เจริญกรุง อีกหนึ่งย่านเก่าแก่อันที่ยังคงเต็มไปด้วยเสน่ห์และกลิ่นอายด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ แต่ขณะเดียวกันย่านเก่าแก่แห่งนี้ก็แฝงบาร์ คาเฟ่และร้านอาหารหลากหลายบรรยากาศจนกลายเป็นอีกโซนที่หนุ่ม ๆ หลายคน เลือกเป็นสถานที่สำหรับแฮงเอ้าท์หลังจากช่วงเวลาเลิกงานรวมทั้งคืนวันหยุดสุดสัปดาห์ To More หนึ่งในบาร์ค็อกเทลย่านเจริญกรุง ที่แม้โลเคชั่นของร้านอาจจะเป็นสถานที่คุ้นเคยของหนุ่มหลายคนผู้เคยมาเยือน Soul Bar ในอดีต ปัจจุบันถูกเปลี่ยนแปลงเป็นบูทีคบาร์ที่ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากโรงละครมูแลงรูจ (Moulin Rouge) เติมเต็มอารมณ์ด้วยพื้น ผนังไม้สีดำและผ้าม่านสีแดงที่ประดับประดาไว้อย่างลงตัว สร้างความรู้สึกเสมือนหลุดเข้ามาในโรงละครตามความตั้งใจของหุ้นส่วนร้านทุกคน ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงจากบาร์แจ๊สรูปแบบเดิมสู่บาร์ค็อกเทลที่สามารถดูโชว์และดนตรีได้อย่างใกล้ชิด ทำให้ไม่ว่าคุณจะหอบกันมาเป็นหมู่คณะหรืออารมณ์เปลี่ยวอยากมาจิบคนเดียวก็รู้สึกเอนจอยกับรสชาติของเครื่องดื่มจากแก้วในมือและการแสดงต่าง ๆ ที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างไม่เขินอาย นอกจากสไตล์อันเป็นเฉพาะตัวของร้านและโชว์ที่มีไม่ซ้ำกันของแต่ละวันแล้ว อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญแน่นอนว่าคือค็อกเทลสูตรเฉพาะของ To More ที่รังสรรค์โดยเฮดบาร์เทนเดอร์และหนึ่งในหุ้นส่วนของร้านอย่างพี่เบิ้ล-ปรัชญา ไชยเมือง ที่มาโชว์ฝีมือในการปรุงค็อกเทลแก้วพิเศษให้เราได้ลิ้มชิมรสกันในคืนนี้ King And I เริ่มต้นกันที่แก้วแรกสำหรับหนุ่ม ๆ ผู้ต้องการค็อกเทลรสเข้มมาเป็นแก้วเปิดวันกับ King And I ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้เราตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมส่วนผสม ที่มีทั้งซินนาม่อนและใบซิการ์ซึ่งสร้างกลิ่นรัญจวนใจในทันทีที่เผาไหม้ส่งกลิ่นควันหอมอบอวลคลุ้งไปทั่วบาร์ จนเราแอบอดใจที่จะลิ้มลองรสชาติของแก้วนี้ไม่ไหว แต่ไม่นานหลังจากนั้น เมื่อวินาทีที่รอคอยการปรุงแต่งรสชาติและหน้าตาสิ้นสุดลง ความรู้สึกคุ้มค่ายืนยันด้วยกลิ่นสโมคของใบยาสูบจากซิการ์และซินนามอนที่ผสมเข้ากันได้อย่างลงตัวกับกลิ่นของมะพร้าวและเบสจากรัม ก่อนออนท็อปด้วยน้ำส้มสดเพื่อตัดรสชาติไม่ให้เลี่ยนจนเกินไป จนเกิดเป็นความเข้มและหนักแน่นในแบบของผู้ชาย