“ขีดจำกัด” ใคร ๆ ก็คงต้องติดอยู่กับคำนี้ ถ้ามีโอกาสสักทีเราล้วนแต่ต้องการทำลายมันลงเพื่อใช้ชีวิตไร้ขีดจำกัดแบบที่เราฝัน โดยเฉพาะชีวิตคนเมืองที่เต็มไปด้วยความรีบเร่ง ความรับผิดชอบทั้งกับตัวเราเอง ครอบครัวและคนที่เรารัก การมีชีวิตไร้ขีดจำกัดจึงล้วนเป็นสิ่งที่เราฝันถึง “พื้นที่อยู่อาศัย” ที่จะช่วยให้เราใช้ชีวิตไร้ขีดจำกัดได้จึงไม่ต่างจากตัวช่วยสำคัญที่จะเติมเต็มชีวิตให้เราได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่จะดีแค่ไหน ? ถ้าพื้นที่อยู่อาศัยไม่ใช่แค่เติมเต็มชีวิตให้ไร้ขีดจำกัด แต่มาพร้อมความสะดวกสบายครบครันแบบที่เรารอคอยมาทั้งชีวิต SAMYAN MITRTOWN ถือเป็นอีก Mixed Use Project แห่งปีที่ตอบโจทย์ชีวิตไร้ขีดจำกัดของคนเมืองโดยเฉพาะส่วนที่ลุ้นระทึกกันมานานอย่างส่วนพื้นที่พักอาศัย อย่าง ทริปเปิ้ล วาย เรสซิเด้นซ์ (TRIPLE Y RESIDENCE) แห่ง SAMYAN MITRTOWN ถือเป็นคอนโดมิเนียมที่ส่งเสริมชีวิตไร้ขีดจำกัดที่แท้จริง ทั้งในแง่การเดินทางโดย TRIPLE Y RESIDENCE ตั้งอยู่บนพื้นที่ทองคําที่สวยที่สุดของถนนพระราม 4 นอกจากนั้นยังเติมได้ครบทุกไลฟ์สไตล์คนเมือง และที่สำคัญคือบริการ Facility 24 ชั่วโมง ชีวิตไร้ขีดจำกัดขนาดนี้จะมีรายละเอียดน่าสนใจขนาดไหน เราอยากชวนทุกคนมาตื่นตาตื่นใจกับความสะดวกครบครันไปพร้อม ๆ กันTRIPLE Y RESIDENCE: เดินทางง่ายไร้ขีดจำกัด ชีวิตที่มีข้อจำกัดเรื่องการเดินทางทำให้คนเมืองอย่างเราไม่สามารถทำอะไรได้ตามใจปรารถนา แต่จะดีแค่ไหนถ้า TRIPLE Y RESIDENCE ทำให้ชีวิตไร้ขีดจำกัดได้ด้วยทำเลศักยภาพที่ทำให้ทุกการเดินทางง่ายดังใจนึก TRIPLE
สรรพสามิตฯ บุกตึกแถวจับหนุ่มนิติศาสตร์ ม.ดัง คิดค้นสูตรหมักเบียร์ขายเอง! ย้อนไปเมื่อ 2 ปีก่อน นี่คือพาดหัวหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ เป็นข่าวใหญ่สะเทือนวงการคราฟต์เบียร์ไทยที่ทั้งคนในและนอกวงการต่างให้ความสนใจ เพราะก่อนหน้านี้คราฟต์เบียร์ในไทยยังเป็นอะไรที่เทา ๆ ไม่ได้มีการเอาผิดทางกฎหมายอย่างจริงจังจนกระทั่งเหตุการณ์นี้ ‘เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร’ คือชื่อของผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว คนส่วนใหญ่คงไม่มีใครรู้จักเขามาก่อน มีข้อมูลชายคนนี้เท่าที่ข่าวนำเสนอ แต่เรากับเขาเคยพบปะกันมาบ้างในกิจกรรมทางการเมืองต่าง ๆ รวมถึงเรื่องเบียร์ที่เราค่อนข้างเป็นแฟนคลับ ตามดื่มคราฟต์เบียร์ของเขามาตั้งแต่ยังไม่เกิดเรื่อง เราจึงค่อนข้างตกใจกับข่าวนี้พอสมควร 2 ปีผ่านไป