เชื่อว่าช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์น่าจะมีใครหลาย ๆ คนออกเดินทางไกลไปต่างจังหวัดกัน ไม่ว่าจะเป็นการกลับบ้านหรือไปเที่ยวพักผ่อนตามอัธยาศัย ซึ่งอุปสรรคระหว่างขับรถไกล ๆ แถมรถยังติดมักจะตามมาด้วยความง่วง เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องหาตัวช่วยมาสู้กับมันซักหน่อย Unlockmen จึงขอจัดเพลย์ลิสต์ 12 เพลงร็อกสุดมันส์ปลุกความง่วงขับรถช่วงสงกรานต์ มาฝากทุกคนกันครับ เสแสร้ง – PAPER PLANES FEAT.MOON ผลงานเพลงสุดร้อนแรงของวง Paper Planes ที่กลายเป็นกระแสฮิตไปทั่วโลกออนไลน์ ณ เวลานี้ โดดเด่นด้วยซาวด์ที่มีการผสมผสานอันหลากหลาย ทั้งป๊อปพังก์, อีโม และแทร็ป แม้ว่าเพลงจะไม่ได้หนักหน่วง มาในแบบจังหวะกลาง ๆ แต่มันก็น่าจะเป็นเพลงที่เหมาะกับการค่อย ๆ ปรับโสตประสาทของคุณก่อนที่จะไปลุยกับเพลงต่อไป ที่เดิม – POTATO ผลงานจากอัลบั้ม “Life” ที่วางจำหน่ายเมื่อปี 2005 เป็นเพลงที่ทำให้แฟนเพลงรู้สึกเซอร์ไพรส์ เพราะ Potato เลือกเอาสัดส่วนของกลองสองกระเดื่องมาขับเคลื่อน ส่งผลให้สามารถส่งพลังงานออกมาได้แบบไม่มีกั๊ก ใครที่ได้ฟังก็จะรู้สึกตื่นตัวไปกับความหนักแน่นและเมโลดี้เพราะ ๆ ที่ถูกเบลนด์เข้ากันได้อย่างลงตัว ยังไม่ตาย – ZEAL หนึ่งในผลงานเพลงที่อยู่ในอัลบั้ม Little Rock
ใครกำลังหาภาพยนตร์ทาง Netflix ดูเพลิน ๆ ในช่วงวันหยุด โดยเฉพาะหากคุณเป็นคนที่หลงใหลในบทเพลงร็อกและเมทัล เราขอแนะนำให้คุณรับชมเรื่อง Metal Lords ที่เพิ่งออนแอร์ไปสด ๆ ร้อน ๆ และกำลังเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในโลกของโซเชียลมีเดียด้วยเช่นกัน Metal Lords เนื้อหาถูกเขียนขึ้นโดย D.B. Weiss ผู้ฝากผลงานไว้กับซีรีส์โคตรมหากาพย์อย่าง Game of Thrones นอกจากนั้นยังได้ Peter Sollett มารับหน้าที่ผู้กับกำกับ พร้อมทั้ง Tom Morello มือกีตาร์วง Rage Against The Machine มาทำหน้าที่ Executive Music Producer เพื่อเพิ่มความเข้มข้นและความถูกต้องของดนตรีเมทัลให้กับภาพยนตร์ ในส่วนของพาร์ตการแสดงได้ Adrian Greensmith รับบทเป็น “Hunter” เด็กหนุ่มผู้คลั่งไคล้เพลงเมทัลแบบเข้าเส้น, Jaeden Martell มารับบทเป็นเด็กเนิร์ดสุดติ๋มนามว่า “Kevin Schlieb” และ Isis Hainsworth รับบทเป็น
ดนตรีมักจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมในชีวิตประจำวันเสมอ เช่นการออกกำลังกาย ที่เรามักจะเซตเพลย์ลิสต์กับบีตดนตรีให้เหมาะสมกับจังหวะการเคลื่อนที่ รวมไปถึงเวลาเข้าร้านสปาเรามักจะได้ยินเพลงที่เต็มไปด้วยเสียงธรรมชาติเมื่อไหร่ที่ได้ฟังก็มักจะรู้สึกผ่อนคลายตามไปด้วย ล่าสุดมีผลวิจัยใหม่เกี่ยวกับเสียงและอารมณ์ครั้งใหม่ออกมา นั่นคือ “Binaural Beats” หรือคลื่นเสียงบำบัดสมอง มีผลทำให้สมองออกฤทธิ์ get high ได้คล้ายตอนเสพยาเสพติด ซึ่งกลายเป็นข้อมูลใหม่เนื่องจากเมื่อปี 2020 มีการระบุว่า Binaural Beats ไม่มีผลต่ออารมณ์แต่อย่างใด ผลการวิจัยล่าสุดเกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2022 โดยทาง RMIT University มหาวิทยาลัยในประเทศออสเตรเลียได้จัดทำหัวข้อ “Who Uses Digital Drugs? An International Survey of ‘Binaural Beat’ Consumers” ที่ได้โชว์ให้เห็นถึงข้อมูลผู้ทำแบบสอบถาม Global Drug Survey ของปี 2021 พบว่า ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ Binaural Beats ในการผ่อนคลายเพื่อนอนหลับทั้งหมด 72%, ใช้เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ 35% และใช้เพื่อให้เกิดอาการคล้ายยาหลอนประสาทอีก 12% โดยจังหวะและคลื่นความถี่ของเสียงมักจะมีชื่อของตัวยากำกับเอาไว้เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกฟังตามความพึงพอใจของตัวเอง
Dangerous Minds คือภาพยนตร์แนวดราม่าที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในยุค 90’s ออกฉายครั้งแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 1995 นำแสดงโดย Michelle Pfeiffer มารับบทเป็นคุณครู LouAnne Johnson และกำกับการแสดงโดย John N. Smith ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือ “My Posse Don’t Do Homework” ที่เขียนโดย LouAnne Johnson ตัวจริง Dangerous Minds นำเสนอเรื่องราวของคุณครูคนหนึ่งที่ตกลงปลงใจเข้าสอนกลุ่มนักเรียนพิเศษในระดับไฮส์สคูล หรือจะให้บอกตรง ๆ ก็คือกลุ่มนักเรียนเกเรที่ไม่มีใครอยากสนใจ มีครูมากมายที่ต้องลาออกไปเพราะไม่สามารถที่จะรับมือกับความแสบของเด็ก ๆ กลุ่มนี้ได้ แต่ครู LouAnne Johnson กลับสามารถพิชิตใจนักเรียนกลุ่มนี้ได้ แม้กว่าจะทำสำเร็จก็ต้องผ่านเรื่องราวอะไรต่าง ๆ มากมาย ซึ่งพอมาเปรียบเทียบกับชีวิตของเราแล้ว มันมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่เหมาะกับการนำไปปรับใช้เวลาทำงานด้วยเช่นกัน และเราสามารถแบ่งประเด็นที่น่าสนใจออกมาได้เป็นจำนวน 5 ข้อหลัก ๆ ดังนี้ แผนบางอย่างใช้ไมได้กับทุกสถานการณ์
