‘ดนตรี’ เกิดจากจังหวะ ท่วงทำนอง และคำร้องที่ผนวกรวมกันจนเกิดเป็น ‘เครื่องมือ’ ที่มนุษย์ใช้เพื่อระบายความทุกข์ บำบัดความกังวล หรือแม้แต่บันดาลความสุขของบางคน แล้วคงปฏิเสธไม่ได้ว่าดนตรีนั้นสอดแทรกอยู่ในแทบทุกอณูชีวิตของผู้ชายเราเสมอ บางครั้งดนตรีอาจทำให้คุณดำดิ่งลงไปในห้วงอารมณ์ปัจจุบัน บ้างก็พาเตลิดไปยังอนาคตและยั้งคิดถึงเรื่องที่กำลังจะเกิด แต่สำหรับ LENNON’S บาร์เหล้าย้อนยุคแห่งนี้ ดนตรีเปรียบดั่งขุมพลังมหาศาลที่มีอำนาจมากพอจะพาคนเคลื่อนย้ายและย้อนเวลาไปยังอดีต เสียงเพลงเก่าแก่จากเครื่องเล่นโบราณกำลังพาเหล่าสุภาพบุรุษกลับไปยังยุค 70s ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นยุคเฟื่องฟูที่สุดของดนตรีอีกครั้ง LENNON’S – ROSEWOOD BANGKOK แวบแรกที่ก้าวออกจากลิฟต์ราวกับหลุดเข้ามาอีกโลกที่ไม่คุ้นตา แต่รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ยืนคิดอยู่สักพักก็พอนึกออกว่าแท้ที่จริงแล้วเราย้อนกลับมายังยุค 70s อันเป็นยุคที่แผ่นเสียงไวนิลและเทปคาสเซ็ทกำลังรุ่งเรือง ตามตู้เก่าถูกประดับประดาด้วยแผ่นไวนิลกว่า 6,000 แผ่น เข้าแถวเรียงรายและรอต้อนรับเราตั้งแต่ก้าวแรกที่มาเยือน แล้วคาดว่าบาร์แห่งนี้คงเป็นคลังเสียงระดับพรีเมียม ที่รวมคอลเลกชันไวนิลไว้มากที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย ความรักในดนตรี และ NOSTALGIA แห่งยุค 70s ด้วยฝีมือของบริษัทออกแบบภายในชื่อดังระดับโลกอย่าง AvroKO ช่วยรังสรรค์พื้นที่เล็ก ๆ ของย่านเพลินจิตให้กลายบาร์เหล้าสุดเท่ควบช็อปไวนิลทรงเสน่ห์น่าหลงใหล LENNON’S ถูกดัดแปลงให้เป็นช็อปเล็ก ๆ ที่หนุ่ม ๆ ผู้หลงรักเสียงดนตรีสามารถมาเลือกชอปแผ่นเสียงไวนิลและเทปคาสเซ็ทได้ตามชอบ การตกแต่งร้านเน้นหนักวัสดุไม้ หินอ่อน และชูความโดดเด่นของโคมระย้าที่ได้แรงบันดาลใจจากแผ่นเพลง สะท้อนความเป็น art deco
เมื่อปฏิทินวนกลับมาถึงคืนวันศุกร์ เสียงแตรในสมรภูมิรบก็ดังขึ้น แต่นั่นเป็นสัญญาณที่บอกถึงการพักรบของหนุ่มวัยทำงานกับกองทัพงานเดือด ๆ หลังจากทนทำงานหลังขดหลังแข็งมาร่วมอาทิตย์ ก็ถึงเวลาแห่งการปลดปล่อยความเครียดและเอาตัวเองไปเริงราตรีท่ามกลางแสงสีของคืนครึกครื้น แล้วถ้ายังไม่รู้ว่าคืนวันศุกร์นี้จะไปไหน เราขอแนะนำ 5 บาร์สุดเท่ ที่จะเปลี่ยนบรรยากาศจำเจของคุณไปสู่ประสบการณ์ชิลแบบใหม่ ที่เชื่อว่าหนุ่ม UNLOCKMEN ทุกคนจะถูกใจแน่นอน 008 BAR speakeasy bar สุดเฟี้ยวที่ได้ inspire มาจากสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ดีไซน์ร้านด้วยคอนเซ็ปต์ modern contemporary สะท้อนความคลาสสิกและแฝงกลิ่นอายร่วมสมัยอ่อน ๆ เอาไว้ทุกรายละเอียด