กิจวัตรประจำวันที่ขับเคลื่อนไปด้วยตัวเราเองเพียงคนเดียวซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจทำให้เรากลายเป็นคนที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่นแบบไม่รู้ตัวก็ได้ ถ้าหากคุณคืออีกคนที่กินข้าว ดูหนัง ปั่นเรือเป็ด ด้วยตัวคนเดียวจนความเหงาเรียกว่าเวลตันแล้วก็ว่าได้ นั่นอาจเป็นเพราะคุณเหมาะกับการอยู่คนเดียวมากกว่าก็ได้ UNLOCKMEN ให้หนุ่ม ๆ ลองสำรวจอาการเหล่านี้กันหน่อย เพราะมันหมายถึงคุณสามารถที่จะอยู่คนเดียวได้แบบสบายมาก มีเงินเก็บและบริหารการใช้เงินได้แบบคล่องมือ ไม่จำเป็นต้องมีเงินถุงเงินถังถึงจะอยู่คนเดียวได้ เพียงแค่รู้จักบริหารการใช้เงิน ควบคุมรายได้กับรายจ่ายให้สมดุลกัน เหลือเก็บนิดหน่อยสำหรับกรณีฉุกเฉินก็โอเคแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องก้มหน้าเก็บเงินอย่างเดียว ให้รางวัลตัวเองบ้าง ด้วยของเล่นหรือ Gadget เจ๋ง ๆ นั่นหมายความว่าคุณสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ทุกขั้นตอน ทุกอย่างอยู่ในมือคุณ เพราะคุณใช้เงินอยู่คนเดียวนี่นา ไม่เคยเหงา ทุกกิจกรรมปราบเซียนที่ต้องทำเป็นคู่ ถ้าหากคุณทำคนเดียวได้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการใช้ชีวิตประจำวันที่มักจะชอบปลีกวิเวกอยู่เสมอ ต่อให้มองจากมุมของคนนอก คุณน่าจะเป็นคนเหงา ๆ อยากมีใครสักคนคอยคุยด้วย แต่ความจริงคือคุณตั้งใจให้ตัวเองอยู่คนเดียว เลือกที่จะอยู่ในมุมสงบของตัวเอง โดยที่ไม่รู้สึกโหยหาใครมาเติมเต็ม อาจจะมีเหงาบ้างในบางเวลา แต่นั่นเป็นเพียงความอ่อนไหวชั่วคราวเท่านั้น เพราะคุณรู้สึกว่าอยู่ได้ด้วยตัวเองไปแล้ว ความเหงากอดเขามองฟ้า จึงเป็นเรื่องไกลตัวของคุณมาก ๆ ชอบปลีกวิเวก หลายครั้งที่การอยู่ท่ามกลางผู้คน มันทำให้คุณกร่อยและเหงายิ่งกว่าเดิม จึงเลือกที่จะหามุมที่ไม่เป็นจุดสนใจแล้วเข้าไปอยู่ในนั้นอย่างสบายใจ หรือครั้งไหนที่มีโอกาสได้ไปกับคนกลุ่มใหญ่ อย่างการกินข้าวกับเพื่อนที่ทำงาน การพบปะญาติ ๆ ในวันหยุด ยิ่งคนมากเท่าไหร่ คุณยิ่งรู้สึกว่าต้องดีดตัวเองออกมาให้ไวที่สุด จึงเลี่ยงกิจกรรมเหล่านั้นไปแบบอัตโนมัติ
