ในแต่ละปีประเทศไทยถือเป็นเมืองที่มีนักร้องทั้งไทยและเทศต่างพากันจัดแสดงคอนเสิร์ตกันอย่างเนืองแน่น เมื่อเราได้ไปอยู่ในคอนเสิร์ตที่ดีต่อใจมาก ๆ หลังจากความสนุกจบลง จากความสุขกลับถูกแทนที่ด้วยความเศร้าและรู้สึกอยากร้องไห้อย่างบอกไม่ถูก ถ้ารู้สึกแบบนี้คุณอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็น PCD หรืออาการซึมเศร้าหลังจบคอนเสิร์ตแล้วก็เป็นได้ PCD หรือ Post Concert Depression คืออาการซึมเศร้าหลังจากจบคอนเสิร์ต เกิดขึ้นเมื่อเราเข้าไปชมการแสดงและได้พบเจอศิลปินที่ชื่นชอบพร้อมสนุกสนานไปกับดนตรี ฮอร์โมนในร่างกายที่เป็นสารสร้างความสุขอย่าง Endorphine จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างกะทันหัน ความผิดปกติของฮอร์โมนจะทำให้เกิดผลกระทบทางความคิด ส่งผลให้เมื่อออกก้าวออกจากฮอลล์และกลับมาบ้าน ต้องเผชิญกับความจริงว่าพรุ่งนี้ต้องทำงานหรือกลับเข้าสู่ภาวะปกติอย่างที่เคยเป็น ทำให้หลายคนเกิดความรู้สึกว่างเปล่าและซึมเศร้า คิดว่าเวลาแห่งความสุขทำไมถึงผ่านไปเร็วขนาดนี้ บางครั้งอาจจะร้องไห้ ซึ่งความรู้สึกแย่ ๆ นี้จะกินระยะเวลาตั้งแต่ 2 ชั่วโมง ไปจนถึงเป็นเดือนเลยก็มี เพราะความสุขสามารถทำให้เราใจสลายได้ ผลจากวารสารศึกษาโรคหัวใจยุโรปหรือ European Heart Journal ที่วิเคราะห์ข้อมูลสถิติคนไข้ของโรงพยาบาลซูริกจำนวน 485 ราย พบว่ามีผู้เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจสลาย หรือ Broken Heart Syndrome เป็นจำนวน 20 คน จากเหตุการณ์ที่กำลังมีความสุขจากสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น งานแต่ง งานวันเกิด ทีมโปรดชนะการแข่งขัน รวมถึงคอนเสิร์ต ที่ถึงแม้การป่วยจากความสุขจะมีอัตราความเสี่ยงที่น้อยกว่าสาเหตุจากความเครียด แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี ดังนั้นการเตรียมความพร้อมด้วยการสังเกตอาการดังต่อไปนี้สามารถบอกได้เบื้องต้นว่าคุณมีภาวะ Post
ในชีวิตคน ๆ หนึ่ง เราเคยคิดไว้บ้างหรือเปล่าว่าเราจะมีแรงทำอะไรได้มากแค่ไหน จะมีอะไรมาผลักดันให้เราต้องทำหลาย ๆ สิ่งพร้อมกันได้มากเท่าความรักในสิ่งนั้น ๆ จริงหรือเปล่า DJ MAX บางคนอาจรู้จักเขาในฐานะ DJ แห่งคลื่น Cat Radio บางคนอาจรู้จักในฐานะมือกลองวงภูมิจิต หรือนักร้องวง The Super Glasses Ska Ensemble และแสงระวี หรือแม้แต่งานเบื้องหลังอีกมากมาย ทั้งหมดทุกหน้าที่นั้น ถูกขับเคลื่อนไปด้วยความรักในสิ่งที่ทำ วันนี้เราชวนทุกคนมาแกะรอยเบื้องหลังแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาลุกขึ้นมาทำทุกอย่างไปพร้อม ๆ กัน และการ Balance ชีวิตและอาชีพให้ลงตัว Timeline ชีวิต อาชีพในวงการดนตรีของเขานั้น เรียกได้ว่าครอบคลุมเกือบทุก Process ของการทำเพลงแล้ว ไม่ว่าจะเบื้องหน้า เบื้องหลัง นับรายชื่อวงที่เขาเป็นสมาชิกทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เยอะจนไม่อาจใช้นิ้วนับได้พอ มาฟังจากปากเจ้าตัวกันเลยดีกว่า อาชีพในวงการดนตรีเริ่มต้นจากจุดไหน ทำอะไรมาบ้าง แล้วตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ ? แม็ก: อาชีพคือเป็น Music Solution คือเป็นอาชีพที่ตั้งขึ้นมาเองครับ เพราะไม่รู้จะระบุว่าทำงานทางด้านไหนเกี่ยวกับดนตรี เพราะว่าทำทุกด้านครับ ไล่ตั้งแต่นักดนตรี
