เคยใช่ไหม? ที่ต้องมานั่งรู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่ได้ยินหรือพบเห็นคำนินทา บางครั้งก็ทำให้เรามานั่งสงสัยว่าเราไปทำอะไรให้เจ็บแค้นเคืองโกรธขนาดนั้นเลยหรอ? บางครั้งมันก็ลุกลามทำให้เราเครียด จนสูญเสียความมั่นใจในการใช้ชีวิต เพราะต้องมาคอยนั่งระแวดระวังว่าจะถูกใครด่าใครนินทาบ้าง เล่นเอาเสียความเป็นของตัวเองไปเลย หากคุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เหล่านั้น และยังหาทางออกไม่ได้ ลองมาดูวิธีรับมือพวกปากหอยปากปูเพื่อกู้ความสุขเราให้คืนกลับมาจากทาง Unlockmen กันดีกว่าครับ ช่างแม่ง หลักการแรกพูดง่าย ๆ แต่ทำยากคือการ “ปล่อยวาง” หรือจะให้พูดแบบภาษาเข้าใจง่ายกว่านั้นคือ “ช่างแม่ง” เพราะชีวิตเรามันเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะได้พบเจอคำนินทาต่าง ๆ นานา ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เหมือนกับชาวพุทธศาสนิกชนที่ชอบพูดกันว่า “แม้แต่พระพุทธเจ้า ยังโดนนินทา” ดังนั้นเราก็ไม่ควรไปให้ค่า ไม่ไปสนใจเสียงพวกนี้เลย คิดซะว่าเหมือนเสียงนกเสียงกาเสียงหมาเห่า พอเหนื่อยเดี๋ยวก็หยุดกันไปเอง หากเราสามารถใช้วิธีการปล่อยวางได้ จิตใจของเราก็จะแข็งแกร่งมากขึ้น แถมมีภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับเรื่องน่ารำคาญใจด้วยเช่นกัน ฟ้องร้อง เอาให้หนัก แม้เราจะสามารถปล่อยวางเป็น แต่เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่ควรปล่อยผ่านเพราะถ้าหากคำนินทาหรือใส่ร้ายทำให้เราเสื่อมเสียเกียรติ ชื่อเสียง หรือมีผลกระทบกับองค์กรณ์ของเรา วิธีการฟ้องโดยใช้กฏหมายเล่นงานดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด หากเรามีหลักฐานชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นโพสต์ต่าง ๆ บนโซเชียลเนตเวิร์ก, ข้อความตามแชทส่วนบุคคล หรืออะไรก็แล้วแต่ที่สามารถอ้างอิงเป็นข้อมูลยืนยันได้ เราก็ดำเนินการแจ้งความฟ้องหมิ่นประมาทกับทางสถานีตำรวจ ก่อนจะส่งต่อให้ทนายช่วยดูแลเคสและตามมาด้วยเข้าสู่กระบวนการของศาลในที่สุด แม้อาจจะเป็นวิธีที่เสียเวลา แต่นี่คือการฟาดกลับอย่างถูกต้อง สะใจ แถมอาจจะได้ค่าเสียหายกลับมาใช้เล่น ๆ อีกด้วย อย่าลืมให้พรบ.คอมให้คุ้มค่า
คุณเคยลองถามตัวเองไหมว่าทุกวันนี้เคยทำอะไรที่เป็นตัวเองได้เต็ม 100% แล้วหรือยัง? หรือเคยมีโอกาสได้ลองทำมันบ้างซักครั้งหรือยัง? เคยได้ออกจากกรอบที่คอยสกัดกั้นความกล้าบ้าบิ่นของเราแล้วหรือไม่? แน่นอนว่าคำตอบของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป แต่ไม่ใช่กับผู้ชายคนนี้ที่มีนามว่า “นราวุธ อำนวย” หรือที่ใครหลายคนรู้จักกันในชื่อ “แร็ปเอก” แร็ปเอกเคยสร้างกระแสไวรัลในโลกโซเชียลมีเดียเมื่อประมาณเกือบ 10 ปีที่แล้ว ด้วยการแร็ปพรีเซนต์ความเป็นตัวเองแบบได้แหวกแนวสุด ๆ สุดชนิดที่แบบไม่เหมือนใครและไม่มีใครกล้าเหมือน