ตั้งแต่สมัยเรียนก็นั่งที่ประจำ ขึ้นเครื่องก็จองที่นั่งเดิม ๆ ดูหนังก็เช่นกัน หรืออะไรที่ต้องเลือกที่นั่ง เรามักจะกวาดสายตาคร่าว ๆ จนปิ๊งเข้ากับที่นั่งที่เข้าตา แล้วจองที่นั่งนี้ไว้ในใจให้เป็นที่นั่งประจำของเรา ถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่มีพฤติกรรมเหล่านี้ เคยสงสัยบ้างมั้ยว่าทำไมไอ้ที่นั่งที่เราเคยหย่อนตูดลงไปแล้ว มันเหมือนจะส่งเสียงเรียกให้เรากลับไปนั่งมันทุกครั้งที่เดินเข้าไปในห้องนั้น เพราะพฤติกรรมของมนุษย์นั้นซับซ้อนและมีเรื่องราวอยู่เสมอ UNLOCKMEN จะพามาหาคำตอบในเรื่องนี้กัน บางคนอาจคิดว่า เราทำไปเพราะว่าเคยชินไง เคยนั่งตรงนี้ก็แค่อยากจะนั่งอีก มันไม่เห็นจะมีอะไร แต่จริง ๆ ไอ้พฤติกรรมทำอะไรซ้ำ ๆ แบบนี้เนี่ยมันมาจากธรรมชาติของมนุษย์จริง ๆ แหละ มีคำอธิบายคร่าว ๆ โดย Robert Gifford Psychology Professor แห่ง University of Victoria ว่าเรามีพฤติกรรมแบบนี้ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นมนุษย์ถ้ำ ไม่ได้มีวิวัฒนาการอะไรมากมายนัก ในตอนนั้นเราก็จะมีพื้นที่เป็นของตัวเองกันใช่มั้ย ประมาณว่ามี “อาณาเขต” เป็นของตัวเองนั่นแหละ ตีกรอบไว้เลยว่า นี่! ตรงนี้ของกู! หน้าที่ของเราที่ต้องรับผิดชอบต่ออาณาเขตก็คือ ป้องกันไม่ให้คนอื่นมารุกราน ไม่ให้ใครเข้ามาสุ่มสี่สุ่มหน้า หรือโดนยึดอาณาเขตไป มองในสเกลใหญ่ขึ้นก็คือ เหมือนกับที่เรามักจะรวมกลุ่มเพื่อป้องกันการล่าอาณานิคมนั่นแหละ เรารวมตัวกันสู้เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน คือปกป้องอาณาเขตของตัวเองเอาไว้ ไม่ให้ตกไปอยู่ในการครอบครองของคนอื่น
ทำงานด้วยกันทีไร ก็มีแต่คนบ่นเรื่องการสื่อสาร พูดน้อยจัง ไม่ออกความเห็นหน่อยหรอ มีไอเดียอีกมั้ย คำถามเหล่านี้ชวนให้เราอึกอักทุกครั้งที่ได้ยิน ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงให้น่าฟังเลยเลือกการไม่ตอบเลยซะดีกว่า จนเรากลายเป็น “คนพูดน้อย” ไปโดยปริยาย อาจจะรู้สึกว่ามันเป็นบุคลิกส่วนตัวนี่นา จะเปลี่ยนกันง่าย ๆ ได้ไง แต่จริง ๆ มันส่งผลทั้งการทำงานและความสัมพันธ์ เราอาจจะมองข้ามเรื่องความสัมพันธ์ในที่ทำงานได้ ถ้าเราเป็นคนไม่เข้าสังคม แต่เราจะไม่สนใจเรื่อง Performance ของงานไม่ได้ ถ้ารู้สึกว่าไอ้อาการ “พูดน้อย” ของเรามันกำลังทำให้เราเข้ากับที่ทำงานได้ยาก UNLOCKMEN ขอแนะนำทางออกให้หนุ่มพูดไม่ค่อยเก่ง ได้ Improve ตัวเองให้เจ๋งแบบผิดหูผิดตา พูดน้อยแล้วผิดตรงไหน ? คนพูดน้อยเนี่ย เขามักจะพูดแต่อะไรที่จำเป็น อาจจะออกมาในรูปแบบ ถามคำตอบคำ เอ่อ ๆ อืม ๆ ตามความเห็นของคนอื่นไป ถ้ายังไม่แน่ใจในความคิดของตัวเอง ทำแบบนั้นบ่อย ๆ เข้า เขาจะรู้สึกว่า “เมื่อเราไม่ได้พูดเป็นต่อยหอยเหมือนคนอื่น มันผิดตรงไหนกันนะ ?” ถ้ามองในแง่การเข้าสังคม มันไม่ผิดหรอก เพราะแต่ละคนย่อมมีบุคลิกที่แตกต่างกันไป แต่ในแง่ของการทำงานร่วมกับผู้อื่น มันเหมือนกับ “ขาดการสื่อสาร” คนอื่นจะไม่รู้ถึงความต้องการ
