราเป็นเจ้าของบัญชี หรือใช้เป็นทางผ่านของเส้นทางการเงินทั้งหลายจะต้องเปิดเผยข้อมูลกับภาครัฐ ดังนั้น ไม่ต้องคิดว่าไม่ส่งแล้วบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาจะสุ่มไม่เจอ
“ไม่รวยงวดนี้ จะไปรวยชาติไหน” ใช้ชีวิตมันต้องมีค่าใช้จ่าย ทุกวันนี้ “เงิน” คือสิ่งที่ทำให้เราเป็นคนเหมือนกันแต่คุณภาพชีวิตไม่ค่อยเหมือนกัน ดังนั้น ทุกวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน พวกเราเลยแบ่งเวลาที่มี เจียดเงินในกระเป๋าจำนวนหนึ่งไปซื้อสลากกินแบ่งและหวยใต้ดิน พร้อมความคาดหวังว่าเงินก้อนนี้จะดับเบิ้ลหลายเด้ง สร้างชีวิตที่ดีกว่าให้ ยิ่งถ้างวดไหนนิมิตดี ๆ หน่อย เลขไม่เคลื่อน อัตราความสำเร็จอาจจะสูงขึ้น (ตามความเชื่อ) ทำให้เงินหลักสิบกลายเป็นหลักพัน หลักล้าน ได้ชั่วข้ามคืน “แต่งวดที่ผ่านมาหวยก็แดกอีกแล้วครับ…” ความเจ็บไม่จำเพราะรางวัลมันล่อใจทำให้การตั้งโพสต์ “ถูกหวย(แดก)” กลายเป็นเรื่องปกติในหน้า Feed โซเชียล แต่จู่ ๆ ระหว่างที่เราเจ็บใจกับการกลับหน้า กลับหลัง ลังกาเลขพลาดวันที่ 16 ที่ผ่านมา วันที่ 17 ก็เจอนโยบายจากพรรคการเมืองหนึ่งออกมาบอกว่าจะทำ “หวยบำเหน็จ” ให้เราได้มีสิทธิ์ลุ้นรางวัลโดยเงินต้นไม่หาย นำไปใช้ได้ยามเกษียณ แค่ฟังชื่อนโยบายก็น้ำลายหกแล้วจริงไหม แต่มีอะไรในนั้นบ้าง ใครที่แค่ผ่านตา แต่ยังไม่ได้อ่านรายละเอียดด้านใน เราขอมา RECAP ก่อนจะนำมาวิเคราะห์อีกครั้งว่า นโยบายนี้มีข้อสังเกตใดที่น่าสนใจบ้าง ถือว่าใช้เป็นตัวเลือกก่อนตัดสินใจกากบาทในคูหาปลายสัปดาห์นี้ ต้นกำเนิดจาก