หากพูดถึงเพลง “Do I Wanna Know?” ของวง Arctic Monkeys คุณจะนึกถึงอะไรบ้าง แน่นอนว่าคงจะต้องนึกถึงริฟฟ์กีตาร์เท่ ๆ เสียงยาน ๆ สไตล์สโตนเนอร์ที่มีกลิ่นอายของดนตรีบลูส์ จะให้บอกว่าเป็นตัวชูโรงของเพลงนี้ก็คงไม่ผิดแต่อย่างใด หรือจะเป็นจังหวะดนตรีที่ชวนดีดนิ้วตามก็ถือว่าเป็นสเน่ห์อีกอย่างที่ถูกสอดแทรกเข้าไป หรือจะเป็นเสียงร้องที่สะกดคนฟังได้อยู่หมัด ทั้งหมดทั้งมวลคือส่วนผสมอันลงตัวจนทำให้เพลงนี้กลายเป็นหนึ่งในผลงานมาสเตอร์พีซของ Arctic Monkeys ในที่สุด แต่กว่าเพลงนี้จะถูกออกมาสมบูรณ์แบบ มันก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจซ่อนอยู่เช่นกัน ต้นขั้วมาจากเพลง “R U MINE?” “Do I Wanna Know?” ถูกปล่อยออกมาสู่โลกภายนอกเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2013 เป็นเพลงที่ 2 ที่ถูกนำมาโปรโมตจากอัลบั้ม “AM” ความน่าสนใจของเพลงนี้นอกจากดนตรี มันคือที่มาที่ไปที่มาจากเพลง “R U Mine?” ซึ่งก็เป็นเพลงที่อยู่ในอัลบั้ม AM เช่นกัน เป็นแทร็กที่ 2 ต่อจาก “Do I Wanna Know?” แล้วทั้ง
ในทุก ๆ ปี โดยเฉพาะวงการดนตรีจะมีการสูญเสียศิลปินที่มากความสามารถมาอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดก็กลายเป็นข่าวช็อกแฟนเพลงอีกครั้งกับการจากไปของ Taylor Hawkins มือกลองมากความสามารถจากวง Foo Fighters Taylor Hawkins ถูกพบว่าเสียชีวิตในห้องพักของโรงแรม The Casa Medina ณ เมืองโบโกตา ประเทศโคลอมเบีย เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่ผานมา สร้างความเสียใจให้กับแฟนเพลงไปทั่วโลก รวมถึงบรรดาเหล่าศิลปินร่วมวงการที่ออกมาร่วมกันไว้อาลัยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของ Taylor Hawkins ได้เป็นอย่างดี ภายหลังจากประกาศยืนยันการเสียชีวิต ในวันที่ 26 มีนาคม ทางสำนักงานอัยการสูงสุดของโคลอมเบียได้เผยแพร่ข้อความถึงการตรวจสอบสารพิษต่าง ๆ เบื้องต้นในร่างกายของ Taylor Hawkins ซึ่งปรากฎว่ามีความเกี่ยวข้องกับยา โดยมีข้อมูลแยกย่อยได้ 3 ข้อดังนี้ 1.การทดสอบสารพิษภายในร่างกายของ Taylor Hawkins ด้วยปัสสาวะ พบว่ามีสารของ กัญชา, ยากล่อมประสาท, เบนโซไดอะซีพีน (กลุ่มยานอนหลับหรือยาคลายเครียด) และโอปิออยด์ (กลุ่มยาที่ใช้ระงับอาการปวดระดับปานกลางไปถึงรุนแรง) 2.สถาบันนิติเวชแห่งชาติกำลังทำการศึกษาทางการแพทย์ต่อไป เพื่อที่จะสามารถชี้แจงข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของ Taylor Hawkins ได้อย่างสมบูรณ์แบบ 3.ศูนย์การดำเนินคดีแห่งชาติของโคลอมเบียจะทำการตรวจสอบต่อไป