เพียงก้าวแรกก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศอบอุ่นของแสงไฟสลัวชวนฉุกคิด เฟอร์นิเจอร์หนังหรูหรา และวัสดุไม้อันโดดเด่นที่ใช้ในงานดีไซน์ ความรู้สึกหว่อง ๆ ของคนอยากเมาที่โหยหาเสียงเพลง ถูกเติมเต็มด้วยดนตรีแจ๊สฟังสบายที่ช่วยให้ 008 BAR แห่งนี้คึกคักขึ้นมากลางดึก นอกจากโซนที่นั่งหลากสไตล์ที่นี่ยังเสิร์ฟเหล้าและค็อกเทลนานาชนิด มีซิกเนเจอร์ค็อกเทล 19 เมนู และตัวคลาสสิกค็อกเทลก็ใช้แค่เหล้า Vermouth นำไปผสมผสานกับวัตถุดิบอื่น ๆ เพื่อให้เหล้าหนึ่งแก้วดูน่าสนใจและมีหลายมิติ สำหรับหนุ่ม ๆ ที่คลั่งไคล้สุรารสเข้มหนักแน่น เราขอแนะนำ ‘1920’ คลาสสิกค็อกเทลที่ผนวก
เราเชื่อว่าหนุ่มไทยคลั่งไคล้สาวเกาหลีไม่น้อยไปกว่าที่หลงใหลสาวไทยและสาวฝรั่งผิวสีน้ำผึ้งเลย ยิ่งในยุคโลกาภิวัตน์ที่โลกแทบจะเชื่อมกันโดยสมบูรณ์ ผู้ชายหลายคนยิ่งได้เสพวัฒนธรรมเคป๊อปอันโด่งดังกันมาบ้าง ไม่เพียงจังหวะดนตรีที่ผสมผสานอิเล็กทรอนิกส์ อาร์แอนด์บี และฮิปฮอปเข้ากันด้วย แต่เพลงเคป๊อบยังมาพร้อมกับสาวเกิร์ลกรุ๊ปที่พกความน่ารักสดใจและท่าเต้นกระชากใจชายมาเต็มกระเป๋า ไหนจะ BLACKPINK, TWICE หรือแม้แต่ RED VELVET ก็ทำเอาหัวใจชายโฉดอย่างเราอ่อนระทวยได้เหมือนกัน วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากพาเหล่าชายฉกรรจ์ไปเปิดหูเปิดตา เปลี่ยนบรรยากาศจากเหล้าเบียร์ที่คุ้นคอ ไปซดโซจู โยกร่างเบา ๆ เคล้าจังหวะเพลง ท่ามกลางสาวสวยสไตล์เกาหลี จะเด็ดเผ็ดสะระตี่เหมือนในซีรีส์หรือเปล่า ไปดูกัน! SUL BKK ในย่านที่โด่งดังเรื่องสีสันยามราตรีอย่างทองหล่อ ก็เป็นที่ซ่อนของแกสโทรบาร์สุดเท่ SUL BKK หรือที่หลายคนรู้จักกันในนาม SUL GASTROBAR ที่นี่เป็นบาร์เกาหลีที่ออกแบบร้านให้ดิบเถื่อน ใช้ปูนเปลือยแซะบางจุดเน้นโชว์เนื้อผิวด้านในของอิฐ ให้ความรู้สึกร่วมสมัยสไตล์กิมจิ แถมยังดูย้อนยุคและน่าค้นหาสุด ๆ SUL GASTROBAR เป็นร้านที่ให้ความสำคัญกับอาหารพอ ๆ กับเมนูเครื่องดื่ม เน้นเสิร์ฟอาหารทานง่ายเหมาะกับการมานั่งชิลหลังเลิกงาน ส่วนเครื่องดื่มก็มีให้เลือกทั้งเบียร์ โซจู และค็อกเทล แต่ที่เด็ดสุดคงต้องยกให้ค็อกเทลซึ่งได้เหล้าเกาหลีเป็นตัวเบส ทั้งสาโท เหล้าโสม และโซจู คุณจะได้ลิ้มรสชาติค็อกเทลคูล ๆ แฝงกลิ่นอายความเป็นเกาหลีแบบที่หนุ่ม
