เคยไหม เวลาที่พวกเราเห็นคนเจ๋ง ๆ เฉียบ ๆ ในฟีดโซเชียลทั้งหน้าใหม่หน้าเก่าตามคลิปวิดีโอ แล้วเราเกิดความสงสัย ตั้งคำถามว่า “เฮ้ย! คนพวกนี้วัน ๆ เขาทำอะไรกันวะ?” แต่แล้วเราก็ปล่อยให้ความสงสัยเลยผ่านไปโดยไม่ได้ไปค้นหาคำตอบ ทว่าพอมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นใหม่ คำถามนี้มันก็วนกลับมาซ้ำอีกหน เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เดจาวูมันเกิดแบบไม่รู้จบโดยไม่มีคำตอบ UNLOCKMEN ได้ไปเสาะหาข้อมูลมาคลายข้อสงสัยแล้ว สิ่งหนึ่งที่เรารู้คือทั้งคุณ เรา และ “พวกเขา” บรรดาเหล่าคนที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายต่างมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน หากสิ่งที่ทำให้พวกเขาได้นามสกุลห้อยท้ายด้วยคำว่า “ประสบความสำเร็จ” มันเกิดจากการบริหารเวลาที่ไม่เหมือนกัน หนนี้เราขอโฟกัสเสี้ยวหนึ่งของเวลาที่พวกเรามองข้ามอย่างเวลาช่วงเช้าก่อนไปทำงาน ว่าพวกเขาจัดการมันอย่างไร ขณะที่ผู้ชายอย่างเราแค่จะแคะตัวเองออกมาจากเตียงก็ยากเย็นเหลือเกินแล้ว กินอาหารเช้า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ทำง่ายที่สุดเมื่อเทียบกับทั้งหมด แต่ทุกวันนี้หลายคนก็ยังคงพูดว่าไม่มีเวลากินข้าวและประทังสมองที่ต้องใช้ทั้งวันด้วยกาแฟเพียงแก้วเดียว ย้อนดูกันให้ดีนักธุรกิจหรือครีเอทีฟคนดังที่เวลาเป็นเงินเป็นทอง เขายังสามารถนั่งกินเข้าเช้าหรือหาข้าวเช้ากินกันได้ตลอด ดังนั้น ถ้าเราอยาก productive เหนือคนอื่นแบบเดียวกับคนที่ประสบความสำเร็จก่อนตอกบัตรอย่าลืมหาข้าวกินกันด้วยล่ะ หรือถ้าบริษัทไหนใจดีให้กินได้ในเวลางาน จะเตรียมมาจากบ้านแล้วสลับมาตอกบัตรก่อนเปิดกล่องข้าวกินที่โต๊ะช่วงเช้าก็ได้ไม่ว่ากัน ขยับกายเพื่อออกกำลังใจและสมอง เพื่อสร้างพลังให้กับวันทั้งวัน ตอนเช้าพวกเขาจะลุกขึ้นมาดูแลความรู้สึกทั้งกายและใจของตัวเองให้มีพลังก่อนไปทำอย่างอื่น หลายคนที่ประสบความสำเร็จเลยเลือกที่จะออกกำลังกายมันตั้งแต่ตอนเช้า พาสัตว์เลี้ยงไปเดินเล่น หรือขี่จักรยานโฉบไปมาสักหน่อย ซึ่งพวกเขาไม่ได้แค่ทำมันเอาเท่หรือเรียกเหงื่อแบบบ้าพลังเฉย ๆ แต่ทำเอาฉลาดด้วย! ซึ่งเรื่องนี้ออกมายืนยันแล้วว่าจริงไม่มีมั่วเพราะผลวิจัยของ Department of Exercise
น่าดีใจที่ปัจจุบันผู้ชายอย่างเรารักสุขภาพมากขึ้น หลายคนหันมาออกกำลังกายอย่างจริงจัง ในหนึ่งวันต้องมีกิจกรรมเสียเหงื่อ ไม่งั้นจะรู้สึกว่าเหมือนขาดหายอะไรไปบางอย่าง ตามยิม ตามสวนสาธารณะเราจะเห็นผู้คนฟิตกันเป็นธรรมดา แต่ก็เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกนี้ ก็เลยต้องนึกถึงผู้อื่นด้วยเช่นกัน ประเด็นที่ทีมงาน UNLOCKMEN จะพูดถึงนั้นได้มา Insight ที่ได้ไปพบเห็นมา และถามไถ่จากผู้ใช้บริการยิมชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่มีจำนวนสมาชิกมากมาย