เพื่อน ๆ ชาว UNLOCKMEN หลายต่อหลายนคงเคยได้ยินคำว่า “Rock Never Dies” เพื่อเปรียบเปรยถึงการอยู่ยงคงกระพันของดนตรีแนวนี้ ที่ดำรงคงอยู่มานานกว่า 50 ปีแล้ว และแตกกิ่งก้านสาขาไปจนมีแนวทางยิบย่อยจวนจนปัจจุบัน แต่เวลาผ่านไปดูเหมือนคำๆนี้จะค่อยๆคลายมนต์ขลังอย่างเหลือเชื่อ จนคำว่า “Rock is Dead” ดูจะมีเป็นความจริงมากกว่าเสียด้วยซ้ำ ซึ่งคนที่มายืนยันทฤษฎีก็ไม่ใช่ที่ไหน คือป๊ะป๋าแห่งวงการร็อคที่อยู่มาอย่างยาวนานอย่างลุง Gene Simmons มือเบสแห่งวงร็อคในตำนานอย่าง Kiss ที่มาให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นนี้มาหลายต่อหลายครั้ง ครั้งแรกที่ Gene พูดถึงกรณีของการล่มสลายของดนตรีร็อคเกิดขึ้นในปี 2014 ที่เขาได้ให้สัมภาษณ์กับลูกชายของเขา Nick Simmons กับนิตยสาร Esquire ว่า “ค่ายเพลงเริ่มไม่มาเหลียวแลวงร็อคแล้ว พวกเขาไปโอ๋ศิลปินแนวอื่นกันหมด” ครั้งต่อมา Gene ก็ย้ำอีกครั้งในการสัมภาษณ์ให้กับ Gulf News ว่า “หมดเวลาของการสร้างภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของเหล่าร็อคสตาร์แล้ว!!! และครั้งล่าสุด ก็เกิดขึ้นมาหมาดๆ เมื่อ Gene ได้ไปให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุ Q104.3 Radio Station ที่จัดรายการโดย Jonathan
หลังจากที่ผู้พัฒนาเกมได้เลือนวันปล่อยเกมมาหลายครั้งหลายครา จนหลายคนต้องอดใจรอมานาน ในที่สุดวันที่ 10 ธันวาคมนี้ เกมเมอร์จะได้เล่นเกมนี้พร้อมกันแล้วทั่วประเทศแล้ว แต่สำหรับใครที่ไม่ใช่สายเกม อาจสงสัยว่าทำไมเกมนี้ถึงเป็นเกมที่หลายคนรอคอยที่จะเล่นมันเหลือเกิน ! เราเลยอยากมาสาธยายความเจ๋งของ CYBERPUNK 2077 ให้ทุกคนฟังกัน WHAT IS CYBERPUNK ? เวลาพูดถึง CYBERPUNK หลายคนอาจพูดถึงนิยายแนว CYBERPUNK ที่ฉายภาพของโลกในอนาคตที่มีความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และจักรกล ซึ่งแน่นอนว่า เกม CYBERPUNK 2077 ก็ให้ภาพแบบเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ตัวละครเกมที่มีการติดตั้งอุปกรณ์สุดไฮเทค เมืองที่เต็มไปด้วยสีสันของไฟนีออน และภาพโฮโลแกรม รวมถึง พาหนะและอาวุธต่าง ๆ ที่มีดีไซน์ล้ำยุค CYBERPUNK 2077 จะอยู่ในจักรวาลเดียวกันกับซีรีส์บอร์ดเกม CYBERPUNK ซึ่งออกแบบและพัฒนาโดย ไมค์ พอนด์สมิธ กราฟฟิกดีไซน์เนอร์ชาวอเมริกัน และ บริษัทผลิตบอร์ดเกม R. Talsorian Games โดยเนื้อเรื่องของเกมจะเกิดขึ้นในเมืองไนท์ซิตี้ (Night City) ของประเทศสหรัฐฯ ซึ่งผู้เล่นต้องเอาตัวรอดจาก สงครามระหว่างแก๊งค์ รวมถึง