ผนวกรวมเข้ากับความสดชื่นได้อย่างลงตัว Cinderella ต่อกันด้วยค็อกเทลสีขาวนวลที่ดูก็รู้ว่าเหมาะจะสั่งให้กับสาวที่มาด้วยกันซึ่งเข้ากันเป็นอย่างดีกับแสงเทียนละมุนตา Cinderella มาพร้อมเบสหลักเป็นจินกับไฮเนทไซรัปและน้ำมะนาวสร้างสีสันเรืองสวยเด่น ก่อนออนท็อปด้วยเปลือกเลมอน ทันทีที่เรายกแก้วขึ้นมาเพื่อสัมผัสรสชาติก็รู้ได้ทันทีว่าสุภาพสตรีทุกคนจะต้องตกหลุมรักค็อกเทลแก้วนี้จากรสชาติเปรี้ยวที่มอบความสดชื่นของมัน
“ยานัตถุ์หมอมี แก้ฝีแก้หิด ยานัตถุ์หมอชิตแก้หิดแก้ฝี” ประโยคทดสอบการอ่านที่เราพูดเล่นกันมาตั้งแต่เด็กประโยคนี้ คงทำให้ผู้ชายหลายคนพอคุ้นชื่อ “หมอมี” กันอยู่บ้าง แม้ยานัตถุ์จะไม่ได้มีสรรพคุณช่วยแก้หิดหรือแก้ฝี แต่หมอมีที่ปรากฏในประโยคชวนลิ้นพันนี้มีตัวตนอยู่จริง หมอมีคือหมอยาชื่อดังผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงยาสมุนไพรจีนในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งตอนนี้บ้านเก่าแก่อายุร่วม 125 ปีของเขา ถูกเนรมิตให้กลายเป็นร้านอาหารไทยชาววังที่ซ่อนบาร์ลึกลับเอาไว้ในชั้นใต้ดิน Philtration สปีกอีซี่บาร์ในห้องปรุงยาเก่าของหมอมี ใต้โครงสร้างบ้านไม้สีขาวของร้านอาหารบ้านหมอมี เป็นที่ตั้งของ ‘Philtration’ บาร์ลับในห้องใต้ดินที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของหมอมีและศาสตร์แห่งการปรุงยาของเขา ก้าวแรกที่ผลักประตูไม้เก่าเข้าไปด้านในก็สัมผัสได้ถึงความมืดมิดและแสงไฟสลัวรางที่รอต้อนรับเราบริเวณทางเดินทรงเกือกม้า แต่เมื่อเดินงมไปตามแสงไฟส้มริบหรี่จนสุดทางกลับไม่พบประตูทางเข้าแต่อย่างใด พบเพียงชั้นไม้ปริศนาที่ดูมีเงื่อนงำ เรายืนนิ่งพินิจพิเคราะห์อยู่สักพักและใช้เวลาไม่นานนักก็หาวิธีเข้าไปข้างในได้สำเร็จ ภายในร้านเป็นห้องโถงไม้เก่าแก่ที่ดูลึกลับไม่ต่างจากทางเข้า โดดเด่นด้วยแสงไฟสีเหลืองอมส้มส่องสว่างท่ามกลางความมืด พื้นห้องมีกระเบื้องลายแปลกที่นำเข้าจากอิตาลีเมื่อหลายร้อยปีก่อนทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า บวกกับผนังบางส่วนที่บอกร่องรอยแห่งกาลเวลาได้อย่างดีเยี่ยม ทว่ามีเพดานทรงโค้งแบบสมัยใหม่เข้ามาช่วยรับน้ำหนักของโครงสร้างเดิม และเสริมกลิ่นอายร่วมสมัยจากเฟอร์นิเจอร์หนังและบาร์ไม้ทอดยาวที่ตั้งตระหง่านกลางร้าน จากตำรายาสมุนไพรสู่สูตรค็อกเทลที่ไม่เหมือนใคร เมนูค็อกเทลของ Philtration