เมนูยอดฮิตของร้านตามสั่งอย่าง “กะเพรา”เป็นอีกเมนูที่รสชาติจัดจ้านถูกปากคนไทยจึงครองใจคนทุกเพศทุกวัยไปแบบขาดลอย วันนี้เมนูกะเพราไม่ได้เป็นแค่เมนูซิกเนเจอร์ในร้านอาหารตามสั่งทั่วไปอีกแล้ว แต่ยังเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของร้านนั่งดื่มบรรยากาศดีอย่าง “กะเพราผัด รัชบาร์ 32” ที่หยิบเอาเมนูนี้มาขายจนเป็นจานเด็ดของร้านที่ไม่สั่งไม่ได้ แค่กะเพราธรรมดาก็คงจะเหมือนร้านอื่นเกินไป มาลองกะเพรารสเด็ดเผ็ดถึงใจ ด้วยวัตถุดิบที่ตั้งใจคัดมาอย่างดีเหมือนกับทำกินเองของร้านนี้ แกล้มเบียร์เย็น ๆ ในร้านบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเองด้านใน หรือจะเป็นสวนด้านนอกที่ร่มรื่น ชวนให้ดื่มด่ำกับบรรยากาศแห่งความหรรษากันแบบ Open Air ลองไปทำความรู้จักกับเมนูเด็ดของร้านนี้ที่มันส์ไม่แพ้เมนูของพวกเขาไปพร้อม ๆ กัน ก่อนที่จะหยิบกุญแจรถออกเดินทางไปพิสูจน์ความเผ็ดร้อนกันในคืนนี้ ร้านนี้ซ่อนตัวอยู่ในซอยรัชดา 36 เดินทางง่ายใกล้ MRT ลาดพร้าว เข้าซอยมาให้มองทางขวามือไว้ จะเห็นบรรยากาศร่มรื่นที่ยื่นออกมานอกรั้วเล็กน้อย นั่นแหละ ถึงร้านแล้ว แม้ชื่อร้านจะชวนให้คิดว่านี่คือร้านอาหาร แต่ความจริงพรั่งพร้อมด้วยเครื่องดื่มบาดคอให้เราได้เมามายไปพร้อมกับบรรยากาศด้วยเช่นกัน บริเวณของร้านแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนด้านในบ้านและสวนด้านนอก ใครสะดวกนั่งตรงไหนสามารถจับจองพื้นที่กันได้ตามใจชอบ เดิมทีร้านนี้เป็นเหมือนร้านที่เพื่อนหลาย ๆ คนหุ้นกันทำ ความตั้งใจแรกคือเปิดร้านขายเฉพาะกะเพรา เพราะทุกคนชอบกินกะเพราเหมือนกันหมด แต่กะเพราเฉย ๆ ก็คงจะเบสิกเกินไป เติมรสชาติจัดจ้านจึงเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของร้าน ความเผ็ดร้อน เข้มข้น ดุเดือด ซ่อนตัวอยู่ในเนื้อฉ่ำ ๆ ทุกจาน ที่สำคัญยังไม่ต้องกลัวว่าปรุงใหม่แล้วรสชาติไม่เหมือนกัน เพราะทางร้านคิดถึงความง่ายและสะดวกจึงคิดค้นซอสกะเพราสูตรลับของร้านที่ปรุงขึ้นมาเองเป็นตัวชูรสขึ้นมาใช้ ส่วนใครที่ไม่สันทัดความเผ็ดระดับปรอทแตกไม่ต้องกังวล
ต้นฮอลลี่จำลองประดับประดาด้วยดวงไฟเรียงรายเต็มท้องถนน เสียงเพลงลอดผ่านมาตามลำโพงที่ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่น กลิ่นหอมของช็อคโกแลตที่ลอยล่องมาตามลม ใช่…เรากำลังพูดถึงการมาเยือนของเทศกาลคริสต์มาส แม้ในบ้านเราอาจจะดูไม่ใกล้ชิดกับเทศกาลนี้เหมือนซีกโลกตะวันตก แต่ก็ยังพอมีกลิ่นอายให้เรารู้สึกได้ถึงความเป็น Festive ของมัน และถ้าคุณกำลังหาโอกาสดี ๆ เพื่อใช้เวลาร่วมกับคนพิเศษหรือเพื่อนรู้ใจแล้วล่ะก็ คงไม่มีวันไหนเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว ครั้งนี้เราจึงจะมาแนะนำ 5 บาร์บรรยากาศดีที่เหมาะจะดื่มด่ำเฉลิมฉลองในค่ำคืนแห่งซานต้า เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ยัง No Where to Go ในคืนนี้ Bangkok Heightz บนระดับความสูงชั้น 39 ของโรงแรม The Continent