จากหนังระทึกขวัญที่ผู้คนต่างมองข้าม กลับกลายเป็นหนังสุดฮิต แถมยังแจ้งเกิดนักแสดงให้กลายเป็น Sex Symbol แห่งยุค 90s และเพียงซีน ๆเดียว ทำให้ผู้ชายทั่วทั้งโลกต้องซื้อวีดีโอหนังเรื่องนี้เพื่อกด Pause ดูซีนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในวาระที่หนังพิศวาสเขย่าจิตเรื่องนี้มีอายุครบ 3 ทศวรรษในปี 2022 นี้ เรามาทำความรู้จักกับคาแรคเตอร์สุดรัญจวนใจ ที่ทำให้นักแสดงสาวโนเนมอย่าง Sharon Stone กลายเป็นซูเปอร์สตาร์เพียงชั่วข้ามคืน ในหนัง Basic Instinct ที่ชื่อภาษาไทยสุดเร่าร้อนว่า “เจ็บธรรมดา…ที่ไม่ธรรมดา” มาทำความรู้จักกับเธอ แล้วคุณจะรู้ว่าไม่เพียงแค่คนตายในจอ แต่นอกจอ ชายหนุ่มทั่วทั้งโลกต่างก็สู่ขิตตายคารีโมทกันมาแล้วทั้งนั้น พิศวาสฆาตกรรมปลุกสัญชาติญาณดิบของมนุษย์ Basic Instinct เล่าเรื่องราวของนักสืบ Nick Curran (Michael Douglas) ที่สืบคดีการตายอย่างเป็นปริศนาของชายหนุ่มถูกฆาตกรรมด้วยที่เจาะน้ำแข็งขณะมีเซ็กซ์ และผู้ต้องหาในเวลานั้นคือ Catherine Tramell (Sharon Stone) นักเขียนนิยายสาวสุดเซ็กซี่ ก่อนที่นักสืบจะตกอยู่ในห้วงเสน่หาจนมิอาจถอนตัวขึ้น แม้หนังจะแปะป้ายว่าเป็นแนว Thriller ระทึกขวัญ แต่ความรัญจวนวาบหวามวาบหวิวในหนัง รวมไปถึงฉากเซ็กซ์อันเร่าร้อนรุนแรงในหนัง ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นที่สุดแห่งความอื้อฉาวที่สามารถทำเงินทั่วโลกได้ถึง 352 ล้านเหรียญทั่วโลก
ณ Mid-Den Haus Studio สตูดิโอบ้านสไตล์วินเทจย่านซอยพหลโยธิน 44 เมื่อสัปดาห์ก่อน เรามีนัดพูดคุยกับศิลปินและนักแสดงชื่อดังที่อยู่ในวงการบันเทิงมานานเกิน 20 ปี แต่ไม่น่าเชื่อว่ากาลเวลาจะทำอะไรผู้ชายที่ชื่อว่า “โดม ปกรณ์ ลัม” ไม่ได้เลย โดมจะมาพาทุกคนไปไล่ย้อนไทม์ไลน์นับตั้งแต่วันแรกที่เข้าวงการจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงมุมมองของสังคมและประเทศไทยในปัจจุบันที่ถูกแช่แข็งอยู่กับที่มาอย่างยาวนาน ซึ่งคงไม่บ่อยมากนักที่เราจะได้ฟังทัศนคติของโดมที่จะพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ พร้อมแล้วไปลุยกันเลยครับ! เข้าสู่วงการตั้งแต่วัยเด็ก โดม เป็นคนที่มีชีวิตวัยเด็กไม่ต่างจากเด็กทั่ว ๆ ไป ตื่นเช้าไปเข้าเรียน ตกเย็นเตะบอลกับเพื่อนแล้วค่อยแยกย้ายกลับบ้านนอนตามปกติ แต่สิ่งที่แตกต่างกว่าคนอื่น ๆ ซักเล็กน้อยก็คงเป็นการทำงานถ่ายโฆษณาตั้งแต่วัย 