เมนูยอดฮิตของร้านตามสั่งอย่าง “กะเพรา”เป็นอีกเมนูที่รสชาติจัดจ้านถูกปากคนไทยจึงครองใจคนทุกเพศทุกวัยไปแบบขาดลอย วันนี้เมนูกะเพราไม่ได้เป็นแค่เมนูซิกเนเจอร์ในร้านอาหารตามสั่งทั่วไปอีกแล้ว แต่ยังเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของร้านนั่งดื่มบรรยากาศดีอย่าง “กะเพราผัด รัชบาร์ 32” ที่หยิบเอาเมนูนี้มาขายจนเป็นจานเด็ดของร้านที่ไม่สั่งไม่ได้ แค่กะเพราธรรมดาก็คงจะเหมือนร้านอื่นเกินไป มาลองกะเพรารสเด็ดเผ็ดถึงใจ ด้วยวัตถุดิบที่ตั้งใจคัดมาอย่างดีเหมือนกับทำกินเองของร้านนี้ แกล้มเบียร์เย็น ๆ ในร้านบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเองด้านใน หรือจะเป็นสวนด้านนอกที่ร่มรื่น ชวนให้ดื่มด่ำกับบรรยากาศแห่งความหรรษากันแบบ Open Air ลองไปทำความรู้จักกับเมนูเด็ดของร้านนี้ที่มันส์ไม่แพ้เมนูของพวกเขาไปพร้อม ๆ กัน ก่อนที่จะหยิบกุญแจรถออกเดินทางไปพิสูจน์ความเผ็ดร้อนกันในคืนนี้ ร้านนี้ซ่อนตัวอยู่ในซอยรัชดา 36 เดินทางง่ายใกล้ MRT ลาดพร้าว เข้าซอยมาให้มองทางขวามือไว้ จะเห็นบรรยากาศร่มรื่นที่ยื่นออกมานอกรั้วเล็กน้อย นั่นแหละ ถึงร้านแล้ว แม้ชื่อร้านจะชวนให้คิดว่านี่คือร้านอาหาร แต่ความจริงพรั่งพร้อมด้วยเครื่องดื่มบาดคอให้เราได้เมามายไปพร้อมกับบรรยากาศด้วยเช่นกัน บริเวณของร้านแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนด้านในบ้านและสวนด้านนอก ใครสะดวกนั่งตรงไหนสามารถจับจองพื้นที่กันได้ตามใจชอบ เดิมทีร้านนี้เป็นเหมือนร้านที่เพื่อนหลาย ๆ คนหุ้นกันทำ ความตั้งใจแรกคือเปิดร้านขายเฉพาะกะเพรา เพราะทุกคนชอบกินกะเพราเหมือนกันหมด แต่กะเพราเฉย ๆ ก็คงจะเบสิกเกินไป เติมรสชาติจัดจ้านจึงเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของร้าน ความเผ็ดร้อน เข้มข้น ดุเดือด ซ่อนตัวอยู่ในเนื้อฉ่ำ ๆ ทุกจาน ที่สำคัญยังไม่ต้องกลัวว่าปรุงใหม่แล้วรสชาติไม่เหมือนกัน เพราะทางร้านคิดถึงความง่ายและสะดวกจึงคิดค้นซอสกะเพราสูตรลับของร้านที่ปรุงขึ้นมาเองเป็นตัวชูรสขึ้นมาใช้ ส่วนใครที่ไม่สันทัดความเผ็ดระดับปรอทแตกไม่ต้องกังวล
สำหรับเราอีกชื่อหนึ่งของฤดูหนาวคือ ‘ฤดูแห่งการดื่มและสังสรรค์’ สังเกตได้ง่าย ๆ จากหน้า News Feed Facebook ที่ลมหนาวมาเมื่อไรสเตตัสต้องอยากดื่มเบียร์ของเพื่อน ๆ ก็ตามมาด้วยทุกครั้ง จริงอยู่ที่ว่าเมื่ออากาศหนาวจะจิบเบียร์ที่ไหนก็ชิลทั้งนั้น แต่สำหรับเรา The Best แห่งการสังสรรค์ในฤดูหนาวต้องเป็นร้านสไตล์ Izakaya หรือร้านกินดื่มสไตล์ญี่ปุ่นเท่านั้น