เรือนเวลารุ่นล่าสุดจาก RM ที่หยิบเอาความหรูมาอยู่คู่กับความร็อกได้เท่ลงตัวสุด ๆ กับโมเดลใหม่รหัส RM 66 Flying Tourbillon ที่มีจำนวนจำกัดแค่ 50 เรือนทั่วโลก RM 66 Flying Tourbillon ตัวเรือนขนาด 42.70 x 49.94 x 16.15 mm. ผลิตจากวัสดุสุดแกร่ง Carbon TPT และ grade 5 titanium จุดเด่นของเรือนนี้ก็คือ มือกระดูกสีทองทำสัญลักษณ์ Rock n’ Roll คล้ายเขาของปีศาจกลางหน้าปัด ผลิตจาก 5N red-gold และฝีมือช่างระดับสูงในการเก็บรายละเอียดทั้งหมด และโชว์กลไก flying tourbillon ดีไซน์หัวกะโหลกด้านบนบริเวณ 12 นาฬิกา เป็นการแสดงออกถึงความขบฐของชาวร็อก เพราะปกติ flying tourbillon มักจะอยู่ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา เพิ่มความดิบอย่างมีสไตล์ด้วยลวดลาย Clou
“Y2K” ช่วงเวลาที่ตรงกับค.ศ. 2000 ณ เวลานี้แฟชั่นในยุคนั้นได้ย้อนกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง แต่โดยส่วนมากคงมักจะพูดถึงการแต่งตัว แต่อาจจะลืมไปแล้วมีเพลงดังหลาย ๆ เพลงที่โด่งดังเป็นอย่างมากในช่วงเวลานั้น โดยเฉพาะเพลงร็อกในบ้านเราที่ยังคงอยู่ในห้วงเวลาของความรุ่งเรือง ดังนั้นเรามาลองย้อนเวลากลับไปสัมผัสกับ 8 เพลงร็อกที่ได้รับความนิยมในยุค Y2K กันครับ (เกณฑ์คัดเลือกมาจากอัลบั้มที่ออกในปี 2000 เท่านั้น) FLY “2000” เรียกได้ว่าออกอัลบั้มมารับกระแส “Y2K” พอดีเป๊ะ สำหรับวง Fly แถมยังชื่ออัลบั้มว่า “Y2K” อีกด้วย รวมไปถึงเพลงโปรโมตยังใช้ชื่อว่า “2000” อีกด้วย โดยสไตล์ดนตรีมาในแบบอัลเทอร์เนทีฟร็อกที่มีกลิ่นอายของร็อกอะบิลลี เน้นจังหวะโจ๊ะกับกรูฟหนึบ ๆ ส่วนเนื้อหาเพลงนี้ประชดประชันได้อย่างเจ็บแสบ เป็นการเล่าถึงปีที่เปลี่ยนแปลง แต่ชีวิตเราก็ยังเหมือนเดิมไม่ได้ดีขึ้นตามไปแต่อย่างใด SILLY FOOLS “จิ๊จ๊ะ” หลังจากที่เริ่มประสบความสำเร็จมากขึ้นในอัลบั้ม “Candy Man” ทางวง Silly Fools และค่ายมอร์มิวสิค จึงไม่รอช้ารีบส่งผลงานชุดใหม่ชื่อว่า “Mint” ออกมาขยี้ทันทีในปี 2000 ซึ่งผลตอบรับก็ออกมาในทิศทางที่ดีมาก ๆ เพราะชื่อเสียงของ Silly
หากให้พูดถึงวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากวงหนึ่งในช่วงที่กระแสดนตรีอีโมเบ่งบาน (2003-2007) คงต้องยกให้ My Chemical Romance วงอีโมพังก์จากเมืองนิวอาร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ฟอร์มวงตั้งแต่ปี 2001 ก่อนจะมาประสบความสำเร็จในระดับเมนสตรีมกับอัลบั้มที่ 2 “Three Cheers for Sweet Revenge” และเพลงที่เป็นตัวชูโรง