จากผู้ต้องหาในวันนั้น ในวันนี้เขากลับมีชื่อเป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎรในนามพรรค ‘อนาคตใหม่’ พร้อมนโยบายผลักดันคราฟต์เบียร์ไทยให้ถูกกฎหมาย ดูเป็นผู้ชายที่มีชีวิตน่าสนใจไม่ใช่น้อย และโชคดีที่วันนี้เรามีโอกาสได้นั่งพูดคุยกับเขา เอาเป็นว่าเราไปทำความรู้จัก เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร กับบทบาทท้าทายครั้งใหม่ในชีวิตไปพร้อม ๆ กัน เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร คือใคร? “สวัสดีครับ ผมชื่อ เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร อายุ 29 ปี เรียกผมว่าเท่าก็ได้ แต่ฉายาของผมที่คนทั่วไปรู้จักก็น่าจะเป็นหนุ่มนิติคราฟต์เบียร์ เพราะว่า 2 ปีก่อนผมโดนจับไปเพราะทำคราฟต์เบียร์” นอกจากการเป็นหนุ่มนิติคราฟต์เบียร์ ไลฟ์สไตล์ด้านอื่นเท่าพิภพเป็นยังไงบ้าง? “จริง ๆ ไลฟ์สไตล์ผมก็เป็นคนง่าย ๆ รักอิสระ ทำอะไรค่อนข้างตามใจตัวเอง
อาหารอีกหนึ่งปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต เป็นพลังงานหล่อเลี้ยงร่างกาย หลายคนกินเพื่ออยู่ บางคนอยู่เพื่อดื่มด่ำรสชาติที่คลุกเคล้าอยู่ในปาก หรือบางคนก็เลือกที่จะบริโภคเชิงสัญญะ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เรามักจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง เรามักจะอิดออดเมื่อเจอร้านที่แสนจะอร่อยแต่ไม่ถูกสุขอนามัย หรือร้านที่สะอาดก็ดันไม่ถูกปากเราจนกินไม่ลง ในเมื่อเราเลือกได้ที่จะกินหรือไม่กินตั้งแต่แรก ทำไมไม่ลองลงมือทำกินเองกันบ้างล่ะหนุ่ม ๆ รวบตึงเอาทุกข้อดีที่เราอยากได้มาไว้ด้วยกัน เก็บไว้เป็นอีกสกิลติดตัว โชว์สาวได้ กินเองก็ดี หากอยากจะเริ่มต้นแต่ไม่รู้ว่าจะต้องจับจุดไหนก่อน UNLOCKMEN มีเรื่องง่าย ๆ ที่ควรรู้มาแนะนำ เลือกวัตถุดิบให้เป็น อีกหัวใจหลักของอาหารคือ เราต้องเลือกวัตถุดิบให้เฉียบเสียก่อน ถ้าจะมาบอกว่าอันนั้นเลือกแบบนั้น อันนี้เลือกแบบนี้ ผู้ชายอย่างเรางงหูตาแตก จำไม่หมดอย่างแน่นอน เอาเป็นว่าลองแยกเป็นสองอย่างง่าย ๆ คือ เนื้อสัตว์ กับ ผัก ก่อน จริง ๆ เดี๋ยวนี้ตามห้างสรรพสินค้า มีวัตถุดิบที่น่าเชื่อถือด้วยยี่ห้อ การการันตีคุณภาพ เยอะแยะมากมายดาหน้ามาให้เราเลือกเต็มแผง สิ่งที่เราต้องทำคือเลือกมันให้ถูกกับเมนูที่เราจะทำ อย่างเนื้อสัตว์เนี่ย ต้องทำความรู้จักกับแต่ละส่วนของมันก่อน ส่วนนี้จะให้ Texture แบบนี้ ความเหนียว ความนุ่ม ของแต่ละส่วนก็ไม่เท่ากัน อย่าคิดว่าส่วนไหนก็เหมือนกันหมดเชียว ส่วนผัก อันนี้เหมือนจะยากสำหรับหนุ่ม ๆ ที่คงจะแยกความแตกต่างกับเรื่องยิบย่อยไม่ค่อยถูก อย่างใบโหระพากับใบแมงลัก หรือจะเบสิกอย่างใบกะเพรากับใบสะระแหน่