เนื่องจากวัฒนธรรมญี่ปุ่นน่าจะเคยชินกับอากาศหนาวเป็นอย่างดี ในร้านสไตล์นี้จึงเต็มไปด้วยอาหารที่เข้ากันดีกับสภาพอากาศ ไม่ว่าจะเป็นของทอดร้อน ๆ กรอบนอกนุ่มใน นาเบะซุปที่แค่วางอยู่บนโต๊ะก็รู้สึกอบอุ่นแล้ว วันนี้เราจึงอยากแนะนำ 5 ร้าน Izakaya ที่เราชอบเป็นการส่วนตัว แต่รับรองว่าถ้าได้ลองทุกคนจะต้องหลงรักร้านเหล่านี้เหมือนเรา Nihon Saiseisakaba ลึกเข้าไปในซอยสุขุมวิท 26 โครงการ Warehouse 26 มีร้าน Izakaya เล็ก ๆ ชื่ออ่านยาก (สำหรับคนไทยอย่างเรา) ตั้งอยู่ มองดูภายนอกก็ไม่ต่างจากร้าน Izakaya ร้านอื่น แต่บอกเลยว่าร้านนี้พิเศษสุด ๆ โดยเฉพาะเมนูอาหาร เราเพิ่งค้นพบร้านนี้เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนจากคำแนะนำของเพื่อนสนิท ในตอนแรกเราคิดว่าก็คงเหมือน Izakaya ทั่วไป แต่เมื่อดูเมนูอาหารกลับพบว่ามันต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะที่นี่คือ Izakaya ที่เน้นขายเฉพาะเครื่องในหมูเสียบไม้เท่านั้น
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ้านเรามีเวลาเปิด – ปิด มีกำหนดเวลาขาย และเวลากินเราก็เป็นอันรู้กันว่าต้องช่วงเย็น ช่วงค่ำหลังเลิกงานเท่านั้นถึงจะเหมาะ เพราะถ้ากินก่อนนั้นเหมือนเราจะโดนตำหนิด้วยสายตา แต่ว่านั่นก็เป็นแค่ Timezone จากวัฒนธรรมในบ้านเราเท่านั้นไม่ได้รวมเส้นแบ่งเวลาอื่น โดยเฉพาะสำหรับเมืองเบียร์อย่างเยอรมันที่เขากินเบียร์กันต่างน้ำ กินหลังออกกำลังกาย กินแทบตลอดทั้งวัน เขายังมีวัฒนธรรมให้เน้นกินเบียร์ก่อนเที่ยงวันอีกด้วย! เรียกได้ว่าพอลืมตา คอที่แห้งผากของเราต้องร้องหาเบียร์ รินขึ้นซดแก้กระหายกันเลยทีเดียว ดื่มเบียร์เช้าช่วยย่อย การดื่มเบียร์เป็นศาสตร์หนึ่งไม่ต่างจากการดื่มไวน์ เบียร์มีความล้ำลึกของมัน มีหลายประเภท มีความหนักเบาตามช่วงเวลา และมีความคราฟต์ให้หลายคนต้องรู้สึกติดอกติดใจ สำหรับวัฒนธรรมการกินเบียร์ก่อนเที่ยงวันคือการดื่มเบียร์ในช่วง brotzei (มื้อที่ 2 ของช่วงเช้า ที่เริ่มกินกันช่วง 10 โมงเป็นต้นไป) พบมากใน “บาวาเรีย” หรือรัฐที่อยู่ทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเยอรมัน เพื่อส่งเสริมวัฒธรรมการดื่มช่วงนี้มันจึงมีการผลิตเบียร์เฉพาะกินช่วงเช้านี้ โดยเขาเรียกมันว่า Hefeweizen (ออกเสียงว่า : HEH-feh-vite-zehn) เบียร์ชนิดนี้คือเบียร์เฉพาะที่ทำขึ้นจากวีท (ข้าวสาลี) แทนที่การใช้บาร์เลย์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่คอเบียร์ทุกคนลิ้มรสชาติกันเป็นประจำ วีทเบียร์นี้เหมาะกินกับอาหารเพราะให้รสชาติที่นุ่มกว่า สีสันเหลืองสว่างเองก็ให้รสชาติที่เบา แอลกอฮอล์ไม่หนักทำให้ดื่มได้ถี่ในช่วงเช้าไม่ต้องกลัวเมามายจนเสียอาการ ที่สำคัญการหมักวีทเบียร์ยังใช้ยีสต์ชนิดพิเศษที่เพาะมาโดยเฉพาะ ทำให้มีกลิ่นหอมนุ่มคล้าย กล้วย แอปเปิ้ล ซิตรัส ซึ่งเรียกได้ว่านี่คือหนึ่งจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว กระตุ้นกระบวนการเผาผลาญอาหารให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้นอีกด้วย
สำหรับผู้ชายเรา การเลือกเบียร์ที่รสชาติถูกใจ ก็เหมือนได้เจอสาวสวยที่ถูกสเปก ซึ่งสเปกของแต่ละคนก็ต่างกันออกไป เวลาจะสั่งเบียร์แต่ละคนจึงสั่งไม่เหมือนกัน บางคนไม่ชอบเบียร์ขมเข้ม บางคนขอแอลกอฮอล์แรง บางคนเน้นกลิ่นหอมของมอลต์ ซึ่งคงจะยากถ้าจะตอบโจทย์ให้ถูกปากโดนใจได้ทั้งหมด ทำให้เรื่องการคราฟต์เบียร์เพื่อให้ได้รสชาติที่ใช่ที่สุดสำหรับเรจึงเป็นมิชชั่นในฝันของผู้ชายเราทุกคน BEERMKR เป็นเครื่องคราฟต์เบียร์สำหรับใช้ในบ้าน แม้ขนาดจะเล็กแต่ความสามารถนับว่าครบวงจรตอบโจทย์ของชาว UNLOCKMEN ที่อยากจะเป็น Brewer เต็มตัวแบบไม่ต้องไปเรียนก็เซียนได้ เพราะมันสามารถทำได้หมดตั้งแต่ บ่ม ต้ม กลั่น ปรับสูตรได้ตามใจ จนถึงการกดออกมาดื่มจากหัวจ่ายได้ในเครื่องเดียว ควบคุมมาตรฐานการบ่มด้วยระบบเทคโนโลยีที่การันตีได้ว่าวิธีการของเราจะไม่ผิดพลาด และไม่ต้องกังวลเรื่องเชื้อโรค ในเรื่องของเวลาการติดตั้งหรือเริ่มต้นคราฟต์เบียร์ด้วยตัวเอง ผู้ผลิตเขาออกมาคอนเฟิร์มว่าเริ่มต้นไม่ยากใช้แค่ 5 นาทีก็พอ แค่ใส่ส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงในถังเบียร์ตามสัดส่วนที่ต้องการในถุง เติมน้ำ จากนั้นกดสั่งให้เครื่องเริ่มทำงานผ่านแอปพลิเคชั่นเท่านั้นแล้วปล่อยไว้เฉย ๆ ให้เป็นหน้าที่แอปฯ คอยเป็นพี่เลี้ยงดูแลและแจ้งเตือนเราก็พอ ทั้งนี้ แอปฯ จะประเมินระยะเวลาที่เหมาะสมและเตือนเราว่าช่วงไหนต้องใส่อะไรเข้าไป หรือต้องเอาอะไรออกมา ที่สำคัญยังควบคุมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และอุณหภูมิการบ่มที่เป็นกุญแจสำคัญเรื่องรสชาติให้แม่นยำไม่คลาดเคลื่อน ชาว UNLOCKMEN ที่เริ่มรู้สึกกระหายอยากคราฟต์เบียร์เป็นของตัวเองสามารถเข้าไปดูรายละเอียดการสั่งซื้อได้ในเว็บไซต์ สนนราคาที่ $349.00 หรือ 11,506 บาทเท่านั้น (กำลังลดราคา) ที่สำคัญไม่ต้องกังวลเรื่องวิ่งหาซื้อวัตถุดิบเพราะเขาขาย MKR KITs ซึ่งเป็นวัตถุดิบการผลิตให้เราส่ังซื้อตามสูตรที่ต้องการอีกด้วย CHEERS!
