ในช่วงที่สถานการณ์ COVID-19 กำลังรุนแรง โรงพยาบาลหลายแห่งต่างประสบปัญหาเรื่องการรองรับผู้ป่วยติดเชื้อที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นหลายพันคนทุกวัน เครื่องมือตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่สะดวกรวดเร็วมากขึ้น จึงได้รับความสนใจมากขึ้น และตอนนี้รัฐบาลได้อนุญาตให้อุปกรณ์ตรวจที่น่าสนใจตัวหนึ่งชื่อว่า ‘Rapid Antigen Test’ เข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ในการตรวจหาเชื้อไวรัสแล้ว UNLOCKMEN จึงอยากพาทุกคนไปรู้จักเจ้าอุปกรณ์ตรวจนี้ให้มากขึ้น Rapid Antigen Test คือ อะไร ? ‘Rapid Antigen Test’ เป็นหนึ่งในวิธีการตรวจหาเชื้อ COVID-19 อย่างรวดเร็ว (Rapid Test) ที่มีลักษณะเป็น swab test หรือ การตรวจหาสารพันธุกรรรมของเชื้อในระบบทางเดินทางหายใจ โดย Rapid Test ประกอบไปด้วย 2 ประเภท ได้แก่ ‘Rapid Antigen Test’ และ ‘Rapid Antibody Test’ โดยทั้ง 2 ประเภทนี้มีความแตกต่างกัน Rapid Antigen Test จะตรวจโดยการค้นหาโปรตีนของไวรัส
ปัญหาเรื่องการพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลเสียต่อมนุษย์ทุกคนได้มากมาย ผลร้ายของมัน ไม่ว่าจะเป็น ทำให้ไม่มีแรงในการใช้ชีวิต ขาดสมาธิในการทำงาน เคยทำชีวิตของใครหลายคนพังมานักต่อนัก และยิ่งไปกว่านั้น ปัญหานี้อาจทำให้เกิดโรคร้ายแรงอื่น ๆ ตามมาได้อีกเช่นกัน UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำเทคนิคจาก NASA ที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถนอนหลับได้ดีขึ้น บอกเลยว่าใครที่นอนหลับยาก ไม่ควรพลาดบทความนี้ด้วยประการทั้งปวง !! เริ่มจากสร้างตารางชีวิตประจำวัน เคยสงสัยไหมว่าบางครั้ง นอนเยอะ นอนหลายชั่วโมงแล้ว แต่ตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกง่วงอยู่ นั่นอาจเป็นเพราะร่างกายของเรารับรู้เวลารับตื่นไม่ถูกต้อง ร่างกายของเรามีระบบที่เรียกว่า ‘นาฬิกาชีวิต’ (Biological Clocks) ซึ่งทำหน้าที่ในการควบคุมช่วงเวลาตื่นและหลับของเรา โดยการหลั่งฮอร์โมนและสารต่าง ๆ ออกมาเพื่อให้เราเรารู้สึกง่วง (เมื่อถึงเวลานอน) หรือ ตื่นตัว (เมื่อถึงเวลาตื่น) หากเรานอนไม่เป็นเวลา นอนดึก ตื่นสาย นาฬิกาเรือนนี้สามารถเกิดความผิดปกติขึ้นมาได้ และอาจทำให้เกิดปัญหาร้ายแรง เช่น โรคนอนไม่หลับ หรือ อาการเหนื่อยล้า ขึ้นมาได้ด้วย การกำหนดตารางเวลาตื่นนอน จะช่วยให้เรานอนเป็นเวลา และป้องกันไม่ให้นาฬิกาชีวิตผิดปกติ ซึ่งเวลาทำตารางเวลาควรให้ความสำคัญกับเรื่องธรรมชาติของนาฬิกาชีวิต และพฤติกรรมการนอนของตัวเอง อีกทั้งควรมีการระบุเรื่องวิธีการเปิดไฟ การกินอาหาร การออกกำลังกาย และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการนอนของเราด้วย เพื่อให้เราสามารถลงมือทำจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เคยรู้สึกไหมว่า ยิ่งเราโตขึ้น สมองของเรายิ่งเฉื่อยชาลงทุกวัน ? ถ้ารู้สึก มันอาจเป็นเพราะเราไม่ได้ทำกิจกรรมที่เพิ่ม ‘ความยืดหยุ่นของสมอง’ (Neuroplasticity) ส่งผลให้สมองไม่มีการสร้างเซลล์ประสาทใหม่ หรือ เรียกว่าไม่มีพัฒนาการใด ๆ และเกิดอาการเฉื่อยชาขึ้นมา UNLOCKMEN จึงอยากมาแนะนำกิจกรรมที่จะช่วยให้สมองของเรามีความยืดหยุ่นมากขึ้น และมันจะช่วยให้เราทำงานและใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องแคล่วกว่าเดิมด้วย จดจำคำศัพท์ใหม่ทุกวัน หากคุณกำลังเรียนภาษาต่างประเทศอยู่ คุณอาจมีสมองที่ดีกว่าคนอื่น เพราะงานวิจัยบอกว่าการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ทำให้สมองพัฒนาขึ้นได้ อ้างอิงงานวิจัยของ Tom A F Anderson จากมหาวิทยาลัย National Central University ที่ศึกษาผลของการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ที่มีต่อการทำงานสมอง และพบว่า การเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ช่วยพัฒนาความจำเพื่อใช้ปฎิบัติงาน (Working Memory) รวมถึงความสามารถในการสื่อสารกับคนรอบตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฝึกใช้มือข้างที่ไม่ถนัด หากเราเป็นคนที่ถนัดมือขวา ลองฝึกใช้มือซ้ายในการทำสิ่งต่าง ๆ ดู ไม่ว่าจะเป็น แปรงฟัน เขียนหนังสือ หรือ จับเมาส์ การฝึกฝนมือข้างที่ไม่ถนัดจะช่วยให้สมองเกิดความยืดหยุ่นมากขึ้นได้ สามารถสร้างวิถีประสาทใหม่ (neural pathways) ได้มากขึ้น และยังช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสามทมีความแข็งแรงมากขึ้นอีกด้วย นั่นหมายความว่าสมองของคุณจะทรงพลังมากกว่าเก่า ฝึกโยนลูกบอลสลับมือ การฝึกโยนลูกบอลสลับมือ หรือ
หลายคนเวลาเริ่มทำงานกลุ่ม หรือ โปรเจ็กต์ อาจประสบกับปัญหาสมองค้าง เพราะต้องรับข้อมูลมากมาย จนไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี หรือ บางคนอาจเริ่มจากการรวบรวมความคิดเห็นของสมาชิกในนกลุ่มทุกคนก่อน ก่อนที่จะพบว่าทุกคนต่างมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันจนไม่สามารถหาจุดตรงกลางได้ การคิดไอเดียมักเป็นเรื่องยากเสมอ UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีการที่เรียกว่า HMW ซึ่งจะช่วยให้เรามองปัญหาถูกจุด และคิดไอเดียการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น HMW คืออะไร HWM เป็นวิธีการคิดแก้ปัญหาที่ได้รับความนิยมในหมู่ดีไซนเนอร์ มันมักถูกใช้ในเวลา brainstorming เพื่อทำโปรเพื่อเจ็กต์ใหญ่ หรือ คิดกลยุทธ์ในการทำงาน โดย HMW เป็นคำย่อของประโยคภาษาอังกฤษ How might we ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า “เป็นไปได้ไหมที่จะ…” คนมักจะเขียนประโยคนี้ลงในโน้ตหรือโพสอิท เพื่อสำรวจว่ามีอะไรคือปัญหาที่ควรแก้ไข หรือ สิ่งที่เราควรทำให้สำเร็จ ซึ่งมักใช้งานได้ดี เพราะการตั้งคำถามมักทำให้คนคิดถึงปัญหาอย่างลึกซึ้งมากขึ้น มองเห็นปัญหาที่ชัดเจนมากขึ้น ช่วยให้คิดวิธีการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นตามมา ดังนั้น หากทุกคนสามารถ HMW ไปใช้ได้ จะสามารถแก้ปัญหา และคิดไอเดียได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน วิธีการนำ HMW ไปใช้ เริ่มจากการเตรียมอุปกรณ์สำหรับการทำโน้ต HMW ก่อน ได้แก่ โพสอิท อุปกรณ์ในการเขียนหนังสือ
จะเป็นอย่างไรถ้าหากวันหนึ่งก็เกิดความรู้สึกเฉย ๆ กับทุกสิ่งรอบตัว ไม่ได้รู้สึกยินดีแต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่รู้สึกเศร้า ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกลับรู้สึกว่างเปล่าและนิ่งเฉยไปหมดทุกอย่าง อย่านิ่งนอนใจเพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณว่าเรากำลังพบเจอกับภาวะสิ้นยินดีก็เป็นได้ ภาวะสิ้นยินดี หรือ Anhedonia คืออาการไม่ยินดียินร้าย ไม่มีอารมณ์ร่วมหรือรู้สึกกับอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความเศร้า ทั้งที่เมื่อก่อนสิ่งต่าง ๆ รอบตัวสามารถสร้างความสุขให้กับตัวเองได้ เช่น การไปดูหนังที่ชอบ อยู่กับคนรัก หรือแม้กระทั่งเรื่องเซ็กซ์ ภาวะสิ้นยินดีเป็นความผิดปกติทางอารมณ์ หรือที่เรียกว่า mood disorder ชนิดภาวะซึมเศร้า ตามเกณฑ์การวินิจฉัยเกี่ยวกับอาการทางจิตเวชในคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิตที่มักเรียกสั้น ๆ กันว่า DSM-IV ซึ่งจัดทำขึ้นโดยสมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริการะบุว่าภาวะสิ้นยินดีนั้นพบได้ในโรคจิตเภทและความผิดปกติทางจิตอื่น ๆ จากคำบอกเล่าของผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้าหลายคนที่มีอาการของภาวะสิ้นยินดีต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเกลียดความรู้สึกว่างเปล่านี้มากกว่าอาการของโรคซึมเศร้าที่เป็นอยู่เสียอีก เพราะการไม่สามารถทำตามสิ่งที่ตัวเองชอบได้เหมือนที่เคยเป็นอะไรที่ทุกข์ทรมานมาก สำหรับพวกเขาการที่ยังรู้สึกถึงความเศร้าก็ยังดีกว่าการไม่รู้สึกอะไรเลย เมื่อไม่อยากทำอะไร กิจวัตรในชีวิตประจำวันและบุคลิกของผู้ที่มีอาการภาวะสิ้นยินดีจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่รู้ตัว เช่น ถ้าแต่ก่อนเป็นคนกระตือรือร้นหรือไฮเปอร์ ก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นคนนิ่ง ๆ ไม่ยินดียินร้าย