ที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร ออกจะเป็นเรื่องเบา ๆ ทำนองจี้เส้นมากกว่า และไม่น่าถือสาอะไร แต่ก็พอจะทำให้มีคนแอบแซวลับหลังได้เช่นกัน ประมาณว่า “ไอ้คนนั้นอะ แม่ง….” เอาหละครับ ถ้ารู้สึกไม่สบายใจ กลัวว่าจะถูกแซวลบหลัง ก็ลองหลีกเลี่ยงพฤติกรรมขำ ๆ เหล่านี้ดูครับ *ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องผิดแต่อย่างใด เราไม่ได้มีเจตนาจะตำหนิ แต่เป็นสิ่งที่อาจไม่ค่อยเหมาะสมในบางช่วงเวลาและสถานการณ์ในยิมเท่านั้น คนนั้นเหม็นชะมัด! การออกกำลังกายมันก็ต้องมีการเสียเหงื่อเป็นธรรมดา แต่ถ้าไม่ค่อยดูแลเรื่องกลิ่นกายก็อาจจะโดยแซวได้ ลองนึกดูว่าเวลาคุณเดินหรือวิ่งสวนใครสักคนแล้วได้กลิ่นการทำลายล้างความรู้สึกแบบเต็ม ๆ เข้มไปทั้งโพรงจมูก ก็คงจะอยากพูดในใจเหมือนกัน วิธีการป้องกันกลิ่นกรุ่นก็ง่ายนิดเดียว อาบน้ำ(เย็น)ก่อนออกมายังพื้นที่ออกกำลังกายก็ได้ ไม่ก็พกอุปกรณ์ระงับกลิ่นกายขนาดย่อม ๆ ติดกระเป๋าไปด้วย ดมตัวเองบ้าง จะได้รู้ว่าเลเวลไหนแล้ว แต่ไม่ต้องถึงขั้นฉีดน้ำหอมนะ อันนั้นเกินไป ไม่ได้ไปออกเดท อีกอย่างคือกลิ่นเท้า อันนี้ต้องดูแลดี ๆ เพราะมันจะติดตามพื้นห้องล็อกเกอร์กันเลยทีเดียว
ความเครียดจนปวดหัว ความกังวลจนมวนท้อง และความตื่นเต้นจนตัวสั่น เป็นความรู้สึกปกติของมนุษย์ที่มักจะเกิดขึ้นก่อนที่จะเผชิญกับสิ่งท้าทาย ถ้ามองในแง่บวก ความรู้สึกดังกล่าวนั้นก็พอที่จะสะท้อนความตั้งใจจริงของเราที่จะฝ่าฟันมันไปให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องชีวิต หรือเรื่องใด ๆ ที่มีความหมายพอที่เราจะมุ่งมั่นกับมัน แต่สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือความกลัวที่จะลงมือทำสิ่งใหม่ โปรเจ็คต์ที่คิดไว้ก็ไม่กล้าทำเสียที กลัวเจ๊ง กลัวไม่เท่ กลัวเขว กลัวมันออกมาบูด ๆ สุดท้ายไม่ยอมย้ายตูดออกมาจาก safe zone แล้วลงมือทำซะ เพราะกลายเป็นคนที่วิตกกังวลเกินเหตุ ถ้าเป็นแบบนี้นาน ๆ เข้า อาจจะทำให้เราไม่มีการพัฒนาตัวเองได้ ทีมงาน UNLOCKMEN เชื่อว่าผู้ชายทุกคนมีศักยภาพ แต่อาจจะมีความรู้สึกบางอย่างที่มาขวางกั้นการปลดล็อกตัวเอง จึงขอนำเหตุผลหลักที่ทำให้เราไม่กล้าลงมือทำมาตีแผ่ และไอเดียที่จะช่วยเปลี่ยนมุมมองให้คุณลุยอย่างไม่กลัวมาแนะนำกัน ตามนี้เลยครับ “มันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย” เรื่องเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย นั้นเราอาจควบคุมไม่ได้ แต่ไอ้ประโยคที่ว่า “มันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย” นี่แหละ ทำให้คนเราขาดพลังในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ มาเยอะแล้ว ถ้าเราคิดว่าความฝันของจะกลายเป็นความจริงจากการใช้เวลาแค่ 2-3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในเวลาว่าง แบบนี้คิดใหม่ดีกว่า เราต้องทุ่มเทสุดตัวเพื่อเป้าหมายของเรา ถ้าแค่ครึ่งหนึ่งของผลงานที่ออกมาก็พาเราเซ็งแล้ว ก็อย่าทุ่มเทแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ และถ้ารู้สึกไม่แฮปปี้กับสิ่งที่เป็นอยู่
ทีมงาน UNLOCKMEN เคยนำเสนอเรื่องราวของ Sex Robot นวัตกรรมแก้เหงาให้กับชายสายเปลี่ยวไปแล้วในคอนเทนต์นี้ และก็ทำเอาผู้ชายอย่างเราตื่นเต้นน่าดู เมื่อตุ๊กตายางแบบเดิม ๆ ได้กลายมาเป็นหุ่นยนต์สาวที่มีผิวสัมผัสใกล้เคียงกับมนุษย์มาก ๆ มี A.I. ที่คิดได้ พูดได้ โต้ตอบได้ คล้ายกับคนอย่างเรา และมันน่าจะช่วยแก้ความงุ่นง่านให้หนุ่ม ๆ ที่มีความต้องการสูง แต่ไม่อยากให้ตัณหาของตัวเองไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ฟังดูแล้ว Sex Robot น่าจะเป็นนวัตกรรมทางเพศที่ตอบโจทย์ ด้วยราคากว่า 10,000 ปอนด์ แลกกับการแก้ปัญหาเรื่องความต้องการจนแทบทะลัก เติมเต็มชีวิตที่แสนเปลี่ยว และมีส่วนลดอาชญากรรมทางเพศได้ ก็น่าจะคุ้มค่าอยู่ แต่ล่าสุดกลับมีความเห็นอีกแง่มุมหนึ่งที่มีต่อหุ่นยนต์สุดเซ็กซี่นี้ โดยมีความเห็นทางการแพทย์ถูกอ้างอิงในงานเขียนของ BMJ Sexual และ Reproductive Health ว่า ไม่มีหลักฐานใดที่ระบุว่า Sex Robot สามารถช่วยแก้เหงา และช่วยลดปัญหาอาชญากรรมทางเพศได้ โดยนายแพทย์ Chantal Cox-George แห่ง St George’s University Hospitals NHS Foundation Trust และศาสตราจารย์ Susan Bewley จาก Women’s Health Academic
“ศิลปะไม่ควรสูงส่ง แต่ควรจะอยู่ระดับเดียวกับผู้คน” คำพูดเพียงประโยคสั้น ๆ แต่ปล่อยหมัดตรงจนเราแทบน็อคจากศิลปินสตรีทอาร์ตนามว่า P7 ประโยคนี้ UNLOCKMEN ว่ามันคือใจความสำคัญทั้งหมดของบทสนทนาวันนี้ เพียงแต่ P7 ไม่ได้พูดลอย ๆ เท่านั้น แต่เขาปลดล็อกพลังสร้างสรรค์ของตัวเองเพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้คนได้อย่างน่าทึ่งด้วยการร่วมมือกับ Ananda Development สร้างสรรค์ผลงานศิลปะในคอนโดมิเนียม “Ideo RAMA9 – ASOKE” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Live Work Play” ซึ่งช่วยตอกย้ำให้ผู้ชายอย่างเราเห็นว่าศิลปะในแบบ P7 ไม่ต้องแหงนคอมอง ไม่ต้องปีนบันไดขึ้นไปดู แต่ศิลปะสามารถส่งต่อพลังงานแห่งความสร้างสรรค์และศิลปะสามารถกลมกลืนอยู่ในระดับเดียวกับชีวิตผู้ชายในเมืองใหญ่อย่างเราได้อย่างลงตัว “P7 – พีระพงศ์ ลิ้มธรรมรงค์” จึงไม่ใช่แค่ศิลปินสตรีทอาร์ตที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ แต่เป็นทั้งแรงบันดาลใจ ความลงตัว และเป็นขุมพลังงานล้นเหลือหาตัวจับยากที่เราต้องรีบทำความรู้จักเขา รวมถึงรู้จักผลงานล่าสุดของเขาที่จะพาเราเข้าสู่โลกแห่งการสร้างสรรค์ศิลปะครั้งใหม่ที่ผสมผสานการใช้ชีวิตในเมืองไว้ด้วยกันแบบที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว P7’s LEGACY : ศิลปินไม่ใช่แค่รับจ้าง แต่ทุกอย่างต้องเป็นศิลปะ “ชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็วาดมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน” P7 เริ่มต้นพูดถึงชีวิตตัวเองที่คลุกคลีอยู่กับศิลปะมาตั้งแต่เด็ก แม้งานล่าสุดของเขาจะเป็นสตรีทอาร์ต แต่การเป็นศิลปินเบอร์ต้น ๆ ของประเทศและเป็นที่รู้จักในต่างประเทศทำให้เขาสร้างสรรค์ทั้งงานเพนท์ติ้ง สเปรย์อาร์ต