Bangkok นี่คือห้องอาหารไทยต้นตำรับดั้งเดิมแท้ ๆ ภายใต้บรรยากาศการตกแต่งแบบหรูหราโมเดิร์น พร้อมวิวมหานครกรุงเทพย่านอโศกที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เป็นบรรยากาศที่ยากจะหาร้านอาหารไทยร้านใดเหมือน อาหารทุกเมนูของ Bangkok Heightz อยู่ภายใต้การดูแลของ เชฟสัจจา ทองศรีแก้ว เชฟมากประสบการณ์ผู้ผ่านการทำงานในโรงแรมชั้นนำมาแล้วมากมาย โดยเชฟจะคัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดมาปรุงเป็นอาหารแต่ละจาน ใส่ความประณีตพิถีพิถัน รสชาติอาหารของ Bangkok Heightz จึงมัดใจลูกค้าได้อย่างอยู่หมัด What’s Special on this Christmas? วันคริสต์มาสปีนี้ ทาง Bangkok Heightz ได้จัดคอร์สอาหารไทยที่เหมาะกับเทศกาลแห่งความสุขนี้ เป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมได้อย่างลงตัว เป็นเมนูที่ทุกคนต้องไปลองด้วยตัวเอง Location: ชั้น 39
ความเมาเป็นความรื่นรมย์ของผู้ชายอย่างเรา ๆ ตราบใดที่ดื่มอย่างมีความรับผิดชอบต่อตัวเองและผู้อื่นได้จะเมาแค่ไหนก็คงไม่มีใครว่า ส่วนใครใคร่เมาแบบไหนก็แล้วแต่รสนิยมส่วนบุคคล เมาเรื้อน ๆ เมาลอย ๆ เมาน้อย ๆ เอาที่เราพอใจ แต่สำหรับ UNLOCKMEN เราเชื่อว่าการเมาเป็นศาสตร์และศิลป์ หากต้องการดื่มด่ำเครื่องดื่มในแก้วให้ถึงรสชาติเป็นพิเศษก็ต้องพาตัวเองไปดื่มด่ำเมามายในบาร์ที่มีความเป็นตัวของตัวเองชัด เรียกว่าเมาทั้งทีก็ขอเมาแบบมีสไตล์ เมื่อสิ้นปีและเทศกาลเฉลิมฉลองมาถึง เราก็ขอรวบรวม 5 บาร์ที่มีสไตล์ชัดเจนจนเราหลงใหลและอยากแนะนำให้ผู้ชายพากันไปเมาอย่างมีสไตล์ ละเลียดบรรยากาศอย่างมีสเต็ป หรืออยากเมาไม่มีสไตล์ในบาร์มีสไตล์ก็ไม่ผิด ขอแค่ลองไปเพราะมันชวนหลงใหลจนไปครั้งเดียวไม่พอแน่นอน THE KEY บาร์เล็กคอนเซปต์ใหญ่ที่ต้องมีกุญแจถึงจะไขเข้าไปได้ ‘The Key’ บาร์เล็ก ๆ สไตล์ Speakeasy เรียบหรู ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องลับที่ไหนสักแห่ง ก่อนเข้าเราต้องไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์เพื่อรับคีย์การ์ดผ่านประตู เป็นกิมมิคเล็ก ๆ ที่สร้างสรรค์และเหมาะกับชื่อ The Key The Key ตั้งอยู่ใน JOSH HOTEL ที่นี่จึงเป็นบาร์ที่เสิร์ฟ Cocktail ซึ่งแต่ละแก้วอัดแน่นด้วยเรื่องราวการเดินทางของ Mr.JOSH คาแร็คเตอร์ที่ถูกออกแบบมาให้เป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้เอาไว้ เขาเป็นชายหนุ่มกร้านชีวิต มากด้วยประสบการณ์ หลงใหลในการเดินทาง ชอบดื่มด่ำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าการมาดื่มด่ำเมามายที่นี่นอกจากจะได้เมาค็อกเทลที่เต็มไปด้วยเรื่องราวสมใจ เราจะได้ดื่มด่ำตัวตนชายหนุ่มกร้านชีวิตอย่าง