เชื่อว่าหลายคนที่ชื่นชอบในวัฒนธรรม Chicano culture (Mexican-American culture) ดนตรี รอยสัก รวมไปถึงคนที่เคยดูภาพยนตร์สารคดีอย่าง LA Originals คงจะรู้จักศิลปินชายเดี่ยวที่มีชื่อว่า ‘MISTER CARTOON’ หรือ Mark Machado กันอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะมีฝีไม้ลายมือในการสักที่เรียกได้ว่าเป็นระดับตำนานแล้ว เขายังมีผลงานออกแบบ Collaboration กับแบรนด์ดังระดับโลกขึ้นหิ้งเอาไว้มากมาย วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับชายผู้นี้ แถมยังมีข่าวดีสำหรับแฟน ๆ ของ ‘MISTER CARTOON’ ชาวไทยโดยเฉพาะมาฝากอีกด้วย ส่วนข่าวดีนั้นจะเป็นอะไร ไปติดตามดูกันได้เลย ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับที่มาที่ไปของชายคนนี้กันหน่อย MISTER CARTOON หรือชื่อจริงคือ Mark Machado ศิลปินสัก และศิลปินกราฟฟิตี้ระดับโลก เกิด โต และอาศัยอยู่ที่ Los Angeles, Califonia ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่ออายุได้ 8 ขวบ เขาก็ค้นหาพรสวรรค์ของตัวเองจนพบ นั่นก็คือการวาดรูป และทำให้เขาเริ่มต้นวาดรูปอย่างจริงจังจากนั้นเป็นต้นมา เมื่ออายุได้ 12 ปี ก็เริ่มหาเงินเลี้ยงตัวเองได้จากการใช้
อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ารอยสักสำหรับคนญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่จะต้องถูกซ่อนเอาไว้ใต้ร่มผ้า หรือไม่เปิดเผยให้คนอื่นเห็นมากนักเพราะไม่อย่างนั้นคุณจะต้องพบกับสายตาดูแคลนปะปนกับสายตาหวาดกลัว ซ้ำยังถูกโรงอาบน้ำสาธารณะหรือซาวน่าหลายที่ปฏิเสธที่จะให้เข้าไปใช้บริการ แม้ว่าเราจะมีเงินและเป็นลูกค้าคนหนึ่งเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ UNLOCKMEN เคยเล่าเรื่องราวความเป็นมาของการสักและรอยสักที่ชาวญี่ปุ่นมองว่าเป็นสิ่งผิดแปลกจากสังคมหรือจารีตไปแล้วใน (NIHON STORIES: รอยสักญี่ปุ่น ศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ที่ผู้คนทั่วโลกจับตามอง) ทั้งที่ในเวลาเดียวกันชาวต่างชาติกลับรู้สึกยกย่องและชื่นชมศิลปะญี่ปุ่นอันเป็นเอกลักษณ์ที่ถูกเล่าบนเนื้อหนังของบุคคลนั้น ๆ ซึ่งผู้สักชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักจะเป็นยากูซ่าหรือไม่ก็เป็นศิลปินที่ไม่ต้องทำงานออฟฟิศ ซึ่งบุคลิกและการทำงานอาจมีส่วนเล็กน้อยที่ทำให้เกิดความรู้สึกแตกต่างในสังคม เมื่อพูดถึงรอยสักเราจะไม่พูดถึงช่างสักก็คงไม่ได้ เพราะพวกเขาคือผู้สร้างสรรค์ศิลปะอันประณีตที่จะอยู่กับคนที่มาสักไปตลอดชั่วชีวิต และในประเทศญี่ปุ่นมีช่างสักผู้โด่งดังคนหนึ่งนามว่า ‘Horimitsu’ (โฮริมิตสึ) ที่มีส่วนช่วยทำให้วัฒนธรรมการสักของญี่ปุ่นยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ซ้ำยังสร้างชื่อไปทั่วทุกมุมโลก และช่างสักก็ได้มีส่วนช่วยให้คนรุ่นใหม่เริ่มไม่ได้มองว่ารอยสักเป็นเรื่องน่ากลัวอีกต่อไป