2-3 ขวบ ซึ่งโดมเล่าให้ฟังว่ามีงานเข้ามาบ่อยมาก เนื่องจากตนเองเป็นเด็กที่อึดมาก ไม่ค่อยงอแง ทำให้ได้งานตลอด มีรายได้พิเศษมาช่วยคุณแม่จนกระทั่งเข้าสู่วัย 6 ขวบ “ถ่ายโฆษณาไปมา จนไปเตะตาพี่คนหนึ่ง เขาทำละครอยู่ช่อง 3 ตอนนั้นประมาณ 6 ขวบ ผมเล่นละครช่อง 3 เป็นตัวละครเด็กนี่แหละครับ ได้เล่นอยู่หลายเรื่อง จากนั้นก็เริ่มมีงานตามมาเรื่อย ๆ ลักษณะกึ่งดาราเด็กแต่ก็ไม่เชิง เพราะว่าสมัยนั้นไม่ค่อยมีดาราเด็กที่โด่งดัง จะเป็นพระนางเสียส่วนใหญ่ เด็กก็จะเป็นตัวประกอบในละคร”
ครั้งก่อนที่ทางเราได้มีการทำคอนเทนต์เพลงร็อกยุค 90’s จากฝั่งอเมริกาไป ก็มีคอนเมนต์บางส่วนที่เรียกร้องอยากให้ทำฝั่งอังกฤษบ้าง วันนี้เราเลยขอจัด 10 เพลงร็อกระดับ Iconic แห่งยุค 90’s จากฝั่งสหราชอาณาจักรแบบเน้น ๆ เอาไว้ให้ทุกคนได้เพิ่มเข้าไปในเพลย์ลิสต์ส่วนตัวกันครับ OASIS “WONDERWALL” (1995) เอาจริง ๆ เพลงของ Oasis นี่เป็นอะไรที่เลือกยากมากเพราะเพลงดี ๆ มีอยู่หลายเพลง แต่ถ้าจะให้พูดถึงเพลงระดับ Iconic ก็มีอยู่ 2 ตัวเลือกคือ “Don’t Look Back In Anger” และ “Wonderwall” แต่สุดท้ายขออนุญาตเลือกเพลงหลัง เพราะความชื่นชอบเสียงร้องของ Liam Gallagher ในสมัยที่เสียงยังสดเอามาก ๆ “Wonderwall” เป็นผลงานจาก “(What’s The Story) Morning Glory” สตูดิโออัลบั้มที่ 2 ของ Oasis ซึ่งกลายเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่มาจวบจนทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งของความสำเร็จ ก็ต้องยอมรับว่าเพลง
หากกล่าวถึง Jackass วัยรุ่นระดับฮาร์ดคอร์ ไม่มีใครไม่รู้จักแก๊งเกรียนที่ชอบเสนอเรื่องราวเจ็บเนื้อเจ็บตัว พร้อมป่วนประสาทผ่านรายการเรียลลิตี้สุดฮาของช่อง MTV ในยุค 2000 นำทีมโดย Johnny Knoxville จนสร้างแฟนเดนตายและกลายเป็น Pop Culture สำคัญแห่งยุค และเลื่อนขั้นจากจอแก้วสู่จอเงิน ในสเกลที่ใหญ่และห่ามขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเพื่อต้อนรับหนังใหญ่เรื่องที่ 4 “Jackass Forever” เราจึงขอรวบรวมความเกรียนเฮี้ยนแตกของซีนที่ได้รับการโหวตว่า “โคตรคลาสสิค” ให้ชมเป็นการอุ่นเครื่องกันก่อน มาดูกันว่าตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมาพวกเขาได้สร้างความเฮี้ยนบนจอขนาดไหน และเราคงไม่จำเป็นต้องบอกว่า “การแสดงเหล่านี้เป็นความสามารถและความบ้าคลั่งเฉพาะตัว น้อง ๆ หนู ๆ ห้ามลอกเลียนแบบนจ๊ะ” Hi 5 ในตำนาน From: Jackass 3-D Hi 5 ในที่นี้ไม่ใช่โซเชี่ยลมีเดียยุคดึกดำบรรพ์ แต่เป็นการประสานมือทักทายเพื่อนฝูงตามแบบชาวตะวันตก สำหรับการ Hi 5 ของแก๊ง Jackass มีหรือจะธรรมดา ว่าแล้ว Knoxville ก็สร้างมือขนาดยักษ์ที่มีกลไกสามารถ High 5