แถมยังมาพร้อมคำสร้อย “อัยย๊ะ ใช่ ๆ” ที่หลอนดูคนฟังมาจนทุกวันนี้ แต่กว่าที่เขาจะยืนหยัดมาได้ต้องสู้รบตบมือกับบรรดาคำวิจารณ์ด้านลบและการถูกบูลลี่ที่ทำให้เขาเคยท้อหนักมาแล้ว แต่เขารับมือกับมันอย่างไรให้ผ่านพ้นช่วงเวลาเลวร้ายเหล่านั้นมาได้ มาทำความรู้จักความเรียลอีกหนึ่งมุมของแร็ปเอกที่หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่เคยเห็นไปพร้อม ๆ กันได้เลยครับ แร็ปเอกอดีตพนักงานพิสูจน์อักษรที่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นศิลปินมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น แม้เขาจะสร้างชื่อด้วยการแร็ป แต่แท้จริงแล้วเขากลับชื่นชอบวงร็อกมากกว่าซะอีก จึงไม่แปลกใจที่ไอดอลของเขาจะมีทั้งวงหิน เหล็ก ไฟ, ดอนผีบิน, Silly Fools, Kiss รวมไปถึง Guns N’ Roses ด้วยเช่นกัน แต่ปัญหาของการทำวงนั่นคือการต้องหาสมาชิกให้ครบทุกตำแหน่ง ซึ่งมันกลายเป็นงานยากของแร็ปเอก ทำให้เขาตัดสินใจเบนเส้นทางจากร็อกเกอร์กลายมาเป็นแร็ปเปอร์แทน “เมื่อก่อนมีความฝันอยากมีวงเป็นของตัวเอง แต่หาไม่ได้เลยคิดว่าออกเดี่ยวไปเลยดีกว่า เพราะมันจะใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้น ก็เลยตัดสินใจมาเป็นแร็ปเปอร์ครับ” ดูเหมือนว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตที่ทำให้อดีตหนุ่มพนักงานประจำได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล หลังจากตัดสินใจได้แล้วว่าชีวิตนี้ต้องเป็นแร็ปเปอร์ เขาจึงลงมือเขียนเพลงที่พรีเซนต์ตัวตนออกมาโดยใช้ชื่อว่าเพลง “แร็ปเอก”
เคยใช่ไหมที่เรารู้สึกขุ่นเคืองใจทุกครั้งกับการประชุมในที่ทำงานเพราะความคิดเราโดนตีตก หรือเคยใช่ไหมที่ทะเลาะกับแฟนเพียงเพราะต้องการเอาชนะความคิดของเขาให้ได้ ปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นสามารถแก้ได้หากคุณสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนคือการอภิปรายเพื่อถกหาข้อเท็จจริง หรือสิ่งไหนถือการโต้เถียงเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เราต้องการ สำหรับความแตกต่างของทั้ง 2 แบบคือ 1.การอภิปรายถือเป็นวิธีที่การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ความเคารพทางความคิดซึ่งกันและกัน 2.ข้อโต้เถียงคือการพยายามที่จะทำให้อีกฝั่งยอมรับความคิดของเราว่าถูกต้องหรืออยู่เหนือกว่า ความแตกต่างของการอภิปรายและการโต้เถียงมันยังบ่งบอกได้จากน้ำเสียง เช่นการโต้เถียงมักจะมาพร้อมกับน้ำเสียงที่พร้อมจะทำลายความมั่นใจของฝั่งตรงข้าม แต่การอภิปรายจะมีความนุ่มนวล ประณีประนอม มีพยายามทำความเข้าใจกับคนที่เห็นต่าง และช่วยขยายมุมมองของแต่ละฝ่ายให้กว้างออกไปมากยิ่งขึ้นได้จากข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รวบรวมมา นอกจากนั้นการโต้เถึยงยังนำพามาสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกัน เพราะมันทำให้คุณรู้สึกถึงการสูญเสียอำนาจหรือความสำคัญอะไรบางอย่างไปเพียงเพราะเรารู้สึกว่าความคิดเราไม่ได้รับการสนับสนุน จนบางครั้งสมองได้ไปกระตุ้นอะดรีนาลีนทำให้รู้สึกอยากจะให้คู่โต้แย้งต้องยอมรับในความคิดเราให้ได้ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากบุคคลที่ไม่สามารถควบคุมอีโก้ของตัวเองได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นการโต้แย้งด้วยอารมณ์จะไม่มีทางได้ไอเดียหรือการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องกลับมาอย่างแน่นอน การโต้เถียงอย่างรุนแรงไม่ได้ส่งผลลบให้กับชีวิตการทำงานเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงชีวิตคู่ด้วย บ่อยครั้งการทะเลาะกันของคู่รักมักจะใช้คำพูดที่รุนแรงหรือภาษากายบางอย่างเพื่อลดทอนคุณค่าของอีกฝ่ายเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกมีอำนาจเหนือกว่า และต้องการจะเอาชนะในการโต้เถียงนี้ให้ได้ จุดนี้มันอาจจะส่งผลไปสู่ความสัมพันธ์ที่ถดถอยลงจนสุดท้ายต้องเลิกราหย่าร้างกันไป ดังนั้นเราจึงต้องยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ยอมรับความเห็นต่าง แม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นด้วยทุกประการก็ตาม ก่อนจะมีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องใช้การตัดสินใจที่รอบครอบ หรือมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงในวงกว้าง เราก็ควรจะต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ ใช้สติให้มาก เปิดใจพร้อมรับฟังความคิดเห็นคนอื่น มันก็จะช่วยให้ชีวิตของคุณมีความสุขมากขึ้นจากที่เคยเป็นมาอย่างแน่นอนครับ Source : 1
ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา เราเชื่อว่าทุกคนคงเจอทั้งเรื่องราวดี ๆ ที่น่าจดจำ และเรื่องราวร้าย ๆ อันแสนเจ็บปวดกันมาอย่างโชกโชน แต่ชีวิตคนเรานั้น ไม่ได้มีอะไรที่คงอยู่ตลอดไป มีขึ้นก็ต้องมีลง มีชนะ มีพ่ายแพ้ นี่แหละคือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาเป็นแบบทดสอบใจของคน สำหรับบางคน ปีที่ผ่านมาอาจจะเป็นปีชงที่โคตรจะเฮงซวย ทำอะไรก็ไม่เป็นอย่างที่หวังไปซะหมด แต่ถ้าหากคุณลองทบทวนดูดี ๆ อีกที เรื่องราวตลอดทั้งปีที่ผ่านมานี้ จะช่วยสอนให้คุณได้เรียนรู้ว่า อะไรที่คุณควรจะทำต่อไป และอะไรที่คุณควรจะทิ้งมันไว้เป็นอดีต และจำมันมาเป็นบทเรียนในการใช้ชีวิตต่อไปในอนาคต ดังนั้น วันนี้เราจึงได้นำเอาวิธีการง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณนำไปใช้เริ่มต้นปีใหม่ เพื่อให้มีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาฝากกัน กับ 6 สิ่งในชีวิตที่บางครั้งคุณไม่จำเป็นต้องฝืน แต่ควรจะช่างแม่ง และปล่อยวาง รับรองได้เลยว่า คุณจะมีความสุขกับชีวิตมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาอย่างแน่นอน 1. ช่างแม่งกับบุคคลมลพิษ มันอาจจะฟังดูน่าตลก แต่มันเป็นเรื่องจริงที่คนเรามักพยายามเอาชนะใจคนอื่น แม้แต่กับคนที่เรารู้อยู่เต็มอกว่า แม่งไม่ได้ทำดีอะไรกับเราเลย Toxic People หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ‘บุคคลมลพิษ’ กับเรานี้ อาจจะได้ทั้ง เพื่อน ญาติ คนในครอบครัว หรือใครก็ตามที่ผ่านเข้ามาชีวิต แต่ที่รู้ก็คือว่า