ถ่ายทอดตัวตนของหมอยาเลื่องชื่อคนนี้ออกมาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เพราะทางร้านจะเน้นเสิร์ฟ herb cocktails ที่ครีเอตขึ้นจากสมุนไพร เครื่องเทศ และผลไม้เป็นหลัก ปริมาณเหล้าที่ใช้จึงไม่ได้หนักแน่นหัวรุนแรงมากนัก หากสร้างสมดุลให้รสเหล้าและหลากวัตถุดิบอย่างลงตัว เพื่อให้ค็อกเทลแต่ละแก้วคงสรรพคุณทางยาที่เอื้อประโยชน์ต่อสุขภาพของนักดื่ม เราประเดิมแก้วแรกด้วย ‘Sam Kok’ ค็อกเทลวรรณกรรมเพชรน้ำเอกของโลกที่ได้ Saint James Rum เป็นเบส สมทบด้วยบรั่นดีรสเข้ม Giffard Apricot
ก่อนโบกมือลาจากเดือนกุมภาพันธ์แห่งความรักไป UNLOCKMEN อยากชวนมาละเลียดรสแอลกอฮอล์เข้มขมที่หนุ่มนักดื่มทุกคนหลงใหล พลางฟังดนตรีแจ๊สลื่นหู ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกของ ‘Crimson Room’ บาร์เหล้าย้อนยุคที่จะพาคุณย้อนวันวานหวาน ๆ ผ่านแอลกอฮอล์แก้วขมปนอร่อย Crimson Room บาร์แจ๊สสไตล์ Gatsby แห่งปี 1920 เมื่อแหวกผ้าม่านสีแดงสดและเลี้ยวสลับซ้ายขวาไปตามทางแคบ คุณจะพบกับบาร์เหล้าที่ถอดแบบงานดีไซน์ของโรงละครและโถงแสดงดนตรีหรูหรามาได้อย่างแนบเนียน บรรยากาศภายในตระการตาราวกับบาร์แห่งนี้หลุดมาจากยุคใดยุคหนึ่ง จริง ๆ แล้ว Crimson Room ได้แรงบันดาลใจมาจากยุค Gatsby ในช่วงปี 1920 ซึ่งเป็นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู ผู้คนในตอนนั้นจึงหลงใหลแสงสี ความสนุกสนาน และมองหาความสุขเพื่อทุเลาประสบการณ์เลวร้ายจากภัยสงคราม ยุคนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นยุคแห่งเสรีและดนตรีแจ๊สไปโดยปริยาย โซนที่นั่งแบ่งเป็นบาร์เครื่องดื่ม บาร์ยาวด้านบน ไล่ไต่ระดับลงมาถึงโซนโต๊ะหินอ่อนครึ่งวงกลม และโต๊ะชิดติดเวทีแสดง นอกจากพรมปูพื้นและเบาะนั่งกำมะหยี่สีแดง ยังมีราวเหล็กทองเหลืองที่เลื้อยวนไปตามโต๊ะต่าง ๆ เสริมบรรยากาศภายในร้านให้หรูหรามีระดับ ผนังของร้านออกแบบด้วยส่วนเว้าโค้งที่รับกันกับเสียงดนตรี อาจทำให้คุณด่ำดิ่งลงไปในบทเพลง หรือฟังดนตรีแจ๊สได้อย่างไพเราะยิ่งขึ้น แถมตามผนังและระหว่างทางเดินยังประดับประดาแสงไฟสลัวราง เหมาะแก่การสั่งค็อกเทลหนัก ๆ สักแก้วมานั่งละเลียดจนหมดคืน จากค็อกเทลดั้งเดิมสู่ซิกเนเจอร์ค็อกเทลยุคใหม่ไม่เหมือนใคร Crimson Room มีเมนูเครื่องดื่มให้เลือกมากมาย ตั้งแต่แชมเปญ