ในปีนี้กระแสอาหารอะไรกำลังมาบ้าง ? นี่เป็นคำถามที่เหล่านักชิมและผู้รักสุขภาพถามหากันตั้งแต่ต้นปี จึงทำให้เว็บไซต์อย่าง michelin.com ที่โด่งดังในเรื่องของการจัดอันดับมิชลินสตาร์ ร่วมกับสำนักข่าว CNBC ได้รวบรวมเทรนด์อาหารที่น่าสนใจประจำปี 2019 เอาไว้เป็นที่เรียบร้อย และ UNLOCKMEN จะพาไปชมกับ 5 เทรนด์อาหารที่น่าสนใจของปีนี้ 1. อาหารเอาใจนักกินสายเขียว เพราะกัญชาคือประเด็นที่ร้อนแรงมาตั้งแต่ต้นปี ทั้งการทำให้กัญชาถูกกฎหมายและกลายเป็นพืชที่ใช้ในการสันทนาการ ในบางประเทศที่กัญชากลายเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายแล้วก็ไม่รอช้านำเจ้าพืชสายเขียวนี้มาเป็นส่วนประกอบของอาหารนานาชนิดเป็นที่เรียบร้อย ไม่ว่าจะอาหารคาวอย่าง ซูชิ ขนมปังกระเทียม แซนวิช สลัด ไปจนถึงของหวานอย่างบราวนี่ มัฟฟิน และไอศกรีม ที่หลาย ๆ คนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าจะต้องได้รับความนิยมอย่างแน่นอน เพราะกัญชานั้นมีส่วนช่วยคลายความเครียด ทำให้หลับสนิท และบางคนก็มีความคิดว่าการใส่กัญชาลงไปในอาหารเล็กน้อยก็จะช่วยทำให้คึกคักในเรืองทางเพศได้ 2. Pacific Rim Cuisine ถึงแม้ชื่อจะเหมือนกับหนังแอคชั่น Sci-fi ชื่อดังอย่าง Pacific Rim แต่อาหารประเภทนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด Pacific Rim Cuisine คือชื่ออาหารฟิวชันซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากวัตถุดิบที่ได้มาจากหมู่เกาะต่าง ๆ ทั่วมหาสมุทรเอเชียแฟซิฟิก ไม่ว่าจะเป็นปลา สาหร่าย
เคยไหมเมื่อบางครั้งรู้สึกโกรธมาก ๆ แต่ทำอะไรไม่ได้ หรือไม่พอใจอะไรต้องเก็บไว้ในใจและไม่รู้ว่าจะไประบายพลังงานลบได้ที่ไหน แล้วถ้าต้องจ่ายเงิน 700 บาท แต่สามารถระบายอารมณ์โดยการทำลายข้าวของได้ตามใจเพื่อคลายความหัวร้อนลงคุณจะยอมจ่ายหรือไม่ ? ถ้าคำตอบที่มีอยู่ในใจคือใช่ UNLOCKMEN จะพาไปทำความรู้จักกับห้องที่ทุกคนสามารถแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาได้ดั่งใจ เพราะอารมณ์โกรธคือสิ่งที่ทุกคนจะต้องเคยพบเจอสักครั้งในแต่ละวันทำให้บริษัทมีชื่อว่า Smash เกิดไอเดียสร้างรายได้จากความโกรธอย่างห้องที่มีชื่อว่า ห้องระบายอารมณ์ หรือ Anger Room ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เป็นห้องที่พร้อมรับมือผู้คนที่นำพาความโกรธมาระบาย ณ ที่แห่งนี้ ก่อนที่ลูกค้าจะได้เข้าไปใช้บริการในห้องระบายอารมณ์ ทางบริษัท Smash จะมอบไม้เบสบอลหรืออาวุธเบาอื่น ๆ ให้ลูกค้าถือติดมือ และกำหนดให้ลูกค้าทุกคนสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันก่อนเข้าสู่ห้องระบายอารมณ์ เพื่อป้องกันสิ่งของที่แตกกระจายเพราะภายในห้องจะมีข้าวของต่าง ๆ เช่น ขวดแก้วหรือแจกัน เตรียมไว้ให้หวดอย่างเต็มแรงเป็นเวลา 30 นาที ในราคา 158 หยวนหรือราว 700 บาท เจ้าของบริษัท Smash นามว่า Jim Meng บอกเล่าถึงธุรกิจของตัวเองว่าห้องระบายอารมณ์นี้เปิดมาตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2018 และลูกค้าราว 600 คนต่อเดือนของเขาได้ทำลายขวดแก้วไปแล้วเดือนละกว่า 15,000 ขวด แถมเขาเคยเห็นลูกค้าหญิงรายหนึ่งนำภาพถ่ายในวันแต่งงานของตัวเองมาทุบทิ้งจนเละและทิ้งไว้ในห้องอีกด้วย สำหรับเสียงตอบรับของเหล่าลูกค้าที่ได้ลองใช้บริการห้องระบายอารมณ์ต่างบอกว่ารู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ทำลายสิ่งของต่าง
โจ๊กเกอร์-ณศิวัชร์ นพภิรมย์ไชย คือชื่อที่เรามั่นใจว่าใครหลายคนรู้จักดีอยู่แล้วด้วยบทบาทหน้าที่อันหลากหลายทั้งการเป็นนักแสดง พิธีกร นักร้อง ไปจนถึงการทำงานเบื้องหลังทำให้ทั้งเขาและผลงานของเขาต้องผ่านหูผ่านตาเราไม่ว่าเราจะสังเกตหรือไม่ก็ตาม นอกจากการทำงานอย่างเต็มที่ไม่มีกั๊กแล้ว คุณโจ๊กเกอร์ยังเป็นคุณพ่อที่ต้องดูแลลูกฝาแฝดสองคนวัยกำลังซน แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำให้พลังในตัวเขาดับมอดลงไปแม้แต่น้อย เขากำลังมีซิงเกิ้ลใหม่หลังจากที่ไม่ได้ทำเพลงของตัวเองมา 20 ปี “พอเรามีความมั่นใจ มันสร้างความมั่นใจทำให้มีพลังทำอะไรหลาย ๆ อย่าง เราได้ความมั่นใจกลับมา เราก็อยากทำอะไรที่เรารัก” คุณโจ๊กเกอร์ให้เหตุผลว่าความมั่นใจนี่แหละที่เป็นกุญแจสำคัญของการกลับมาสร้างผลงานเพลงของตัวเองในแบบที่เขารักอีกครั้ง แต่ความมั่นใจที่ทรงพลังแบบนี้มีที่มาจากอะไร เราก็ไม่รอช้าเริ่มต้นบทสนทนากับผู้ชายมากพลังและเต็มไปด้วยความมั่นใจทันที เพราะเป็นผู้ชายสายลุยจึงต้องไปให้สุดกับทุกสิ่งที่ทำ “ทำอะไรต้องไปให้สุด” เราเชื่อว่าผู้ชายหลาย ๆ คนยึดถือวิธีคิดแบบนี้เป็นหนทางการทำงาน แต่สำหรับคุณโจ๊กเกอร์การไปให้สุดไม่ได้หมายถึงแค่การทำงานเท่านั้น แต่เขาอยากเต็มที่กับทุกสิ่งในชีวิตโดยเฉพาะสิ่งที่เขารัก “ยังทำงานในวงการบันเทิง เพียงแต่ไม่ได้รับละคร ด้วยเงื่อนไขเรื่องเวลา เราทำพิธีกรรายการท่องเที่ยว ต้องเดินทางตลอดจึงจัดสรรเวลายาก เราเลยให้น้ำหนักการทำรายการมากกว่าเล่นละคร ยังอยู่ในแวดวงเพลงมาตลอด