“แต่งตัวแบบนี้คนอื่นหัวเราะเยาะแน่เลย” “เราต้องทำอะไรผิดพลาดไปแน่ๆ ทำไมคนอื่นดูไม่ค่อยพอใจเราเลย” รู้ไหมว่าบางครั้ง คุณอาจคิดไปเองว่าคนอื่นจะสนใจเรามากเกินความเป็นจริง เพราะมนุษย์มีธรรมชาติที่มักเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเสมอ และมักมองเรื่องต่าง ๆ ผ่านความรู้สึกและประสบการณ์ของตัวเอง คิดว่าคนอื่นจะต้องทำหรือรู้สึกเหมือนที่ตัวเองรู้สึก ทางหลักจิตวิทยาเรียกปรากฎการณ์นี้เรียกว่า ‘Spotlight Effect’ วันนี้ UNLOCKMEN จะมาอธิบายให้ฟังว่า Spotlight Effect คืออะไร ทำงานยังไง และเราจะก้าวข้ามมันไปได้อย่างไรบ้าง เพื่อให้ทุกคนเข้าใจคำว่า Spotlight Effect ตรงกัน ก่อนอื่นเราอยากให้ทุกคนลองจินตนาการว่า พวกเรากำลังอยู่ในโรงละครที่การแสดงละครเวทีกำลังดำเนินอยู่ บนเวที พระเอกและนางเองกำลังแลกเปลี่ยนบทสนากัน ภายใต้แสง spotlight ที่ส่องมายังทั้งคู่ เพื่อเป็นการบ่งบอกผู้ชมว่านี่คือตัวละครสำคัญในฉาก พร้อมดึงดูดความสนใจของสายตาทุกคู่ที่อยู่ในโรงละครให้จับจ้องไปที่นักแสดงใต้แสง spotlight นั้น Spotlight Effect จึงเป็นคำเรียก ปรากฎการณ์ที่คนคิดไปเองว่าตัวเองได้รับความสนใจจากคนอื่นตลอดเวลา เหมือนกับมีแสง spotlight ส่องมายังพวกเขาตลอดเวลา (ซึ่งในความเป็นจริงไม่ใช่โรงละคร ไม่มีแสง spotlight และคนเราไม่ได้สนใจคนอื่นมากขนาดนั้น) ทำให้พวกเขารู้สึกต้องระแวดระวังตัวเองอยู่เสมอ เพราะกลัวคนอื่นจะสังเกตเห็นความผิดพลาดของตัวเองได้ ยกตัวอย่าง เวลาเล่นกีฬา คนจะรู้สึกว่าเพื่อนร่วมทีมสังเกตข้อบกพร่องของตัวเองมากกว่าความเป็นจริง งานวิจัยหลายชิ้นได้พยายามอธิบายการมีอยู่ของ
แม้ทุกวันนี้ภาพความสำเร็จของคนรุ่นใหม่นั้นกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวที่มีให้พบเห็นและร่วมยินดีกันอยู่บ่อย ๆ แต่เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านั้นแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกคนล้วนต้องผ่านความทุ่มเทพยายามบนเส้นทางของตัวเองมาแล้วอย่างเข้มข้น และต้องยอมรับว่าสิ่งที่ทำให้คน Gen นี้ ก้าวเข้าสู่ความสำเร็จได้ตั้งแต่อายุยังน้อย นอกเหนือจากความสามารถ โอกาส และความมุ่งมั่นตั้งใจ คงเป็นสิ่งอื่นใดไปไม่ได้นอกจากเรื่องของวิธีคิดและการใช้ชีวิตแบบ Hybrid ซึ่งเปรียบเสมือน DNA ของคนรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางเทคโนโลยีที่พร้อมตอบสนองต่อรูปแบบชีวิตที่หลากหลาย ทำให้คนยุคนี้สามารถบาลานซ์น้ำหนักระหว่างการทำงานซึ่งเต็มไปด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบที่มากมาย