ค่ำคืนวันศุกร์ หากรู้สึกว่าอยู่ในช่วงชีวิตที่ไม่ได้อินกับการตะลอนหาบาร์ที่สาวแจ่ม เพื่อสนองค่ำคืน TGIF แล้วล่ะก็ ลองมองหาอะไรที่ดูรุ่นใหญ่ขึ้นมาหน่อย อย่างการนั่งจิบเบียร์เย็น ๆ ดนตรีดี ๆ มีช่วงเวลาให้พักได้นั่งคุยกับคนในโต๊ะ ในบรรยากาศที่เหมาะกับทั้งกินและดื่ม หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่กำลังมองหาอะไรแบบนั้นอยู่ UNLOCKMEN ขอแนะนำ The Sun Cafe & Bistro ร้านที่มีทั้งอาหารรสไทยแท้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากหลายเมนู พร้อมบรรยากาศที่เต็มไปด้วยของสะสมที่สูงทั้งมูลค่าทางเงินและทางใจ ถูกนำมาประกอบในร้านเป็นของตกแต่งได้อย่างลงตัว ในย่านเจริญกรุง เป็นอีกละแวกที่เราสามารถหาร้านอาหาร หรือคาเฟ่ได้แบบไม่ลำบากนัก ร้านนี้เองก็เป็นอีกหนึ่งในร้านที่อยู่ที่ซอยเจริญกรุง 71 เมื่อก้าวเข้าไปในร้าน สัมผัสแรกคือความอลังการของของตกแต่ง ที่อยู่บนผนังทุกด้านในร้าน แม้เราจะไม่ใช่นักสะสมก็พอจะรู้ว่าของเหล่านี้ไม่ใช่แค่ของตกแต่งธรรมดา เพราะเจ้าของร้านเอง ก็เป็นหนึ่งใน Collector ตัวยง ที่มีของสะสมอยู่มากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือของทุกชิ้นที่อยู่ในร้านนี้ ในร้านมีหลายมุมให้เลือกนั่งตามความพอใจ เพราะทุกมุมล้วนแต่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป แต่ทางร้านแอบกระซิบมาว่ามุมที่ฮิตที่สุดคงจะเป็นมุมผนังเปลือยโชว์อิฐเก่า ที่มีนาฬิกาโบราณตกแต่งอยู่ด้านบนด้วย นอกจากเรื่องบรรยากาศที่ถูกตกแต่งอย่างใส่ใจและไม่เหมือนใครแล้ว อาหารของที่นี่ก็ยังเป็นอีกสิ่งที่ไม่อยากให้ทุกคนพลาด เพราะรสชาติเป็นรสชาติแบบที่คุ้นลิ้นคนไทยกันดี หลากหลายเมนูที่เป็นเมนูที่ไม่สามารถหาได้ที่อื่น เพราะเป็นเมนูเฉพาะของที่นี่ ที่ถูกคิดเมนูขึ้นมาใหม่ อย่าง “แกงเผ็ดไก่ย่าง” ที่เปลี่ยนจากเป็ดย่างที่เราคุ้นเคยเป็นไก่ย่างแทน พอเปลี่ยนวัตถุดิบแล้ว รสชาติก็ยังคงจัดจ้านอยู่เหมือนเดิม พระเอกของจานนี้ก็ยังคงอยู่ที่วัตถุดิบหลักอย่างไก่ย่าง แม้จะเป็นร้านที่ชาวต่างชาติมาแวะเวียนค่อนข้างบ่อย แต่รับรองว่ารสชาติยังคงถูกปากคนไทยแน่นอน
“Wine is the Only Artwork You Can Drink” – Luis Fernando Olaverri หนึ่งในประโยคคลาสสิกตลอดกาลเกี่ยวกับไวน์ ถือเป็นประโยคที่เราค่อนข้างชอบและเห็นด้วยกับมัน เนื่องจากถ้าเทียบกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทอื่นแล้ว ไวน์เป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้งและซับซ้อนกว่ามาก ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่หนุ่ม ๆ อย่างเราจะหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของเครื่องดื่มผลไม้หมักชนิดนี้ เราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องไวน์ ห่างไกลจากคำนั้นมาก ออกจะเป็นหน้าใหม่ในเรื่องนี้ แต่ด้วยความชอบบรรยากาศในการนั่งจิบไวน์กับเพื่อน ๆ เราจึงมีโอกาสไปเยือนร้านไวน์หลายต่อหลายแห่ง วันนี้เราจึงจะมาแนะนำร้านไวน์ที่เราชอบ ไม่จำเป็นต้องหรูหรือแพง แต่เป็นร้านที่เราไปแล้วมีความสุข Quince หนุ่ม ๆ นักสังสรรค์น่าจะรู้จัก ‘Sing Sing Theater’ กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าในเวิ้งเดียวกันนั้นมีร้านอาหารที่เหมาะสำหรับการนั่งจิบไวน์อยู่ด้วย