หากยังจำกันได้ดี ครั้งหนึ่ง UNLOCKMEN เคยนำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจของวัฒนธรรม MODS วัฒนธรรมย่อยของชนชั้นกลางที่ถือกำเนิดขึ้นในประเทศอังกฤษไปแล้ว มาในครั้งนี้เราได้รับโอกาสพิเศษให้เข้าไปใกล้ชิดกับกลุ่มชาว MODS อีกครา และทันทีที่ได้ยินประโยคเชิญชวนเราก็ไม่ลังเลที่จะตอบรับไปในทันที ซึ่งงาน Thailand MODS Mayday : scooter run vol. 3 คือการรวมตัวกันของชาว MODS ในประเทศไทย กลุ่มคนที่สานต่อวัฒนธรรม Mods ผู้มีความขบถ แหกคอก ใช้สกู๊ตเตอร์คลาสสิกเป็นยานพาหนะและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กลุ่ม MODS หลัก ๆ ที่รวมกันเป็น Thailand MODS Mayday นั้นประกอบไปด้วย SoulScooterClub, Lammania, ModsMorShit, 30UP การประดับกระจกเยอะๆ และแขวนไฟหลายดวงนั้นมีที่มาจากการประชดกฏหมายของอังกฤษในยุคนั้น (60s) ที่ออกมาบังคับให้รถจักรยานยนต์ทุกคนต้องมีกระจกอย่างน้อย 1 อัน ทั้งที่ความจริงแล้วรถมอเตอร์ไซต์ Vespa และ Lambretta ในยุคนั้นมันเกิดมาโดยไม่มีกระจกมองหลังหรือแม้กระทั่งไฟเลี้ยว สิ่งที่แตกต่างจากยานพาหนะทั่วไปทำให้รถสกู๊ตเตอร์กลายมาเป็น
ในช่วงที่ประเทศไทยต้อง Lock Down เพื่อควบคุม Coronavirus ที่ระบาดหนักในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา น่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งแรกสำหรับเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่ เจ้าของ SME รวมไปถึงพนักงาน พ่อค้าแม่ค้า หรือแม้แต่แรงงาน ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่เป็นทั่วโลกที่ต้องเจอกับความท้าทายครั้งใหญ่ครั้งใหม่ บางคนปรับตัวประคับประคองมาได้ ท่ามกลางข่าวธุรกิจที่ปิดตัวไม่เว้นแต่ละวัน สำหรับประเทศไทย ต้องบอกว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่าอีกหลายประเทศ เราสามารถควบคุมการระบาดของ Coronavirus ได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันการใช้ชีวิตเริ่มกลับมาเป็นเหมือนปกติ ธุรกิจกลับมารัน คนออกมาทำงาน แต่ในขณะเดียวกัน เราก็เห็นความไม่ปกติที่แอบแฝงอยู่เบื้องหลังมากมาย โดยเฉพาะในหมู่เจ้าของธุรกิจ ที่ต้องเจอกับรายได้ลดลงน้อยกว่ารายจ่ายอย่างต่อเนื่องแม้จะผ่านช่วงปิดเมืองไปแล้ว ต้องพยายามลดต้นทุนเพื่อรักษา Cash flow ยื้อชีวิตเอาไว้ให้นานที่สุด ความยากลำบากในการบริหารพนักงานที่สูญเสียกำลังใจ เชื่อว่าคนทำธุรกิจหลายท่านน่าจะรู้สึกเครียด คิดไม่ออกว่าจะทำยังไงต่อไปดี เราจึงสร้าง ‘THE ART OF BUSINESS’ รายการที่จะไปถามผู้บริหารตัวจริง ประสบความสำเร็จจริง เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะกับสถานการณ์แต่ละช่วง สำหรับผู้บริหารคนแรกของ THE ART OF BUSINESS เราได้ คุณเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท แสนสิริ