ช่วยทำเพลง เขียนเนื้อร้อง ดีไซน์ ทำเพลงประกอบรายการเพื่อให้ไม่ลืม” นอกจากการเป็นพิธีกรรายการท่องเที่ยวสายลุยของตัวเอง การทำงานเบื้องหลังในวงการเพลงและกลับมาทำซิงเกิ้ลของตัวเองในรอบ 20 ปีซึ่งต้องซ้อมอย่างหนัก เขายังเป็นพ่อของลูกสาวฝาแฝดที่น่ารักอีกด้วย “วันนี้เราไม่ใช่แค่คนคนเดียว เราเป็นพ่อคน เป็นพ่อของลูกสาวฝาแฝดที่เราเลี้ยงเอง เวลาที่ใช้กับลูกเราคือคุณพ่อคนหนึ่ง ตัดภาพของดารานักแสดงออกไปได้เลย เราต้องตื่นแต่เช้ามาเตรียมข้าว ขับรถรับส่งที่โรงเรียน” แม้การมีลูกสาวจะหมายถึงความชุ่มชื่นหัวใจ แต่ก็ทำให้คุณโจ๊กเกอร์ต้องสละเวลาที่เคยมอบให้ตัวเองให้กับลูก ๆ แทน
ครั้งสุดท้ายที่เราเอาจริงกับการจัดบ้านมันเมื่อไหร่นะ? จู่ ๆ เราก็ตั้งคำถามตัวเองหลังจากเปิด Netflix เพลิน ๆ แล้วไปเจอซีรีส์สอนจัดบ้านของ Marie Kondo สาวญี่ปุ่นผู้หลงใหลการจัดระเบียบตั้งแต่ 5 ขวบ ตอนเรียนชั้นประถมก็ชอบจัดหนังสือในห้องสมุดมากกว่าไปวิ่งเล่น ถึงจะน่าเหลือเชื่อแต่นั่นแหละ มีสาวคุณสมบัติเพียบพร้อมแบบนี้อยู่จริง ๆ ความมหัศจรรย์ของข้าวของในบ้านที่โดนเคลียร์เสียเรียบเนี้ยบนิ้งในระยะเวลาสั้น ๆ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นถูกดองให้รกมาเป็นสิบ ๆ ปี แถมพอเอาของทุกอย่างฉบับ before มากองสุมรวม ๆ ซ้อนกันแล้ว มันยังสูงกว่าตัวเธอ หรือครอบครัวที่เธอไปแก้ปัญหาให้เสียอีก เป็นจุดที่ทำให้เรารู้สึกว่า เอาวะ! เขาทำได้เราก็ต้องทำได้ แต่เบื้องหลังความเรียบร้อย กองผ้าผ่อนที่พับอย่างดี ของที่จัดวางอย่างเป็นหมวดหมู่ก็ทำให้เผลอไปคิดถึงอีกพฤติกรรมนึงที่เราเคยได้ยินอย่างโรค OCD (โรคย้ำคิดย้ำทำ) ประเภทที่ว่าเป็นคนระเบียบจัดแบบสุด ๆ ตลอดเวลาด้วย แล้ว Marie Kondo เป็น OCD หรือเปล่า? หรือการเป็น OCD มันคืออะไรกันแน่ เกี่ยวข้องกับความชื่นชอบจัดบ้านไหม ใครที่สงสัยเหมือนเราลองตามไปดูพร้อมกัน แต่ถ้ามีคำตอบในใจอยู่แล้วก็อย่าพลาด มาเช็กให้ชัวร์อีกทีว่าเหมือนกันกับที่คิดไหม WHO’S MARIE
“ความสำเร็จ”คืออะไร ? รูปร่างหน้าตาเป็นแบบไหน ? ถามคำถามนี้กับใครก็ยากที่คนตรงหน้าจะระบุรูปลักษณ์ที่แน่นอนของสิ่งนามธรรมอย่างความสำเร็จออกมาได้ โดยเฉพาะกับคนหนุ่มสาววัย 20 ต้น ๆ ที่มักกำลังตามหาความหมายอะไรบางอย่างของชีวิต เราก็ทึกทักเอาเองว่าคนจะมีพวกเขาน้อยคนนักที่จะสามารถนิยามความหมายของคำว่าความสำเร็จของตัวเองได้ แต่ไม่ใช่กับ “มานะ-มนพร ศรีศุทธยานนท์” หรือ MANA DKK นักวาดภาพประกอบสาวที่เรามีโอกาสสนทนาด้วย เธอนิยามความสำเร็จในแบบของเธอเองได้อย่างแจ่มชัด