แม้การสื่อสารพูดคุยจะเป็นพฤติกรรมธรรมชาติในการเข้าสังคมหนึ่งของมนุษย์ แต่แค่พูดได้ ไม่ได้แปลว่าพูดดี ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่มนุษย์บางคนคุยกับคนอื่นในวงสนทนาก็พอคุยได้ แต่พอคุยไปสักพักคนก็ค่อย ๆ ทยอยออกจากวงไปทีละคนสองคนจนเกิดสภาวะวง (สนทนา) แตกในที่สุด นั่นเป็นเพราะพฤติกรรมไม่พึงประสงค์บางอย่างที่บางทีเราเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เราคิดว่าแค่ชวนคุยหรือนิ่งฟังก็น่าจะเพียงพอต่อการยืดอายุบทสนทนาแล้ว แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่ และ 5 ข้อผิดพลาดเหล่านี้เองที่เป็นชนวนความเบื่อหน่ายจนไม่มีใครอยากคุยกับเราในที่สุด “ใช่ครับ เรื่องนี้นี่เหมือนผมเลย แต่ของผมเป็นแบบนี้ครับ …” ฟังเผิน ๆ นี่เหมือนจะเป็นประโยคที่เราคิดว่าเป็นการหาจุดเหมือนระหว่างเรากับคู่สนทนาด้วยการบอกว่าสิ่งที่เขาพูดออกมานี่ช่างตรงกับเรื่องราวของเราเป๊ะ ๆ เราพูดเพราะเราหวังว่าจะได้ใจเขาที่เราทั้งคู่มีอะไรเหมือน ๆ กัน นอกจากเราจะบอกว่าเรามีเรื่องที่เหมือนกับสิ่งที่เขาพูดมาแล้ว เรายังเล่าเรื่องของเราต่อแบบยืดยาวด้วย ถามว่ามันผิดพลาดขนาดนั้นไหม ? ถ้าแค่ครั้งเดียวและระหว่างการเล่าเรื่องของตัวเอง เราเว้นระยะให้เขาได้คุยเรื่องของเขาเป็นระยะก็คงไม่น่าเกลียดอะไร แต่ถ้าไม่ว่าใครจะเล่าอะไร เราก็โพล่งออกไปว่า “เหมือนกันเลยครับ” แล้วสมทบด้วยการสาธยายเรื่องของตัวเองไปเสียทุกครั้ง มันคือข้อผิดพลาดที่ทำให้ไม่มีใครอยากคุยกับเรา เพราะมันทำให้เราดูไม่ใส่ใจเรื่องของคนอื่น ดูสนใจแต่เรื่องที่เหมือนกับเรื่องของตัวเอง เพื่อรอจังหวะพล่ามเรื่องของตัวเองให้คนอื่นจำใจฟังเท่านั้น ดังนั้นระมัดระวังให้ดี “แต่ผมว่าอีกอันเจ๋งกว่าเยอะเลยครับ” การที่เราอยากแนะนำสิ่งที่ดีกว่าให้คู่สนทนาไม่ใช่เรื่องผิด แต่ระวังการใช้คำพูดและจังหวะเวลาให้ดี เพราะถ้าไม่ว่าใครก็ตามในวงสนทนาพูดอะไรออกมาแล้วเราต้องเกทับด้วยการบอกว่าเรื่องนี้เจ๋งกว่า ที่นี่คูลกว่า อันนั้นดีกว่าตลอดแบบทันท่วงทีและไม่มีศิลปะ มันทำให้เราดูเป็นผู้ชายขี้บลัฟ ขี้อวด และไม่มีมารยาทในวงสนทนามากกว่าจะดูเป็นผู้ชายที่หวังดีกับเพื่อน ถ้าอยากแนะนำอะไรใคร เช่น ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบหนังเรื่องนี้มาก โคตรสนุกเลย แทนที่จะพูดโต้ง