ไม่ว่าใครต่างก็ต้องมีวันที่ได้พานพบกับมรสุมซึ่งพัดผ่านเข้ามาในชีวิต ทั้งมรสุมลูกเล็กที่มาให้ได้สัมผัสรสชาติความขมขื่นแบบเบา ๆ รวมไปถึงลูกใหญ่ที่โหมกระหน่ำพัดเข้ามาจนชีวิตแทบพังไปทั้งแถบ และบ่อยครั้งที่โคตรมรสุมสุดโหดเหล่านี้ได้เข้ามาหยุดเส้นทางชีวิตของผู้ประสบภัยทั้งหลายให้ต้องท้อถอยถอดใจ จมอยู่กับความมืดมนหมดแรงที่จะลุกขึ้นยืนหยัดหาหนทางไปต่อ ซึ่งใครที่กำลังเหน็ดเหนื่อยกับชีวิตที่ถูกเรื่องร้าย ๆ ถาโถมเข้าใส่อยู่ตอนนี้ เรามีเรื่องราวของ Terry Fox เด็กหนุ่มชาวแคนาดา ผู้นำเอามรสุมชีวิตลูกใหญ่มาแปรเปลี่ยนเป็นพลังลมที่ผลักดันให้เขาก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง และที่น่ายกย่องหัวจิตหัวใจคือ การลุกขึ้นสู้ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเขานั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่การสู้เพื่อตัวเอง แต่เป็นการต่อสู้ด้วยเจตนารมณ์อันยิ่งใหญ่เพื่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ กับการตัดสินใจพาตัวเอง, ขาที่เหลือเพียงหนึ่งข้างจากโรคมะเร็ง และหัวใจสุดแกร่งหนึ่งดวง ออกวิ่งมาราธอนข้ามประเทศแคนาดาเพื่อประกาศให้ผู้คนตระหนักถึงความร้ายกาจของโรคมะเร็ง รวมถึงหาเงินสนับสนุนให้กับการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโรคมะเร็งซึ่งยังไม่ได้เป็นโรคที่อยู่ในความสนใจ ณ ขณะนั้น (ช่วงยุค 70s – 80s) จนเรื่องราวของเขาถูกเล่าขานเป็นตำนานที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลกจวบจนทุกวันนี้ ยอดชายใจแกร่ง Terry Stanley Fox หรือ Terry Fox ถือกำเนิดขึ้นที่เมือง Winnipeg รัฐ Manitoba ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ปี 1958 เขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางครอบครัวที่อบอุ่น เป็นลูกชายคนที่ 2 จากจำนวนพี่น้องทั้งหมด 4 คน โดย Terry Fox นั้นฉายแววความชื่นชอบหลงใหลในการเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็ก เริ่มต้นด้วยกีฬาเบสบอล ก่อนที่จะหันมาสนใจบาสเก็ตบอลอย่างจริงจังช่วงเรียนไฮสคูลที่ Mary