แต่มันคือศิลปะแขนงหนึ่งที่งดงามต่างหาก “คนที่ไม่มีรอยสักหรือไม่ชอบการสักมักมองว่าคนที่มีรอยสักจะต้องเกี่ยวข้องกับยากูซ่า แต่ทั้งสองสิ่งอย่างยากูซ่าและรอยสักไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องลึกซึ้งกันขนาดนั้น” – Horimitsu โฮริมิตสึ หรืออีกชื่อที่คนในวงการเรียกสั้น ๆ ว่า ‘มิตสึซัง’ เป็นช่างสักที่เปิดร้านสักอยู่ในย่านอิเคะบุคุโระ ณ กรุงโตเกียว ด้วยประสบการณ์ที่เรียกได้ว่าคร่ำหวอดในวงการนานกว่า 30 ปี ทำให้ชื่อเสียงของเขาถูกพูดถึงในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบการสักและช่างสักด้วยกัน ประกอบกับสไตล์การใช้เข็มวาดลวดลายของเขาจะใช้เทคนิคการสักญี่ปุ่นดั้งเดิมที่เรียกว่า ‘Tebori’ (เทโบริ) อายุกว่า 400 ปี ที่ขึ้นชื่อเรื่องสีสันสดสวยคงทนเหมือนกับวันแรกที่ไปสักแม้จะเวลาจะล่วงเลยมาพักหนึ่งแล้วก็ตาม เทคนิคการสักแบบเก่าแก่ของมิตสึซังจะกินเวลานานกว่าการสักแบบปกติ เขาจะใช้ปากกาสีส้มวาดภาพที่ต้องสักบนผิวหนังแบบช้า ๆ ด้วยความพิถีพิถัน จากนั้นค่อยใช้ปากกาเส้นพู่กันวาดซ้ำอีกรอบ มิตสึซังมักไม่ใช่เครื่องสักในการทำงาน และชอบใช้ใบมีดสเตนเลสแบบด้านเดียวที่ติดอยู่กับด้ามไม้แท่งยาวกรีดลงไปบนเนื้อ ย้ำซ้ำไปซ้ำมาจนกว่าจะได้สีสันลวดลายตามที่เขาพอใจ
ย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี ใครจะเชื่อว่า “รอยสัก” ที่เคยเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว ถูกตีตราว่าจะเป็นหนทางดับความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ติดอยู่กับวงจรภาพลักษณ์สีเทา-ดำ วันนี้จะพลิกผันกลายเป็นสิ่งที่สังคมเปิดรับในฐานะศิลปะ เป็นจุดเริ่มต้นบทสนทนาระหว่างคนแปลกหน้า และถึงขนาดส่งเสริมคาแรกเตอร์ให้กับคนบางสาขาอาชีพเสียด้วยซ้ำ เวลาเปลี่ยนขั้วลบเป็นขั้วบวก เปลี่ยนมุมมองผู้คน แต่ทุกอย่างยังต้องอาศัยความกล้าจากการบุกเบิกทั้งนั้น “ปอ หรือดีเจปอ – วรฐก์ ปิฏกานนท์” เท่าที่คนทั่วไปและเรารู้จักคือชายในวงการบันเทิงคนแรก ๆ ที่เปิดเผยรอยสัก และวันนี้เขาเองก็ยังคงเป็นคนไทยคนแรก ๆ ที่สร้างแชนแนลพูดถึงศิลปะบนเรือนร่างแขนงนี้อย่างเปิดเผยในรายการ “Tattoo Brothers สักแต่พูด” รายการมันส์ ๆ เสพง่ายที่ไม่ได้เริ่มต้นมาง่าย ๆ แต่มีเบื้องหลังมากมายที่ทำให้ UNLOCKMEN ต้องหาโอกาสคุยกับเขาวันนี้ “สักตามใจ” ที่ไม่ได้แปลว่า “สักตามใคร” วัย 17-18 ปี ปอมีรอยสักรอยแรกจากความผิดพลาด วัย 47 ปีในวันนี้ ปอมีรอยสักหลายตำแหน่งบนร่างกาย เขาอยู่ในวงการบันเทิง และผันตัวกลายเป็น YouTuber รายการ “Tattoo Brothers – สักแต่พูด” ที่ใครหลายคนติดตาม บางคนก็ได้เขาเป็นไอดอลจนอยากไปเริ่มสัก