“Character” หรือที่ในภาษาไทยเราใช้คำว่า “ตัวตน” ของคนเรานั้น เป็นสิ่งที่สำคัญมาก และด้วย Character ของเรานี่เอง ที่ทำให้หลายครั้งหลายหน เราทำในสิ่งที่ทั้งผิด และถูกต้องไปโดยไม่ทันรู้ตัว เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยสัญชาติญาณธรรมชาติของบุคคลนั้น ๆ เราจึงเห็นว่า ทำไมบางทีคนที่อาจจะมีอายุน้อยกว่า ประสบการณ์น้อยกว่า แต่กลับถูกเลือกให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในกลุ่มคนที่โตกว่ามีประสบการณ์มากกว่าอยู่บ่อย ๆ นั่นก็เพราะว่า บางคนถึงแม้จะโต หรือจะเก่งกว่าจริง ๆ ในเรื่องของการทำงาน แต่ในเรื่องของบทบาทและบุคลิกความเป็นผู้นำอาจจะมีน้อย ยกตัวอย่างให้เห็นง่าย ๆ เช่น ถ้าหากมี Candidate 2 คน คนที่หนึ่งมีอายุน้อยกว่า แต่มี Character ความเป็นผู้นำสูง แสดงออกให้เห็นว่า มีความกล้าหาญ, กล้าได้กล้าเสีย, กล้าตัดสินใจ, กล้าเผชิญหน้ากับปัญหา ส่วนคนที่ 2 ถึงแม้จะมีอายุอานามมากกว่า แต่ไม่มี Character ความเป็นผู้นำ ไม่มีความกล้าและเฉียบขาดในการตัดสินใจ ความแตกต่างทาง Character ของ 2 คนนี้ คงพอจะบอกได้ว่า ใครที่จะมีสิทธิ์เหมาะสมกับการก้าวหน้าขึ้นไปเป็นผู้นำมากกว่า ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับอายุ
กระทู้ความคิดเห็นหรือสเตตัสทำนองว่า “อายุ 29 แล้ว ชีวิตผมควรมีอะไรบ้างครับ ?” มักโผล่ขึ้นมาให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ แสดงให้เห็นว่าเราล้วนแต่ลอยเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางชีวิตที่ไม่รู้ว่าเราต้องการอะไรกันแน่ เราเลยต้องคอยถามหามาตรฐานจากคนอื่นว่าอายุเท่านี้เราควรมีอะไร อายุเท่านั้นเราควรต้องทำงานแบบไหน และที่แน่ ๆ มันทำให้เราวิ่งเข้าหามาตรฐานชีวิตแบบที่คนอื่น ๆ วางไว้ มากกว่าจะถามว่าตัวเราเองต้องการอะไร “ผมอายุ 27 เงินเดือน 75,000 มีรถ มีบ้านที่กำลังผ่อน และปีหน้าวางแผนว่าจะขอแฟนที่คบกันมา 4 ปีแต่งงานครับ” ยิ่งถ้าเราได้อ่านคำตอบของคนที่อายุน้อยกว่าเรา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีทุกสิ่งทุกอย่างมากกว่าเรา ไม่ว่าจะปริมาณเงินเดือน ทรัพย์สินในชีวิต หรือแม้แต่ความรักที่ดูจะมั่นคงกว่า แล้วเราก็รู้สึกพ่ายแพ้ขึ้นมาแบบหาคำตอบไม่ได้ เราเคยถามตัวเองไหมว่าทำไมเราต้องรู้สึกแย่ด้วย ? ทำไมเราต้องยอมให้สังคมหรือความสำเร็จของคนอื่นมาคอยกระซิบบอกเราด้วยว่าอายุเท่าไหร่แล้วต้องมีอะไรในชีวิต ? ถ้าเราคือคนหนึ่งที่รู้สึกเคว้งคว้างกับความสำเร็จ จุดหมายและความสุขของตัวเองเต็มทน และบางทีก็เผลอไปวิ่งไล่ตามเป้าหมายคนอื่นจนกดดันตัวเองให้เครียดไปด้วย UNLOCKMEN