ดูไร้อารมณ์ขึ้นกว่าปกติหรือคนที่มีบุคลิกนิ่งอยู่แล้วก็จะมีความไม่เป็นมิตรมากขึ้นและเข้าสังคมน้อยลง Llorca & Gourion ศึกษาเกี่ยวกับภาวะสิ้นยินดีตามโรงพยาบาลต่าง ๆ พบว่า ผู้ที่มีภาวะสิ้นยินดีจะพบมากในแผนกผู้ป่วยนอกมากกว่าแผนกผู้ป่วยใน ซึ่งจากข้อมูลการศึกษาในแผนกผู้ป่วยนอกโรคเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าแถบยุโรปจะเห็นได้ว่า ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีภาวะสิ้นยินดีอยู่ในระดับรุนแรงอยู่ที่ร้อยละ 86.29 และกลุ่มคนเหล่านี้จะเฉยชากับเรื่องทางเพศ เพราะความผิดปกติของสารในสมองจะไปกดอารมณ์ความรู้สึกทางเพศ จึงทำให้ร้อยละ 60
มนุษย์ใช้ประโยชน์จากอารมณ์ขัน (humor) มานานกว่าหลายพันปี และพบว่ามันมีประโยชน์ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ช่วยคลายความเครียด หรือ ช่วยให้เข้าสังคมได้ดีขึ้น ฯลฯ แต่การเล่นมุกมันก็มีความยากอยู่ เพราะมันต้องคำนึงถึงบริบท เวลา และความเหมาะสมในการเล่นมุกด้วย หากเราละเลยเรื่องเหล่านี้ไป เราอาจได้รับผลเสียจากการทำตัวตลกได้ UNLOCKMEN จึงอยากชวนทุกคนมาทำความเข้าใจว่า ผู้นำควรใช้มุกตลกตอนไหนดี ถึงจะไม่ดูน่าเกลียด และส่งผลดีต่อการทำงานมากที่สุด ประโยชน์และโทษของมุกตลก งานวิจัยหลายชิ้นได้ศึกษาและค้นพบประโยชน์ของการใช้ อารมณ์ขัน หรือ มุกตลก ในการสื่อสาร การทำงาน หรือ การเรียนการสอน ไม่ว่าจะเป็น ช่วยให้กระปรี้กระเปร่ามากขึ้น ลดความเครียด ให้ประโยชน์ด้านการเรียนหนังสือ (เช่น เด็กนักเรียนมีแรงจูงใจในการเรียนมากขึ้น หรือ มีความสุขกับการเรียนมากขึ้น) รวมไปถึง ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ หรือ ช่วยให้วัฒนธรรมการทำงานดีขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อเราใช้มุกตลกผิดประเภท หรือ ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ มันก็ทำให้เกิดโทษได้เหมือนกัน เช่น การใช้มุกตลกเกรี้ยวกราดในการสอนหนังสือ อาจทำให้เด็กเรียนรู้ได้แย่ลง หรือ การใช้มุกตลกเวลาพูดถึงปัญหาทางการเมืองและสังคม ก็อาจทำให้ผู้นำเสียเครดิต และกลายเป็นคนที่ไม่จริงจังในสายของคนทั่วไปได้ อีกทั้งการใช้มุกตลกสามารถส่งผลเสียต่อการทำงานได้เหมือนกัน ถ้าเราโฟกัสกับมันมากเกินไป
ทุกคนคงเคยมีช่วงเวลาแย่ ๆ ในชีวิต ซึ่งแต่ละคนได้รับผลจากมันแตกต่างกัน บางคนอาจเครียดจากเรื่องเหล่านั้นจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ อาจมีภาวะซึมเศร้า และร้ายกว่านั้นบางคนอาจคิดถึงการฆ่าตัวตายอย่างหนัก หรือที่เรียกกันว่าเกิด Suicidal Ideation ขึ้นมา ในบทความนี้เราอยากมาพูดถึงวิธีการรับมือกับอาการ Passive Suicidal Ideation หรือ Passive Death Wish ซึ่งเป็นปัญหาที่อยู่ใกล้ตัว และทุกคนควรรู้จักวิธีรับมือกับมัน What is Passive Suicidal Ideation Passive Suicidal Ideation ถือเป็นประเภทหนึ่งของ Suicidal Ideation หรือ อาการที่เราหมกหมุ่นกับความคิดฆ่าตัวตายอย่างหนักจนจิตใจเราห่อเหี่ยว และมีอาการต่าง ๆ เช่น คิดถึงวิธีการฆ่าตัวตาย หรือ ความตายของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นต้น ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นได้จากภาวะซึมเศร้า ความเครียด เจอเหตุการณ์สะเทือนใจอย่างคนรักตาย หรือ การรับประทานยาบางประเภท เช่น antidepressant อาการของ Suicidal Ideation จะมีทั้งหมด 2 ประเภท
หลายคนเวลาไถ่หน้าฟีดโซเชียลมีเดีย ฟังวิทยุ หรือ เปิดทีวี มักจะรับรู้แต่ข่าวร้ายที่สื่อเผยแพร่ให้เรา ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ไปจนถึง โรคระบาด หรือ อาชญากรรม ซึ่งการรับข้อมูลเหล่านี้มาก อาจทำให้รู้สึกว่า เวลานี้ไม่ใช่เวลาของความสุข และการเผยแพร่พลังงานบวกในเวลานี้อาจเป็นเรื่องต้องห้าม เพราะมันจะทำให้คนอื่นจะมองพวกเขาเป็น Ignorant หรือ คนที่ไม่สนใจโลกได้ บางคนเวลามีความสุข จึงพยายามทำพฤติกรรมต่าง ๆ เพื่อบดบังความรู้สึกของตัวเอง เช่น เสแสร้งว่าตัวเองโศกเศร้า หรือ ไม่สนใจความสุขของตัวเอง เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้พวกเขากลายเป็นคนที่มองโลกในแง่ลบไป และไม่มีความสุขในชีวิตตามมา อาการนี้มีชื่อเรียกว่า Happiness Guilt และอาจส่งผลเสียต่อเราได้หลายอย่าง เช่น ทำให้เรามีความสุขได้ไม่เต็มที่ หรือ ทำให้เราไม่สามารถแสดงความจริงใจกับคนอื่นได้ เราเลยอยากมาแนะวิธีการรับมือกับอาการ Happiness Guilt ให้อยู่หมัด อย่าจมกับความรู้สึกแย่ Happiness Guilt มักทำให้เราไม่สนใจความสุขของตัวเอง เช่น พยายามซ่อนมัน หรือ ไม่สนใจมัน ซึ่งส่งผลให้เราไม่มีความสุขในชีวิต และเสี่ยงต่อการเป็นซึมเศร้ามากขึ้น เพื่อปกป้องสุขภาพจิตของเรา
การนอนบนเตียงนุ่มแสนนุ่ม อุณหภูมิห้องแสนสบาย ผ้าห่มหนากำลังดี ถือเป็นความสุขใจอย่างหนึ่ง หลายคนชอบนอนคนเดียว แต่หลายคนก็จำใจต้องนอนคนเดียวบนเตียงชวนฝันอย่างเดียวดาย เพราะโสด เพราะไม่มีใครข้างกาย หรืออาจเพราะไม่มีใครสักคนที่เชื่อใจมากพอจะให้เขามาเคียงข้างร่วมเตียง คล้ายว่าการนอนคนเดียว (สำหรับคนที่ต้องจำใจนอน) จะไม่ได้มีอุปสรรคแค่ความเดียวดายเท่านั้น เมื่องานวิจัยล่าสุดออกมาบอกว่าการนอนกับใครสักคนที่เรารักและเชื่อใจ ทำให้การนอนมีเสถียรภาพกว่าเมื่อเทียบกับการนอนคนเดียว Bed-Sharing in Couples Is Associated With Increased and Stabilized REM Sleep and Sleep-Stage Synchronization คืองานวิจัยชื่อโคตรยาวที่เพิ่งเผยแพร่สด ๆ ร้อน ๆ โดยงานวิจัยชิ้นนี้ระบุว่าคู่รักมีประสบการณ์การนอนหลับที่ลึกกว่า และถูกรบกวนน้อยกว่าเมื่อพวกเขาร่วมเตียงกัน เทียบกับการนอนเพียงลำพัง อย่างไรก็ตามงานวิจัยชิ้นนี้ถือว่าออกมาโต้ผลงานวิจัยหลายชิ้นก่อนหน้านี้ เช่น Two in a bed: The influence of couple sleeping and chronotypes on relationship and sleep. เมื่อปี 2016 ที่ระบุว่าการนอนร่วมเตียงกันนั้นอาจทำให้คุณภาพการนอนลดลง