Quince ตกแต่งร้านด้วยบรรยากาศสบาย ๆ โปร่งโล่ง มีทั้งโซน Indoor และ Outdoor ให้เลือกนั่งกันได้ตามสบาย อาหารของที่นี่ส่วนใหญ่เป็นอาหารยุโรปที่ปรับรสชาติให้ถูกปากคนไทยมากขึ้น ทุกเมนูอยู่ในการควบคุมของเชฟ Charlies เชฟประจำร้าน ไวน์ของที่นี่ส่วนใหญ่จะเน้นไวน์จากฝั่งยุโรป ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส, อิตาลี, สเปน แต่ถึงอย่างนั้นราคาก็ไม่ได้สูงจนจับต้องไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นไวน์ขาวหรือไวน์แดงก็เริ่มต้นที่แก้วละ 230 บาทเท่านั้น Location: สุขุมวิท
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ศิลปะและความมึนเมามีจุดร่วมและคล้ายคลึงกันในมายาคติบางอย่าง สิ่งเหล่านี้มักถูกยกมาพูดถึงเสมอในการสร้างสรรค์ผลงาน ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือบรรดานักดนตรี นักร้อง มากมายที่ใช้ความมึนเมาเป็นสารตั้งต้นของแรงบันดาลใจในการประพันธ์เพลง แต่งบทกวี หรือแต้มสีลงผืนผ้าใบ ด้วยกระแสเวลาที่ผ่านไปเรื่อย ๆ ทั้ง 2 สิ่งนี้จึงรวมกันเป็น Norm ด้านวัฒนธรรมที่ยากจะแยกออกจากกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็น Gallery ในบ้านเราผสมความเป็นบาร์เข้าไปด้วย เช่นสถานที่ที่เราจะแนะนำให้ได้รู้จักกันในวันนี้ Cinema Winehouse เพราะภาพยนตร์คือศิลปะแขนงหนึ่ง Cinema Winehouse ถือกำเนิดขึ้นด้วยความหลงรักภาพยนตร์คลาสสิกและไวน์ของผู้ก่อตั้ง เขาอยากให้ที่นี่เป็นพื้นที่สำหรับการดื่มไวน์และสนทนาเรื่องภาพยนตร์ในบรรยากาศสบาย ๆ ภายนอกของ Cinema Winehouse คือบ้านหลังเล็ก ๆ ที่ตกแต่งโดยเน้นสีขาวเป็นหลัก เมื่อเข้าไปคุณจะพบกับจอฉายหนังขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยบรรยากาศความเป็นกันเองของผู้คน นอกจากไวน์ราคาไม่เกินเอื้อม ทุกคนสามารถดื่มด่ำกับมันได้โดยไม่ระคายเคืองกระเป๋าเงินแล้ว ยังมีอาหารไว้บริการให้คุณสั่งมาทานควบคู่กันไปพลางชมภาพยนตร์ที่กำลังฉายอยู่อีกด้วย Location: 59/6 ถ.สามเสน แขวงสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร Open: 5.00 pm – 12.00 pm Contact: 086-465-6526 Facebook: Cinema Winehouse 23 Bar & Gallery 23 Bar
เย็นวันหนึ่งเราและตากล้องมีนัดไปถ่ายงานแถวทองหล่อ นอกจากชื่อร้าน ‘Thaipioka’ เราก็ไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับร้านนี้อีกเลย และเราคิดว่าการไปฟังเรื่องราวที่มาที่ไปของร้านจากปากเจ้าของเองน่าจะดีกว่า นอกจากนั้นยังสร้างอารมณ์ร่วมให้เรารู้สึกตื่นเต้นด้วยว่า Thaipioka จะมีหน้าตาอย่างไร แต่ด้วยการจราจรแสนติดขัดของเมืองหลวง ทำให้ระหว่างทางเราเผลอหลับ รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ที่ลานจอดรถโรงแรม Salil Hotel ในซอยทองหล่อ 1 แล้ว ซึ่งถ้าใครจินตนาการออก การเผลอหลับบนรถและโดนปลุกขึ้นมาอย่างกะทันหันจะรู้สึกงัวเงีย ปวดหัว ไม่สดชื่น เราเดินต่อไปอีกนิดหน่อย