จนทำให้ใครหลายคนถวายจิตวิญญาณเป็นสาวกพวกเขา คงต้องยกให้กับเพลง “Helena” “Helena” ถูกหยิบมาโปรโมตเป็นซิงเกิ้ลที่ 3 ในอัลบั้มต่อจากเพลง “I’m Not Okay (I Promise)” และ “Thank You For Your Venom” โดยแรงบันดาลใจการสร้างเพลงนี้มาจากการเสียชีวิตของ Elena Lee Rush ซึ่งเป็นคุณยายของ Gerard Way นักร้องนำของวง เขามีความผูกพันธ์เป็นอย่างมาก เพราะคุณยายเป็นคนสอนการวาดรูป, การร้องเพลง รวมไปถึงยังซื้อรถคันแรกให้กับ Gerard ซึ่งรถคันนั้นคือรถตู้สีขาวที่ปรากฏใน MV เพลง “I’m Not Okay (I
ช่วงนี้กระแส Y2K ฮอตฮิตเป็นอย่างมากไปทั่วโลก มันเป็นปลุกไลฟ์สไตล์หลาย ๆ อย่างในปี 2000 ในกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรมากนัก เพราะแฟชั่นพอผ่านไปจุดหนึ่งมันก็จะถูกนำกลับมาเล่าใหม่อีกครั้งอยู่เป็นประจำ แต่เราก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกันว่ากระแสดังกล่าวที่ได้เกิดขึ้น มันก็มีส่วนทำให้เรานึกถึงอดีตที่เคยสนุกสนานกันในปี 2000 รวมไปถึงนึกถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่ในยุคนี้ไม่สามารถทำได้แบบเดิมแล้ว และยังทำให้เรานึกถึงบทเพลงในยุคนั้นเช่นกัน ซึ่ง 1 ในเพลงที่สร้างปรากฏการณ์ในช่วง Y2K ไปทั่วโลก มันคือ “In The End” ของวง Linkin Park นั่นเอง “In The End” คือผลงานจาก “Hybrid Theory” อัลบั้มแรกของวง Linkin Park ที่วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2000 ซึ่งมันก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากชาวร็อกและแฟนเพลงในยุคนูเมทัลเป็นอย่างมาก เพราะวง Linkin Park สามารถเบลนด์เอาความหนักหน่วงเข้ากับสัดส่วนของเพลงป๊อปได้อย่างลงตัว แต่ละเพลงในอัลบั้มล้วนฟังง่ายแต่ไม่ทิ้งความมันส์ รวมไปถึงสามารถฟังได้ทุกเพศทุกวัย เพราะในอัลบั้มนี้ปราศจากคำหยาบ ทำให้ผู้ปกครองสบายใจที่จะปล่อยให้ลูกหลานได้ฟัง “In The End”
Skid Row คือหนึ่งในวงดนตรียุคแฮร์แบนด์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ชื่อเสียงของพวกเขาโด่งดังไม่แพ้วง อย่าง Guns N’ Roses หรือ Motley Crue แต่อย่างใด สาเหตุไม่ได้มาจากความฟลุ๊ค แต่มันมาจากฝีมือทางดนตรีอัดยอดเยี่ยมของพวกเขา วง Skid Row มีสกิลในการสร้างสรรเพลงเร็วได้อย่างถึงใจชาวเฮฟวี่เมทัล แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถสร้างเพลงช้าสไตล์บัลลาดที่บาดใจคอเพลงร็อกทั่วโลกได้ไม่น้อยหน้ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเพลง “18 And Life” ผลผลิตจากอัลบั้มแรกของ Skid Row ที่ใช้ชื่อเดียวกับวง ออกวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 24 มกราคม ปี 1989 โดยพวกเขาเลือกเปิดตัวด้วยเพลง “Youth Gone Wild” ที่เป็นเพลงเร็วและมีจังหวะที่ฮึกเหิมเร้าใจ ซึ่งก็ได้รับความสนใจพอประมาณ จนกระทั่งเดินทางมาถึงซิงเกิ้ลที่ 2 ในการโปรโมต นั่นก็คือ “18 And Life” ดนตรีในเพลงนี้มีความกระชับเป็นอย่างมากด้วยเวลาที่บรรเลงเพียง 3:50 นาทีเท่านั้น แต่แค่เท่านี้ก็เพียงพอที่วง Skid Row จะสามารถสื่อสารทุก ๆ สิ่งที่ต้องการออกมาได้อย่างครบเครื่อง ลงตัว
Phum Viphurit เริ่มต้นด้วยการเป็น New Blood ในยุคที่ Rats Record กำลังจะเปลี่ยนกระแสดนตรีไทยให้รุ่งเรืองด้วยภาษาสากล จากเพลงกลิ่นอายโฟล์คในอัลบั้มเต็ม Manchild (2017) เดินทางสู่เพลงเจือส่วนผสมของ Funky Soul ในอีพี Bangkok Balter Club (2019) ที่ Lover Boy เปลี่ยนให้เขากลายเป็นหนุ่มที่ทั่วโลกต่างรักเขาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง อัลบั้มล่าสุด The Greng Jai Peice ปี 2023 คือการเติบโตที่เอาทุกอย่างที่พูดถึงในบรรทัดก่อน โยนส่วนผสมใส่ครกตำจนละเอียด จนเกิดเป็นเครื่องเทศเจือกลิ่นอายความเป็นไทยอย่างพอเหมาะ ในแบบแนวดนตรีและวิธีการเล่าเรื่องของ Phum Viphurit อย่างเต็มเปี่ยม อัลบั้มที่พาร์ท Music เล่าถึงความหลงใหลในดนตรียุค 70s-80s ผ่านเมโลดี้ ซาวด์กีตาร์ ซาวด์เบสและการดีไซน์เสียงสังเคราะต่าง ๆ ผ่านเรื่องเล่าของเสียงซึ่งสะท้อนอยู่ในหัวของตัวเอง ที่เขาให้สัมภาษณ์กับ NME เอาไว้เมื่อปีที่แล้ว “เพลงในอัลบั้มนี้คือเรื่องราวต่าง ๆ ที่อยู่นอกเหนือจากชีวิตของผม ผสมกับความคิดถึงที่มีให้กับอดีต (nostalgia)
แม้ว่าวงการดนตรีไทยจะถูกครองโดยค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ที่มีเงินทุนในการโปรโมต ซึ่งสามารถยึดพื้นที่สื่อจนทำให้ใครหลายคนคิดว่าแนวทางของวงดนตรีไม่ได้หลากหลายแต่อย่างใด แต่ความจริงแล้วยังมีวงดนตรีอิสระอีกมากที่เลือกจะนำเสนอผลงานในสไตล์ตัวเองแบบ 100% เพียงแต่ว่าสปอตไลท์อาจจะส่องแสงไปไม่ถึงพวกเขานั่นเอง ทาง Unlockmen จึงขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ 5 วงเมทัลสายโหดแห่งโลกอันเดอร์กราวน์ไทย ให้ทุกคนได้ลองเสพผลงานกัน *คำเตือนใครหูไม่แข็งแกร่งอาจจะเหวอเอาได้ง่าย ๆ NARAKA Naraka เป็นวงดนตรีสไตล์เทคนิคัล เดธเมทัล ที่มีทั้งความโหดและความซับซ้อนทางดนตรี พร้อมด้วยเทคนิคที่แพรวพราว วงดนตรีวงนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดย “ออกัส ดีล่า” ลูกชายของ “บ๊อบ ดีล่า” มือกลองระดับตำนานของประเทศไทย (ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว) ออกัสเองก็มีผลงานในฐานะมือกลองมาอย่างล้นแก้ว เขาเคยร่วมงานกับวง In Vein, Heretic Angels, Macaroni, Splattered Orgasm, Cadaver Not Talk, Neverland, The Ginkz และ Tragedy Of Murder แต่สำหรับกับ Naraka เขาได้เลือกเปลี่ยนบทบาทจากมือกลองกลายมาเป็นตำแหน่งร้องนำ/มือกีตาร์แทน แถมยังอัดเครื่องดนตรีทุกชิ้นไม่ว่าจะเป็นเบส และกลองเองทั้งหมดอีกด้วย รวมถึงเป็นคนคิดเพลงของตัวเองทั้งหมดด้วยเช่นกัน จัดว่าเป็นอัจฉริยะทางด้านดนตรีโดยแท้จริง ปัจจุบัน Naraka
การฟังเพลงให้ถูกจังหวะ ให้เข้ากับสถานการณ์ ว่ากันว่ามันสามารถช่วยปรับอารมณ์ของเราได้ไม่น้อยทีเดียว เช่น เพลงแนวแอมเบียนต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาช่วยทำให้เรารู้สึกผอ่นคลาย โดยมากมักจะได้ยินในร้านสปา หรือจะเป็นเพลงที่มีเนื้อหาอกหัก แม้ว่าจะมีเนื้อหาที่เศร้าแต่กลับช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้นเพราะมันเปรียบเสมือนมีเพื่อนที่เข้าใจความรู้สึกของเรา ส่วนใครที่กำลังรู้สึกขาดชีวิตชีวา รู้สึกหมดพลังที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง การฟังเพลงแนวเฮฟวี่เมทัลก็อาจจะเป็นตัวช่วยที่ดี เพราะพลังและความรวดเร็วที่ถูกถ่ายทอดออกมาน่าจะไปช่วยกระตุ้นอะดรีนาลีนให้ตื่นตัวได้ไม่ยาก ด้วยเหตุนี้เราจึงได้รวบรวม “6 เพลงเฮฟวี่เมทัลไทยยุค 80’s-90’s” มาให้ทุกคนเก็บไว้ในเพลย์ลิสต์ส่วนตัวกัน “ร็อกเกอร์” หิน เหล็ก ไฟ เราอาจจะคุ้นเคยกับเพลงดังของหิน เหล็ก ไฟ อย่าง “นางแมว”, “ยอม” หรือ “พลังร็อก” เป็นต้น แต่นั่นก็แค่น้ำจิ้มของความสุดยอดทางดนตรีในรูปแบบเฮฟวี่ เมทัล เพราะหากให้มาเทียบกับเพลง “ร็อกเกอร์” เพลงปิดอัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับวง (วางจำหน่ายปี 1993) บอกได้เลยว่าคนละเรื่อง เพราะเพลงนี้เรียกได้ว่าจัดจ้าน ทักษะทางดนตรีถูกปลดปล่อยกันออกมาอย่างไม่มีกั๊ก ทำให้เราได้ฟังจังหวะดนตรีสุดเร่งเร้า เช่นเดียวกับเสียงร้องของโป่ง ปฐมพงศ์ ที่พีคด้วยการโหนโทนแหลมสูงได้อย่างแสบแก้วหู ราวกับถูกวิญญาณของ Rob Halford แห่งวง Judas Priest มาประทับร่างเลยทีเดียว “คนหูเหล็ก” THE OLARN PROJECT