ถ้าไม่นับกลิ่นน้ำหอมของสาว ๆ แล้ว “ฮอปส์” คือกลิ่นที่ผู้ชายอย่างเราพร้อมใจกันยกนิ้วให้ว่าหอมสุดในฤดูหนาวนี้ เพราะพอตะวันตกดินร่างกายมันก็เริ่มเรียกร้องให้เราออกไปปะทะลมหนาวและชิมยอดข้าวทันที แต่ใครที่อยากกินเบียร์สะดวก ๆ ใกล้บ้านแบบไม่ต้องดั้นด้นออกหาร้าน คงต้องไว้อาลัยกับสงครามการจิบที่วันนี้รัฐประกาศออกมาให้ช้ำใจกับการ “งด” ขายเบียร์สดในร้านสะดวกซื้ออย่างเป็นทางการ เรื่องอุดเบียร์หัวจ่ายในร้านสะดวกซื้อครั้งนี้ แม้จะไม่ได้รับผลกระทบกับเรามากนัก เพราะหลายคนคงยังไม่เคยใช้บริการของมันด้วยซ้ำ แต่มันก็มีอยู่จริง แถมยังลงทุนติดตั้งไปแล้วในบางสถานที่ด้วย สมรภูมิก่อนวันที่กฎหมายจะลงดาบเอาจริงมีเรื่องราวเป็นมาอย่างไร UNLOCKMEN จะขอ Recap ตำนานนี้ไว้เอง (ใส่หมายเหตุว่าถ้าอ่านไปจิบไปเพลิน ๆ จะได้อรรถรสเรื่องนี้มากขึ้น) ชนวนยก “เบียร์” ขึ้นจ่าย ว่าด้วยเรื่องยกเบียร์ขึ้นหัวจ่าย หรือเบียร์สดในบ้านเรา ก่อนที่ใครจะเข้าใจผิดต้องบอกก่อนว่ากฎหมายฉบับที่กำลังพูดถึงน้ีไม่ได้ห้ามการค้าเบียร์สดตามสถานที่เรากินตามร้านอาหาร หรือบาร์ แต่ว่าห้ามการขายเบียร์สดตามร้านสะดวกซื้อ ซึ่งช่วงหลายปีที่ผ่านมามีกระแสการขายเบียร์สดแบบใช้แก้วพลาสติกกดทำนองเดียวกับแก้ว Gulf ในเซเว่นกำลังมาในหลายประเทศ อิสระการดื่มแบบไม่ต้องมีเด็กเชียร์ก็ยังดื่มด่ำได้ทุกเวลา แม้เราจะยังไม่ทราบว่าเริ่มต้นจากประเทศไหนเป็นแห่งแรก แต่กระแสที่เห็นได้ชัดคือเพื่อนบ้านเอเชียแดนมังกร ที่กดเบียร์สดยี่ห้อดังชิงเต่าจากร้านค้าสะดวกซื้อใส่ถุงพลาสติกใบใหญ่อัดแน่นสะใจ พ.ศ.2555 กลายเป็นเรื่องสุดว้าว ภาพหอยและถั่วกับแกล้มที่อยู่ด้านข้างใต้แสง daylight บอกเราได้ว่าถึงบ้านต้องมีเมา มีมันส์ แน่ ๆ ทำให้ธุรกิจหลายประเทศอยากจะเอาใจบุรุษคอทองแดงแบบนั้นบ้าง เช่นเดียวกับเราชาวไทยที่ช่วงปีที่แล้ว 2 แบรนด์เบียร์ยักษ์ทั้งเสือและช้างออกโรงมาแข่งกันวางผลิตภัณฑ์ทดลองแบบนั้นบ้างกับร้านสะดวกซื้อในบ้านเราเมื่อกลางปีที่แล้ว BEGINS
สำหรับเราคนไทยคือหนึ่งในชนชาติที่หาข้ออ้างการออกไปเมาได้มากที่สุดในโลกแล้ว จะสุขก็อยากดื่ม จะเศร้าก็อยากเมา วันเกิด งานบวช งานแต่งงานก็ต้องฉลอง แต่ข้ออ้างที่เห็นได้เกลื่อนกลาดที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘วันนี้อากาศดีว่ะ ไปกินเบียร์กัน’ โดยเฉพาะในกรุงเทพที่อากาศหนาวนั้นหาได้ยากเย็นเหลือเกิน ดังนั้นเมื่อมันมาเยือนต่อมความชิลของเราเหมือนโดนกระตุกอย่างแรง เกริ่นมาขนาดนี้ แน่นอนว่าตัวเราเองนั้นไม่เคยพลาดการออกไปดื่มในหน้าหนาว เป็นเหมือนประเพณีที่เราทำเป็นประจำทุกปี จนเราค้นพบสถานที่ที่เราคิดว่ามันชิลมากสำหรับการดื่มเบียร์ในวันอากาศดี