Keanu Reeves คือผู้ชายที่มีความมั่งคั่งระดับ $360,000,000 USD (12,000 ล้านบาท) นั่งรถไฟฟ้า นั่งกินข้าวพูดคุยกับ Homeless ได้อย่างสบายใจ ถ้าให้นึกถึงผู้ชายที่แม้แต่ผู้ชายด้วยกันต้องหลงใหล ชื่อที่ถูกยกให้เป็นอันดับ 1 ต้องเป็น Keanu Reeves อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นภายนอกที่ดูหล่อเท่แบบไม่ต้องพยายาม ไม่ได้วิ่งไล่ตามแฟชั่น แต่เลือกในสิ่งที่ใส่แล้วรู้สึกสบายใจ หรือจะเป็นภายในจิตใจที่ Keanu Reeves ได้รับเสียงยืนยันจากทั้งผู้ร่วมงานและคนรอบตัวที่ได้พบเจอกับเค้า ถึงความเป็นคนดี ใจกว้าง เข้าถึงง่าย มีความติดดินไม่ถือตัวว่าเป็นดาราใหญ่ ทั้งที่มีความสามารถในการแสดงจนชนะใจคนทั้งโลกได้ไม่ว่าจะนึกถึงเค้าในบทบาทไหนก็ตาม Keanu Reeves เป็นผู้ชายที่รับประกันได้ว่า หล่อทั้งในจอและนอกจออย่างแท้จริง แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นได้กับทุกคน เราเห็นดาราที่ประสบความสำเร็จเร็วแต่ชีวิตกลับพังพินาศ คนมีชื่อเสียงที่เป็นคนดีแค่ในจอ หรือคนที่มีเงินมากมายแต่กลับดูถูกคนรอบข้าง สำหรับ Keanu Reeves สิ่งที่หล่อหลอมให้ตัวเข้าเป็นคนดีแบบทุกวันนี้ได้นั้น กลับกลายเป็นความผิดหวังและเรื่องราวน่าเศร้าแทบจะตลอดช่วงชีวิตของเค้า แต่ก็เป็นเพราะประสบการณ์เหล่านั้นเองที่ทำให้ Keanu Reeves เข้าใจโลกนี้ได้ดีกว่าคนอื่น และเรื่องหนักอึ้งทั้งหมดที่เค้าเจอ ไม่สามารถทำลายจิตใจของเค้าได้ ความอดทนจึงเป็นสิ่งที่เราควรจะเรียนรู้จากชีวิตของผู้ชายคนนี้ Keanu Reeves เป็นลูกชายของ Patricia และ
ปีเก่ากำลังผ่านไป ปีใหม่กำลังจะผ่านเข้ามา ใกล้เข้าสู่ช่วงเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่แบบนี้ ทั้งอารมณ์ อากาศ และบรรยากาศ มันเหมือนเป็นช่วงโค้งสุดท้ายในการรีบเคลียร์งาน รีบปาร์ตี้ รีบเล่นเกมปราบบอสเคลียร์เลเวลให้เทพกว่าใคร รีบไปฉลองและเก็บทุกกิจกรรมมันส์ ๆ ช่วงส่งท้ายปีที่มีวันหยุดเยอะแยะเหลือเกิน อะไรที่เคยคิดหรือแพลนว่าจะทำแต่ยังไม่ได้ทำ ผู้ชายหลายคนน่าจะเลือกใช้โอกาสนี้เก็บแต้มให้ครบจบปีสวยงาม แต่แม้กายจะพร้อม ใจจะพร้อม วันหยุดพร้อม ผิวหน้าของพวกเราอาจจะไม่พร้อมรับกิจวัตรสุดหักโหมในช่วงใกล้สิ้นปีแบบนี้ ส่งผลให้ช่วงปลายปีเป็นช่วงที่ผู้ชายเราหน้าโทรมหมองคล้ำรับปีใหม่กันเสมอ ซึ่งครั้นจะไปรอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยแก้ไขก็ดูจะไม่ใช่สไตล์ผู้ชายหน้าหล่อ ทางที่ดีเราควรลุกขึ้นมาจัดเต็มพร้อมดูแลบำรุงผิวหน้าให้มีพลัง สดใสพร้อมลุยทุกกิจกรรม