ไปพร้อม ๆ กับการแบ่งเวลาให้กับตัวเองได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้มุมมองการใช้ชีวิตที่ไม่ยึดติดกับสิ่งใด คือข้อได้เปรียบที่ทำให้คนรุ่นใหม่มีอิสระในการเลือกตัวช่วยที่ใช่ ที่จะเข้ามาเติมเต็มรายละเอียดชีวิตให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น และในวันนี้เราอยู่กับ YAMAHA GRAND FILANO HYBRID อีกหนึ่งตัวช่วยที่สามารถขับเคลื่อน Hybrid Lifestyle ให้ ‘LIVE HIGH’ ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือการใช้ชีวิต ซึ่งพร้อมให้สัมผัสความเจ๋งผ่านเรื่องราวในหนึ่งวันของตัวแทนคนรุ่นใหม่ ที่รับมือกับชีวิตหลายบทบาทได้อย่างลงตัว อย่างที่บอกไปว่าหนึ่งในหัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จของคนรุ่นใหม่ คือการคอนโทรลหน้าที่ความรับผิดชอบที่มีมากมายได้ลงตัว เพราะในหนึ่งวันของคนยุคนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้กับการใช้ชีวิตแบบ Hybrid กับบทบาทที่หลากหลาย มีชีวิตไม่หยุดนิ่งต้องเดินทางไปในหลายสถานที่ภายใต้กรอบเวลาที่จำกัด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ยานพาหนะคู่ใจจะต้องพร้อมตอบโจทย์การเดินทางที่ควบคุมเวลาได้ ด้วยเครื่องยนต์ที่มอบความมั่นใจทั้งในเรื่องของสมรรถนะ และความประหยัดที่น่าพอใจ และไม่ใช่เพียงมิติของการทำงาน เรื่องของการดูแลตัวเองคือสิ่งที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีบุคลิกที่ดีนั้นสามารถสร้างความน่าเชื่อถือรวมถึงสร้างโอกาสดี ๆ ให้เกิดขึ้นได้มากมาย และบุคลิกที่ดีเหล่านั้นมันไม่ใช่แค่เสื้อผ้า หน้า
อกหักเรื่องใหญ่ แต่การมูฟออนจากมันได้เป็นเรื่องที่ใหญ่กว่า หลาย ๆ คนมักจะจมอยู่กับความเศร้าจนลืมไปว่าชีวิตที่เคยสดใสเป็นอย่างไร ซึ่งเราเข้าใจความรู้สึกของคุณดี และเราก็อยากให้คุณกลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้งกับ “7 ข้อที่ควรรู้สู่การมูฟออนได้ดีกว่าที่เคยเป็นมา” 1. มีสติอยู่กับปัจจุบัน ใคร ๆ ก็ต่างพูดว่าทำอะไรต้องมีสติ ใช่แล้วเพราะมันคือวิธีที่ถูกต้อง ทำให้เรารู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ในเวลานี้ เช่นเดียวกับตอนที่คุณอกหัก เศร้า จมปลักอยู่กับน้ำตา ไม่แปลกที่คุณจะต้องอยู่กับห้วงอารมณ์แบบนั้น แต่คุณต้องเปิดปุ่มสติให้แล่นอยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้นให้ลองกำหนดลมหายใจหรือนั่งสมาธิดู เพราะมันอาจจะช่วยให้คุณควบคุมความฟุ้งซ่านที่กำลังเกิดขึ้นได้ไม่มากก็น้อย 2. โฟกัสกับสิ่งที่ต้องรับผิดชอบให้มากกว่าเดิม โหมดความโสดไม่ได้แย่เสมอไป อย่าลืมว่าก่อนที่คุณจะมีความรักคุณก็เคยใช้ชีวิตคนเดียวอย่างมีความสุขได้ สิ่งที่คุณต้องทำก็แค่เพียงกลับไปโฟกัสกับหน้าที่และความรับผิดชอบให้เต็มที่เหมือนที่เคยทำมา ไม่ว่าจะเป็นงานหลักหรืองานบ้านก็ตาม