บางความสำเร็จของบางคนอาจหมายถึงเกียรติยศ ชื่อเสียง หรือเงินทอง แต่สำหรับเธอความสำเร็จอาจหมายรวมถึงการได้ตื่นขึ้นมาในแต่ละวันและยังสามารถทำสิ่งที่เธอรักอย่างการวาดรูปได้อย่างมีความสุขนั่นก็เพียงพอจะเป็นความสำเร็จแล้ว ไม่ใช่แค่นิยามของความสำเร็จของมานะเท่านั้นที่ดูชัดเจน แน่วแน่ แต่ในฐานะนักวาดภาพประกอบรุ่นใหม่ ผลงานและตัวตนของมานะก็โดดเด่นน่าสนใจไม่แพ้กัน สำหรับใครที่เคยอ่านสื่อออนไลน์อย่าง The MATTER มาบ้าง ก็ดีใจด้วย เพราะคุณอาจเห็นงานภาพประกอบสีสันสดใสของมานะที่ผนวกรวมเข้ากับเนื้อหาหนักแน่นได้อย่างกลมกล่อม แต่ก็ไม่ทิ้งความเป็นตัวเธอแต่อย่างใด ยิ่งเห็นภาพสีสันสดใส แต่เต็มไปด้วยตัวตนเหล่านั้น เรายิ่งอยากทำความรู้จักเธอ … ตอนที่เรากำลังอยากรู้จักเธอมากขึ้นก็เป็นช่วงเดียวกันกับที่มานะกลับมาไทยช่วงสั้น ๆ เพราะตอนนี้เธอกำลังเรียนปริญญาโทด้าน Visual Development ที่สหรัฐอเมริกา เธอเรียนมา 2 ปีเต็ม ๆ แล้วและยังเหลืออีกปีกว่า ๆ ก่อนจะจบการศึกษาอย่างเป็นทางการ “เรียนมาสองปีแล้ว เหลืออีกปีกว่าจะจบ แต่เราค้นพบว่ามันใช่มาก ชอบมาก แต่ก็น่าจะหางานยากด้วย เพราะในไทยก็มีงานด้านนี้น้อย
เมื่อสมัยเรียนเนี่ย เรามักจะมีเพื่อนสักคนที่จะเป็นคนโปรดของครู ทำหน้าที่นักเรียนดีเด่นชนิดที่ต้องยกตำแหน่งอยู่เป็นไปให้แบบไร้คู่แข่ง พอมาในวัยทำงาน เราเองก็รู้สึกได้ว่าสิ่งเหล่านั้นยังไม่หายไป เรายังเจอลูกรักของเจ้านาย ที่ยังไง้ยังไงก็จะเป็นคนโปรดอันดับหนึ่งเสมอ ผิดพลาดไปยังไงก็จะกลับคืนสู่บังลังก์ลูกรักได้ทุกครั้งไป มันคืออาการที่มองเห็นแต่ด้านดีของคน ๆ นั้น ไม่ใช่แค่ในมุมของคนที่มีสถานะสูงกว่ามองคนที่ต่ำลงมาอย่างเจ้านาย-ลูกน้อง ครู-นักเรียน เท่านั้น แต่คนทั่วไปอย่างเรา ๆ คนที่สถานะเท่ากันก็สามารถมีภาพมายานี้บังตาได้เหมือนกัน UNLOCKMEN จะพามาดูกันว่า ไอ้อาการนี้มันเป็นยังไง และมันส่งผลกระทบอะไรกับเราบ้าง พร้อมทางออกสำหรับทุกฝ่าย HALO EFFECT ภาวะ ‘HALO EFFECT’ ถูกค้นพบโดยนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน Edward L. Thorndike ตั้งแต่ปี 1920 นู่นแล้ว ซึ่งมันมีความหมายอย่างง่ายที่สุดคือการที่เราเทิดทูนใครคนหนึ่งแต่เพียงด้านดีของเขาเท่านั้น แล้วด้านไม่ดีล่ะ ? เขาก็ยังมีด้านไม่ดีเหมือนกัน แต่เราเลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็นมันและโฟกัสไปแต่ด้านดีของเขาเพียงอย่างเดียว เหมือนกับว่าเรามองคนโปรดคนนั้นในมิติเดียวนั่นแหละ ราวกับเป็นตัวละครจากวรรณกรรมโรแมนติก ที่คนดีก็จะดี๊ดี ดีมันอยู่อย่างนั้น ไม่ได้มองว่าเขาคือคนทั่วไป ที่มีทั้งด้านดีและไม่ดี มองข้ามข้อเสียไปแบบเนียน ๆ ยังไม่พอ ข้อดีที่เขามีนั้นก็ถูกเทิดทูนแบบ Overrated อีกด้วย ช่างเป็นคนโปรดแบบหาใครมาเปรียบไม่ได้เสียจริง ๆ อาการแบบนี้ฟังดูมันเหมือนเจ้านายที่มีคนโปรดในออฟฟิศ ที่จะได้ทุกอย่างไปแบบไม่ต้องลงแรงเท่าคนอื่น
ปีที่ผ่านมาจนถึงปีนี้ ศิลปะยังคงเบ่งบานทั่วกรุง หลายแห่งแข่งขัน ประชัน เชิญชวนให้เรานั่งไม่ติด ต้องลุกเป็นเป็นส่วนหนึ่งของงาน ในวันที่ศิลปะเบิกบาน เมื่อศิลปะถูกจับมาเขย่าแล้วทอดลงบนย่านต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ ทุกที่ที่ได้รับเลือกให้เป็นแลนด์มาร์กจะเกิดเป็นสีสัน เหมือนดอกไม้บานปลุกให้ผู้คนเข้ามามาเยี่ยมชมเล่นสนุกกันในย่านน้ัน แต่พอเทศกาลสิ้นสุดลงตามกำหนดการ ความเห่อที่ไม่กรุ่นในหน้าโซเชียลอีกต่อไป สิ่งที่ย่านเหล่านั้นเหลืออยู่คืออะไรกันแน่ เราเชื่อว่าหลายคนคงตั้งคำถาม เพื่อไม่ให้การเดินเท้าครั้งนี้เป็นแค่การเดินอย่างผู้มาเยือนเหมือนเคย เราจึงเลือกเข้าไปดูงาน Bangkok Design Week 2019 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 มกราคม 2562 – 3 กุมภาพันธ์ 2562 ในย่านตลาดน้อยกับตาตัวเองเพื่อตอบคำถาม “งานศิลปะก็ดีนะ แต่เราอยากให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมกับงานศิลปะมากกว่านี้” เป็นหนึ่งในความเห็นของคนที่เคยมาชมงานในหน้าโซเชียล ยิ่งเร้าความสงสัยเราเข้าไปอีก คนในพื้นที่เขารู้สึกอย่างไรกับงานเหล่านี้กันแน่ และเมื่อมันเข้าไปกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตเขามันเกิดผลกระทบอย่างไร เหตุผลหนึ่งที่เราเลือก “ตะลัคเกียะ” หรือตลาดน้อย ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ของการจัดงานครั้งนี้เพื่อเดินเท้าดูศิลปะ เพราะย่านนี้เป็นชุมชนจีนที่เกิดจากการขยายตัวของสำเพ็งช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ อยู่ในพื้นที่เมืองที่เดินทางได้สะดวก เราเองก็เดินทางผ่านย่านนั้นบ่อยแต่อาจจะเลยผ่านไป ทั้งที่ความน่าสนใจจากส่วนผสมของหลายวัฒนธรรมนั้นไม่ได้น้อยหน้าใคร เรียกได้ว่าแม้จะไม่ถือเป็น Big place อย่างเยาวราชแต่ก็ไม่ได้เบาบางเสียจนสามารถมองข้ามไปได้ ย่านเก่าแก่ที่มีวัฒนธรรมจีน ไทย แถมยังมีโบสถ์และการใช้ชีวิตของคนหลากหลายเจนเนอเรชั่นเดินขวักไขว่ เราลองมาดูของจริงไปพร้อมกันว่าเจ้าของพื้นที่เขาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับงานศิลปะที่จัดวางอย่างไร IS ART