ปาร์ตี้หนัก ทำงานจัดเต็ม ใช้ชีวิตสุดขนาดนี้ อาจจะมีอาการหน้าโทรมเป็นซอมบี้ปรากฏขึ้นมาบนหน้าได้ ผู้ชายเราจึงไม่ควรมองข้ามการดูแลผิวหน้า ทำความสะอาดและบำรุงรักษาให้ผิวหน้าสดใสมีออร่าแบบผู้ชาย เป็นการให้รางวัลตัวเองที่ดีในการเริ่มปีใหม่แบบหล่อ ๆ ของพวกเราทุกคนใน The Men Expert Bible #5 by L’Oreal Men Expert ไบเบิลเสริมหล่อ Ep 5 ที่จะมาปิดท้ายหลักสูตรดูแลผิวหน้าผู้ชายที่กำลังเข้าสู่ช่วงกิจกรรมหนัก ๆ แบบช่วงสิ้นปีหรือจะเป็นช่วงหยุดยาวไหน ๆ หรือช่วงหักโหมเมื่อไหร่ ก็สามารถนำวิธีดูแลผิวหน้าสดชื่นกระจ่างใสที่ทำได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก พร้อมรับวันใหม่แบบเร่งด่วนนี้ไปใช้ได้เช่นกัน สำหรับการปลุกพลังผิวหน้าให้สดชื่นกระจ่างใสในขั้นตอนเบื้องต้น สามารถย้อนไปดูได้จาก The Men Expert
เราทุกคนต่างต้องเคยผ่านเรื่องราวที่ไม่น่าจดจำ ความล้มเหลว และการทำผิดพลาด แต่ไม่ว่าจะพลาดไปกี่ครั้ง การสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองเพื่อต่อสู้กับปัญหาชนิดหลังชนฝาเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็สามารถทำได้ ซึ่งฟังดูแล้วอาจจะยาก แต่ในความจริงแล้วการสร้างแรงบันดาลใจ ปลุกจิตวิญญาณนักสู้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ยากอย่างที่คิด ค่านิยมสู้ไม่ถอยนั้นมีอยู่ทั่วโลก มีอยู่ในตัวของทุกคน แต่เมื่อพูดถึงความใจสู้คนส่วนใหญ่ก็มักจะนึกถึงชาวญี่ปุ่นที่มักมาพร้อมกับวลี “กัมบัตเตะ” ที่แปลว่า พยายามเข้า หรือ สู้ ๆ ซึ่งคนญี่ปุ่นไม่ว่าจะเจอกับปัญหาอะไรก็จะมักจะ “กัมบัตเตะ” ไว้ก่อนเสมอ เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ทางภาษาและสังคมที่เป็นที่เข้าใจและนึกภาพออกกันทั่วโลกกับเรื่องของความสู้ไม่ถอยของชาวญี่ปุ่น ในขณะที่คนไทยมักจะพูดว่า “ไม่เป็นไร” หรือ “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ความสู้ไม่ถอยของคนญี่ปุ่นนั้น มาจากประสบการณ์มากมายที่ชาวญี่ปุ่นต้องพบเจอ เช่น ไม่ว่าจะเป็นการพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือสารพัดภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหว หรือสึนามิ ที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงทุกครั้ง แต่ไม่ว่าจะเกิดความเสียหายรุนแรงขนาดไหน เราจะเห็นได้ว่าคนญี่ปุ่นสามารถพลิกปัญหาต่าง ๆ ให้กลับมาราบรื่นได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ซึ่งความใจสู้ไม่ยอมถอยให้กับอุปสรรคและแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงทีนั้น เป็น Mindset ที่น่าสนใจของคนญี่ปุ่น ซึ่งคงจะดีถ้าเรานำวิธีคิดเหล่านี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ตั้งเป้าหมายและมั่นใจว่าทำได้ การตั้งเป้าหมายคือการวางแผนขั้นแรกที่สำคัญ ทั้งการตั้งเป้าหมายที่มองในภาพรวมและเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง อาจทำให้เรารู้สึกท้อแท้ตอนเริ่มต้นเมื่อเทียบกับการทำอะไรตามที่สะดวกของตัวเอง แต่เชื่อเถอะว่าการทำแบบนี้เป็นการเริ่มต้นที่ดีกว่า สามารถสร้างเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ให้เป็นจริงได้ เริ่มจากการตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ จากนั้นค่อยขยับสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