“กีฬาเป็นยาวิเศษ” แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางทีก็เป็นยาขมด้วย เวลาที่ทีมรักฟอร์มป่วยพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ไอ้เราก็ออกตัวแรง หวังว่าถ้วยนี้ต้องอยู่ในมือของทีมที่ตามเชียร์มานาน สุดท้ายโดยแซวว่า “แชมป์ว่าว” ถ้าจะให้แคบกันเข้ามาหน่อยก่อนเข้าเรื่อง แน่นอนว่าชนิดกีฬาที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลกก็คือ “ฟุตบอล” หรือ soccer (ซ็อคเกอร์) ที่ชาวอเมริกันเรียก ซึ่งกีฬาลูกหนังนี้ถูกเคลมว่ามหาชนที่สุดจากหลายปัจจัย ทั้งผลสำรวจจากฐานผู้ชมเอง รวมทั้งเหตุผลอื่น ๆ เช่น จำนวนผู้ชมในทัวร์นาเม้นต์สำคัญ ๆ อย่างในศึก ฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล มีผู้คนสนใจสูงถึง 3.9 พันล้านคน และมีผู้ชมทั่วโลกชมการถ่ายทอดการแข่งขันสูงถึง 700 ล้านคน ขณะที่องค์ประกอบอื่น ๆ ที่ยืนยันความยิ่งใหญ่ได้ก็คือ เงินรางวัลรวมที่สูงที่สุด (UEFA Champions League) , ลิขสิทธิการถ่ายทอดสดแพงที่สุด (English Premier League) , มีลีกอาชีพมากที่สุด (กว่า 50 ประเทศ) , ดีลชุดแข่งที่แพงที่สุด (Nike และ Barcelona ปี 2018-2028)
วันเวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน รู้ตัวอีกทีอายุของคุณก็ขึ้นต้นด้วยเลข 3 เสียแล้ว และสังขารมันก็เป็นเรื่องของธรรมชาติที่ฝืนกันไม่ได้เสียด้วย ถึงแม้ว่าใจคุณจะยังสู้อยู่ แต่ร่างกายอาจจะฟื้นฟูไม่ไหว วันนี้ UNLOCKMEN จึงมาพูดถึง 7 สิ่ง ที่สมัยวัยรุ่นทำได้สบาย ๆ แต่พออายุได้ 30+ อาจต้องพิจารณาลดลงบ้าง เพื่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีกว่า แถมยังช่วยลดโอกาสความผิดพลาดจากหน้าที่การงานอย่างไม่จำเป็นด้วย ป้องกันให้เราไม่ต้องมาย้อนคิดว่า ‘ไม่น่าเลยกู’ ส่วนจะมีอะไรกันบ้างติดตามกันได้เลย ไม่น่าปาร์ตี้รัวคืนชนคืนยาวเป็นอาทิตย์เลยกู ช่วงที่คุณยังเป็นวัยรุ่น ยิ่งเป็นช่วงอยู่มหาลัย การปาร์ตี้ติดต่อกัน 2 วันนี่สบายมาก อย่าว่าแต่ 2 วันเลย ติดต่อกันทั้งอาทิตย์ก็ยังไหว เพราะร่างกายมันยังเครื่องฟิตสตาร์ทติดง่าย แต่เมื่อคุณอายุทะลุ 30+ ไปแล้ว การออกไปปาร์ตี้หนัก ๆ หลายคืนติดต่อกัน เราจะรู้สึกได้เลยว่ามันช่างใช้พลังงานเยอะเสียเหลือเกิน ตื่นขึ้นมาก็ปวดหัวสุด ๆ กว่าจะฟื้นได้บางทีเวลาผ่านไปเป็นวัน ความซวยคือถ้ามันเป็นวันที่เช้าถัดไปมีประชุมสำคัญ หรือมีงานใหญ่รออยู่ คงได้แต่นั่งโทษตัวเองว่า ‘ไม่น่าเลยกู’ ต่อให้คุณอยากออกไปปาร์ตี้ต่ออีกคืน แต่ร่างกายคุณจะสั่งเองว่า ‘พอก่อนเถอะ’ แต่สายปาร์ตี้วัยดึกคนไหนอดใจไม่ไหวจริง ๆ ทาง UNLOCKMEN ขอแนะนำให้ลองเปลี่ยนจากการปาร์ตี้ในคลับที่เต้นกันสุดเหวี่ยง เป็นปาร์ตี้ในบาร์เงียบ ๆ
“ทุกปัญหามีทางออก ทุกทางออกมีทางเข้า” แล้วถ้าประตูที่เราต้องการผ่านเข้าไปมันล็อกหละ ต้องทำอย่างไร ? ทางออกที่ดีที่สุดก็อาจจะเป็นการโทรเรียกช่างกุญแจมาช่วยไขซะเลย ง่ายดี แต่อย่าลืมว่าโชคคงไม่ได้เข้าข้างเราเสมอไป เพราะถ้าเกิดเจอสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นมา อย่างไฟไหม้บ้านหรืออาคารที่เราอยู่ หรือมีคนที่คุณรักติดอยู่ในห้องที่ไฟกำลังลุกโชน