เข้าสู่เดือนแห่งความรักอย่าง ‘กุมภาพันธ์’ ทั้งที UNLOCKMEN ก็ไม่พลาดที่จะพาหนุ่มนักดื่มของเราไปลิ้มชิมรสแอลกอฮอล์เข้มขมที่คุ้นเคย ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นจากเสียงคลาริเน็ต ทรัมเป็ต ทรอมโบน ดับเบิลเบส เปียโน กีตาร์ กลอง และแซกโซโฟนที่สอดประสานรับส่งกันไปมา จนเกิดเป็นดนตรีแจ๊สโรแมนติกเข้ากับเดือนแห่งความรักเดือนนี้เป็นที่สุด แต่ถ้าจะพูดถึงตำนานบาร์แจ๊สในประเทศไทย คงมีเพียงไม่กี่ร้านที่โดดเด่นและมีสไตล์เท่ ๆ แบบที่เราโปรดปราน และเชื่อว่า ‘Smalls’ บาร์แจ๊สเล็ก ๆ ในย่านสาทร ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ร้านที่ผู้ชายหลายคนหลงใหล หรือถ้าลองไปแล้วอาจหลงรัก ‘SMALLS’ บาร์แจ๊สในตำนานที่ยังหายใจและบรรเลงเพลงมาเกือบ 6 ปี Smalls เป็นบาร์แจ๊สที่ตั้งอยู่หัวมุมตึกริมถนนเส้นหนึ่งในย่านสาทร นอกจากจะเป็นหนึ่งในเก้าบาร์ที่ CNN ยกนิ้วว่าสวยที่สุดในกรุงเทพฯ แล้ว ที่นี่ยังโด่งดังจากทั้งคลาสสิกและซิกเนเจอร์ค็อกเทลรสหนักแน่น แถมยังเป็นบาร์เก่าแต่เก๋าที่บรรเลงดนตรีแจ๊สมาเกือบ 6 ปี แม้บรรยากาศนอกร้านจะคึกคักและมากไปด้วยมนุษย์ออฟฟิศชาวสาทร แต่เมื่อผลักประตูบานเล็ก ๆ เข้ามาในร้าน ราวกับได้หลุดออกมาอีกโลกที่ไม่คุ้นตาแต่รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ภายในร้านตกแต่งด้วยผ้าม่านสีแดงเด่น ตัวร้านแบ่งเป็นสามชั้น แม้ชั้นล่างจะมืดกว่าชั้นอื่น ๆ แต่ก็มีแสงสลัวประดับประดาไว้ตามจุดต่าง ๆ เพื่อมอบความสว่างไสวและทำให้เราพอมองเห็นเคาน์เตอร์บาร์ไม้สไตล์วินเทจที่ตั้งตระหง่านกลางร้าน ตลอดสามชั้นมีภาพถ่ายและภาพวาดศิลปะจากฝีมือเจ้าของร้านทั้งสอง แถมนอกร้านยังดีไซน์ให้เป็นแกลเลอรีขนาดย่อม เปิดโอกาสให้ศิลปินนำผลงานของตนมาจัดแสดงและสับเปลี่ยนหมุนเวียนทุก ๆ
เรารู้จัก ‘ยูเครน’ ในฐานะประเทศลึกลับแห่งยุโรปตะวันออก และอาจเป็นประเทศที่โด่งดังเรื่องข่าวสงครามมากกว่าจะเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวหลากเชื้อชาติ แต่เมืองเคียฟ (Kiev) หรือ อิฟ (Kyiv) เมืองหลวงของประเทศลึกลับแห่งนี้ กลับเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ การศึกษา และวัฒนธรรมของยุโรปตะวันออก แถมยังมีพื้นที่ว่างให้สถาปัตยกรรมปรากฏตัวเพื่อบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์และความขลังผ่านกำแพงอิฐเก่าแก่ Rina Lovko Studio ได้รับโจทย์ให้ออกแบบ ‘Balthazar’ บาร์ชั้นใต้ดินที่ตั้งอยู่ทางใต้ของตลาด Besarabsky อันเป็นตลาดในร่มที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและชาวเมืองก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี Balthazar เป็นบาร์เครื่องดื่มเก่าแก่ที่ดูลึกลับและมีเสน่ห์เฉพาะตัว และ Rina Lovko Studio สตูดิโอสัญชาติยูเครนรายนี้ก็เข้ามาออกแบบภายใน โดยไม่ทิ้งกลิ่นอายความเก่าและเก๋าของวัสดุในอดีต ภายในบาร์เผยให้เห็นโครงสร้างแบบอินดัสเทรียลลอฟต์ที่ชัดเจน การตกแต่งจะใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มเป็นหลัก มีเบาะนั่งสีเขียว และกระเบื้องเคลือบเฉดเขียวหุ้มฐานของเคาน์เตอร์ เพื่อสร้างบรรยากาศลึกลับ มีเสน่ห์ และน่าค้นหา แสงไฟสลัวตามมุมต่าง ๆ ของร้านเกิดจากการผสมผสานของเทียน โคมระย้า และโคมไฟตั้งพื้นที่คลุมด้วยผ้า ส่วนผนังและเพดานยังคงความเก่าของอิฐมอญที่ก่อรูปร่างไว้เมื่อหลายปีก่อน โดยไม่ได้ดัดแปลงหรือแต่งเติมจนความขลังที่ว่านั้นเลือนรางไป แม้การออกแบบภายในครั้งนี้จะไปได้สวย แต่ Rina Lovko Studio ก็ยังต้องเจอกับปัญหาใหญ่ เพราะเดิมทีบาร์ใต้ดินแห่งนี้มีทางเดินคดเคี้ยวและลูกค้ามักจะถูกเพดานอิฐความสูง 1.6 เมตรมาขัดจังหวะการเดิน เนื่องจากไม่สามารถทุบเพดานอิฐด้านบนที่เป็นโครงสร้างหลักได้
ตราบเท่าที่ความขมปนอร่อยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังเป็นรสชาติที่ถูกปากและถูกใจผู้ชาย UNLOCKMEN ก็ไม่เหน็ดเหนื่อยที่จะเสาะหาบาร์เหล้าเจ๋ง ๆ และค็อกเทลแก้วพิเศษจากทั่วกรุงเทพฯ มาแนะนำให้หนุ่มนักดื่มทุกคนได้รู้จัก ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านนี้ต้องยอมรับว่ามีบาร์เหล้าเท่ ๆ เปิดใหม่หลายแห่ง แต่ไม่ใช่ทุกบาร์จะออกแบบร้าน เสิร์ฟเครื่องดื่ม หรือบรรเลงบทเพลงได้ถูกจริตกับไลฟ์สไตล์แมน ๆ ของผู้ชายเรา ก่อนหมดปี 2019 นี้ UNLOCKMEN เลยอยากชวนหนุ่ม ๆ มาฉลองส่งท้ายปีกับ 5 บาร์เหล้าสุดเจ๋งที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ผู้ชาย และเรายกย่องให้เป็น Mancave of the Year เชื่อว่าหนึ่งในร้านเหล่านี้ต้องถูกใจพวกคุณแน่นอน Lennon’s เริ่มต้นที่ Lennon’s บาร์ลับยุค 70s ใจกลางเพลินจิตที่รวบรวมตลับเทปและแผ่นไวนิลไว้กว่า 6,000 แผ่น บรรยากาศของร้านตกแต่งให้ดูย้อนยุคและสะท้อนความเป็น Art Deco ความพิเศษของที่นี่คือทุกวันอังคารถึงวันเสาร์จะมีดีเจมาสปินแผ่นไวนิล เพื่อคงความเป็นแอนะล็อกเอาไว้ โดยปราศจากการเล่นเพลงดิจิทัล พร้อมใช้เครื่องเล่นเพลงเกรดพรีเมียมช่วยดึงผู้ฟังให้ดำดิ่งลงไปในท่วงทำนองดนตรีมากยิ่งขึ้น