“หลายคนอาจมองว่าเราเป็นคนทำงาน Street Art ที่ประสบความสำเร็จ แต่พูดตรง ๆ คือ เราไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงจุดนั้นหรือเปล่า แค่รู้สึกว่าถ้าเรามีโอกาส ได้รับโอกาสอะไรมา เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด งานมันต้องพัฒนาเรื่อย ๆ เราอยากรู้สึกตื่นเต้นกับงานที่ทำ ณ ปัจจุบันให้มากที่สุด อยากรู้สึกเหมือนตอนทำงานกำแพงแรก ที่เราผ่านอะไรมามากมายจนสุดท้ายก็ทำสำเร็จ เราว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีมากเลย” Quote ข้างต้นคือมุมมองการสร้างงานที่เต็มเปี่ยมไปด้วย Passion จากปากของชายที่เรา และใครอีกหลายคนทั้งในไทยรวมถึงต่างประเทศ ต่างให้การยอมรับว่าเขาคือหนึ่งในศิลปินเบอร์ต้น ๆ ที่นำพาผลงาน Street Art ไทย ให้ดังไกลถึงต่างแดน แม้เจ้าตัวจะไม่มั่นใจว่าได้เดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางของความสำเร็จแล้วหรือยัง แต่เชื่อว่าผลงานมากมายของ ‘รักกิจ สถาพรวจนา’ หรือ ที่หลายคนรู้จักในชื่อ RUKKIT น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนในตัวอยู่แล้ว จากจุดเริ่มต้นของเด็กชายธรรมดาที่มีใจรักในการวาดรูป แต่การคว้ารางวัลประกวดวาดภาพระดับอนุบาลมาครอง กลับกลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้เด็กชายรักกิจ มุ่งมั่นในเส้นทางศิลปะต่อเนื่องและเริ่มต้นทำงานประจำในสาขากราฟิกดีไซน์เนอร์ จนกระทั่งสิ่งที่เรียกว่า “โอกาส” ที่ถูกหยิบยื่นให้ได้เปิดเส้นทางใหม่ให้ผู้ชายคนนี้ได้รู้จักกับงาน Street Art และใช้ชีวิตกับศิลปะแขนงนี้มาจนถึงปัจจุบัน “หลังจากจบมหาวิทยาลัยก็ไปทำงานกราฟิกดีไซน์ก่อน จากนั้นมีรุ่นพี่ชวนไปทำงาน Street Art เป็นงานพ่นกำแพงที่หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ (BACC) เริ่มทำครั้งแรกก็รู้สึกชอบเลย
ต่อเนื่องจากบทความครั้งที่แล้ว “11 อัลบั้มโคตรแรร์! ของวงการอันเดอร์กราวน์ไทยปี 2000-2005” มาต่อกันที่ผลงานที่กลายเป็นของหายากสำหรับวงการร็อกและเมทัลไทยในช่วงปี 2006-2010 จะเป็นของศิลปินวงใดกันบ้าง เราไปทำการขุดมาให้ทุกคนได้ทำความรู้จักกันแล้วครับ G6PD “PAST OF PIECES” (2006) G6PD วงดนตรีสไตล์เมทัลคอร์ จากเมืองล้านนา จังหวัดเชียงใหม่ พวกเขาเติบโตมาจากวงการอันเดอร์กราวน์แบบขนานแท้ ก่อนจะได้รับโอกาสร่วมงานกับสังกัด Day One Records ที่ดูแลโดย สมศักดิ์ แก้วทิตย์ มือกลองของวงดอนผีบิน “Past Of Pieces” คืออัลบั้มเต็มชุดแรกของพวกเขา ที่เต็มด้วยท่วงทำนองอันหนักหน่วง ทำลายล้าง มันส์ตั้งแต่เพลงแรกไปยันเพลงสุดท้าย แถมยังทำความเข้าใจกับเนื้อหาของเพลงได้ง่ายเพราะใช้ภาษาไทยในการเล่าเรื่องทั้งหมด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ G6PD สร้างรากฐานแฟนเพลงเมทัลเฮดไทยอย่างรวดเร็ว แทร็กแนะนำ : “เส้นทางความฝัน” IMAGINARY LIE (2007) หากพูดชื่อวง Imaginary Lie หลายคนอาจจะไม่คุ้นหู แต่หากพูดถึงชื่อวง No More Tear หลาย ๆ
ช่วงกลางดึกคืนหนึ่งในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผมบังเอิญได้เห็นหน้าฟีดบนเพจ Facebook ของ Shonen MainStream โพสต์ว่ามีมังงะน่าสนใจออกใหม่ ที่กำลังไฮป์อย่างมากชื่อ Takopi’s Original Sin ซึ่งมียอดอ่านออนไลน์สูงเป็นระดับปรากฎการณ์ของการ์ตูนญี่ปุ่น-ในตอนที่ 1 มีคนกดอ่านรวมกว่า 8 ล้านครั้ง และตอนที่ 16 ซึ่งเป็นตอนจบก็มีคนอ่านภายในวันเดียวถึง 3 ล้านครั้งเลยทีเดียว (อัพเดทข้อมูล 14/11/2022) แต่ทว่า นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมสนใจมังงะเรื่องนี้ซะทีเดียว แต่เป็นเป็นเพราะคำเตือนถึง 2 ครั้งของทางเพจ ที่บอกว่าการ์ตูนเรื่องนี้มีเนื้อหาที่สะเทือนต่อจิตใจอย่างรุนแรงมาก ถึงแม้ว่าพล็อตเรื่องจะมีความคล้ายกับ Doraemon ก็ตาม … นี่ล่ะคือสิ่งที่ดึงดูดผมเข้าสู่โลกของ Takopi’s Original Sin ของจริง ขอยอมรับแบบไม่ปกปิด ผมรู้สึกผิดอยู่บ้างที่ไม่เชื่อการเตือนถึง 2 ครั้งอย่างหวังดีนั้น เพราะเรื่องราวของ Takopi’s Original Sin ทำเอาหดหู่อย่างมากหลังอ่านจบ-ในระดับที่เกือบจะเขียนคอลัมน์นี้ไม่ไหว ซึ่งถ้าจะให้อธิบายความรู้สึกของผมออกมาเป็นภาพ มันก็คงเหมือนกับกำลังเดินเข้าหาคมมีดเป็นพันเล่ม โดยที่ก่อนหน้านั้นดื่มยาพิษเข้าไปอึกใหญ่ โลกของมังงะเรื่องนี้เต็มไปด้วยความไม่น่าไว้ใจ ความกระอักกระอ่วน ความเจ็บปวด เกินกว่าจะหายใจได้อย่างเต็มปอดและรู้สึกปลอดภัยขณะที่อ่าน แต่ก็ต้องบอกว่า
หลังจากเปิดตัวครั้งแรกภายในงาน Milan Design Week 2022 ที่จัดขึ้น ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 65 ล่าสุด LAMBRETTA X300 ก็ถึงเวลาเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เมื่อค่ำคืนวันที่ 18 พ.ย. 65 ที่ผ่านมา ณ ลานพาร์ค พารากอน บรรยากาศในงานต้องบอกเลยว่ายิ่งใหญ่อลังการ สมศักดิ์ศรีครบรอบ 75 ปี LAMBRETTA เต็มไปด้วยเหล่าเซเลบคนสําคัญทั้งสายแฟชั่น ดนตรี ไลฟ์สไตล์ และสาวกรถสกู๊ตเตอร์ ตบเท้าเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ มาร์โค เมาเร่อ, โต้ง Twopee, พลอย หอวัง, กอล์ฟ พิชญะ, โฟร์ ศกลรัตน์, แจ็ค แฟนฉัน, ปิ๊น Carnival, อาเบย์ ณรัฐ, เบ็น วราวุฒิ บราวน์, บู้
เพิ่งจะเปิดการแสดงสดในบ้านเราถึง 2 รอบไปหมาด ๆ ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี สำหรับ LANY วงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟ ป๊อป/ร็อก จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งในวันที่ 3 พฤศจิกายน ตรงกับโชว์วันแรกของพวกเขา ทาง Unlockmen ก็ได้รับเกียรติให้เป็น 1 ใน 6 สื่อที่ได้เข้าไปนั่งสัมภาษณ์กับ 2 หนุ่ม Paul Jason Klein และ Jake Clifford Goss แบบ Exclusive สุด ๆ Lany ก่อตั้งวงเมื่อปี 2014 โดยเริ่มต้นกันมาทั้งหมด 3 คนด้วยกัน ได้แก่ Paul Jason Klein ร้องนำ/กีตาร์/คีย์บอร์ด, Jake Clifford Goss กลอง และ Charles Leslie