ตอนนี้หลายคนอาจนิยามตัวเองว่าเป็น คนเปิดเผย (Extrovert) หรือเป็น คนเก็บตัว (Introvert) หรือ อยู่ระหว่าง 2 ฝั่งนี้ (Ambivert) ซึ่งในการทำงาน introvert หลายคนอาจจะเจอปัญหาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการเข้าสังคม หรือสมาธิในการทำงาน ดังนั้น UNLOCKMEN เลยอยากแบ่งปันเคล็ดลับการเอาตัวรอดในที่ทำงานสำหรับชาว Introvert ก่อนอื่นอยากให้เข้าใจนิยามก่อนว่า Introvert คือกลุ่มคนที่มีบุคลิกภาพเก็บตัว คนกลุ่มนี้จะมีโลกส่วนตัวสูง มักใช้เวลาอยู่กับความคิดของตัวเองมากกว่าจะไปสุงสิงกับคนอื่น ส่วน Extrovert จะตรงกันข้าม คือ รักการเข้าสังคม ชอบแสดงออกมากกว่าคิดอยู่กับตัวเอง และชอบเป็นจุดสนใจด้วย ความแตกต่างระหว่าง Introvert และ Extrovert ไม่ได้อยู่ที่นิสัยอย่างเดียว (ซึ่งเวลาพูดว่า introvert และ extrovert ต่างกันที่นิสัย หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องที่ปรับกันได้) แต่ทั้ง 2 กลุ่มนี้แตกต่างกันในทางชีววิทยาอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น – การตอบสนองต่อ Dopamine (สารสื่อประสาทที่ทำให้เรารู้สึกดีเวลามองหารางวัลจากปัจจัยภายนอก) แม้ว่าการหลั่งของ dopamine ในสมอง
ก่อนหน้านี้เราเคยนำเสนอผลวิจัยว่า คนมองโลกตามความเป็นจริง มีความสุขมากกว่ามองโลกแง่บวก เกี่ยวกับผลเสียที่จะเกิดจากการเป็นคนที่มองโลกในแง่บวกมากเกินไป (overly optimistic) และมีการพูดถึงสอบถามเข้ามาค่อนข้างเยอะ เราจึงอยากนำเสนอเพิ่มเติม ซึ่งการมองโลกในแง่บวกมากเกินไป ถูกพูดถึงมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว โดย Amy Morin นักจิตบำบัดและนักเขียนชิ่อดังในฟลอริดา ในปี 2017 ในบทความของเธอบนเว็บไซต์ Bussiness Insider ที่ชื่อว่า ‘3 times optimism does you more harm than good’ ในบทความนี้ เธอได้อธิบายถึงผลเสียของการมองโลกแบบ overly optimistic ว่า แม้มันจะทำให้เรารู้สึกดีก็จริง (เพราะความคิดลบถูกกลบ) แต่มันก็ทำให้เราต่อต้านการรับฟังเหตุผลในอีกแง่มุม เพราะเหตุการณ์จริงอาจจะไม่ได้ง่าย หรือโรยด้วยกลีบกุหลาบแบบที่เราคิดเอาไว้ได้เหมือนกัน – คิดบวกเกินจริง (exaggerating the positive.) มองว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่เรื่องดีๆ ไปหมด เช่น คิดว่าทุกคนชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ หรือคนที่เราชอบเป็นคนที่แสนดีมากๆ เป็นต้น ซึ่งคนประเภทนี้อาจเจอกับปัญหาที่ทำให้เกิดความเสียหายได้ เช่น ไม่ยอมรับข้อผิดพลาด ไม่พัฒนาปรับปรุงตัวเอง หรือตกเป็นเหยื่อถูกคนอื่นหลอกได้ง่าย
หลายคนอาจได้ยินบ่อยๆ ว่า เวลาไม่กล้าตัดสินใจทำอะไร เพราะกลัวผลลัพธ์ออกมาไม่ดี ให้พยายามมองโลกในแง่บวกเข้าไว้ ประโยคนี้อาจเป็นคำแนะนำที่ไม่ดีก็เป็นได้ เมื่องานวิจัยล่าสุดบอกว่าคนที่มองโลกตามความเป็นจริงจะมีความสุขในระยะยาวมากกว่าคนที่มองโลกในแง่บวก งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสาร Personality and Social Psychology Bulletin (PSPB) โดย ทีมวิจัยได้ศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างความคาดหวังด้านการเงินในชีวิตของคนกับผลลัพธ์ที่ออกมาตามความเป็นจริงในช่วงเวลาหลายสิบปี