อยากให้เลิกเปรียบเทียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเด็ดขาดโดยเฉพาะ 5 เรื่องต่อไปนี้ ที่ต้องปลดล็อกตัวเองให้คิดใหม่ให้ได้ คนละอาชีพ คนละจังหวะเวลา มันเป็นเรื่องแย่มากพออยู่แล้วที่สังคมคอยกำหนดคุณค่าว่าอาชีพนี้มีคุณค่ามากกว่าอาชีพนี้ อาชีพนี้เสียสละมากกว่าอาชีพนี้ หรืออาชีพนี้มีเกียรติมากกว่าอาชีพนี้ ไหนจะปริมาณค่าตอบแทนที่ไม่มีวันเท่ากัน ดังนั้นการที่เรามองไปที่คนอายุเท่ากันหรือคนอายุน้อยกว่าแล้วรู้สึกว่าทำไมเขาถึงไปได้ไกลกว่าเราขนาดนั้นมันจึงเป็นเรื่องเสียเวลา เพราะทุก ๆ อาชีพมีรูปแบบเฉพาะตัว มีจังหวะเวลาเฉพาะตัว
เรียนจบสักที ดีใจโว้ย ในที่สุดก็หลุดพ้นแล้ว ต่อไปก็หางานทำ มีงาน มีเงิน ชีวิตสบายขึ้น ใช่ซะที่ไหนล่ะ ตื่นจากฝันก่อน! ทันทีที่รับใบปริญญา ชีวิตคุณก็จะเข้าสู่โลกแห่งความจริง ทุกอย่างไม่มีอะไรง่ายอย่างที่คิด งานที่ตอนแรกคิดว่าจะหาง่ายกลับกลายเป็นเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทร ยื่น Resume ไปเป็น 10 ที่ มีแค่ที่เดียวที่ติดต่อกลับมาสัมภาษณ์ และผลลัพธ์การสัมภาษณ์ครั้งนั้นก็ดันแห้วเสียอีก หรือบางคนอาจจะโดนเรียกไปสัมภาษณ์เยอะหน่อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ต่างกัน ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? เราทำอะไรพลาดไป? คำตอบของคำถามเหล่านี้อาจจะอยู่ที่พฤติกรรมตอนสัมภาษณ์ซึ่งเราเผลอทำไปโดยไม่รู้ตัว และมันดันไม่ถูกใจกรรมการ ดังนั้นเรามาแก้ไขพฤติกรรมดังกล่าวกัน คุณดริฟต์จนยางไหม้ สีข้างถลอก เพราะการดริฟต์ไม่ได้มีแค่ในการแข่งรถ แต่ในการพูดคุย โดยเฉพาะการสัมภาษณ์งานก็เกิดการดริฟต์ขึ้นบ่อยครั้งเช่นกัน จุดเริ่มต้นส่วนใหญ่มักจะเริ่มจากการที่เราโดนคนสัมภาษณ์ถามคำถามวัดความรู้ ซึ่งเรารู้ดีว่านี่คือคำถามสำคัญ อาจเป็นตัวตัดสินชะตาว่าเราจะได้งานหรือไม่ แต่เราดันตอบคำถามนี้ไม่ได้ สมองว่างเปล่า ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดเราจึงพยายามจับแพะชนแกะ ดริฟต์ซ้าย แถขวา ตอบออกไปให้เราดูเหมือนมีความรู้ที่สุด เราคิดว่าเรารอดแล้ว แต่เปล่าเลย เพราะความเป็นจริงคนสัมภาษณ์เขามีประสบการณ์และความรู้มากกว่าเราหลายเท่าตัว เขารู้ตั้งแต่คำแรกที่เราตอบไปแล้วว่าเราไม่ได้มีความรู้จริง ๆ ดังนั้นถ้าเราไม่รู้ก็อย่าดริฟต์ อย่าแถ แค่ตอบไปว่า “เรื่องนี้ผมไม่ทราบครับ แต่จะกลับไปค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมแน่นอนครับ” คุณพูดมากเกินไป แน่นอนว่าการให้ผู้สัมภาษณ์หรือบริษัทเข้าใจตัวตนของเราที่สุดคือเป้าหมายสูงสุดของการสัมภาษณ์งาน เราต้องแสดงให้เห็นว่าเรามีศักยภาพเพียงพอที่จะทำงานนี้ได้ เหมาะสมกับตำแหน่งหรือเงินเดือนที่เราต้องการ