การฟังเพลงหรือฟังดนตรี นอกจากจะได้ความบันเทิงและความเพลิดเพลินแล้ว บางครั้งมันส่งผลต่ออารมณ์ของเราให้ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราได้ฟังแนวดนตรีที่เราชื่นชอบ ก็ยิ่งทำให้เรามีความสุขกับท่วงทำนองที่ได้ยินง่ายดายมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ทาง Unlockmen จึงขอหยิบยกประเด็นนี้มาเล่าให้ทุก ๆ คนได้ทราบกันว่าดนตรีส่งผลต่อเราได้แบบไหนกันบ้าง ดนตรีส่งผลต่อความเครียด ความเครียดไม่มีใครอยากเจอ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในชีวิตมนุษย์จริง ๆ ดังนั้นเราทุกคนจึงต้องคอยหาวิธีรับมือกับความเครียด เพื่อไม่ให้มันย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราจนป่วยทั้งกายและใจ ซึ่งดนตรีก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี แถมยังใกล้ตัวที่สุด ส่วนแนวเพลงที่เหมาะกับการฟังให้รู้สึกผ่อนคลาย เช่น เพลงคลาสสิก ที่จะช่วยปรับอารมณ์ของคุณให้สงบมากยิ่งขึ้น หรือจะลองฟังเป็นแนวเพลงดรีมป๊อป ก็น่าจะช่วยให้คุณเคลิบเคลิ้มไปกับเมโลดี้ได้เช่นกัน แต่หากคุณเป็นคอเพลงหนักกระโหลกอย่างเฮฟวี่เมทัล แม้ตัวเพลงจะรุนแรง แต่หากมันคือสิ่งที่คุณชอบแถมยังตรงจริต ก็เปิดฟังในช่วงเครียด ๆ รับรองว่าช่วยได้อย่างแน่นอน นอกจากนั้นแล้วเพลงที่มีเนื้อหาให้กำลังใจก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่จะทำให้คุณรู้สึกเข้มแข็งได้มากยิ่งขึ้นเช่นกัน ดนตรีส่งผลต่อการกระตุ้นความทรงจำ เชื่อว่าหลาย ๆ คนต้องเคยผ่านพบเจอเหตุการณ์แบบนี้ คุณเคยรู้สึกใช่ไหมหากเราได้ยินเพลงเก่า ๆ ที่เราเคยฟังในวัยเด็ก สิ่งที่ตามมาคือภาพความทรงจำในช่วงเวลานั้น ๆ จะย้อนกลับมาให้เรานึกถึงราวกับฉากในภาพยนตร์เลยทีเดียว ตัวเพลงเองก็เปรียบเสมือนลิ้นชักของความทรงจำของเรา บางครั้งมันก็กระตุ้นอดีตอันแสนสุข บางครั้งมันก็กระตุ้นวิถีชีวิตที่เราใช้ในช่วงเวลาเหล่านั้น แต่ในบางครั้งมันก็กระตุ้นความทรงจำเศร้าที่เราเคยพบเจอมาได้เช่นกัน ดังนั้นหากเราอยากรำลึกถึงความทรงจำไหนซักเรื่อง ลองเปิดเพลงในช่วงเวลาเหล่านั้นดู รับรองได้ว่าภาพจะแฟลชแบ็คกลับมาอย่างแน่นอน เพลงเศร้าทำให้เราหายเศร้า แม้บางคนฟังเพลงเศร้าตอนที่กำลังเศร้าอาจจะทำให้อารมณ์ดำดิ่งไปมากกว่าเดิม แต่ในขณะเดียวในบางคนมันกลับให้ผลลัพธ์ที่ออกมาตรงกันข้าม เพลงเศร้าโดยส่วนมากที่พบเจอมักจะเต็มไปด้วยเรื่องความความผิดหวัง, การสูญเสีย หรือการจากลา ถึงแม้เนื้อหาจะชวนหดหู่ขนาดไหน
การกลับมาของอัลบั้มชุดที่ 6 (เลขจริงที่ไม่ได้ตั้งเอาชื่อมงคลแบบชุดที่ 8) ของวง POP ที่ม่วนที่สุดในค่ายห้องเล็ก Smallroom ชื่อ Tattoo Colour หลังจากที่หายจากการปล่อยอัลบั้มเต็มถึง 5 ปี แล้วก็ต้องบอกว่าพวกเขากลับมาอย่างสม ‘ศักดิ์ศรี’ จริง ๆ ทั้งการมีชื่อด้อมของตัวเองเป็นครั้งแรกว่า ‘ชาวนัวร์’ ไปจนถึงคอนเซปต์ของการทำอัลบั้ม ‘เรือนแพ ชุดที่ 6’ ที่ทั้ง 4 คนเช่าบ้านอยู่ด้วยกันเพื่อตกผลึกเพลงของทั้งอัลบั้ม จนทำให้กลายเป็นอัลบั้มที่สำหรับแฟน ๆ แล้ว ใช้คำว่า ‘ใช่’ ได้อย่างสิ้นเปลืองที่สุด ย้อนเวลากลับไปในปี 2008 ตอนที่อัลบั้ม ‘ชุดที่ 8 จงเพราะ’ กำลังโปรโมทซิงเกิล ‘จำทำไม’ อยู่นั้น มันเป็นตอนเดียวกับที่ผู้เขียนกำลังนั่งเรียนพิเศษเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามัธยมปลาย ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาว่ากันว่าเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สำคัญและยากที่สุดในชีวิตวัยรุ่น แต่เราก็โชคดี ที่มีเพลงของ Tattoo Colour เป็นเหมือนซาวด์แทร็คประกอบชีวิต ชุบชูจิตวิญญาณของเด็กคนนั้นให้การเติบโตอย่างไม่ยากจนเกินไปนัก และในปัจจุบันที่เป็นผู้ใหญ่วัยทำงานแล้ว ความเป็นเด็กของเราก็ยังถูกซ่อนไว้ในความทรงจำที่มีร่วมกับเพลงของพวกเขาเสมอ จะเปิดเพลงไหน เปิดเมื่อไหร่
Lunaz สำนักผู้เชี่ยวชาญด้านการจับ classic Range Rover มาชุบชีวิตด้วยขุมพลังไฟฟ้า เป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีกำลังการผลิตปีละเพียง 50 คัน ในราคาเริ่มต้นคันละ 12 ล้านบาท แต่ดูจากภาพก็รู้ว่ายอดจองเต็มโควต้าทุกปี ผลงานของ Lunaz แบ่งเป็นสองรุ่นย่อย เริ่มจาก “Country” ในสีฟ้า Maya Blue เป็น Land Rover Range Rover รุ่นคลาสสิคที่นำมาตัดหลังคาแบบ drop-top ใช้ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 360 แรงม้า แรงบิด 612 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนสี่ล้อ all-wheel-drive ด้านในตกแต่งอย่างหรูและทันสมัย ด้านหลังมีที่นั่งเลาจน์สำหรับผู้โดยสาร 6 คน ปูพื้นด้วยไม้ Mocca Walnut อย่างกับนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นโรงแรมหรู รุ่นต่อมาคือ “Town” ใช้ตัวถัง long-wheelbase Range Rover เน้นความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารมากกว่าจะเน้นลุย หลังคาสามารถเปิดได้แบบ open-top หากต้องการรับลม ภายในใช้จอ
ฮิปฮอปแนวดนตรีที่ก่อร่างสร้างตัวมาตั้งแต่ในช่วงปี 1970’s นอกจากจะมีจังหวะดนตรีที่โดดเด่น อีกสิ่งที่มาคู่กันคือการร้องแร็ป ซึ่งในปัจจุบันมันก็ได้แตกแขนงออกมามากมาย แพร่กระจายไปทั่วโลกไม่เว้นในประเทศไทย ซึ่งในบ้านเรากระแสดนตรีฮิปฮอปก้าวขึ้นมาเป็นที่นิยมในคนหมู่มากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้เราได้เห็นแร็ปเปอร์หน้าใหม่เกิดขึ้นมามากมาย แต่ถ้าหากให้พูดถึงกลุ่มศิลปินฮิปฮอปไทย ที่สร้างอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงให้กับศิลปินรุ่นหลังคงหนีไม่พ้น Thaitanium โดยเฉพาะอัลบั้ม “Thai Rider” ที่สร้างปรากฏการณ์ต่อวงการเพลงไทยได้มากมาย ด้วยสไตล์ที่เรียลและเท่ จึงไม่น่าแปลกใจที่อัลบั้มนี้จะถูกยกย่องให้เป็น “Pioneer” ของวงการฮิปฮอปในบ้านเรา และมันก็เพิ่งมีอายุครบรอบ 20 ปีไปหมาด ๆ ด้วยเหตุนี้ทาง Unlockmen จึงขอพาทุกคนไปเจาะลึกถึงแบ็คกราวน์ของ “Thai Rider” จากปากของสมาชิกทั้ง 4 คน ได้แก่ KH, SDthaitay, DABOYWAY และ BIG CALO มาฟังประสบการณ์ของการต่อสู้จากนิวยอร์กสู่กรุงเทพกันครับ AA CREW ก่อนจะมาสู่ Thaitanium หลาย ๆ คนอาจจะทราบกันดีว่าสมาชิกบางคนเคยมีผลงานเพลงกันมาก่อนแล้ว ได้แก่ ขันที่เคยทำฮิปฮอปดูโอ้ในชื่อ “ขันที” ส่วนเวย์ก็เคยอยู่กับ “Teen 8 Grade A” และนั่นมันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงแต่อย่างใด