หลายคนคงรู้จักผู้ชายคนนี้ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง และร่วมปลุกปั้นร้าน CARNIVAL® จากร้านรองเท้าเล็ก ๆ ในสยาม ที่วางขายรองเท้าเพียงแบรนด์เดียว จนกลายมาเป็นร้าน Multi-Fashion แถวหน้าของเอเชียในปัจจุบัน ที่ไม่เพียงแค่ได้สิทธิ์ขายสินค้ารุ่นเอ็กซ์คลูซีฟจากแบรนด์ระดับโลกมากมาย เพราะกลยุทธ์การสร้างแบรนด์อย่างมีชั้นเชิงนั้นทำให้คอลเลกชันเสื้อผ้าและสินค้าอื่น ๆ ภายใต้แบรนด์ CARNIVAL® เองก็ได้รับความนิยมถล่มทลายไม่แพ้กัน แต่เชื่อว่าน้อยคนนัก ที่จะได้สัมผัสแง่มุมอีกด้านของตัวพ่อแห่งวงการสตรีทแฟชั่นอย่าง ‘ปิ๊น-อนุพงศ์ คุตติกุล’ หรือ ‘ปิ๊น CARNIVAL®’ ที่หันมาสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะประเด็นของภาวะโลกร้อน ประเด็นที่ทุกวันนี้หลายคนอาจยังมองเป็นเรื่องไกลตัว และต้องบอกว่านี่เป็นโอกาสดีที่เราได้มาพูดคุยกับผู้ชายคนนี้ จึงพลาดไม่ได้ที่จะให้คุณปิ๊นเล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นแนวคิดการสร้างแบรนด์ CARNIVAL® ให้ผงาดขึ้นมายืนอยู่ในระดับแถวหน้าของวงการ รวมถึงเรื่องราวจุด ‘เปลี่ยน’ ที่ทำให้เขาหันมาตระหนักถึงปัญหาภาวะโลกร้อน จนลุกขึ้นมา ‘เปลี่ยน’ วิธีคิด ‘ปรับ’ รูปแบบการใช้ชีวิตส่วนตัวซึ่งถูกสะท้อนออกมาผ่านกลุ่มผลิตภัณฑ์ Sustainable ของแบรนด์ CARNIVAL® ไปพร้อมกัน “มันเริ่มต้นมาจากการที่ผมได้ไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษนะครับ คือจากที่เราอยู่เมืองไทยมาตลอดก็มีไปต่างประเทศ มีไปเที่ยวบ้าง ไม่ได้ไปแบบจริงจัง แต่พอได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตที่นั่น เราก็เจออะไรที่มันแปลกใหม่ เหมือนเปิดโลกใหม่ กลายเป็นว่าเราสนใจเรื่องแฟชั่น เรื่องรองเท้า จริง ๆ รองเท้าเป็นไอเทมที่เด็กผู้ชายวัยรุ่นชอบอยู่แล้ว ใคร
เชื่อว่าหลายคนกำลังรอคอยกันอย่างใจจดใจจ่อ สำหรับเวลาที่จะได้ออกไปปลดปล่อยตัวเองสู่อิสรภาพอีกครั้ง หลังจากที่หลายอย่างถูกจำกัดไว้ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 ทีมงาน UNLOCKMEN จึงอยากนำเสนออีกหนึ่งแนวทางในการท่องเที่ยวแบบปลอดภัย รวมไปถึง Activity ดี ๆ ที่คุณสามารถไปลองทำตามได้แม้จะไปคนเดียว ซึ่งขอรับประกันได้เลยว่า ไม่ต้องเสี่ยงเจอคนเยอะ ได้ความสนุก ผ่อนคลาย แถมยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย และจิตใจอีกด้วย หากใครกำลังรู้สึกเบื่อกับการอยู่ติดบ้าน อยากออกไปเปลี่ยนบรรยากาศสูดอากาศอยู่พอดี วันนี้เรามีสิ่งดี ๆ ทั้งสถานที่ วิธีการ และไอเทมเจ๋ง ๆ มานำเสนอ หลังจากที่เราทุกคนต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ กลายมาเป็นมนุษย์ติดบ้าน จากคนที่เคยออกจากบ้านไปทำงานทุกวันจันทร์–ศุกร์ ก็ต้องมา Work From Home กันเต็มรูปแบบ การใช้ชีวิตอุดอู้อยู่แต่ในบ้านทุกวัน นอกจากจะทำให้เราเบื่อ มันยังทำให้เกิดความเครียด ต่อมความคิดสร้างสรรค์ตีบตัน ถ้าหากกว่าคุณกำลังรู้สึกแบบนี้อยู่ล่ะก็ มันคงได้เวลาที่คุณต้องออกไปเจอผจญภัย ออกจากการใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ ไปค้นหาสถานที่ใหม่ ๆ ทำกิจกรรมอะไรที่มันผ่อนคลาย ชมโลกภายนอกที่กว้างใหญ่ให้ธรรมชาติช่วยเยียวยาจิตใจกันดูบ้างซะแล้ว ยิ่งการท่องเที่ยวธรรมชาติในช่วงนี้ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่กำลังเหมาะพอดี เพราะสภาพอากาศตามแนวป่าในตอนนี้ถือว่ากำลังเขียวขจีได้ที่เลยทีเดียว การท่องเที่ยวธรรมชาติ นอกจากเราจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์หลุดจากความอุดอู้แล้ว เรายังได้เที่ยวแบบปลีกวิเวกหนีความแออัดของคน รักษายะห่างทางสังคมได้เป็นอย่างดี ซึ่งคุณเชื่อหรือไม่ว่า การไปเที่ยวพักผ่อนตามธรรมชาติคนเดียว
ในขณะที่เรากำลังใช้ชีวิตตามปกติ เราเริ่มจะรู้สึกโอเคกับของที่ใช้ รายได้ที่มี แต่เมื่อเราเปิด Instagram หรือ Facebook เราก็ได้เห็นผู้คนใช้ชีวิตหรูหรา ทุกคนขับ Porsche ราวกับเป็นรถเริ่มต้นที่คนควรจะมี หรือทริปเรือ yatch กลางทะเลเป็นกิจกรรมวันหยุดปกติที่ใคร ๆ ก็ทำกัน ทันใดนั้นจากความสุข เรากลับรู้สึกทุกข์เพราะคิดว่าสิ่งที่มีอยู่ยังไม่พอ มันทำให้เราเกิดความสงสัยว่าคนอื่นมีรายได้เท่าไหร่ จากไหน และใช้เงินทำอะไรมากน้อยแค่ไหน และกลายเป็นความเครียดจากการเปรียบเทียบด้านการใช้เงิน ซึ่งเป็นความเครียดที่มีเพิ่มมากขึ้นในยุคที่ผู้คนนิยมเปิดชีวิต (ด้านดี) ผ่าน Social Media เป็นยุคที่ความอิจฉาเกิดขึ้นได้ง่าย อิจฉาได้ทุกเรื่อง คนนั้นทำงานน่าอิจฉา คนนู้นมีรถน่าอิจฉา คนนี้กินอาหารหรูน่าอิจฉา Aristotle เคยพูดไว้ตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนว่า มนุษย์รู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นคนอื่นมีชีวิตที่ดีกว่า ขนาดในยุคที่ไม่มี Social Media ไม่มีการสื่อสาร เจ้าเมืองต่าง ๆ ยังยกกองทัพไปตียึดครองเมืองกันเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีชีวิตที่ดีกว่า Ethan Kross, professor of psychology, University of Michigan บอกว่าทุกวันนี้ Social media