ชีวิตที่วุ่นวายและทุกอย่างรวดเร็วเสียจนบางครั้งตัวเราเองก็ตามไม่ทัน ทำให้เรามีกิจวัตรประจำวันที่ไม่ค่อยแน่นอน เข้านอน ตื่นนอน รวมทั้งการกิน ก็ไม่ได้มีเวลาตายตัว เพราะทั้งหมดอาจเปลี่ยนได้ตลอดเวลา แล้วแต่ว่าจะมีอะไรเข้ามาแทรกตอนไหน อย่าปล่อยให้เรื่องเหล่านี้ ที่ควรเป็นเวลาสม่ำเสมอในชีวิต ต้องถูกทำลายด้วยความเคยชินของตัวเอง เพราะมันส่งผลกับสุขภาพของเราโดยตรง หนุ่มคนไหนที่รู้ตัวว่านาฬิกาชีวิตรวนไปหมด UNLOCKMEN ชวนมาปรับนาฬิกาชีวิตกับเทคนิคที่เราอยากแนะนำ เพื่อให้ร่างกายกลับมาทำกิจวัตรเหล่านี้ให้สม่ำเสมอในเวลาที่ควรจะเป็น ก่อนที่จะสาย อย่าลืมว่าร่างกายเราไม่อาจซื้ออะไหล่ได้ หากิจกรรมทำในตอนเช้า ออกไปสัมผัสแสงแดดแรกในตอนเช้า ด้วยการลุกขึ้นมาจากเตียง มาทำ Activity ที่เราเองก็ชื่นชอบและเต็มใจจะทำ ไม่ว่าจะเป็นดื่มกาแฟ ไถนิวส์ฟีด ตื่นมาออกกำลังกาย ตื่นมาฟังเพลง ตื่นมาใช้เวลาเสริมหล่อให้กับตัวเอง จะเป็นอะไรก็ช่าง ลองเลือกมาหนึ่งอย่างที่มันมีแรงผลักดันมากพอให้เราลุกขึ้นมาจากเตียงได้แบบไม่อิดออดและกำหนดเวลาตื่นแบบเผื่อเวลาก่อนไปทำงาน นั่นหมายความว่า เราจะตื่นมาแบบสดชื่น เพราะรู้ว่าตัวเองจะได้มาทำในสิ่งที่ชอบ และยังมีเวลาเหลือ ๆ ก่อนไปทำงาน ไม่ต้องวิ่งหน้าตั้งเข้าออฟฟิศอย่างเคยแล้ว พอเราทำเป็นกิจวัตร นาฬิกาชีวิตเข้าที่เข้าทาง เราอาจจะเลิกใช้นาฬิกาปลุกไปเลยก็ได้ งีบสักหน่อยในตอนบ่าย คล้อยบ่ายทีไร ง่วงจนอยากจะหาอะไรมาถ่างตาเอาไว้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกินข้าวจนอิ่ม หนังท้องตึงหนังตาหย่อน หรือเพราะร่างกายเราต้องการจะชาร์จพลังกันแน่ แต่การงีบหลับสัก 10-15 นาที เป็นการรีเฟรชตัวเองให้กลับมาสดชื่นอีกครั้งในตอนบ่ายได้จริง ๆ และไม่ทำให้ง่วงสะสมไปจนถึงตอนหัวค่ำ ที่พอถึงห้องแล้วพาลให้อยากล้มตัวลงนอน จนบางวันไปตื่นเอาตอนดึก
ในบ้านเรา การพิมพ์อะไรมั่ว ๆ บนโลกออนไลน์ถือเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยซีเรียสเท่าไหร่นัก แต่สำหรับในต่างประเทศที่ซีเรียสในเรื่องผลกระทบจากการ Post อะไรมั่ว ๆ นั้นถือว่าจริงจังและรุนแรงมาก ไม่มีตัวอย่างไหนจะอธิบายความอันตรายของ Social Media ได้ดีเท่ากรณีของ Elon Musk แล้ว หลังโดนลงดาบจาก Securities and Exchange Commission (SEC) ปรับเงินจำนวนมากถึง $20,000,000 (660 ล้านบาท) และลาออกจากการเป็น Chairman ในบอร์ดบริหาร Tesla เป็นเวลา 3 ปี ทั้งหมดเป็นผลพวงจากการ Tweet แบบไม่คิดหน้าหลังเพียงครั้งเดียว “Sorry pedo guy, you really did ask for it,” ชื่อของ Elon Musk น่าจะถูกนำไปใช้เป็นตัวอย่างกรณีศึกษาด้าน Management Study ได้ดีมาก ในมุมนึง Musk เป็นเหมือนซูเปอร์ฮีโร่ราวกับ