ห่างจากจุดที่ลงรถไม่ไกลก็เจอทางเข้า Thaipioka เป็นประตูไม้ ตกแต่งเรียบหรู เราผลักประตูและเดินเข้าไป ภายในคือบาร์ขนาดไม่เล็ก ไม่ใหญ่ บรรยากาศดู Cozy และลึกลับ ประดับบรรยากาศด้วยไฟสีส้มสลัว เคาน์เตอร์ทอดยาวไปสุดทางเดิน มีโต๊ะสำหรับนั่งดื่มอยู่ประมาณ 2-3 โต๊ะ เหมาะมากถ้าจะมาทำความรู้จักกับคนแปลกหน้าในร้านนี้ ด้วยบรรยากาศที่สงบเงียบ มวลอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศ เสียงเพลงเปิดคลอเบา ๆ เป็นฉากหลัง และกลิ่นหอมจาง ๆ จากบรรดาวัตถุดิบสำหรับสร้างสรรค์ค็อกเทลหลายชนิด ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย อาการปวดหัวงัวเงียไม่สดชื่น พลันมลายหายไปกลายเป็นความคึกคักโดยไม่รู้ตัว หน้าตาโดยรวมของ Thaipioka แตกต่างจากที่เราคิดไว้พอสมควร ไม่สิ ต้องพูดว่ามันดูดีกว่าที่เราคิดไว้มาก มันมีความเท่ ทันสมัย ไม่ใช่บาร์ไม้ทรงไทยอย่างที่เราจินตนาการจากชื่อเอาไว้แต่แรก หลังจากเสพบรรยากาศของร้านจนพอใจแล้ว เราก็เริ่มต้นบทสนทนากับบาร์เทนเดอร์เพื่อทราบถึงที่มาที่ไปของบาร์แห่งนี้ คอนเซ็ปต์สำคัญของ
ในโลกที่ทุกอย่างกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทุกสิ่งพัฒนาขึ้น ความสะดวกสบายมีมากขึ้น แต่บางเวลาในกระแสสังคมที่เป็นแบบนี้ก็ดูจะเคร่งเครียดวุ่นวายเกินไป เราอดไม่ได้ที่จะหวนคิดถึงวันเก่าที่ทุกอย่างยังเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่อยู่ ๆ เทรนด์ย้อนอดีตจะกลายเป็นที่นิยมในสังคม ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์, เพลง, เกม หรือสื่อให้ความบันเทิงอื่น ๆ ที่พร้อมใจกันเดินทางข้ามเวลา บางสิ่งที่เคยคิดว่าตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาฮิตอีกครั้ง หรือแม้กระทั่งบาร์ คอนเทนต์นี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับ 5 บาร์ที่โดดเด่นด้วยความเป็นยุค 90 ให้ทุกคนได้สนุกเหมือนได้ย้อนวันวาน! The Cassette Music Bar Ekamai ถ้าจะพูดถึงบาร์ที่โดดเด่นเรื่องการย้อนสู่ยุค 90 และไม่พูดถึงร้านนี้คงเป็นความผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย เพราะความโด่งดังของ The Cassette Music Bar Ekamai นั้นกระฉ่อนไปทั่ว ถ้ารู้สึกอยากสนุกกับเพลงเก่า หลายคนจะนึกถึงที่นี่เป็นที่แรก ทางร้านใช้เทปคาสเซ็ต อุปกรณ์การฟังเพลงแห่งยุค 90 เป็นสัญลักษณ์ บอกลูกค้าทุกคนให้เข้าใจอย่างชัดเจนกันไปเลยว่าที่นี่คุณจะไม่ได้ยินเพลงใหม่ที่กำลังฮิตติดตลาดอย่างแน่นอน ด้วยตัวร้านที่ค่อนข้างเล็ก ดังนั้นถ้าใครอยากจะไปสัมผัสความสนุกที่นี่แนะนำให้จองโต๊ะล่วงหน้ากันก่อน โดยเฉพาะคืนศุกร์-เสาร์ที่อาจต้องจองกันข้ามสัปดาห์ แต่รับรองได้เลยว่าความสนุกที่บรรจุไว้ในร้านโทนชมพูหวานแหววนี้ไม่เล็กแน่นอน Location: Ekkamai Shopping Mall (เวิ้งโบราณ) สุขุมวิท 63 เอกมัยซอย 10 เขตวัฒนา