นอกจากโซนบาร์เหล้าที่ประดับด้วยโคมระย้าและโซนชมวิวตึกระฟ้า อีกจุดเด่นของร้านนี้คือเลานจ์สูบซิการ์ที่อบอวลไปด้วยแสงสลัวและม่านควัน แถมยังมีซิการ์หายากจากประเทศคิวบาอย่าง pre-embargo Cigars อีกด้วย ค็อกเทลของ Lennon’s ได้แรงบันดาลใจมาจากบทเพลงและตัวศิลปิน จึงตั้งชื่อเมนูที่บ่งบอกรสชาติของค็อกเทลและรสชาติดนตรีในเวลาเดียวกัน
เมื่อถึงคราวที่พระจันทร์ต้องขึ้นไปส่องสว่างแทนที่พระอาทิตย์ ความมืดมิดก็ค่อย ๆ เยื้องกรายเข้าปกคลุมท้องฟ้า และนั่นเป็นสัญญาณที่บอกว่าชีวิตกลางคืนของผู้ชายอย่างเราได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นี่เป็นอีกวันที่เราโคตรเหน็ดเหนื่อยกับการทำงาน และกำลังมองหาเครื่องดื่มดี ๆ สักแก้วมาช่วยทุเลาความเหนื่อยล้านั้น ทันทีที่นึกได้ว่าแถว ๆ พร้อมพงษ์เหมือนจะมีบาร์เหล้าเปิดใหม่ เราก็ไม่รอช้าและรีบเดินทางไปยังที่นั่น แม้ต้องผ่านอุปสรรคที่เรียกว่าผังเมืองกรุงเทพฯ เจอกับความป่วยของการจราจร หรือแม้แต่เดินสวนกับฝูงชนที่พลุกพล่าน แต่เมื่อมาถึงร้าน ‘Alonetogether’ ดูเหมือนว่าความว้าวุ่นก่อนหน้ากลับหายไปเป็นปลิดทิ้ง ‘ALONETOGETHER’ บาร์ลับที่ชวนคนเหงามานั่งเมาไปด้วยกัน แม้บรรยากาศของย่านพร้อมพงษ์จะคึกคักและมีผู้คนสัญจรไปมาอย่างคับคั่ง แต่เมื่อก้าวเข้ามาในร้าน เรากลับรู้สึกได้ถึงความสงบ ความเป็นส่วนตัว และความลึกลับบางอย่างที่ทำเอาเราอยากเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล ‘Alonetogether’ เป็น Speakeasy Bar ที่มองเผิน ๆ แล้วอาจไม่รู้ว่ามันคือบาร์เหล้า เพราะหน้าร้านมีเพียงป้ายไฟสีขาวขนาดจิ๋วเท่านั้น แถมตัวร้านก็ไม่ได้กว้างขวางอะไรมาก เหมือนกับซ่อนอยู่ในซอกหลืบเล็ก ๆ ของตึกแถวในย่านนี้ เมื่อผลักประตูร้านเข้าไปจะเจอกับทางเดินแคบ ๆ ที่ขนาบข้างกับเคาน์เตอร์บาร์ไม้ ทางเดินขนาดกะทัดรัดนี้จะพาคุณไปยังโถงดนตรีที่อยู่สุดทาง อันเป็นที่ตั้งของกองชุดและเปียโนสีดำขนาดใหญ่ ซึ่งทุก ๆ วันพุธถึงวันเสาร์จะมีวงต่าง ๆ มาบรรเลงดนตรีแจ๊ส ตั้งแต่สามทุ่มครึ่งถึงเที่ยงคืน ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ตั้งใจจะสร้างบาร์เหล้าย้อนยุค เจ้าของร้านจึงเนรมิตห้องแถวขนาดจิ๋วให้กลายเป็นบาร์ร่วมสมัย ที่เน้นใช้วัสดุไม้และแสงเทียนเป็นพระเอกหลัก ไม่เพียงสร้างความอบอุ่นด้วยพื้นไม้ ผนังไม้ และเฟอร์นิเจอร์ไม้