ไม่ก็ใครสักคนที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างสุด ๆ แต่ทว่าประตูห้องนั้นดันล็อกอยู่ ก็คงจะไม่มีเวลาโทรหาใครมาช่วย แบบนี้ก็ต้องรีบหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เอาวะ พังก็พัง! ส่วนใหญ่แล้วภาพจำการพังประตูของเราน่าจะมาภาพยนตร์หรือซีรีส์หลายเรื่อง บ้างก็คิดง่าย ๆ ว่า แค่ทุ่มสุดตัว ใส่แรงเต็มที่พุ่งชนไปเลย มันต้องได้สิวะ แต่หารู้ไม่ว่าหากทำผิดวิธีแล้ว นอกจากจะพังไม่สำเร็จ ไอ้ที่พังนี่แหละก็จะกลายเป็นตัวเราเอง ทีมงาน UNLOCKMEN เห็นว่าพวกเราควรจะมีทักษะการ “พังประตู” ติดตัวไว้ เผื่อเอาไว้ใช้ในยามคับขัน จึงได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งที่ไม่ขอเปิดเผยนาม และก็ได้คำตอบที่ทำให้เรารู้ว่าที่ผ่านมาเราส่วนใหญ่นั้นเข้าใจผิดมาตลอด ทำความรู้จักกับประตูก่อน Know You Enemy : รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง จะพังอะไรทั้งทีก็ต้องรู้จริง เชื่อว่ามีหลายท่านที่มีปฏิสัมพันธ์กับประตูแค่ “เปิด” และ “ปิด” มาทั้งชีวิต แบบนี้ต้องเติมความรู้เกี่ยวกับประตูเบื้องต้นกันหน่อย ประตูภายนอก : ด้วยความที่ต้องทนแดดทนฝนทำให้เป็นแบบโครงตัน (solid
ปัญหาในที่ทำงานยอดฮิตติดลมบน คงไม่พ้นเรื่องช่องว่างระหว่างวัย ความไม่เข้าใจกันของคนสอง Generation ที่มีพื้นฐานทางความคิดที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นความไฟแรงของวัยหนุ่มเลือดร้อน หรือความหัวดื้อยึดตัวเองเป็นใหญ่ของวัยผู้ใหญ่ (ที่มักจะมองว่าอีกฝ่ายนั่นแหละที่หัวแข็ง) ทั้งสองฝ่ายก็ต่างเติบโตมาจากสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกัน ทำให้พื้นฐานความคิดแตกต่างกัน หากจะยกเหตุผลมาถกกัน ชาตินี้ก็คงไม่จบ เพราะมันต้องดูกันไปแบบ Case By Case UNLOCKMEN เลยขอเอาความเข้าใจผิดที่ชาว GEN-Y มักจะถูกแปะป้ายจาก Gen รุ่นพี่อยู่เสมอ หากคุณเป็น Gen รุ่นใหญ่ ลองดูว่าคุณกำลังเข้าใจอะไรน้อง ๆ ผิดไปหรือไม่ ลองมองว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีใครถูกผิดแล้วหาทางออกร่วมกันสิ เผื่อจะได้ร่วมงานกับน้อง ๆ ได้แบบรุ่นใหญ่ใจกว้าง เด็กพวกนี้แค่อยาก Make Money เท่านั้นแหละ ทำไงได้ เพราะเงินมันคือแรงจูงใจสำคัญในการเลือกอาชีพยังไงล่ะ จนบางครั้งอาจพาลไปถึงเรื่องเรียนอีกด้วย ว่าพวกเขาเลือกเรียนคณะนี้ เอกนี้ เพราะเงินดี มากกว่าเพราะความชอบหรือความถนัดของตัวเอง เราอาจมองว่าเด็กพวกนี้ก็เลือกแต่งานที่ได้ค่าตอบแทนดีเอาไว้ก่อน เพราะเด็กรุ่นนี้ส่วนมากได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานคือปริญญาตรี เลยอยากจะได้เงินที่สมน้ำสมเนื้อกับการตรากตรำคว้า A มาแบบเลือดตากระเด็น แต่ถ้าหากได้ลองทำงานกับ Gen-Y จริง ๆ คุณจะพบว่าแค่เงินยังไม่สามารถโน้มน้าวพวกเขาไว้ได้ ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ Gen