มากกว่ารสชาติความคลาสสิกที่วิ่งผ่านลำคอ เครื่องดื่มสามารถสร้างสรรค์ไปได้ไกลกว่านั้น โดยเฉพาะเมื่อมันเปลี่ยนความชอบของผู้ชายอย่างเรื่องของสถาปัตยกรรมให้กลายมาเป็นแอลกอฮอล์แก้วจิ๋วที่ยิงหมัดหนักได้ตรงทั้งความเข้มและความประทับใจ ไอเดียเปลี่ยนสถาปัตยกรรมมาเป็นเมนูเครื่องดื่มที่เรานำมาฝากในครั้งนี้ส่งตรงจาก Connaught Bar บาร์ในลอนดอนที่ติดอันดับที่ 5 ของ The World’s 50 Best Bars ในปีนี้ ซึ่งกำลังครบรอบ 10 ปี Agostino Perrone หัวหน้า mixologist จึงครีเอตไอเดียให้นักดื่มอย่างเรารู้สึกตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น แพสชั่นนี้เกิดจากความช่ืนชอบสถาปัตยกรรมในบาร์ นำมารวมเข้ากับเรื่องการดื่ม สร้างสรรค์เป็นเครื่องดื่มสุดคลาสสิกที่กลายเป็นซิกเนเจอร์เฉพาะสถานที่จิบดื่มคือบาร์แห่งนี้เท่านั้น ซึ่งเขากล่าวว่าการคิดสูตรเหล่านี้ไม่ได้จับเฉพาะเรื่องการดื่มอย่างเดียวแต่มีเรื่องการดื่มด่ำความสนุกเข้าไปเป็นแก่นของรสชาติด้วย เมนูเครื่องดื่มแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ the Masterpieces, Foundation, Finesse และ Flair แต่ละส่วนจะประกอบด้วยเมนูที่ดึงคาแรคเตอร์ของบาร์ออกมาให้เลือก MASTERPIECE คือส่วนแรกของคอลเลกชั่นนี้ เน้นเมนูคลาสสิกขึ้นชื่อประจำบาร์มาใส่ไว้ในเมนู แต่เป็นฉบับปรับปรุงสูตร เพราะฉะนั้นเบสเดิมที่เข้มข้นเมื่อเติมพลิกแพลงใหม่จึงได้รสชาติสุดประทับใจ FOUNDATION คือการรวมเมนูที่ดึงคาแรกเตอร์แข็งแรง ลงลึกถึงระดับโครงสร้างและวัตถุดิบมาสร้างเป็นรสชาติชวนดื่มให้มันถึงพริกถึงขิง อาทิ Set in Stone คือค็อกเทลที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบาร์หินอ่อน เสิร์ฟจัดแต่งน้ำแข็งกลางแก้วดุจหินอ่อนสร้างความรู้สึกสุดเข้มข้น หรือ Sweet &
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในสังคมยุคปัจจุบัน โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่ทำให้คนตายได้มากพอ ๆ กับโรคร้ายอย่างมะเร็ง และโรคซึมเศร้าก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการฆ่าตัวตาย รวมถึงเรื่องของการใช้ยาเสพติด ไม่ว่าจะด้วยสภาพทางเศรษฐกิจ หรือปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีส่วนให้เกิดความเครียดทั้งนั้น ด้วยจำนวนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากวันนึงคนรอบข้างเป็นโรคซึมเศร้าถึงขั้นคิดว่าตายไปน่าจะดีกว่า เราควรจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร ? เข้าใจว่าความรู้สึกอยากตายเกิดจากอะไร? บางคนเกิดมาจนถึงตอนนี้อาจไม่เคยเกิดความรู้สึกว่าอยากตายเลยสักครั้ง แต่สำหรับคนที่มีอาการซึมเศร้า เมื่อเจอปัญหาหนักเกินรับไหวก็จะเริ่มเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมา และจะถูกสะกิดให้คิดถึงมันได้แม้จะไม่มีปัจจัยอะไรมากระตุ้นก็ตาม เพราะความรู้สึกเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ และเปลี่ยนแปลงง่ายไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางสภาพแวดล้อม คนรอบข้าง หรือตัวเองก็ตาม ทุกอย่างล้วนสร้างความคิดที่วนเวียน จมอยู่ในช่วงเวลาแย่ ๆ ในหัวจนรู้สึกโดดเดี่ยวออกมาจากสังคม หากครั้งหนึ่งใครเคยได้ยินชื่อของ JD Schramm ที่ปรึกษาด้านธุรกิจการสื่อสารของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ก็คงจะนึกออกว่าเขาคือชายผู้ที่พยายามฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดสะพานแมนแฮตตัน เขาเลือกการตายเพื่อจบความเจ็บปวดจากโรคซึมเศร้า และสุดท้ายเขาก็ถูกช่วยชีวิตไว้ได้ทัน จึงได้เอาประสบการณ์เกือบตายในครั้งนี้มาเล่าใน Ted Talk JD บอกว่าเขาเข้าใจความคิดของคนที่ต้องการฆ่าตัวตายเป็นอย่างมาก เพราะความคิดแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อนเหมือนกัน เขารู้ซึ้งถึงพลังของความเงียบเหงา และความหดหู่นั้นน่ากลัวกว่าที่คิด เพราะมันจะเปลี่ยนสิ่งรอบตัวเราให้กลายเป็นความทุกข์อันมืดดำ จนรู้ตัวอีกทีไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถทำให้มีความสุขได้อีกแล้ว และทางออกเดียวที่คิดว่าจะช่วยทำให้ความทุกข์หายไปก็คือการฆ่าตัวตาย JD สรุปว่าจิตใจเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก และถ้าหากเริ่มมีความเครียดนึกถึงแต่เรื่องแย่ ๆ ก็ต้องหาวิธีรับมืออย่างทันท่วงทีก่อนที่มันจะบานปลายจนถึงขั้นเกิดความคิดที่จะจบชีวิตตัวเอง ทางด้านองค์กรต่างๆ ก็พยายามค้นหาคำตอบว่าสาเหตุที่ทำให้ผู้คนคิดฆ่าตัวตายเกิดจากอะไร ซึ่งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ ฯ หรือ
เมื่อจะต้องเดินทางไกลทั้งที เรื่องหนึ่งที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนาก็คงไม่พ้นเรื่องของการเลือกที่นั่งบนเครื่องบิน ที่คิดยังไงก็คิดไม่ตก ทั้งเรื่องของความสะดวกสบาย รวมไปถึงระบบความปลอดภัยเพื่อความสบายใจของชีวิต UNLOCKMEN จึงได้รวบรวมงานวิจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับการเลือกที่นั่งบนเครื่องเพื่อให้เหล่านักเดินทางได้ศึกษาเผื่อจะจองที่นั่งบนเครื่องบินครั้งต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่ามันเป็นเพียงสถิติที่มีการศึกษาจากทีมวิจัยต่างประเทศ ไม่ได้แปลว่าที่นั่งอื่นนั่งไม่ได้แต่อย่างใด เพราะปัจจุบันเครื่องบินทุกลำของทุกสายการบินมีการตรวจสอบอย่างละเอียดยิบทุกขั้นตอน จึงมีความปลอดภัยที่สูงมาก