พวกเขาได้นำข้อมูลจากแบบสำรวจชาวอังกฤษที่ทำในระยะยาวชื่อว่า British Household Panel Survey ซึ่งได้มีการติดตามคนจำนวนกว่า 1,600 คนเป็นเวลากว่า 18 ปี มาวิเคราะห์ และเพื่อดูว่าใครที่มีความสุขในระยะยาวมากกว่ากันระหว่าง คนที่มองโลกในแง่ดี (optimists) คนที่มองโลกในแง่ร้าย (pessimists) และ คนที่มองโลกตามความเป็นจริง (realists) นักวิจัยได้นำข้อมูลที่กลุ่มตัวอย่างรายงานด้วยตัวเองเกี่ยวกับความสุขในชีวิตและความกังวลทางจิตวิทยามาหาคำตอบ พบว่าผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์ที่มากเกินความเป็นจริง จะมีความสุข (well-being) น้อยกว่าผู้ที่คาดหวังอะไรตามความเป็นจริง ซึ่งตัวงานวิจัยเองก็ยังชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของการตัดสินใจโดยอิงจากความแม่นยำและการประเมินแบบไม่มีอคติด้วยเช่นกัน ทีมวิจัยกล่าวถึงสาเหตุที่ optimists และ pessimists ไม่ค่อยมีความสุขว่า ในท้ายที่สุดความผิดหวังจะครอบงำความคาดหวังในสิ่งที่ดีที่สุด และทำให้ optimists มีความสุขน้อยลง ส่วน pessimists ที่คาดหวังแต่ผลลัพธ์ที่แย่ๆ จะเอาชนะอารมณ์ด้านบวก จนทำให้พวกเขาพยายามไม่พยายามจะทำชีวิตให้ได้ดีกว่าที่คาดหวังเอาไว้
ตอนเด็กๆ เคยอยากแข็งแกร่งเหมือนตัวเอกในการ์ตูนหรือเปล่า ? ความแข็งแกร่งของตัวละครในการ์ตูนหลายตัว เกิดจากการฝึกฝนร่างกายจนคู่ควรแก่พลังอันแข็งแกร่ง บางคนแม้จะมีพลังวิเศษที่แข็งแกร่งอยู่แล้วก็ต้องฝึกฝนตัวเองอยู่เสมอเช่นกัน UNLOCKMEN จะมาเล่าวิธีการออกกำลังกายที่ถอดแบบมาจากเคล็ดลับที่ทำได้จริงจากตัวละครในการ์ตูนกัน รับรองว่ามันจะทำให้เราแข็งแกร่งได้มากขึ้นจริงอย่างแน่นอน ไซตามะ เป็นตัวละครจากมังงะเรื่อง ONE PUNCH MAN ที่เล่าถึงการต่อสู้ระหว่างสมาคมฮีโร่และปีศาจ ไซตามะสังกัดอยู่กับสมาคมฮีโร่ และแข็งแกร่งมากจนสามารถเอาชนะปีศาจที่แข็งแกร่งสุดๆ ได้ในหมัดเดียว ซึ่งความแข็งแกร่งของเขามาจากการฝึกฝนอย่างหนักทุกวันจนผมร่วง ได้แก่ pushups 100 ครั้ง situps 100 ครั้ง squats 100 ครั้ง และวิ่ง 10 กิโลเมตร Youtuber หลายคนได้รับแรงบันดาลใจในการออกกำลังกายตามไซตามะ บางคนทำ 300 วัน บางคน 100 วัน บางคน 30 วัน ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็ไม่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ บางคนก็เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน อย่าง youtuber ชื่อว่า Jimmy Zhang หลังออกกำลังกายจนครบ 30 วัน
หากจะให้พูดถึงอย่างค่ายเพลงทางเลือก ที่แม้ไม่ได้มีสเกลขององค์กรที่ขนาดใหญ่โตอะไรมากมาย แต่ได้ผลิตผลงาน ผลิตศิลปินที่มีทั้งเอกลักษณ์ และคุณภาพป้อนสู่วงการเพลงมาอย่างยาวนาน เราเชื่อว่าชื่อแรก ๆ ที่โผล่เข้ามาในหัวของใครหลายคน คงหนีไม่พ้น Smallroom ค่ายเพลงเล็ก ๆ ที่โดดเด่นจนกลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของยุคเด็กแนวที่วัยรุ่นส่วนใหญ่ในช่วงเวลานั้นเป็นต้องอ่าน a day, ไปงาน Fat และฟังเพลง Smallroom ค่ายเพลงทางเลือกซึ่งเราพูดถึงในตอนแรกเริ่ม