ค่ำคืนวันศุกร์สุดคึกครื้นและแสงสีของราตรีกาลที่ไม่เคยหลับใหล นำเราเดินดุ่มขึ้นไปยังชั้น 39 ของตึก Sathorn Square มีน้อยคนจะรู้ว่าที่นี่เป็นที่ตั้งของ KOI RESTAURANT ร้านอาหารควบบาร์เหล้าอันมีเอกลักษณ์ด้วยเมนูอาหารและเครื่องดื่มสไตล์เจแปนนิสแคลิฟอร์เนียน เป็นการยกครัวชื่อดังจากสาขาใน Los Angeles มาจุติที่ประเทศไทย หนุ่ม ๆ จะได้สัมผัสประสบการณ์ 3 แบบ 3 สไตล์ผ่านโซน Dinner, Lounge และ The Club @ Koi ที่เชื่อมต่อและเดินทะลุถึงกันได้ทั้งหมด นอกจากอาหารเลิศรส คุณยังได้ชิมทัศนียภาพของกรุงเทพฯ ยามราตรีที่โอบล้อมไปด้วยความงดงามของตึกระฟ้าแห่งมหานคร ก้าวแรกที่เข้ามาในโซน Dinner ก็สัมผัสได้ถึงความเท่ เนื่องด้วยการตกแต่งเน้นหนักเฟอร์นิเจอร์สีเข้ม มีโคมระย้าทรงแปลกตาห้อยลงมาจากด้านบน ทั้งยังเล่นกับลวดลายแพตเทิรน์ซ้ำ ๆ ทำให้ภาพงานสถาปัตยกรรมแบบอินดัสเทรียลลอฟต์และบรูทัลลิสต์แวบเข้ามาในหัวเรา แต่เมื่อถามไถ่จนได้ความ ก็รู้ว่า KOI RESTAURANT แห่งนี้ดีไซน์ร้านอิงตามหลักฮวงจุ้ย เลือกใช้วัสดุจากไม้เป็นหลักและสอดแทรกรายละเอียดของเอเลเมนต์ทั้ง 4 เอาไว้อย่างน่าทึ่ง เริ่มจานแรกด้วย Creamy White Shrimp Tempura เทมปุระกุ้งที่ทวิสต์ขึ้นมาให้มีความเป็นอเมริกันด้วยการคลุกเคล้าซอสมายองเนส แต่แม้จะมีซอสเคลือบด้านนอกเรากลับไม่รู้สึกถึงความเลี่ยนเลยสักนิด
‘เจ้าพระยาที่คุ้นเคย นั่งมองแสงจันทรา ไม่เหมือนเคย คืนนี้ไม่มีเธอเคียงอย่างที่เคย โอ้เกิร์ล ทั้งเหงาทั้งเศร้าคนเดียวเยี่ยงเชลย เจ้าพระยาฝั่งพระนคร เคยนั่งซับน้ำตาให้เธอก่อนจากจร เมื่อตอนเธอเศร้าฉันเฝ้าปลอบไม่นอน โอ้เกิร์ล ฉันเห็นเธอคิดถึงเขา สองเราเลยจากพระนคร’ อยู่ ๆ เพลง เจ้าพระยา ของคณะดนตรี Kai-Jo Brothers ก็ดังขึ้นมาในหัวในขณะที่เรากำลังเดินเลียบถนนพระอาทิตย์ ย่านที่เมื่อก่อนเราแวะเวียนมาบ่อย ๆ ถึงแม้ตอนนี้จะห่างหายไปพอสมควร แต่จุดหมายปลายทางวันนี้คือที่ ๆ ที่เราไม่เคยไปเยือนมาก่อน เป็นบาร์เล็ก ๆ ที่หลบซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบ ๆ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา Sheepshank Public House เป็นบาร์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง ด้วยบรรยากาศแบบ Industrial Style โดยดัดแปลงมาจากอู่ต่อเรือเก่า ตกแต่งร้านด้วยเฟอนิเจอร์ไม้และอิฐบล็อก นี่ถ้าไม่รู้ว่าอยู่ในถนนพระอาทิตย์ เราคงคิดว่าเราหลุดมาในบาร์ย่านเมืองท่าสักแห่ง ตัวร้านแบ่งออกเป็น 2 โซน ทั้งอินดอร์ที่เหมาะกับคนที่อยากนั่งในแอร์เย็น ๆ สังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนในบรรยากาศเฮฮา และเอาต์ดอร์สำหรับคนที่อยากชมวิวแม่น้ำแบบใกล้ชิด นั่งจิบเบียร์เคล้าสายลมแห่งเจ้าพระยา ในส่วนของอาหาร Sheepshank Public House ถือว่ามีค่อนข้างหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางอาหารตะวันตก สไตล์อเมริกันโมเดิร์น ซึ่งในวันนี้ทางร้านจัดมาให้เราทั้งหมด