เพราะเมื่อคุณทุ่มเทและใช้เวลาอย่างเต็มที่กับสิ่งเหล่านี้ มันก็จะช่วยให้โฟกัสของคุณไม่ไปอยู่กับความเศร้ามากจนเกินไป 3. โฟกัสกับการทานอาหารที่มีประโยชน์ มีคนจำนวนไม่น้อยที่เมื่อถึงเวลาอกหัก มักจะมีอาการเบื่ออาหาร ทานข้าวไม่ลง จนร่างกายผอมซูบลงอย่างน่าตกใจ บางคนบอกว่ามันคือสูตรลดน้ำหนักแบบเร่งรัด แต่ได้โปรดอย่าคิดแบบนั้น เพราะถึงแม้คุณจะได้มีหุ่นผอมเพรียวบาง แต่ร่างกายของคุณจะมีสุขภาพที่ย่ำแย่ตามมา รวมถึงความหิวจะทำให้สมองเกิดความเครียด ซึ่งส่งผลต่อสีหน้าและสุขภาพผิดโดยรวม เพราะฉะนั้นคุณควรโฟกัสกับการทานอาหารให้มากขึ้น โดยเฉพาะสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะมันจะช่วยให้คุณแข็งแรง หน้าตาดูสดชื่น และมีแรงเพื่อก้าวข้ามผ่านพ้นไปวันหมอง ๆ ไปได้ 4. คิดถึงคนรอบข้าง เวลาที่คุณเศร้า รู้สึกว่าโลกนี้มันเลวร้ายไปหมดทุกอย่าง อย่าลืมว่าไม่ได้มีแต่คุณที่คิดแบบนั้น
Dangerous Minds คือภาพยนตร์แนวดราม่าที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในยุค 90’s ออกฉายครั้งแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 1995 นำแสดงโดย Michelle Pfeiffer มารับบทเป็นคุณครู LouAnne Johnson และกำกับการแสดงโดย John N. Smith ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือ “My Posse Don’t Do Homework” ที่เขียนโดย LouAnne Johnson ตัวจริง Dangerous Minds นำเสนอเรื่องราวของคุณครูคนหนึ่งที่ตกลงปลงใจเข้าสอนกลุ่มนักเรียนพิเศษในระดับไฮส์สคูล หรือจะให้บอกตรง ๆ ก็คือกลุ่มนักเรียนเกเรที่ไม่มีใครอยากสนใจ มีครูมากมายที่ต้องลาออกไปเพราะไม่สามารถที่จะรับมือกับความแสบของเด็ก ๆ กลุ่มนี้ได้ แต่ครู LouAnne Johnson กลับสามารถพิชิตใจนักเรียนกลุ่มนี้ได้ แม้กว่าจะทำสำเร็จก็ต้องผ่านเรื่องราวอะไรต่าง ๆ มากมาย ซึ่งพอมาเปรียบเทียบกับชีวิตของเราแล้ว มันมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่เหมาะกับการนำไปปรับใช้เวลาทำงานด้วยเช่นกัน และเราสามารถแบ่งประเด็นที่น่าสนใจออกมาได้เป็นจำนวน 5 ข้อหลัก ๆ ดังนี้ แผนบางอย่างใช้ไมได้กับทุกสถานการณ์
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การให้คุณค่าในความเป็นปัจเจกคือสิ่งที่ถูกสื่อสารออกมาผ่านแคมเปญระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นประเด็นของเชื้อชาติ, รูปลักษณ์, ความเชื่อ, ลงลึกไปจนถึงเรื่องของไลฟ์สไตล์ และรสนิยมที่หลากหลายของแต่ละบุคคล ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทยที่หลากหลายแบรนด์ใหญ่ต่างลุกขึ้นมาให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ โดยสะท้อนออกมาผ่านการสื่อสาร รวมไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับตัวตนที่แตกต่างของทุกคน ซึ่งถ้าพูดถึงแบรนด์ที่เข้าใจและให้ความสำคัญในตัวตน รวมไปถึงรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่าง แน่นอนว่าชื่อของ SANSIRI (แสนสิริ) ผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ในไทยนั้นต้องติดโผอยู่ในอันดับต้น ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะต้องยอมรับว่าตลอดระยะเวลากว่า 38 ปีที่ผ่านมา แสนสิริ ได้ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากความเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้อยู่อาศัยอย่างเรา ๆ ได้ลึกซึ้งถึงแก่น กับแนวคิดที่ต้องการสนับสนุนให้ทุกคนสามารถยืนหยัดในความเป็นตัวเองให้ได้อย่างเต็มที่ และบ้านถือเป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเป็นตัวเองและภูมิใจในตัวตนได้มากที่สุด ซึ่งทางแสนสิริได้ต่อยอดแนวคิด Made For Life ที่มีพื้นฐานจากความเข้าใจและใส่ใจในทุกรายละเอียดของการใช้ชีวิตของทุกคน ให้สอดคล้องกับทุกมิติชีวิตของ ‘คุณ’ ได้อย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ด้วยการออกแคมเปญ ‘YOU Are Made For Life’ แคมเปญดี ๆ ที่สะท้อนมุมมองของแสนสิริ ซึ่งเข้าใจถึงความต้องการการใช้ชีวิตที่แตกต่างของคุณแต่ละคน ไม่ว่า ‘คุณ’ จะเป็นแบบไหน แต่สำหรับแสนสิริ ‘คุณ’ คือองค์ประกอบที่สำคัญสุดของบ้าน ‘คุณ’ คือหัวใจสำคัญในการพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของคุณ และครอบครัวให้ได้มากที่สุด ‘YOU Are Made For Life’ ที่มาของแคมเปญ ‘YOU
ณ Mid-Den Haus Studio สตูดิโอบ้านสไตล์วินเทจย่านซอยพหลโยธิน 44 เมื่อสัปดาห์ก่อน เรามีนัดพูดคุยกับศิลปินและนักแสดงชื่อดังที่อยู่ในวงการบันเทิงมานานเกิน 20 ปี แต่ไม่น่าเชื่อว่ากาลเวลาจะทำอะไรผู้ชายที่ชื่อว่า “โดม ปกรณ์ ลัม” ไม่ได้เลย โดมจะมาพาทุกคนไปไล่ย้อนไทม์ไลน์นับตั้งแต่วันแรกที่เข้าวงการจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงมุมมองของสังคมและประเทศไทยในปัจจุบันที่ถูกแช่แข็งอยู่กับที่มาอย่างยาวนาน ซึ่งคงไม่บ่อยมากนักที่เราจะได้ฟังทัศนคติของโดมที่จะพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ พร้อมแล้วไปลุยกันเลยครับ! เข้าสู่วงการตั้งแต่วัยเด็ก โดม เป็นคนที่มีชีวิตวัยเด็กไม่ต่างจากเด็กทั่ว ๆ ไป ตื่นเช้าไปเข้าเรียน ตกเย็นเตะบอลกับเพื่อนแล้วค่อยแยกย้ายกลับบ้านนอนตามปกติ แต่สิ่งที่แตกต่างกว่าคนอื่น ๆ ซักเล็กน้อยก็คงเป็นการทำงานถ่ายโฆษณาตั้งแต่วัย 2-3 ขวบ ซึ่งโดมเล่าให้ฟังว่ามีงานเข้ามาบ่อยมาก เนื่องจากตนเองเป็นเด็กที่อึดมาก ไม่ค่อยงอแง ทำให้ได้งานตลอด มีรายได้พิเศษมาช่วยคุณแม่จนกระทั่งเข้าสู่วัย 6 ขวบ “ถ่ายโฆษณาไปมา จนไปเตะตาพี่คนหนึ่ง เขาทำละครอยู่ช่อง 3 ตอนนั้นประมาณ 6 ขวบ ผมเล่นละครช่อง 3 เป็นตัวละครเด็กนี่แหละครับ ได้เล่นอยู่หลายเรื่อง จากนั้นก็เริ่มมีงานตามมาเรื่อย ๆ ลักษณะกึ่งดาราเด็กแต่ก็ไม่เชิง เพราะว่าสมัยนั้นไม่ค่อยมีดาราเด็กที่โด่งดัง จะเป็นพระนางเสียส่วนใหญ่ เด็กก็จะเป็นตัวประกอบในละคร”