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปจากวันก่อน เทรนด์การดื่มของผู้ชายเราเองก็เปลี่ยนตามไปด้วย จากที่เคยยกเหล้าซดเป็นกรม ๆ จนภาพตัด หนุ่ม ๆ หลายคนเริ่มเอียนกับรสเหล้าและหันมานั่งจิบเบียร์ชิล ๆ กันบ้างแล้ว ทำให้ช่วงนี้กระแสของ ‘คราฟต์เบียร์’ นั้นมาแรงแซงทุกโค้งจริง ๆ ไม่ว่าจะหันไปทางทิศไหน ก็จะเห็นร้านคราฟต์เบียร์เปิดใหม่ผุดขึ้นทั่วกรุง แต่ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าจะไปนั่งดื่มคราฟต์เบียร์ที่ไหนดี วันนี้ UNLOCKMEN มี 5 ร้านคราฟต์เบียร์สุดเจ๋งมาแนะนำ รับประกันว่าเสิร์ฟเบียร์คุณภาพ บรรยากาศดี และมีสาว ๆ สวย ๆ ให้ดูจนเพลินตา Let the Boy Die หลังจากปิดตัวไป 1 ปีเต็ม ร้านคราฟต์เบียร์สัญชาติไทยสุดเก๋าร้านนี้ก็กลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง Let the Boy Die มาพร้อมแท็ปคราฟต์เบียร์ให้เลือกมากถึง 12 แท็ป โดยจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามฤดูกาล นอกจากที่นี่จะมี House Beer เป็นของตัวเอง และเสิร์ฟคราฟต์เบียร์ไทยที่ล้วนมาจากนักต้มเบียร์ชาวไทยแล้ว ยังครีเอตเมนูกับแกล้มมาให้ทานคู่กับเบียร์อีกมากมาย ตั้งแต่ Beef Nachos สไตล์เม็กซิกัน
เมื่อเริ่มชินชาและรู้สึกหวิวท้องหน่อย ๆ กับการนั่งดื่มเหล้าและจ้องมองวิวจากมุมสูงของตึกระฟ้า เราก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศพาหนุ่ม ๆ ชาว UNLOCKMEN ไปนั่งจิบค็อกเทลชิล ๆ กันดูบ้าง แม้หลายคนจะติดภาพว่า ‘อารีย์’ เป็นย่านที่มีร้านกาแฟมากมายและรวบรวมอาหารอร่อยเอาไว้แน่นเอี้ยด แต่หากคุณลองเดินเข้าไปในซอยอารีย์ 3 จะพบว่าย่านแห่งนี้ก็มีบาร์ค็อกเทลเท่ ๆ และบรรยากาศสบาย ๆ ที่ถูกใจผู้ชายอย่างเราด้วยเหมือนกัน ระยะทางไม่เกิน 550 เมตรจากสถานีบีทีเอสอารีย์ คุณก็จะพบกับ ‘Blacksmith’ บาร์เหล้าสุดเท่ที่รอต้อนรับคุณด้วยผนังทรงโค้งรูปเกือกม้าแบบโคโลเนียล (Colonial) ผสานพื้นผิวสีดำดิบแบบอินดัสเทรียลลอฟต์ (Industrial Loft) บวกแสงไฟสลัวที่ลอดผ่านมายังด้านนอก ช่วยสร้างบรรยากาศชวนหลงใหล และทำให้เราอยากเข้าไปนั่งละเลียดค็อกเทลจนหมดคืน BLACKSMITH บาร์ที่การออกแบบสองสไตล์ผสานกันอย่างลงตัว บาร์เหล้าแห่งนี้แบ่งเป็นสองชั้น ด้านบนเปิดเป็นคาเฟ่ (ตอนกลางวัน) เน้นเสิร์ฟเมนูกาแฟ เครื่องดื่มม็อกเทล และขนมโฮมเมด ส่วนตอนกลางคืน Blacksmith จะแปลงโฉมกลายเป็นบาร์เหล้าสุดเจ๋งที่เสิร์ฟครีเอตค็อกเทลพร้อมอาหารสไตล์ฟิวชั่นเลิศรส การออกแบบภายในร้านผสมผสานระหว่างสไตล์อินดัสเทรียลลอฟต์ (Industrial Loft) และโคโลเนียล (Colonial) เข้าด้วยกัน ดีไซน์โครงสร้างหลักด้วยเหล็ก ปูนเปลือย และพื้นปูนขัดมัน ใช้เพดานสูงและหน้าต่างกระจกบานกว้างที่ให้ความรู้สึกดิบ เถื่อน