หากเอ่ยถึงชื่อ ‘จเด็จ คาลายานนท์’ หลายคนอาจจะงง ๆ ว่าเรากำลังพูดถึงใคร เพราะเชื่อว่าผู้คนส่วนใหญ่ต่างรู้จักผู้ชายคนนี้ในนาม ‘เจเด็ด FEDFE’ หนึ่งในชาวแก๊ง YouTuber ยุคบุกเบิก ที่โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ของ Content ห่าม กล้า บ้าดีเดือด จนสามารถแหวกทางให้พวกเขายืนหนึ่งเป็น YouTuber ยุคบุกเบิก ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ชีวิตเต็มไปด้วยโอกาส และรายได้มากมาย แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งหลังจากปีนสู่ยอดเขาแห่งการทำ Online Content สำเร็จ ในวันที่ทุกอย่างอิ่มตัว เพื่อนฝูงต่างแยกย้ายไปทำตามฝันของแต่ละคน ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงเลือกทางเดินเส้นใหม่ เลือกเริ่มต้นใหม่ด้วยการไต่ยอดเขาอีกลูกบนสายอาชีพช่างตัดผม? แน่นอนว่าคำถามนี้คงไม่มีใครให้ความกระจ่างได้ดีกว่าเจ้าตัว และ เขาก็พร้อมแล้วที่จะเล่าเรื่องราวชีวิตให้เราฟังย้อนไปตั้งแต่สมัยวัยเด็กกันเลยทีเดียว จากเด็กเรียบร้อยระดับหัวหน้าชั้น สู่ตัวกลั่นแห่งแก๊ง FEDFE “สมัยเด็กผมเป็นหัวหน้าห้องตั้งแต่ประถมเลย เป็นเด็กเรียบร้อย ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้ได้ จะมีรอยสักเยอะแยะแบบไม่เคยคิดมาก่อน แต่ด้วยความที่แบบว่า ชอบมานานเรารู้สึกว่าเราเสพแฟชั่น เสพสื่อแล้วเรารู้สึกชอบรอยสักจนที่สุดแล้วก็เป็นตัวตนเราที่ทุกคนรู้จักในตอนนี้” เจเด็ดเริ่มต้นบทสนทนา ด้วยคำตอบสุดเซอร์ไพรส์ กับคำถามจากความสงสัยเรื่องรอยสักเต็มตัวดูดุดัน และความห่าม บ้า ซ่า ที่เคยได้เห็นจาก YouTube จนทำให้อยากรู้ว่าวัยเด็กของเขานั้นจะแสบขนาดไหน ก่อนที่จะเข้าประเด็นหลักที่เราอยากรู้ที่มาที่ไปของการเริ่มทำ
หากเอ่ยชื่อ ‘โอ๊ค Big Ass’ และ ‘สมเมย์ Labanoon’ เชื่อว่าแทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก เพราะพวกเขาทั้งคู่คือมือเบส และมือกลองที่เป็นหนึ่งในสมาชิกวงร็อกเบอร์ต้น ๆ ของเมืองไทย ที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และสั่งสมชื่อเสียงผ่านเพลงฮิตมาแล้วมากมาย แต่ GARAGE สัปดาห์นี้ เราไม่ได้พาชาว UNLOCKMEN ไปเจาะลึกถึงเส้นทางความสำเร็จที่ผ่านมาของพวกเขา แต่เราจะพาทุกคนไปพบกับเรื่องราวการเดินทางครั้งใหม่ของทั้งคู่ กับ VOM Records ค่ายเพลงเล็ก ๆ ที่พวกเขาทุ่มเททั้งแรงกาย และใช้หัวจิตหัวใจปลุกปั้นขึ้นมา เพื่อเป้าหมายในเปิดโอกาสทางดนตรีให้ใครก็ตามที่มีดี และมีไฟฝันอันแรงกล้าอยู่ในตัว ได้ใช้พื้นที่นี้ปล่อยของออกไปสู่คนฟังให้ได้มากที่สุดโดยพี่โอ๊ค และ พี่สมเมย์ได้เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการเล่าย้อนไปยังชีวิตวัยเด็กซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นทั้งหมดทั้งมวลที่พาให้ทั้งคู่ก้าวสู่วิถีคนดนตรี