จึงอยากมาแนะนำเผื่อเป็นทางเลือกให้กับชาว UNLOCKMEN ทุกคน Cat on the Roof ลักษณะร้านที่เหมาะกับการนั่งชิลในหน้าหนาวนั้นต้องค่อนข้างเปิดโล่ง รับลมได้จากทุกทิศทาง ซึ่ง Cat on the Roof ร้านดังย่านอารีย์ร้านนี้ตรงกับลักษณะดังกล่าวทุกประการ ยิ่งไปกว่านั้นการที่ร้านนี้ตั้งอยู่บนดาดฟ้าชั้น 5 ของ Everyday Sunday Social Hostel ทำให้สามารถซึมซับอากาศหนาวได้มากยิ่งขึ้น ถึงแม้จะเป็นร้าน Rooftop ใจกลางเมืองแต่ราคาอาหารเครื่องดื่มของที่นี่ไม่ถือว่าโหด อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ถ้าเทียบกับบรรยากาศที่ได้รับ นอกจากบรรยากาศดี อาหารอร่อยแล้ว ที่นี่ยังมีวงดนตรีเล่นสดเพิ่มความเพลิดเพลินระหว่างนั่งชิลอีกด้วย เอาเป็นว่าถ้าคุณแข็งแรงพอที่จะเดินขึ้นบันได 5 ชั้น หน้าหนาวนี้ลองแวะมาหาเจ้าแมวบนหลังคาตัวนี้ดู Location: ชั้นดาดฟ้า Everyday Sunday Social Hostel 466/1-3 ถนนพหลโยธิน เขตพญาไท
คงต้องมีสักครั้งที่เราเคยไปงานอีเวนต์ หรือเห็นฟีดในหน้าโซเชียลมีเดียโชว์งานอีเวนต์สุดเจ๋งในเมืองไทยของแบรนด์ต่าง ๆ แล้วอุทานออกมาให้กับงานคอมเมอร์เชียลเหล่านั้นว่า “เฮ้ย อย่างนี้ก็ได้เหรอ เจ๋งอ่ะ คิดได้ไงวะเนี่ย” เชื่อเถอะว่า หนึ่งในงานเหล่านั้นเป็นผลงานที่ “เบียร์-พันธวิศ ลวเรืองโชค” พ่อมดแห่งวงการอีเวนต์จากอาณาจักร Apostrophys Group เป็นผู้สร้างสรรค์อยู่เบื้องหลังแน่นอน เขาไม่เพียงเป็นนักสร้างสรรค์ประสบการณ์ชั้นยอดไม่รู้จบเท่านั้น แต่ยังเป็นเจ้าของบริษัทอื่น ๆ อีกถึง 4 แห่ง ได้แก่ Sense.S (บริษัทด้าน New media และ Interactive Media), Synonym (บริษัทตกแต่งภายในสำหรับส่งเสริมธุรกิจหรือบุคคลที่ต้องการสร้างโปรไฟล์จากที่พักอาศัย), Happening Design (บริษัทร่วมทุนรับเหมาก่อสร้าง เพื่อส่งเสริมภาคการผลิต) และ SOURCE บริษัทด้านดิจิทัล เอเจนซี่น้องใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นปลายปีนี้ ท่ามกลางยุคที่พวกเราพยายามวิ่งตามหาบางสิ่งมาต่อไฟฝัน เพิ่มพลังการทำงานที่พร้อมจะมอดดับตลอดเวลาของตัวเอง UNLOCKMEN เชื่อว่าไม่บ่อยนักที่เราจะเจอนักสร้างสรรค์ที่มีไอเดียใหม่ไม่รู้จบอยู่ในสมอง และเหลือพลังมากพอที่จะทำงานสร้างสรรค์งานด้านอื่นด้วยอย่างเขาคนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาทิ้งน้ำเสียงสบาย ๆ ว่า “ตลอด 13 ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยคิดงานไม่ออกเลยครับ” มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เราบุกเข้าไปถึงออฟฟิศใหม่ Apos the HQ เพื่อพูดคุยค้นหาที่มาของไอเดียความคิดสร้างสรรค์ไม่รู้จบเหล่านั้น วัยเรียน วัย Real : จุดเริ่มต้นอาณาจักรนักสร้างประสบการณ์