ที่เดินทางผ่านกาลเวลามาไม่ใช่น้อย แต่ก็ยังคงความร่วมสมัยภายใต้ตัวตนที่แทบไม่ต่างไปจากเดิม ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน จากความน่าสนใจนี้ คอลัมน์ ZERO to HERO จึงขอพาชาว UNLOCKMEN ทุกท่าน ร่วมย้อนเหตุการณ์ผ่านความทรงจำ และ ประสบการณ์อันเข้มข้นของ ‘รุ่ง-รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์’ หรือที่ศิลปิน และใคร ๆ ต่างเรียกเขาว่า ‘พี่รุ่ง’ หัวเรือใหญ่แห่งค่าย Smallroom ผู้เป็นที่เคารพรัก และมักจะได้ยินศิลปินในค่ายกล่าวถึงเขาบ่อย ๆ ด้วยสไตล์การทำงานแบบคลุกวงในคอยให้คำแนะนำปรึกษา แต่งเพลง ช่วยโปรดิวซ์ แม้กระทั่งถ่ายทำ MV ให้ เรียกได้ว่ามีส่วนร่วมแทบทุกขั้นตอน กับชุดคำถามที่ว่าทำไมค่ายเพลงอิสระที่เริ่มต้นจากห้องเล็ก ๆ
นั่งทำงานนาน ๆ ทีไร ทำไมปวดหลัง ปวดไหล่ทุกที แต่รู้มั้ยว่าระหว่างที่นั่งทำงานอยู่นั้น เราสามารถเปลี่ยนอิริยาบถหรือท่าทางต่าง ๆ เพื่อออกกำลังกายไปพร้อมกันได้ เพราะโดยเฉลี่ยแล้ว คนส่วนใหญ่มักจะนั่งทำงาน 7-8 ชั่วโมงในหนึ่งวันหรือบางคนอาจมากกว่านั้น ซึ่งการนั่งนาน ๆ โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ หรือขยับเขยื้อนร่างกายไปทำกิจกรรมอื่นบ้าง อาจทำให้เกิดอาการออฟฟิศ ซินโดรม รวมถึงส่งผลเสียต่อสุขภาพและบุคลิกภาพในระยะยาวได้ เช่น อาการปวดหลัง ปวดไหล่ ไหล่ห่อ หลังค่อม ฯลฯ วันนี้ UNLOCKMEN มีข้อมูลและคำแนะนำดี ๆ จาก เทรนเนอร์ ฟิตเนส เฟิรส์ท ประเทศไทย ในเรื่องของการนั่งติดโต๊ะนาน ๆ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งทำงาน นั่งดูทีวี หรือเล่นโทรศัพท์ อาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก และบ่า ต้องรับภาระหนัก จึงต้องกระตุ้นให้มีการยืดเหยียดบ้าง ส่วนกล้ามเนื้อหน้าท้อง ก้น และต้นขาด้านหลัง มักจะอ่อนแรงเพราะไม่ค่อยได้ขยับตัว จึงต้องเสริมให้แข็งแรงขึ้น ด้วย 5 ท่าเวิร์คเอาท์ชิล ๆ ที่จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย
ตลอดช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าชื่อของ ‘กันต์ กันตถาวร’ นั้นได้ถูกกล่าวขวัญถึงในฐานะพิธีกรดาวรุ่ง ที่ก้าวขึ้นสู่ระดับแถวหน้าของวงการ กับความโดดเด่นเรื่องปฏิภาณไหวพริบในการดำเนินรายการที่มีจังหวะจะโคน ลูกล่อลูกชนไม่แพ้ใคร รวมถึงสไตล์เฉพาะตัวซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญให้รายการต่าง ๆ ที่เขารับหน้าที่เป็นพิธีกรนั้นสนุกสนานน่าติดตามจนได้รับความนิยมไปทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ถ้าย้อนกลับไปไกลกว่านั้น เชื่อว่าอีกหลายต่อหลายคนต่างรู้จัก ‘กันต์ กันตถาวร’ ในฐานะพระเอกหนุ่ม คิวแน่น งานชุก ก่อนที่จะหายหน้าลาจอเลิกรับงานละครไปแบบดื้อ ๆ แล้วอะไรที่ทำให้คนหนึ่งคนที่กำลังอยู่ในจุดพีคของอาชีพนักแสดง เลือกหยุดทุกอย่าง ข้ามสายอาชีพมาเริ่มต้นใหม่ เรียนรู้ใหม่ เพื่อไล่ล่าความสำเร็จใหม่อีกครั้งในฐานะพิธีกร วันนี้เราจะพาทุกท่านไปถาม ‘กันต์’ ให้รู้เรื่องกันสักที “ตอนนี้แต่งงานมีภรรยาแล้วครับ ส่วนเรื่องงานตอนนี้ผมทำอาชีพพิธีกรเป็นหลักประมาณ 99.99% เลยล่ะ” กันต์เริ่มต้นด้วยการอัพเดทชีวิต ณ ขวบปีนี้ของเขาให้เราฟัง ก่อนจะเล่าถึงสาเหตุคร่าว ๆ ที่หลายคนสงสัย ว่าทำไมจึงเลือกจะหยุดงานด้านการแสดงแล้วหันมาเอาดีบนเส้นทางพิธีกรอย่างเต็มตัว “สาเหตุที่ยังไม่ได้รับงานแสดงเนื่องจากว่า ผมว่ามันใช้เวลาเยอะในการทำงาน ซึ่งจริง ๆ มันเป็นอาชีพที่ผมรักมากนะการแสดง แต่ผมว่าผมรักมันเกินไปจนไม่สามารถแยกได้ ผมเคยทุ่มเทเวลาให้กับการแสดงมากจนกราฟชีวิตฝั่งการทำงานนี้มันแหลมอยู่ด้านเดียว และชีวิตด้านอื่นมันจะถูกหดลงไป เลยเริ่มรู้สึกว่าต้องบาลานซ์ แต่ผมยังไม่สามารถบาลานซ์ได้ขนาดนั้น และการทำอาชีพพิธีกรมันก็ตอบโจทย์กับสิ่งที่ผมต้องการตรงที่ว่ามันใช้เวลาสั้นกว่า
การจะตัดสินใจเลือกคอนโดมิเนียมแต่ละโครงการ นอกจากราคา พื้นที่ สิ่งอำนวยความสะดวก อีกจุดที่ควรจะใส่ใจมากเพราะสำคัญไม่แพ้กันคือพื้นที่สีเขียวในโครงการ เพราะการใช้ชีวิตประจำวันพวกเราไม่ได้อยู่แค่ในห้องหรือส่วนกลาง ดังนั้นการเลือกโครงการที่เน้นการทำให้ลูกบ้านทุกคนมีความสุข สุขภาพดี และมีวิถีการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นการสานต่อวิถีชีวิตให้สมบูรณ์ ทั้งหมดคือสิ่งที่ วิสซ์ดอม สเตชั่น รัชดา – ท่าพระ โครงการที่พักอาศัยระดับคุณภาพย่านธนบุรีจาก MQDC มุ่งมั่นจนสามารถผ่านเกณฑ์อาคารเขียวหรือ TREES ในระดับ ‘Gold’ ที่เป็นการประเมินความยั่งยืนของอาคารจากสถาบันอาคารเขียวไทย (TGBI) ในประเภทก่อสร้างและปรับปรุงอาคารใหม่หรือ New Construction (TREES-NC) ถือเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการสร้างโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของบริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) และวิสซ์ดอม (Whizdom) แบรนด์ที่อยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ที่นำเสนอไลฟ์สไตล์ที่เชื่อมต่อกับเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมในย่านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของกรุงเทพฯ การผ่านเกณฑ์อาคาร TREES ในระดับ Gold ถือเป็นการตอกย้ำถึงวิธีการทำงานภายใต้วิสัยทัศน์ “For All Well-Being” ที่ต้องการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับทุกสรรพสิ่ง ภายใต้แนวคิด “นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน” หรือ Sustainnovation ทำให้เราค้นคว้าหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน โดย MQDC
ถ้าพูดถึงนักแข่งรถยนต์สูตร 1 ผู้ชายหลายคนคงคุ้นเคยกับภาพลักษณ์ของนักแข่งตัวผอมเพรียวที่มาในชุด Race Suit แบบปกปิดมิดชิด ทำให้อาจเข้าใจผิดว่า นักแข่งเหล่านี้ไม่ผ่านการฝึกฝนกล้ามเนื้อเหมือนกับนักกีฬาประเภทอื่น ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดแน่นอน เพราะนักขับเหล่านี้ต่างก็ต้องผ่านการฝึกฝนทางร่างกายในรูปแบบเฉพาะที่โหดและหนักไม่แพ้กีฬาชนิดอื่น แต่หนุ่ม ๆ หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า