ๆ เรียกว่าแทบจะมีโอกาสเกิดเหตุไม่คาดฝันเป็น 0% เลยทีเดียว (สถิติเครื่องบินพาณิชย์ในปี 2018) ว่ากันว่าการเดินทางที่ปลอดภัยที่สุดคือการเดินทางโดยเครื่องบิน แม้จะมีความเสี่ยงต่อชีวิตถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นน้อยยิ่งกว่าน้อย เรียกว่าใกล้กับคำว่า 0% ปลอดภัยยิ่งกว่ารถยนต์หรือรถไฟฟ้าเสียอีก แต่อย่างไรก็ตาม ทีมนักวิจัยก็ไม่หยุดตั้งตำถามว่า จากตำแหน่งที่นั่งหลายร้อยที่บนเครื่องบินโดยสาร ตำแหน่งไหนมีความปลอดภัยมากที่สุดในเชิงสถิติ เพราะไม่ใช่ทุกครั้งที่เมื่อเครื่องบินตกแล้วผู้โดยสารจะเสียชีวิตยกลำเสมอไป ยกตัวอย่างกรณีเครื่องบินของสายการบิน US-Bangla ตกและมีผู้เสียชีวิต 49 คน จากทั้งหมด 67 คน หรือในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาก็พึ่งมีข่าวว่าเครื่องบินของสายการบิน Aeromexico เที่ยวบิน AM2431 เกิดอุบัติเหตุจากสภาพอากาศที่ย่ำแย่และมีผู้โดยสารบาดเจ็บบ้างแต่รอดชีวิตทั้งลำ แล้วคนที่รอดชีวิตส่วนมากนั่งกันตรงไหน? จากสถิติการสำรวจของ The Popular Mechanics ระบุว่าเหตุการณ์อุบัติเหตุของเครื่องบินในประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวน 20 ครั้ง ที่ได้ข้อมูลจากสำนักงานความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งสหรัฐ ฯ หรือ National Transportation
ก่อนอื่นคงต้องยอมรับกันตรง ๆ ว่าบทสัมภาษณ์ของ Befor.tart เป็นการคุยที่ “ออกรส” ส่งท้ายปี 2018 ของ UNLOCKMEN มากที่สุด เพราะเรามีโอกาสลิ้มรสแพสชั่นของชายที่อยู่ตรงหน้ากับปาก เคี้ยว crack ได้เต็มคำทุกอณูแรงบันดาลใจของเขา เช่นเดียวกับบทสนทนาถูกคอที่ละลายเวลาอย่างรวดเร็วเหมือนผ่านไปเพียงไม่นาน พร้อมเสียงหัวเราะ เพราะทั้งหมดนี้คือคำพูดที่ไม่เคลือบน้ำตาลแต่ดิบและจริงใจจากเขา ซิก-สุรัตน์ ซิการี่ เจ้าของร้านทาร์ตมากคอนเซ็ปต์ที่ทำขึ้นเพื่อคุณเท่านั้น “Befor.tart” เรื่องหนึ่งที่เราเห็นชัดจากซิก คือเซนส์ความเข้าใจตัวเองที่ชัดเจนจนน่านับถือ แม้หลายคนยอมรับความก้าวหน้าเส้นทางการเติบโตที่ตัวเองต้องเจอ แต่เขากลับแบกรับความกล้าเลือกในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ถ้ารู้ว่าไม่ชอบและวันหนึ่งจะไม่ใช่ เขาจะไม่เสียใจที่ต้องเริ่มใหม่ นั่นจึงเป็นเส้นทางสายใหม่ของอดีตนักภูมิศาสตร์ทำงานเขียนแผนที่ แต่สำรวจพบในการทำงานปีที่ 3 ว่าตัวเองชอบกินขนมและอยากทำอะไรที่สนุกมากกว่าเดิมทุก ๆ วัน “ตอนที่เราทำงาน เราสนุกมากครับ แต่พอทำไปทำมามันไม่สนุกแล้ว ตำแหน่งการทำงานแล้วมันไม่ใช่แบบเดิมแบบที่คิดไว้ มันก้าวหน้าเติบโตมากขึ้นแต่ไม่สนุก เราก็อยากทำอะไรที่สนุกกับมันมากกว่า ประจวบกับตอนนั้นชอบกินขนมมากก็เลยมาทำขนม เราวางแผนว่าต้องทำอะไรบ้าง การเรียนมันต้องใช้เวลาและการเก็บเงิน พอเราทำทุกอย่างได้ตามแผนแล้วก็ออกมาเริ่มเรียนขนมจริงจัง” Before BeFor. : 3 ปี 3 สถานที่งานทำขนมสู่ความกลมกล่อมที่ลงตัว ความชอบจะพาเราไปถึงไหน คำตอบของแต่ละคนน่าจะไม่เหมือนกัน สำหรับซิก ความชอบพาเขาออกจากงานที่เคยหลงใหลไปสู่การข้ามน้ำข้ามทะเลไปต่างแดน