บ่ายวันหนึ่งที่แสงอาทิตย์แรงกล้าสาดส่อง อุณหภูมิร้อนระอุ แต่ ‘อาซิง’ หัวหน้าแก๊งมังกรรุ่นที่ 3 กลับดูไม่ยี่หระ อาซิงในชุดสูทสีดำพร้อมหมวกทรงสูงเช่นทุกวันเดินตามบาทวิถีไปเรื่อย ๆ ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในตรอกหนึ่ง บรรยากาศเงียบสงบ แตกต่างจากหลังตะวันตกดินที่ครึกครื้นไปด้วยนักท่องราตรี อาซิงเดินฝ่าความเงียบจนไปถึงบริเวณกลางตรอก ก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอย่างใจเย็นราวกับความร้อนแรงของแสงแดดนั้นไม่สามารถทำอะไรเขาได้ หลังจากพ่นควันจนหมดมวน เขาเปิดประตูเดินเข้าไปในร้าน ๆ หนึ่ง ป้ายระบุอยู่ข้างหน้าว่า ‘โรงรับจำนำ’ อาซิงไม่ได้มีอะไรมาจำนำ เขารู้ดีว่าธุรกิจโรงรับจำนำที่นี่เป็นเพียงธุรกิจบังหน้าเท่านั้น หลังจากแลกเงินจำนวนหนึ่งเพื่อรับบัตรผ่านประตูกับพนักงานสาวที่อยู่หลังลูกกรงเรียบร้อยแล้ว อาซิงก็เดินขึ้นบันไดแคบ ๆ สู่ชั้นบน เมื่อเดินขึ้นมาบรรยากาศยิ่งดูไม่น่าไว้วางใจยิ่งขึ้น มีเพียงความเงียบสงัดภายใต้แสงไฟแดง-เขียว นอกจากนั้นบริเวณชั้น 2 ยังมีมุม CCTV ที่แสดงให้เห็นว่าที่นี่มีกล้องวงจรปิดอยู่ทั่วบริเวณ มันไม่ใช่โรงรับจำนำธรรมดาแน่ ๆ แต่อาซิงกลับเดินผ่านไปโดยไม่สนใจ เขามาที่นี่บ่อยจนเฉยชากับบรรยากาศเหล่านี้ไปแล้ว อาซิงเดินขึ้นมาถึงชั้น 3 เขาคุ้นเคยกับห้องนี้ราวกับเป็นบ้านหลังที่ 2 มันเป็นบาร์ลับที่เขากับมิตรสหายมักแวะเวียนมาเสมอ ไม่ว่าจะมาเพื่อเล่นไพ่นกกระจอก, พูดคุยธุรกิจ แม้กระทั่งสังสรรค์ ทุกอย่างเกิดขึ้นที่นี่ ถึงจะไม่มีชื่อ แต่อาซิงกับเพื่อนเรียกที่นี่ว่า Honest Mistake เนื่องจากการวางอิฐบล็อกผิดไป 1 ก้อนที่บริเวณหน้าร้าน นอกจากนั้นสถานที่แห่งนี้ยังมีความผิดพลาดที่เกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจอีกหลายจุด Honest Mistake จึงดูเป็นชื่อที่เหมาะสม
ตะวันลับฟ้า ดวงอาทิตย์รำไรอยู่ที่เส้นขอบฟ้า หากจะมองหาสถานที่ดื่มแต่ละครั้ง เรามักจะเลือกบรรยากาศที่ตรงใจก่อนเสมอ และอะไรจะดีไปกว่า Rooftop Bar ที่มักจะเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของช่วงเวลาแบบนี้ ดื่มสังสรรค์กับเพื่อนก็ได้ ดื่มกับคนรู้ใจใต้ท้องฟ้าและดวงดาวก็ดี แล้วเคยสงสัยไหม ว่าทำไมเราถึงหลงใหลบรรยากาศมองฟ้า มองดาว กระดกเหล้า สังสรรค์กันบนดาดฟ้า UNLOCKMEN จะพาหนุ่ม ๆ มาดูเหตุผลดี ๆ ที่ทำให้เรารักบรรยากาศเหล่านี้ รวมไปถึงเรื่องราวของร้าน Rooftop แบบดั้งเดิม เรื่องราวแรกเริ่มของการดื่มด่ำบนดาดฟ้า สถานที่ที่ขึ้นชื่อเรื่อง Rooftop คงไม่พ้นมหานครนิวยอร์ก ที่ใครไปเยือน เป็นอันต้องได้ไปเมามายกันบน NEW YORK ROOFTOP BARS อันเลื่องชื่อ เดิมทีในปี 1893 ที่นิวยอร์ก