ในบรรดาวงร็อกจากฝั่งอเมริกาที่ทำผลงานได้อย่างน่าจดจำในช่วงปลายยุค 90’s จนถึงปี 2000’s หนึ่งในลิสต์หลายชื่อของใครหลายคนจะต้องมีวง Incubus เป็นวงโปรดด้วยอย่างแน่นอน วงดนตรีที่นำเอาซาวด์อันหลากหลายมาผสมผสานจนเกิดเป็นชิ้นงานศิลปะทางดนตรี ไม่ว่าจะเป็นร็อก, นูเมทัล, ฮิปฮอป, ฟังก์ หรือเรกเก้ เป็นต้น อีกทั้งพวกเขายังเป็นวงที่มีฟรอนต์แมนหน้าตาหล่อไม่แพ้บอยแบนด์อย่าง Brandon Boyd จึงไม่น่าแปลกใจที่ชื่อของวง Incubus จะได้รับความสนใจในช่วงเวลานั้น วง Incubus เริ่มก่อตั้งกันตั้งแต่ในปี 1991 โดย 3 สมาชิกดั้งเดิมได้แก่ Bradon Boyd, Mike Einziger (กีตาร์) Alex Katunich (เบส) และ José Pasillas (กลอง) โดยพวกเขาทั้งหมดไปเจอกันในโรงเรียน Calabasas High School หลังจากนั้นก็ Gavin Koppel หรือ “DJ Lyfe” มารับหน้าที่มือเทิร์นเทเบิ้ลให้กับทางวง (แต่ก็อยู่กับวงได้ไม่นานเพราะลาออกไปในปี 1998 และถูกแทนที่โดย Chris Kilmore มาจนถึงปัจจุบัน) พวกเขาค่อย
ต่อเนื่องจากบทความ 12 ผลงานร็อกสุดคลาสสิคในช่วงปี 2000-2005 จากค่ายยักษ์ใหญ่ย่านอโศก วันนี้เรามาเจาะกันที่ช่วงปี 2006-2010 ว่ามีอัลบั้มอะไรที่โดดเด่นในช่วงนั้นบ้าง ซึ่งทาง Unlockmen ก็รวบรวมมาให้ทั้งหมด 8 ผลงานเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ RETROSPECT “UNLEASHED” (2007) ในช่วงกลาง-ปลายยุค 2000’s คงไม่มีวงไหนโดดเด่นเท่ากับ Retrospect อีกแล้ว พวกเขาสถาปนาจากวงใต้ดินให้กลายเป็นวงร็อกระดับหัวแถวของประเทศจากอัลบั้มแรก “Unleashed” ที่มีพื้นฐานจากดนตรีสไตล์เมทัลคอร์ที่ถูกปรับจูนให้ฟังง่ายขึ้น จนเกิดเพลงฮิตแบบถล่มทลาย ไม่ว่าจะเป็น “เพราะว่ารัก”, “ปล่อยฉัน”, “ความฝันของเรา”, “สุดที่รัก” และ “ให้ฉันลืมเธอ” เป็นต้น เอาจริง ๆ ทุกเพลงในอัลบั้มนี้ฮิตทุกเพลง นอกจากความสำเร็จด้านดนตรี ด้านผู้นำแฟชั่นพวกเขาก็ชนะเลิศจากการแต่งตัวของ “แน็ป” ที่มาพร้อมกับเสื้อเชิร์ตลายสกอต, การปัดผมสไตล์อีโม รวมไปถึงการเจาะสักตามร่างกาย ทำให้ในช่วงนั้นเราได้เห็นวัยรุ่นแต่งตัวตามกันเต็มทั่วบ้านทั่วเมือง จนทำให้ทางงวงต้องเรียกแฟนเพลงเหล่านี้ว่า “เรทโทรเรี่ยน” แถมแน็ปยังโดนข่าวลือปั่นกระแสว่าเจ้าตัวเป็นผู้หญิงผ่าตัดกล่องเสียงมาร้องเพลงแทนพี่ชายอีก ยิ่งทำให้ชื่อวง Retrospect เป็นที่พูดถึงมากยิ่งขึ้น ถึงแม้เรื่องดังกล่าวจะเป็นการมโนขึ้นมาของใครซักคนก็ตาม SWEET MULLET “LIGHT HEAVYWEIGHT”