นักแข่งเหล่านี้ต้องสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อส่วนไหนบ้าง รวมถึงมีวิธีออกกำลังกายอย่างไร วันนี้เราจะพาทุกคนไปคลายข้อสงสัย และทำความรู้จักท่าออกกำลังของเจ้าชายแห่งความเร็วเหล่านี้ไปพร้อมกัน คอ (Neck) กล้ามเนื้อคอ หนึ่งในกล้ามเนื้อที่สำคัญสำหรับนักแข่งรถสูตร 1 สังเกตุได้จากขนาดคอของนักแข่งหลายคนที่มีขนาดเท่าหรือใหญ่กว่าศีรษะ โดยเหตุผลที่เหล่านักแข่งทุกคนต้องฝึกฝนกล้ามเนื้อคอให้แข็งแรง ก็เพื่อต่อสู้กับแรง G ที่เกิดขึ้นในการแข่งขัน เครื่องบันทึกความเร็วและแรง G ในของรถแข่งแสดงตัวเลขให้เห็นว่านักแข่งรถสูตร 1 ทุกคนจะต้องเจอกับแรง G ประมาณ 4-5 g ระหว่างการเบรกและ 2 g ระหว่างการเข้าโค้ง ความแข็งแรงของกล้ามคอที่ต้องรองรับน้ำหนักของศีรษะจึงเป็นสิ่งสำคัญที่นักแข่งทุกคนให้ความสำคัญ ท่าออกกำลังแนะนำ Dumbbell Shrug Face Down Dumbbell แขน (Arm) กล้ามเนื้อแขนเป็นเหมือนกับอาวุธประจำตัวสำหรับนักแข่งรถสูตร 1 ทุกคน เพราะแขนที่แข็งแรงจะช่วยควบคุมพวงมาลัยได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรวดเร็วและการให้น้ำหนักที่แม่นยำ รวมไปถึงช่วยยืนระยะกล้ามเนื้อให้สามารถใช้งานได้เต็มที่ตั้งแต่ต้นจนจบการแข่งขัน
ถ้าพูดถึงนักเกรดสีวิดีโอหรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ Video Colorist เชื่อว่าหลายคนคงสงสัยว่าคนที่มีความสามารถในด้านนี้จะมีเส้นทางสู่อาชีพนี้ได้อย่างไร จะต้องเรียนฟิล์มหรือไม่ หรือควรมีมุมมองในการทำงานแบบไหน ซึ่งเส้นทางของแต่ละคนคงมีความแตกต่างกันออกไป แต่สำหรับชายที่ชื่อจิณณ์-โสธร ฉุดพิมาย เจ้าของช่องยูทูบและเพจ JINN DHR ชีวิตเส้นทางสู่การเป็น Video Colorist ของเขาคนนี้ มีทั้งมุมมองที่แตกต่างและประสบการณ์ที่น่าสนใจ แต่เส้นทางการเรียนรู้ชีวิตของเซียนทำสีคนนี้จะพบเจอกับอะไรมาบ้าง มารู้จักตัวเขาให้ดีขึ้นไปพร้อม ทางเดินที่เลือกเริ่มต้นด้วยตัวเอง ปัจจุบัน จิณณ์ โสธร ฉุดพิมาย หรือ จิณณ์ DHR คือ Video Colorist หรือนักเกรดสีวิดีโอ และยูทูบเบอร์เจ้าของช่อง Dusty Hue Room (DHR) ช่องครอบจักรวาลที่เปิดให้พูดคุยและแชร์ความรู้เรื่องงานภาพเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นการจัดไฟ การถ่าย การตัดและเกรดสี รวมถึงเป็นอาจารย์สอนพิเศษในระดับมหาวิทยาลัยอีกด้วย แต่ก่อนจะมาถึงวันนี้ตัวเขาต้องใช้เวลาในการตามหาตัวเองและเรียนรู้สิ่งใหม่มามากจนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว จิณณ์พูดให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นการตามหาสิ่งที่อยากทำในชีวิต โดยต้องย้อนกลับไปในสมัยมัธยมปลาย ช่วงเวลาที่เพื่อนและครูกำลังยิงคำถามถึงเขาบ่อย ๆ ว่า “จะไปเรียนต่อที่ไหน ?” โดยตัวเขาในเวลานั้นก็ตอบไปอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉันยังไม่มีที่ที่อยากจะเรียนต่อวะ ฉันขอไม่เรียนมหาลัยก็แล้วกัน” “ความคิดของเรามันตีกันมากในช่วงเวลานั้น เรารู้สึกว่าการเรียนต่อยังไม่มีวิชาอะไรเลยที่น่าสนใจพอ ตอนนั้นเราคิดว่า