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเรามีโอกาสได้หยิบซี่รีส์เรื่อง How I Met Your Mother ขึ้นมาดูอีกครั้ง เป็นหนึ่งในซีรีส์ที่เราชอบที่สุด และบังเอิญว่ามีเนื้อเรื่องตอนหนึ่งเกี่ยวกับการตามล่าแฮมเบอร์เกอร์ที่อร่อยที่สุดใน New York เราจึงย้อนคิดว่าแล้วในกรุงเทพฯ ล่ะ แฮมเบอร์เกอร์ที่เราเคยกินมาทั้งหมด ร้านไหนอร่อยที่สุด จึงเกิดเป็นคอนเทนต์นี้ขึ้นมา ภารกิจตามล่า The Best Burger in Bangkok เริ่มได้! JIM’s Burgers & Beers ถ้าพูดถึงร้านแฮมเบอร์เกอร์แล้วไม่พูดถึงร้านนี้คงผิดมหันต์ เพราะ JIM’s Burgers & Beers คือร้านแฮมเบอร์เกอร์ชื่อดังแห่งย่านอารีย์ (ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะขยายเพิ่มอีก 3 สาขาแล้วก็ตาม ทั้งที่ยศเส, เสนานิคม, และพัทยา) ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน ทุกครั้งที่เรามีโอกาสแวะเวียนไปแถวอารีย์ก็มักจะไปฝากท้องที่นี่เสมอ มีเมนูเบอร์เกอร์ให้เลือกมากมาย แต่ที่เราชอบที่สุดคือ Piggy Lava BLT Pork ซึ่งถือว่าเป็นเมนู Signature ของร้านก็ว่าได้ มันคือเบอร์เกอร์หมูใหญ่ยักษ์ที่เยิ้มด้วยชีสลาวา เนื้อหมูชิ้นโตนุ่มลิ้นผสานพลังกับเบคอนที่กรอบกำลังดี เพียงแค่ได้กัดก็เหมือนมีลูกระเบิดความอร่อยแผ่กระจายเต็มปาก นอกจากเบอร์เกอร์ที่โคตรเด็ดแล้ว ที่นี่ยังมีคราฟต์เบียร์มากมายให้เลือก ทานไปพลาง จิบไปพลาง แค่นี้ความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานก็หายหมดสิ้นแล้ว Location: 49
ในวันเมา ๆ บางวันผู้ชายอย่างเราก็อดนึกถึงอดีตช่วงที่เราสามารถซื้อเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์มาเมามายตอนไหนก็ได้ ไม่มีเวลาตามกฎหมายมากำหนด แม้ตอนนี้สังคมจะอยู่ภายใต้กฎระเบียบและการดื่มอย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้น แต่เราก็อดคิดถึงการดื่มเพื่อหลับ ขยับเพื่อเมาตลอด 24 ชั่วโมงไม่ได้! แล้วมันจะดีแค่ไหนถ้ามี Beer Hotel โรงแรมที่บริการเบียร์จากแท็ปให้เมาไม่อั้น ดื่มให้หลับ ตื่นมาก็เมาใหม่ ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางกลิ่นและรสชาติเบียร์ให้ฟินกันไปข้าง ไอเดีย Beer Hotel สุดบรรเจิดนี้มาจาก BrewDog บริษัทคราฟต์เบียร์ชื่อดังของสกอตแลนด์ที่อยากให้มนุษย์สายดื่ม (หรือไม่ดื่ม) ได้ดื่มด่ำกับคราฟต์เบียร์อร่อย ๆ แบบไม่อั้น โดยโรงแรมนี้ตั้งอยู่ที่เมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ถ้าได้มาพักที่นี่รับรองเลยว่าจะได้สัมผัสกับประสบการณ์เบียร์ ๆ แบบที่ที่ไหนก็ให้ไม่ได้ “DogHouse” คือชื่อ Beer Hotel ที่เรากำลังพูดถึงกัน ที่นี่มีห้องพักทั้งหมด 32 ห้อง และห้องสูท 8 ห้อง (แอบกระซิบว่าบางห้องเราสามารถพกพาสุนัขคู่ใจไปพักด้วยได้) ความดีงามของที่นี่คือทุกห้องจะมีตู้เย็นที่อุณหภูมิเย็นจัด ๆ อัดแน่นไปด้วยคราฟต์เบียร์จาก BrewDog ทุกรสชาติเท่าที่เราจะนึกออกรอเสิร์ฟเราแบบไม่อั้นอยู่ แต่ถ้าแค่คราฟต์เบียร์เป็นกระป๋อง ๆ มันยังทำให้เรารู้สึกว่า “เฮ้ย นี่ก็ธรรมดาไปมั้ย คราฟต์เบียร์กระป๋องหากินที่ไหนก็ได้”