“โพสต์กรันจ์” หรือที่ใครหลายคนเรียกกันติดปากว่า “อเมริกันร็อก” ซึ่งพื้นเพทางดนตรีมันก็มาจากดนตรีกรันจ์ออริจินัลแบบที่เราได้ฟังกันจากวง Nirvana หรือ Pearl Jam แต่หลังจากมันได้รับความนิยมแบสุดขีด จึงไม่แปลกที่กรันจ์จะได้สร้างอิทธิพลและแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นถัดมา ทำให้กรันจ์เกิดวิวัฒนการที่ผ่านการปรุงแต่งให้ฟังง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก จนสามารถกลายเป็นดนตรีกระแสหลักหรือเมนสตรีมที่ใคร ๆ ก็ฟังได้ แถมยังมีเนื้อหาที่ไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตที่ชวนซีเรียส แต่นำเสนอเนื้อหารัก ๆ ใคร่ ๆ ซะเป็นส่วนมาก “โพสต์กรันจ์” ขยายอิทธิพลในช่วงปลายยุค 90’s ลากยาวจะไปถึงปลายยุค 2000’s เลยทีเดียว แต่ช่วงพีคที่สุดคงหนีไม่พ้นต้น 2000’s ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่กระแสดนตรีนูเมทัลได้รับความนิยมนั่นเอง อย่างไรก็ตาม “โพสต์กรันจ์” ในช่วงนั้นได้รับกระแสต่อต้านไม่น้อย เพราะหลาย ๆ คนดันไปตีตราว่าวงพวกนี้คือ “ร็อกของปลอม” (ทั้ง ๆ ที่ซาวด์มีความหนักหน่วงที่หาฟังไม่ได้ง่าย ๆ จากคลื่นวิทยุในยุคปัจจุบัน) ถึงแม้จะโดนแขวะ โดนเหยียด แต่มันก็ไม่อาจจะหยุดยั้งความสำเร็จของบรรดาวงสายโพสต์กรันจ์ได้เลย ด้วยเหตุนี้เราจึงรวบรวม 10 เพลงฮิตของวงโพสต์กรันจ์มาฝากทุกคนกันครับ “HOW YOU REMIND ME” NICKELBACK วงโพสต์กรันจ์จากประเทศแคนาดาที่ข้ามประเทศมาประสบความสำเร็จในอเมริกา จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ผลงานชุดแรกของ Nickelback คือ
หลาย ๆ คนมักจะตีความดนตรีแนว “ฮาร์ดคอร์” กันผิด เพราะคนส่วนใหญ่ชอบเหมารวมว่าเพลงที่หนัก ๆ แหกปาก รุนแรง คือแนวฮาร์ดคอร์ไปซะทั้งหมด โดยเฉพาะในยุคนูเมทัลที่ในเริ่มแรกก็ถูกเรียกแบบนั้นเช่นกัน แต่แท้จริงแล้วซาวด์ของมันไม่ได้มีความใกล้เคียงเลย ดังนั้นเราลองมาทำความรู้จักพื้นฐานของฮาร์ดคอร์กันซักนิดก่อนดีกว่า ดนตรีฮาร์ดคอร์มีพื้นฐานมาจาดนตรีพังก์ ก่อตัวขึ้นในช่วงปลายยุค 70’s ถึงช่วงต้นยุค 80’s โดยเฉพาะในวอชิงตัน ดี.ซี. และนิวยอร์ก แต่ดนตรีของฮาร์ดคอร์จะมีความดิบกว่า หนักกว่า รวดเร็วกว่า และเสียงดังกว่า พังก์ขึ้นไปอีกเท่าตัว แถมยังใช้การแหกปากในการร้องเพลงด้วยเช่นกัน มีวงอย่าง Minor Treat, Bad Brains, Black Flag, Circle Jerks และ Dead Kennedys เป็นศิลปินบุกเบิกและเป็นต้นแบบให้กับวงในยุคต่อมา ดนตรีฮาร์ดคอร์ ยังมีวัฒนธรรมที่น่าสนใจที่แฝงตัวอยู่ ไม่ว่าการนิยมใช้ระบบ D.I.Y., การมอชพิต รวมไปถึงการใช้ชีวิตแบบ Straight Edge (ไม่ดื่ม ไม่เสพ ไม่มั่วเซ็กส์) เป็นต้น นอกจากนี้ดนตรีฮาร์ดคอร์ยังกลายเป็นอิทธิพลสำคัญให้กับดนตรีแนวอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นแธรช