พี่โอ๊ค: ตอนเด็ก ๆ เริ่มจากที่บ้านชอบฟังเพลง ที่บ้านจะมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงอะไรแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่ก็จะเปิดพวกเพลงสากลด้วย เพลงไทยด้วย ยุคนั้นก็จะได้ยินเพลงเอลวิส เพลงโฟล์ค อะไรพวกนี้ พอโตขึ้นมาหน่อย พี่ชายเค้าก็จะฟังเพลง ก็จะเปิดพวกฮาร์ดร็อคยุค 70 ยุค 80 เราก็ได้ฟัง ซึมซับมาเรื่อย ๆ ก็เลยชอบฟังเพลง บวกกับพี่ชายเป็นนักดนตรีด้วย พอเขาเริ่มเล่นดนตรีเราก็ดูเขาก็
ก่อนหน้านี้ UNLOCKMEN เคยเล่าเรื่องราวการต่อสู้และความทะเยอทะยานจากดินสู่ดาวของแก๊งยากูซ่าที่สุดของเกาะญี่ปุ่น ยามากูจิ-คูมิ (Yamaguchi-Gumi) ไว้ใน NIHON STORIES: YAMAGUCHI GUMI จากอัธพาลย่านคันไซสู่ยากูซ่าผู้ทรงอิทธิพลของญี่ปุ่น ทำให้เห็นความโหด ความเด็ดเดี่ยว กล้าได้กล้าเสีย ระบบองค์กรยากูซ่าอันซับซ้อนมีลำดับขั้นไม่ต่างกับสำนักงาน แต่วันนี้ความยิ่งใหญ่ทุกอย่างของแก๊งกลับต้องชะงักอย่างเลี่ยงไม่ได้ สำนักข่าวในญี่ปุ่นพากันตีข่าวใหญ่เกี่ยวกับยากูซ่าอันดับหนึ่งของประเทศ พวกเขาไม่สามารถจัดการประชุมสำคัญซึ่งเป็นธรรมเนียมทำกันมาเป็นประจำทุกปีได้สาเหตุสำคัญ เหตุผลหลักที่ต้องยกเลิกเป็นเพราะสมาชิกระดับหัวหน้าล้วนมีอายุมาก บอสใหญ่ไต่เต้าจากแก๊งสาขานาโกย่ามาเป็นผู้นำสูงสุดรุ่นที่ 6 ของแก๊ง ชิโนดะ เคนอิจิ (Shinoda Kenishi) และเบอร์สองของแก๊งอย่างนายน้อยทากายามะ คิโยชิ (Takayama Kiyoshi) มือขวาที่เปรียบเสมือนคู่หูคู่คิดของชิโนดะ แม้ทั้งสองจะลุยมาทุกสมรภูมิเดือด แต่ปัจจุบันสองคนมีอายุมากทำให้เสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ผลจากการศึกษาไวรัสโควิด-19 ของศูนย์วิจัยหลายแห่งต่างลงความเห็นไปในทางเดียวกันว่า ชายสูงวัยมีความเสี่ยงติดเชื้อไวรัส จนทำให้เสียชีวิตง่ายกว่าผู้หญิงหรือคนอายุยังน้อย รวมถึงชายจากยุค 70-80 ที่มีรอยสักเต็มตัวและมีประวัติใช้สารเสพติดจะยิ่งเพิ่มโอกาสติดเชื้อไวรัสมากขึ้นกว่าคนอื่น ๆ เพราะตับที่ทำงานหนักจากรอยแผลทั่วร่าง (รอยสัก) ควบคู่กับการดื่มเหล้าใช้ยาจนร่างกายอ่อนแอ เสี่ยงให้ยากูซ่าระดับบิ๊ก ๆ เข้าใกล้ความตายได้ง่ายขึ้น ผลคือตอนนี้งานประชุมใหญ่ที่สร้างความตื่นตระหนกให้ผู้คนแถวสำนักงาน สื่อญี่ปุ่น รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องมาคอยเฝ้าระวังทุกปีต้องพับแผนการเดิมทั้งหมดทิ้ง นอกจากนี้ สำนักข่าวญี่ปุ่นยังรายงานอีกว่า สมาชิกของแก๊งทั้งระดับสูงไปจนถึงระดับล่าง ต่างแสดงความกังวล พวกเขารู้สึกอ่อนไหวกับเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