“เบียร์มันขม พวกมึงกินกันไปได้ยังไงวะ” คือประโยคหนึ่งในวงเหล้าที่เป็นที่มาของการควานหาเรื่องเล่าเกี่ยวกับเบียร์มาเล่าสู่กันฟังในครั้งนี้ อันที่จริงผู้เขียนไม่เคยตั้งข้อสงสัยกับรสชาติขมที่มีในเบียร์ เพราะชื่นชอบรสขมกับระดับความเมาที่น้อยกว่าการกินเหล้าเป็นทุนอยู่แล้ว ยิ่งริน ยิ่งคุย ยิ่งเฮ แต่พอมาคิดตามคำที่เพื่อนหรือสาว ๆ พูดก็น่าสนใจ เมื่อเบียร์มันเกิดขึ้นมานานกว่าหลายพันปี รสชาติ “ขมเข้ม” คนโบราณเขาควรจะคิดว่ามันเป็นยาพิษมากกว่าเป็นของที่นำมาดื่มกินได้หรือเปล่า สุดท้ายคำถามนี้มันนำมาสู่คำตอบที่บอกได้เลยว่า น่าทึ่ง เพราะเราเองก็ยังไม่เคยรู้มาก่อนหลายเรื่อง และหวังว่าเรื่องนี้จะสามารถไขข้อกระจ่างให้เอาไปเล่าต่อหรือตอบคำถามในวงเบียร์ได้ว่า “ทำไมพวกเราถึงกินเบียร์” “เบียร์แก้วแรกของโลกมันไม่ขม” เชิญพูดใส่หน้าเพื่อนรักของเราที่หันมาถามว่าคนเขากินไปได้ยังไงได้ทันที เพราะที่มาของความขมในเบียร์มันมาจาก “ดอกฮอปส์” ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการคิดค้นเบียร์มาแล้วราว 2,000 ปี ดังนั้น เบียร์แก้วแรกที่อุบัติขึ้นในโลกใบนี้มันเลยไม่ขม คนเขาก็เลยกินกัน แล้วเรายังสามารถต่อยอดด้วยการหันไปบอกเพื่อนได้ว่าเบียร์ไม่ขมมันก็มีให้เลือกดื่ม ลองดูก่อนแล้วจะติดใจ เบียร์จัดเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทแรกของโลกที่คิดค้นขึ้นโดยชาวบาบิโลเนียน อายุขัยของการคิดค้นเบียร์เล่าแบบหลวม ๆ เรื่องตัวเลขว่าเกิดขึ้นมาเป็นหลักพันปีแล้วจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งตามข้อมูลที่สืบค้นมาหลายแหล่งระบุตัวเลขไว้แตกต่างกันตั้งแต่ 3,000 ปีไปจนถึง 8,000 ปีเลยทีเดียว เบื้องหลังของเบียร์ขวดแรกว่ากันว่าเกิดขึ้นจากชาวนาคนหนึ่งที่บังเอิญไปชิมน้ำที่ทำขนมปังตกใส่สักระยะ (เหมือนบ่มโดยบังเอิญ) แล้ว…บูม! เกิดเป็นเบียร์โบราณขึ้นตอนนั้น เบียร์ไม่ใช่เรื่องของผู้ชาย ไม่ใช่แค่เรื่องการเกิดที่เกิดจากการกินอะไรแผลง ๆ ของคนโบราณอย่างเดียวที่น่าสนใจ แต่ประวัติศาสตร์ยังบันทึกไว้ด้วยว่าที่มาของรสชาติขมเฉพาะตัวของเบียร์มันเกิดจากผู้หญิง แถมสาวคนที่ใส่ดอกฮอปส์ลงในเบียร์ครั้งแรกยังเป็นแม่ชีอีกต่างหาก โดยแม่ชีท่านนี้บันทึกการสนับสนุนให้ไส่ดอกฮอปส์ลงในเบียร์ไว้ในหนังสือด้านสุขภาพของเธอตั้งแต่ราว ค.ศ.