จากนักแสดงขวัญใจวัยรุ่นที่ถูกนักวิจารณ์ปรามาสว่า “พอผ่านพ้นช่วงวัยรุ่น ต้องตกอับอย่างแน่นอน” แต่ Robert Pattinson กลับเลือกบทบาทที่แสนท้าทาย จนสามารถก้าวข้ามจากดาราขายหน้าตา เป็นนักแสดงขายฝีมือได้อย่างเหลือเชื่อ จากการรับเล่นหนังที่เน้นขายฝีมือและหนังอินดี้มามากมาย เขาได้แสดงฝีมือไปอีกขั้น กับบทบาทมนุษย์ค้างคาวเวอร์ชั่นใหม่ The Batman ที่ตีความมืดหม่นและสุดกรันจ์ เรามาดูพัฒนาการของผู้ชายคนนี้ แล้วคุณจะต้องทึ่งในบทบาทอันหลากแนวของเขา The Twilight Saga (2008-2012) แจ้งเกิดบทบาทเทพบุตรแวมไพร จากบทบาทเล็กๆที่ได้รับในหนังพ่อมด Harry Potter and the Goblet of Fire ในเวลาต่อมา Robert Pattinson ก็ได้รับโอกาสแบบก้าวกระโดดจากหนังที่สร้างจากนิยายขายดีของ Stephenie Meyer โดยได้รับคัดเลือกให้มารับบท Edward Cullen เทพบุตรแวมไพร์ที่มาหลงรักสาวน้อยปุถุชนคนธรรมดา จนเกิดเป็นสงครามระหว่างแวมไพร์กับแวร์วูล์ฟอีกหลายภาค แม้ว่าหนังจะทำรายได้รวมทั่วโลกทั้ง 5 ภาค สูงถึง 3.3 พันล้านเหรียญ จนกลายเป็นแฟรนไชส์ที่สร้างกำไรและเป็นหมุดหมายสำคัญแห่งยุคสมัยในช่วงกระแสหนังที่สร้างจากนิยาย Young Adult บูมก็ตาม แต่คุณภาพของหนังก็ค่อยๆถดถอยจนเป็นที่ชวนยี้ของเหล่านักวิจารณ์ ขนาด Robert
Avril Lavigne ศิลปินสาวสายป๊อปพังก์จากแคนาดา ที่คอเพลงสากลยุค 2000’s ต่างรู้จักเธอกันเป็นอย่างดี ฝากเพลงดังเอาไว้บนโลกใบนี้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพลง “Complicated”, “Sk8er Boi”, “My Happy Ending”, “Girlfriend” และอีกมากมาย นอกจากนั้น Avril ยังมีหน้าตาที่น่ารัก โดดเด่นด้วยการกรีดอายไลเนอร์สีดำเข้ม, สีผมที่แสบตา, มีแฟชั่นการแต่งตัวที่ผสมแนวพังก์อันจัดจ้าน แถมเธอมีความทะเล้นแบบน่ารักอยู่ในตัว แค่นี้ก็เป็นเสน่ห์ดึงดูดแฟนเพลงได้ทุกเพศทุกวัย ความสำเร็จใน 3 อัลบั้มแรก Let Go (2002), Under My Skin (2004) และ The Best Damn Thing (2007) ทำให้เธอถูกยกย่องให้เป็นราชินีแห่งวงการเพลงป๊อปพังก์ แต่หลังจากที่กระแสเพลงร็อกซบเซาลงไปทำให้แนวเพลงที่เราคุ้นเคยจากเธอได้เปลี่ยนตามไปด้วย ใน 3 อัลบั้มถัดมา ได้แก่ Goodbye Lullaby (2011), Avril Lavigne (2013) และ Head Above