Rooftop Bar แห่งแรกเริ่มต้นจาก Casino Theater โรงละครบนถนน Broadway and 39th ที่พลิกโฉม Dinner ของอเมริกันชนด้วยการเปิดพื้นที่ดาดฟ้าให้ได้กิน ดื่ม และเต้นรำ ด้วยบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย มองลงไปข้างล่างเห็นมหานครอันรุ่งเรือง มองขึ้นไปเจอแผ่นฟ้ากว้างไร้ขอบเขต จึงไม่น่าแปลกใจที่หลังจากนั้นมันก็เริ่มแพร่หลายไปเรื่อย
‘ทองหล่อ’ คืออีกหนึ่งย่านที่เราพูดได้เต็มปากว่าคือบ้านหลังที่ 2 โดยหลังพระอาทิตย์ตกเรามักจะมาใช้เวลาที่ถนนสุขุมวิท 55 สายนี้เป็นประจำ แต่ร้านที่เราจะพาทุกคนไปวันนี้กลับเล็ดลอดสายตาเราไปอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้ง ๆ ที่มันตั้งอยู่ในทองหล่อมากว่า 18 ปี นี่จึงเป็นโอกาสดีของเราที่ได้ค้นพบแหล่งพักพิงอีกแห่ง และเราก็ชอบที่นี่เสียด้วย ใช่ เรากำลังพูดถึง ‘Shades of Retro’ บาร์เล็ก ๆ แต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง ตั้งอยู่ในซอยธารารมณ์ 2 บรรยากาศเงียบสงบ ตัดขาดจากถนนทองหล่อเส้นหลัก และที่เราพูดว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูงเพราะว่าที่นี่นอกจากจะเป็นบาร์ไว้สำหรับดื่มกินสังสรรค์เฮฮาแล้ว ยังเป็นร้านขายของเก่าในตัวอีกด้วย ดังนั้นถูกใจเฟอร์นิเจอร์ชิ้นไหนก็สามารถซื้อกลับบ้านได้เลย ‘Shades of Retro คือร้านขายของเก่าที่มีบาร์อยู่ในตัว’ นี่คือคำนิยามของเราเกี่ยวกับการตกแต่งร้านของที่นี่ เพราะไม่ว่าจะมองไปมุมไหนก็ละลานตาไปด้วยของเก่าที่เต็มไปด้วยเรื่องราว น่าจะถูกใจหนุ่ม ๆ สายวินเทจไม่น้อย Shades of Retro มีทั้งโซนอินดอร์และเอาต์ดอร์ให้เลือกนั่งได้ตามสะดวก ส่วนหนุ่ม ๆ ที่มาคนเดียวก็ไม่ต้องกลัวเหงา เพราะที่นี่มีเคาน์เตอร์บาร์ และระหว่างที่เราอยู่ในร้านก็เห็นลูกค้าหลายรายมานั่งชิลคนเดียวที่เคาน์เตอร์อย่างไม่เคอะเขิน นอกจากการตกแต่งที่ไม่เหมือนใครแล้ว ความพิเศษอีกอย่างของ Shades of Retro คือความอาวุโสของร้านที่เปิดให้บริการมากว่า 18 ปี เราบังเอิญโชคดีได้พูดคุยกับคุณบอยเจ้าของร้าน เขาเล่าให้ฟังว่า Shades of
ถ้าพูดถึง ‘สาทร’ คงต้องนึกถึงย่านที่เป็นศูนย์กลางของอาคารสำนักงานต่าง ๆ เป็นบ้านหลังที่ 2 ของเหล่าพนักงานออฟฟิศมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย แน่นอนว่าเมื่อ Work Hard อย่างเคร่งเครียดมาทั้งวันแล้ว เป็นธรรมดาที่ต้องอยาก Play Hard เพื่อผ่อนคลายกันบ้าง แต่ด้วยการเดินทางในช่วงหลังเลิกงานที่ทุกคนน่าจะรู้ดีว่าเป็นยังไง การจะไปแฮงเอาต์ไกล ๆ ดูจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก วันนี้ UNLOCKMEN จึงจะมาแนะนำ 5 บาร์ย่านสาทร-เย็นอากาศ ให้ทุกคนสามารถไปชิลกันได้ง่าย ๆ หลังเลิกงาน เอาล่ะ ไปชิลกันเลย! Charm Eatery and Bar Charm Eatery and Bar คือร้านอาหารกึ่งบาร์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง เพราะตัวร้านตกแต่งด้วยสไตล์ Colonial Contemporary ย้อนยุค ทำให้เรานึกถึงบรรยากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน แต่ไม่ต้องบินไปไหนไกล เพราะร้านนี้อยู่แค่ย่านสาทรเท่านั้น เรียกว่าเลิกงานปุ๊ปก็มาสัมผัสความชิลได้ปั๊ปเลย แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า Charm Eatery and Bar จะเป็นบาร์สไตล์ยุโรปจ๋า เพราะที่นี่ได้สอดแทรกความเป็นไทยใส่ลงไปไม่น้อย ทั้งอาหารที่มีการฟิวส์ชั่นกันระหว่างอาหารไทยกับอาหารอิตาเลี่ยน และในส่วนของค็อกเทลที่มีการใช้วัตถุดิบของไทยด้วยเช่นกัน ชาวสาทรคนไหนอยากผ่อนคลายสบาย ๆ ในบรรยากาศเมดิเตอร์เรเนียน ลองมาที่ Charm
‘อารีย์’ เป็นอีกย่านหนึ่งในกรุงเทพที่เราชอบ เรียกว่าตกหลุมรักก็ว่าได้ เรารู้สึกว่าย่านนี้เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความเงียบสงบกับความสนุกสนาน ดังนั้นเมื่อมีบาร์หรือร้านเปิดใหม่ในย่านนี้ เราก็จะพยายามหาโอกาสไปเยือนให้ได้ ‘Feeling Bar’ คือจุดหมายปลายทางของค่ำคืนนี้ ตัวร้านอยู่ลึกเข้าไปในซอยอารีย์ 4 ฝั่งเหนือ ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ติดกับสถานีรถไฟฟ้า แต่ก็ไม่ใช่ระยะที่ไกลเกินกว่าจะเดิน และเมื่อถึงหน้าร้าน สิ่งที่โดดเด่นที่สุดนอกเหนือจากการตกแต่งร้านที่เน้นแสงไฟนีออนฉูดฉาดแล้ว คือป้ายไฟนีออนเป็นประโยคว่า How Are You Feeling Tonight? เป็นประโยคคำถามที่เราไม่จำเป็นต้องตอบ แต่ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไร สถานที่แห่งนี้จะคอยเยียวยาคุณเอง เมื่อเปิดประตูเข้าไปในร้าน เรารู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในอีกมิติ ตัดขาดกับบรรยากาศภายนอกโดยสิ้นเชิง การตัดขาดเช่นนี้ช่วยให้เรารู้สึกลืมเรื่องกังวลใจไปได้อย่างประหลาด ปล่อยตัวปล่อยใจดื่มด่ำกับบรรยากาศที่ฉาบไปด้วยแสงนีออน Feeling Bar เป็นบาร์ขนาดเล็ก มีไม่ถึง 20 โต๊ะ คะเนจากสายตาน่าจะรองรับลูกค้าได้ไม่เกิน 100 คน ซึ่งเป็นข้อดี เพราะภายใต้แสงที่ดูเหงา การที่คนในร้านใกล้ชิดกันก็ช่วยลดดีกรีความหว่องลงไปได้บ้าง คอนเซ็ปต์สำคัญของ Feeling Bar เป็นบาร์ที่เปรียบเสมือนจุดศูนย์รวมอารมณ์ของผู้คนมากหน้าหลายตา ไม่ว่าคุณจะรู้สึกมีความสุข สนุก เหงา เศร้า ที่นี่ก็พร้อมให้พักพิงได้เสมอ โดยแต่ละวันทางร้านจะมีธีมแตกต่างกัน บางวันก็เอาใจคนที่กำลังเศร้าด้วยเพลงเรียกน้ำตา บางวันก็เปิดเพลงเก่ายุค 90 เอาใจ