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเรามีโอกาสได้หยิบซี่รีส์เรื่อง How I Met Your Mother ขึ้นมาดูอีกครั้ง เป็นหนึ่งในซีรีส์ที่เราชอบที่สุด และบังเอิญว่ามีเนื้อเรื่องตอนหนึ่งเกี่ยวกับการตามล่าแฮมเบอร์เกอร์ที่อร่อยที่สุดใน New York เราจึงย้อนคิดว่าแล้วในกรุงเทพฯ ล่ะ แฮมเบอร์เกอร์ที่เราเคยกินมาทั้งหมด ร้านไหนอร่อยที่สุด จึงเกิดเป็นคอนเทนต์นี้ขึ้นมา ภารกิจตามล่า The Best Burger in Bangkok เริ่มได้! JIM’s Burgers & Beers ถ้าพูดถึงร้านแฮมเบอร์เกอร์แล้วไม่พูดถึงร้านนี้คงผิดมหันต์ เพราะ JIM’s Burgers & Beers คือร้านแฮมเบอร์เกอร์ชื่อดังแห่งย่านอารีย์ (ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะขยายเพิ่มอีก 3 สาขาแล้วก็ตาม ทั้งที่ยศเส, เสนานิคม, และพัทยา) ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน ทุกครั้งที่เรามีโอกาสแวะเวียนไปแถวอารีย์ก็มักจะไปฝากท้องที่นี่เสมอ มีเมนูเบอร์เกอร์ให้เลือกมากมาย แต่ที่เราชอบที่สุดคือ Piggy Lava BLT Pork ซึ่งถือว่าเป็นเมนู Signature ของร้านก็ว่าได้ มันคือเบอร์เกอร์หมูใหญ่ยักษ์ที่เยิ้มด้วยชีสลาวา เนื้อหมูชิ้นโตนุ่มลิ้นผสานพลังกับเบคอนที่กรอบกำลังดี เพียงแค่ได้กัดก็เหมือนมีลูกระเบิดความอร่อยแผ่กระจายเต็มปาก นอกจากเบอร์เกอร์ที่โคตรเด็ดแล้ว ที่นี่ยังมีคราฟต์เบียร์มากมายให้เลือก ทานไปพลาง จิบไปพลาง แค่นี้ความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานก็หายหมดสิ้นแล้ว Location: 49
JOSH HOTEL คือโรงแรมเล็ก ๆ แต่มีความน่ารักในตัวเองสูง เหมือนหลุดมากจากภาพยนตร์ของ Wes Anderson ซ่อนตัวอยู่ในความเงียบสงบของย่านอารีย์ ซึ่งครั้งหนึ่ง UNLOCKMEN เคยพาไปเยี่ยมชมกันมาแล้ว (ย้อนชมความโดดเด่นของ JOSH HOTEL ที่นี่) วันนี้เรามีโอกาสได้กลับไปเยือน JOSH HOTEL อีกครั้ง แต่ด้วยจุดประสงค์ที่ต่างไปจากเดิม เราได้ข่าวมาว่าที่นี่ปรับปรุงพื้นที่บางส่วนกลายเป็นบาร์ที่มีคอนเซ็ปต์แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร เราจึงอยากพิสูจน์ความแปลกใหม่นั้นด้วยตัวเอง เราเดินทางมาถึง JOSH HOTEL ในช่วงเย็น ตึกสีสันน่ารักมีท้องฟ้า Vanilla Sky เป็นฉากหลังยังทำให้เราตื่นตาตื่นใจเสมอ เมื่อเราเดินเข้าในส่วนล็อบบี้ การจะเข้าไปใน ‘The Key’ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ได้นั้นเราต้องไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์เสียก่อน แล้วจะได้คีย์การ์ดผ่านประตูมา เป็นกิมมิคเล็ก ๆ ที่สร้างสรรค์และเหมาะกับชื่อ The Key ได้คีย์การ์ดมาแล้ว ห่างจากเคาน์เตอร์เช็คอินไปไม่กี่ก้าว มีประตูสีแดงบานใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ และที่นั่นแหละคือทางเข้าสู่ The Key หลังจากที่เราแตะบัตร ประตูก็จะเปิดออก สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเราคือบาร์เล็ก ๆ สไตล์ Speakeasy เรียบหรู ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องลับที่ไหนสักแห่ง เรานั่งลงที่บาร์ก่อนจะเริ่มพูดคุยกับผู้ให้ข้อมูลและบาร์เทนเดอร์โดยมีเสียงเพลงแจ๊สเป็น Ambient