“สวนสัตว์ดุสิต” หรือที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ เรียกติดปากมาตลอดชีวิตว่า “เขาดิน” กำลังจะปิดตัวลงในวันพรุ่งนี้ (30 กันยายน 2561) หลังจากที่ยืนหยัดอยู่คู่การเติบโตของเด็กผู้ชาย (และเด็กผู้หญิง) มาหลายยุคหลายสมัย ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่แต่บางเสี้ยวของความทรงจำวัยเด็กย่อมมีภาพสวนสัตว์ใจกลางเมืองอย่างเขาดินผุดพรายขึ้นมาด้วยไม่มากก็น้อย ถ้าเขาดินเป็นคน อายุ 80 ก็หมายถึงวันวัยที่ร่วงโรยสู่วัยชราและพรุ่งนี้จะเป็นลมหายใจสุดท้ายที่เรายังพอมีโอกาสได้เจอกัน การจากกันครั้งนี้แม้จะทำให้ใครหลายคนอดใจหายไม่ได้ แต่ไม่ต่างจากการต้องพลัดพรากจากทุกสิ่ง ไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของที่เรารักจะจากไปแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่จะอยู่กับเราไปเสมอคือการเลือกจดจำสิ่งที่เรารักเหล่านั้นในมุมที่สวยงาม หรือต่อให้ไม่สวยงามแต่ก็เป็นมุมที่เราอยากจดจำ UNLOCKMEN จึงอยากร่วมโบกมืออำลาเขาดิน ในฐานะสวนสัตว์ที่เติบโตมาพร้อม ๆ กันในรูปแบบของเราเอง เรามั่นใจว่าช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมามีคนเลือกพูดถึงเขาดินทั้งในฐานะประวัติศาสตร์ ทั้งในฐานะความผูกพัน ทั้งในฐานะการให้ความรู้เรื่องสัตว์ จนทุกคนน่าจะเต็มอิ่มกับข้อมูลและข้อเท็จจริงแล้ว ดังนั้น UNLOCKMEN ขอร่วมร่ำลาเขาดินในแบบของเราด้วย “กาลครั้งหนึ่ง…เขาดิน” เรื่องเล่าที่จะพาทุกคนย้อนกลับไปในความทรงจำและความรู้สึกว่าเราเลือกจดจำเขาดินไว้ในใจต่อจากนี้อย่างไร ร่วมด้วยรูปภาพสัตว์โลกตัวน้อยหลากชีวิตที่อาศัยอยู่ในเขาดินที่เราคงอดคิดถึงพวกมันไม่ได้อีกนานแสนนาน กาลครั้งหนึ่ง…เขาดิน: กาลครั้งหนึ่งเราเคยตื่นเต้นกับสัตว์สารพัดชนิด ค่าง 5 สีสองตัวในรูปเหม่อมองเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่อยู่อีกฟากของกรงด้วยความรู้สึกแบบไหน เราก็ไม่อาจคาดเดาได้ แต่ความรู้สึกของเด็กชายอีกฟากกรงที่อยู่ไม่ไกลจากเรานักคือสิ่งที่เราสัมผัสได้อย่างแจ่มชัด น้องผู้ชายกระตุกมือแม่ซ้ำ ๆ ทุกครั้งที่ค่าง 5 สีสองตัวนี้หาเหาให้กัน หยอกล้อกัน หรือขยับตัวไปมา