“ความมั่นใจ”เป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งที่ถ้าใครสักคนมีมันอยู่ในตัวก็จะได้รับการยอมรับทั้งในโลกแห่งการทำงานและโลกแห่งการปฏิสัมพันธ์ แต่หลายครั้งความมั่นใจในตัวเองกับความบ้าอำนาจหรือหลงตัวเองก็มีเส้นกั้นบาง ๆ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นคนที่มีความมั่นใจแบบถึงแก่นหรือที่แท้เราแค่บ้าอำนาจและหลงตัวเองเท่านั้น ? ไม่ต้องคิดให้เหนื่อย ลองสำรวจตัวเองจาก 12 สิ่งต่อไปนี้ เพราะนี่คือ 12 สิ่งที่มนุษย์มีความมั่นใจถึงแก่นแตกต่างจากคนทั่วไป มีความสุขจากภายใน ความสุขคือปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของความมั่นใจ เพราะมนุษย์ที่มั่นใจในตัวเองแบบถึงแก่นนั้นไม่ว่าเขาเลือกจะทำอะไรเขาย่อมคำนึงถึงความสุขของตัวเองเสมอว่าสิ่งที่เขาทำลงไปมันส่งผลให้เขาพอใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็นหรือเปล่า ดังนั้นคนที่มั่นใจในตัวเองนั้นมีความสุขมาจากตัวตนของตัวเอง เขารู้ดีว่าสิ่งที่เขาทำไปมันมีค่าให้ตัวเขาเองชื่นชมตัวเองหรือไม่ ถ้าเขารู้สึกว่านี่ดีกับตัวเขาเองแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องรอฟังคำชมจากคนอื่นเพื่อให้ตัวเองมีความสุขอีกต่อไป ไม่ตัดสินคนอื่น มนุษย์ที่มั่นใจในตัวเองอย่างถึงแก่นจะไม่ใช้มาตรฐานตัวเองเป็นมาตรวัดตัดสินคนอื่น ๆ เพราะเขารู้ดีว่ามนุษย์ทุก ๆ คนมีบางสิ่งบางอย่างในตัวเองที่เป็นจุดพีค และแต่ละคนไม่จำเป็นต้องมีเหมือนกัน ดังนั้นเขาจะไม่บอกว่าตัวเองเหนือกว่าใคร หรือตัดสินใครว่าต่ำกว่าใคร เพื่อยกระดับความสามารถตัวเองให้ดูดี คนที่ตัดสินคนอื่นหรือมัวแต่เปรียบเทียบอาจจะไม่ได้มั่นใจอย่างที่เขาแสดงออก แต่ตัวตนเขาแสนเปราะบาง ไม่ตอบตกลงมั่ว ๆ แต่จะตอบเมื่อตัวเองต้องการ งานวิจัยจาก University of California ระบุว่าการที่มนุษย์คนหนึ่งไม่กล้าปฏิเสธคนอื่น นั่นแปลว่าคนนั้นกำลังเผชิญหน้ากับภาวะสุดตึงเครียด หมดไฟ หรือแม้กระทั่งซึมเศร้า ในขณะที่มนุษย์ที่มีความมั่นใจถึงแก่นรู้ดีว่าการรู้จักปฏิเสธในสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการนี่แหละที่ดีต่อตัวเอง ที่สำคัญคือพวกเขารู้ว่าตัวเองต้องการอะไรมากพอที่รู้ว่าเรื่องไหนมันต้องปฏิเสธ และเรื่องไหนคือเรื่องที่พวกเขาเต็มใจทำจริง ๆ ไม่ใช่ตอบตกลงส่ง ๆ แค่เพราะเกรงใจคนอื่น หรือตอบตกลงแค่เพราะกลัวคนอื่นไม่ชอบขี้หน้า ฟังมากกว่าพูด มนุษย์ที่มีความมั่นใจถึงแก่นจะฟังมากกว่าพูด เพราะพวกเขารู้ว่าการฟังมากกว่าพูดทำให้เขาเรียนรู้และเติบโตขึ้น และเขาไม่ได้มองว่าวงสนทนาเป็นสถานที่ที่มีไว้อวดว่าใครฉลาดกว่าใคร หรือใครรู้อะไรมากกว่าใคร แต่เขามองว่าวงสนทนาคือสถานที่ที่มีไว้เพื่อปฏิสัมพันธ์กับผู้คน