หลังจากที่เราเคยได้นำเสนอ Culture สุดแสบของแว๊นชาวยุ่น หรือ Bozosoku ที่หลายคนให้ความสนใจไปแล้ว แม้มันจะเป็นสังคมที่แปลกประหลาดในสายตาคนส่วนใหญ่ แต่วัฒนธรรมที่ดูรุนแรงขัดต่อกฎหมายเหล่านั้น ยังมีผู้หญิงที่คลั่งไคล้จนกลายเป็น Culture คล้าย ๆ กันที่เรียกว่า “Sukeban” (スケバン) อยู่ด้วย เช่นเดียวกับ Bozosoku ถ้าหากใครอ่านหนังสือการ์ตูนหรือดูซีรีส์ญี่ปุ่น ก็คงจะเคยเห็นนักเรียนญี่ปุ่นสาวแสบซ่าบ้าบิ่นไม่แพ้ผู้ชาย ซึ่งอยู่ในลุคตรงข้ามกับสาวนักเรียนญี่ปุ่นที่ใส่กระโปรงสั้น ถุงเท้ายาวตึง หน้าตาใส ๆ อย่างสิ้นเชิงกันมาบ้างอย่างแน่นอน ความดิบเถื่อนจะว่าไปมันก็อาจจะเป็นแฟชั่นของวัยรุ่นสาวชาวญี่ปุ่นในยุคหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่ทว่ามันถูกถ่ายทอดกันมาอย่างจริงจังจนกลายเป็น Culture ที่อยู่คู่กับวัยรุ่นสาวที่มีความซ่า และกล้าที่จะทำอะไรบ้า ๆ เหมือนผู้ชายทำ จนขนาดว่า “Sukeban” ตัวเจ๊ ๆ บางคน แสบถึงขึ้นผู้ชายยังกลัวจนหัวหดกันเลยทีเดียว “What is Sukeban” Sukeban ถูกใช้เป็นคำจำกัดความของกลุ่มวัยรุ่นหญิงล้วนที่ก๋ากั่น พฤิตกรรมขัดกับศีลธรรม หรืออาจจะเรียกว่าเป็น Bosozoku ในเวอร์ชัน Girl Gang ก็ได้ คำนี้เกิดขึ้นครั้งแรกช่วงปี 1960 โดยสาวเหล่านี้ จะเป็นสาวมัธยมที่ห้าว ก้าวร้าว
เชื่อว่าชีวิตของหนุ่ม ๆ หลายคนในช่วงนี้คงไม่พ้นการต้องกักตัวอยู่ในบริเวณบ้านหรือห้องตัวเอง บางคนมีงานให้ต้องสะสาง ขณะที่หลายคนเลือกจะพักผ่อนด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ที่ตัวเองชอบ แต่สำหรับคนที่กำลังเผชิญปัญหา ท้อแท้หรือหมดกำลังใจกับชีวิตในช่วงเวลานี้อยู่ เราอยากชวนคุณหลบมุมเพื่อพักผ่อนและเติมพลังชีวิตไปกับ Sport Documentary ดี ๆ ที่มีให้ทั้งความรู้ ความสนุกสนาน MOTIVATHLETE วันนี้ถือโอกาสเลือกสารคดีกีฬา 5 เรื่อง 5 สไตล์ที่หวังจะสามารถให้มุมมองและแง่คิดดี ๆ กับทุกคนได้ไม่มากก็น้อย ไปดูกันว่าเราจะหยิบเรื่องราวของนักกีฬาคนไหนมาแนะนำบ้าง Conor Mcgergor: Notoriouus สารคดีที่เล่าถึงเรื่องราวชีวิตของคอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ นักกีฬาต่อสู้ศิลปะป้องกันตัวแบบผสมผสานอดีตแชมป์ 2 รุ่นน้ำหนักคนแรกของ Ultimate Fighting Championship หรือ UFC ชายปากมากที่มีทั้งคนรักและเกลียดเพราะฝีมือการต่อสู้ของเขามีมากพอ ๆ กับน้ำลาย ตัวสารคดีจะเกริ่นรู้จักตัวคอเนอร์ตั้งแต่ช่วงแรกที่เข้าวงการมวยกรง 8 เหลี่ยมสู่แมตซ์เปิดตัวอันน่าประทับในบนสังเวียน UFC และการแข่งขันที่เข้มข้นกับทั้ง Chad Mendes และ Nate Diaz ที่สอดแทรกมุมมองชีวิตส่วนตัวจากปากคอเนอร์เองและคนใกล้ชิด หวังเรื่องราว 1.30 ชั่วโมงจะทำให้ทุกคนเข้ามากขึ้นว่าชีวิตของชายคนนี้ไม่ได้ก้าวขึ้นมามีชื่อเสียงและร่ำรวยบนเส้นทางที่ราบเรียบ