‘เสียงหัวเราะ’ เป็นอีกหนึ่งสัญญาณความสุขที่พ่วงมากับรอยยิ้มโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว แล้วคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันช่วยขับเคลื่อนความสุขแทบทุกอณูของชีวิตและปลอบประโลมหัวใจอ่อนแอของผู้ชายในวันที่เหนื่อยล้าและท้อแท้ได้อย่างดี หลังจากฟาดฟันกับกองงานมหึมามาร่วม 8 ชั่วโมง ความเหนื่อยล้าก็ค่อย ๆ ถาโถมเข้ามาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ระยะเวลาการทำงานจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ดูเหมือนอาการเหนื่อยล้าที่ว่ายังไม่ทุเลาลงสักนิด ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของเราตอนนี้ ดันไปประจวบเหมาะพอดีกับบรรยากาศโดยรอบของย่าน ‘พร้อมพงษ์’ เพราะที่นี่ทั้งแออัด วุ่นวาย และรีบเร่ง ไม่แปลกเลยถ้ามนุษย์ออฟฟิศในย่านนี้จะเหน็ดเหนื่อยหลังเลิกงาน แน่นอนว่าเราคงหมดหวังที่จะได้ยินเสียงหัวเราะจากย่านแห่งนี้ มาปลอบประโลมจิตใจในวันที่เราเองก็เหนื่อยล้าไม่แพ้กัน ท่ามกลางความวุ่นวายของย่านธุรกิจใจกลางเมืองหลวง น่าแปลกที่จู่ ๆ เราดันได้ยินเสียงหัวเราะดังกึกก้องมาจากซอยสุขุมวิท 26 ไม่รอช้า เราตัดสินใจเดินลัดเลาะไปตามถนนแสนร่มรื่นเส้นนี้ เพื่อหวังค้นหาต้นตอของเสียงหัวเราะ จนท้ายที่สุดเราก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า ‘SERIAL LAUGHTER’ บาร์เหล้าที่เป็นจุดเริ่มต้นของเสียงหัวเราะต่อเนื่องที่เราตามหา SERIAL LAUGHTER บาร์สงบส่วนตัวกลางใจเมืองที่วุ่นวาย Serial Laughter เป็นบาร์เหล้าที่ตั้งอยู่ใน Marigold ร้านอาหารไทยใต้จากเกาะสมุย ทั้งสองร้านถูกแบ่งโซนเพียงประตูบานเล็ก ๆ คั่นกลาง ใช้ผนังสีน้ำตาลผสมผนังกระเบื้องขาวโพลนเป็นหลัก สอดแทรกเฟอร์นิเจอร์หลากหลายสไตล์ มีโคมระย้าเป็นจุดกำเนิดแสงไฟที่จัดวางไว้กึ่งกลางโต๊ะอาหาร สร้างบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเองด้วยโทนสีดินและพื้นปูนเปลือย ซึ่งเข้ากันดีกับสไตล์อาหารไทยของทางร้าน ส่วนบาร์เหล้า Serial Laughter นั้นดีไซน์มาให้มีขนาดกะทัดรัด เพื่อให้เข้าถึงง่ายและสร้างสเปซเล็ก ๆ ให้แขกรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว