ในมังงะแต่ละเรื่องแน่นอนว่าตัวละครที่มักจะมีบทโดดเด่นที่สุดหรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นพระเอกของเรื่องส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นตัวละครฝ่ายธรรมะผู้มีจิตใจยึดมั่นความถูกต้องยุติธรรม ลูฟี่, ซุน โกคู, นารูโตะ หรือตัวละครในตำนานอีกหลายตัวต่างก็อยู่ในข่ายด้านสว่างแทบทั้งสิ้น แต่ในมังงะบางเรื่อง ตัวละครที่เราจดจำได้ดีที่สุดกลับเป็นตัวละครฝ่ายอธรรมผู้มีจิตใจชั่วช้าเลวทรามเสียอย่างนั้น ซึ่งเรื่องนี้คงต้องชื่นชมอาจารย์ผู้เขียนที่ออกแบบตัวละครเหล่านั้นออกมาได้ดี ดีถึงขนาดที่ว่าถึงแม้ตัวละครเหล่านั้นกำลังทำสิ่งที่ชั่วร้ายอยู่ แต่เรากลับเอาใจช่วยให้ทำสำเร็จ และรู้สึกเสียใจในเวลาที่ตัวละครเหล่านั้นจบชีวิตลง เอาล่ะมาย้อนความหลังไปกับตัวร้ายในความทรงจำกันเถอะ ยางามิ ไลท์ จากเรื่อง Death Note นี่คือตัวละครแรกที่แว่บเข้ามาในหัวเราทันทีหลังจากตัดสินใจเขียนคอนเทนต์นี้ ในเรื่อง Death Note ถ้าถามว่าใครคือพระเอก คำตอบก็คือยางามิ ไลท์ ถ้าถามว่าใครคือตัวร้าย คำตอบก็คือยางามิ ไลท์ เช่นเดียวกัน ยางามิ ไลท์ ไม่ได้เกิดมาชั่วร้ายแต่กำเนิด เขาเป็นเด็กเรียนดีระดับหัวกะทิของประเทศ เป็นลูกนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หน้าตาดีเป็นที่หมายปองของสาว ๆ เรียกว่าเขาคือนักเรียนมัธยมปลายในอุดมคติ แต่แนวความคิดเรื่องความยุติธรรมของเขาค่อนข้างสุดโต่ง เขาอยากกำจัดเหล่าอาชญากรชั่วร้ายให้หมดทั้งโลกด้วยความตาย ดังนั้นเมื่อเขาได้สมุดโน้ตมรณะที่เพียงรู้ชื่อกับรู้หน้าก็สามารถฆ่าใครก็ได้ในโลก เขาจึงไม่รีรอที่จะตั้งตัวเองเป็นศาลเตี้ยพิพากษาโทษของคนตามใจชอบ ซึ่งนานวันเข้าก็เริ่มเลยเถิด ไลท์ไม่เพียงแต่ใช้สมุดโน้ตฆ่าอาชญากรฆ่าทุกคนที่ขวางหน้าที่พยายามจะจับกุมเขา จากความคิดที่ต้องการสร้างสังคมให้ดีขึ้นในตอนแรก กลายเป็นหลงระเริงในอำนาจอยากสร้างโลกในอุดมคติที่มีเพียงความคิดเขาเองเท่านั้นที่ถูกต้อง ถ้าใครเคยอ่าน Death Note คงรู้ว่าไลท์มีจุดจบเช่นไร เราขอไม่บอกตรงนี้ แต่เอาเป็นว่าเป็นตอนจบที่ไม่น่าดูเอาเสียเลย อามากิงจากเรื่อง แสบกว่านี้มีอีกมั้ย แสบกว่านี้มีอีกมั้ย
ตอนนี้ใคร ๆ ก็ต้องอยู่บ้าน รวมถึงพวกเราชาว UNLOCKMEN ต้องอยู่ติดบ้าน พยายามออกไปข้างนอกให้น้อยเท่าที่จะทำได้ และการนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในพื้นที่เดิมอาจทำให้เราเบื่อหน่าย บางคนดูหนังจนไม่รู้ว่าจะดูเรื่องอะไรแล้วก็มี จึงทำให้วันนี้เราอยากแนะนำแอนิเมชันที่ฉายบนระบบสตรีมมิง Netflix ไว้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนขี้เบื่อ แอนิเมชัน 7SEEDS สร้างจากมังงะที่ตีพิมพ์ลงในนิตยสารการ์ตูนรายเดือนโชโจปี 2001 และนิตยสารการ์ตูนรายเดือนฟลาวเวอร์ในปี 2002 ผลงานจากความคิดสร้างสรรค์ของทามูระ ยูมิ (Tamura Yumi) นักเขียนมังงะสไตล์สดใสที่คนไทยชอบเรียกกันว่า “การ์ตูนตาหวาน” แต่ถึงจะตาหวานภาพสวยน่ารักแต่เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ของอาจารย์ยูมิมักมีเนื้อหาแหวกแนวจากการ์ตูนตาหวานเรื่องอื่น ๆ 7SEED จะเล่าเรื่องราวของคนญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งถูกนำไปปล่อยทิ้งไว้สักแห่งหนึ่งของโลก เด็กสาวชื่อ ‘นัตสึ’ ตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่บนเรือลำหนึ่งกลางมหาสมุทรกับคนแปลกหน้าอีกสองคน พวกเขาสามารถขึ้นฝั่งบนเกาะที่ไม่รู้จัก แถมพบว่ายังมีคนอื่นที่ติดอยู่บนเกาะด้วยเหมือนกัน ผู้รอดชีวิตทั้งนักเรียนมัธยมปลาย นักดนตรี ตำรวจหญิง แต่ละคนล้วนอุปนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทุกคนต่างต้องงัดความรู้และไหวพริบเท่าที่มีทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดบนเกาะที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตประหลาด เรื่องราวการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ทำให้เราลืมภาพการ์ตูนตาหวานไปจนหมดสิ้น เพราะเนื้อหาของมังงะเรื่องนี้เล่นกับจิตใจคนได้อย่างไม่น่าเชื่อ มีคนที่เชื่อมั่นสุดหัวใจว่าหากร่วมมือกันทุกคนจะต้องออกไปจากเกาะให้ได้ และก็มีบางคนเชื่อว่ามนุษย์สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมรอบตัว ดำรงชีวิตอยู่บนเกาะโดยไม่ต้องพยายามหาทางออกไป จนทำให้เราย้อนกลับมาคิดว่าหรือถ้าเป็นเองจะเลือกอยู่บนเกาะหรือไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า ? “ที่นั่น มีแต่ภาพแห่งความสิ้นหวัง” แท้จริงแล้วมนุษย์ถูกจับมาอยู่รวมกันโดยโครงการ 7SEEDS เพื่อค้นหาเมล็ดพันธุ์ยอดเยี่ยมจากกลุ่มเซอร์ไววัลมาเป็นต้นแบบเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของมนุษย์จากเหตุการณ์บางอย่างที่อาจทำให้เกิดการสูญพันธุ์ ท่ามกลางการ์ตูนภาพสวยกลับเต็มไปด้วยเรื่องราวหนักอึ้ง
ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เราทุกคนล้วนต้องผ่านช่วงเวลาเป็นเด็กด้วยกันทั้งนั้น และกิจกรรมวัยเด็กขาดไม่ได้คือการตื่นเช้ามานั่งรอดูการ์ตูน อ่านหนังสือการ์ตูนเรื่องที่ชอบ ตามซื้อนิตยสารการ์ตูนเพื่อจะได้อ่านตอนถัดไปก่อนใคร ตามเก็บของเล่นที่แถมมากับขนม และเอาเรื่องราวมัน ๆ ในการ์ตูนมาคุยกับเพื่อนที่โรงเรียน ยุคหนึ่งเคยมีการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากทั้งในประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย มังงะจากเกาะญี่ปุ่นที่เล่าเรื่องราวการผจญภัยของซุน โกคู เด็กชายผู้ออกตระเวนไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อรวบรวมดราก้อนบอลให้ครบ 7 ลูก เพราะหากเก็บครบแล้วจะสามารถขอพรจากเทพเจ้ามังกร เรื่องราวการเดินทางที่ต้องพบเจอทั้งอุปสรรค เพื่อนฝูง เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการผจญภัย ทำให้เด็ก ๆ ทุกคนติดการ์ตูนเรื่อง Dragon Ball กันแจ DARGON BALL ในยุคคุณดังแค่ไหน ? เมื่อถูกถามขึ้นว่า “Dragon Ball ดังแค่ไหน ?” บางคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงถามคำถามนี้ เพราะคำตอบคือสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วว่า “การ์ตูนเรื่องนี้แม่งโคตรดัง!” แต่เมื่อยุคสมัยผ่านไป คนรุ่นก่อนที่ทันอ่านมังงะเรื่องนี้ก็เติบโตขึ้นตามกาลเวลา ซึ่งถ้าย้อนกลับไปดูพบว่าช่วงเวลาที่ Dragon Ball ตีพิมพ์คือ ค.ศ. 1984-1995 (พ.ศ. 2527-2538) สรุปคือตอนนี้การ์ตูนเรื่องดังจบลงนานกว่า 25 ปีแล้ว เด็ก ๆ
Shonen Jump และอาจารย์ทาเคฮิโกะ อิโนอุเอะ ผู้เขียนการ์ตูน SLAM DUNK เตรียมปล่อยสมุดภาพชุด “SLAM DUCK ILLUSTRATION 2” ที่มาพร้อมงานอาร์ตเวิร์กชิ้นพิเศษจำนวนมาก รวมถึงภาพวาดที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน! SLAM DUNK (แสลมดังก์) คือหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นหรือมังงะที่มีอิทธิพลต่อวัยรุ่นยุค 90’s ไม่เพียงแค่ในประเทศไทยแต่ทั่วทั้งโลก โดยทำให้วัยรุ่นได้รู้จักกับกีฬาบาสเกตบอลมากขึ้น รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจให้ชายหนุ่มหลายคนตัดสินใจเริ่มเล่นกีฬาชนิดนี้อย่างจริงจัง และตอนนี้เวลาก็ผ่านมาถึง 29 ปีแล้ว นับตั้งแต่การ์ตูนตอนแรกเผยแพร่ออกมา มังงะในตำนานเรื่องนี้เขียนโดย อาจารย์ ทาเคฮิโกะ อิโนอุเอะ เผยแพร่ครั้งแรกทางนิตรสาร Shonen Jump ในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม ปี 1990 ก่อนจะสิ้นสุดในวันที่ 17 มิถุนายนปี 1996 เป็นมังงะ 31 เล่มจบ นับเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นก็ขายไปมากกว่า 120 ล้านเล่ม โดยความนิยมในเวลานั้นทำให้ผู้สร้างแอนิเมชันชั้นนำอย่าง Toei Animation นำมาสร้างเป็นภาพเคลื่อนไหว ก่อนเผยแพร่และถูกแปลไปหลายภาษาทั่วโลก ทั้งหมดทำให้ SLAM
การ์ตูนญี่ปุ่นหรือมังงะ ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่อยู่คู่กับผู้ชายไทยมาตั้งแต่เด็กจนโต บางคนเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็อาจเลิกอ่านมังงะหันไปชื่นชอบสิ่งอื่นแต่สำหรับใครหลายคนมังงะเหมือนกับเพื่อนคู่ใจที่โตมาด้วยกัน เพราะไม่ว่าวันไหนที่เหนื่อยจากการเรียนหนัก หรือท้อจากชีวิตการทำงาน เพียงแค่กลับมาที่ห้องและพักผ่อนไปกับการ์ตูนเรื่องโปรดก็สามารถทำให้เรามีแรงไปสู้ต่อในวันรุ่งขึ้นได้แล้ว UNLOCKMEN ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มคนที่เติบโตมากับมังงะด้วยเช่นกัน จึงทำให้เราอยากพาหนุ่ม ๆ ทุกท่านมาพบกับ 5 อันดับมังงะจาก Shonen Jump นิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์ของสำนักพิมพ์ Shueisha ที่ตีพิมพ์มานานกว่า 51 ปี ว่ามังงะเรื่องไหนจะโดดเด่นทั้งเรื่องราวและตัวละครจนได้รับความนิยมจากผู้ชมมาโดยตลอด อันดับ 5 SLAM DUNK ถ้าพูดถึงมังงะเกี่ยวกับกีฬาบาสเกตบอลใคร ๆ ก็จะต้องพูดถึงเรื่อง Slam Dunk อย่างแน่นอน ผลงานจากอาจารย์ Inoue Takehiko ทั้งหมด 31 เล่ม สามารถจำหน่ายได้มากกว่า 100 ล้านเล่มทั่วโลก Slam Dunk เป็นมังงะที่สามารถถ่ายทอดความสุขและความเศร้าของเหล่านักกีฬาจำเป็นได้อย่างครบถ้วน เพราะตัวเอกของเรื่องเป็นเด็กอันธพาลเกลียดการเล่นบาสฯ แต่สุดท้ายก็ต้องจำใจเดินเข้าสนามแข่งเพื่อแย่งลูกกลม ๆ ยัดลงห่วง เพียงเพราะสาวที่เขาแอบปลื้มชื่นชอบนักกีฬาบาสเกตบอล จึงทำให้เรื่องวุ่น ๆ เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อเด็กหนุ่มไม่สนใจกีฬาบาสได้มาอยู่ในวงการ สัมผัสกับความฝันของคนในทีม
เนื้อหาในบทความนี้อ้างอิงจากมังงะเรียกเขาว่าอีกาเล่ม 1-26 และ Worst เล่ม 1-33 เท่านั้น ถ้าถามเด็กผู้ชายยุค 90-2000 เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักผลงานมังงะอันเลื่องชื่อของอาจารย์ ฮิโรชิ ทากาฮาชิ เรื่อง เรียกเขาว่าอีกา ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะนี่คือหนึ่งในมังงะสายนักเลงที่ประสบความสำเร็จที่สุด ครั้งหนึ่งเราเคยอยากสูบบุหรี่ยี่ห้อ Seven Stars เคยอยากขี่มอเตอร์ไซค์ เคยอยากใช้กำลังเป็นตัวตัดสินถูกผิด เลียนแบบตัวละครในเรื่อง แต่สุดท้ายเมื่อได้อ่านจนจบ สิ่งที่เราได้จากมังงะเรื่องนี้กลับเป็นมุมมองด้านมิตรภาพที่ไม่สามารถหาได้จากหนังสือเรียนเล่มไหน เมื่อพูดถึง เรียกเขาว่าอีกา ก็ต้องนึกถึง โรงเรียนมัธยมปลายซูซูรัน โรงเรียนของเหล่าตัวเอกในเรื่อง เป็นโรงเรียนที่เปรียบเหมือนฝูงอีกาฝูงใหญ่ ไม่มีใครสามารถรวมให้เป็นหนึ่งได้ ทุกคนต่างยึดมั่นในศักดิ์ศรีไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างใคร อย่างไรก็ตามท่ามกลางฝูงอีกาอันเกรี้ยวกราด ก็มีอีกาบางตัวที่แข็งแกร่งกว่าตัวอื่น ๆ เราเรียกพวกเขาว่า ผู้ยิ่งใหญ่แห่งซูซูรัน พวกเขาเหล่านี้คือผู้ใกล้เคียงที่จะรวบรวมฝูงอีกาให้เป็นหนึ่งเดียวมากที่สุด และวันนี้เราจะไปทำความรู้จักพวกเขากัน โบยะ ฮารุมิจิ โบยะ ฮารุมิจิ พระเอกของเราคือนักเรียนรุ่นที่ 25 แห่งโรงเรียนมัธยมซูซูรัน เขาปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับในวันเปิดเรียนวันแรกในฐานะนักเรียนมัธยมปลายชั้นปีที่ 2 ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปว่าเจ้าหนุ่มผมทอง ท่าทางกวนอวัยวะเบื้องล่าง เจ้าชู้ชีกอ ดูไม่มีพิษมีภัยนี้เป็นใครมาจากไหน ถึงจะไม่ได้ไประรานใครก่อน แต่ด้วยเอกลักษณ์ที่ใครเห็นก็ต้องหมั่นไส้ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนเหล่าอันธพาลในโรงเรียนหาเรื่อง ซึ่งตอนนั้นก็เป็นครั้งแรกที่เราคนอ่านและบรรดานักเรียนของซูซูรันได้รับรู้พร้อมกันว่าภายใต้นิสัยที่ดูไม่เอาไหน แท้จริงแล้วเจ้าผมทองคนนี้มีฝีมือการชกต่อยแสนร้ายกาจ สามารถล้มคู่ต่อสู้นับสิบได้แบบสบาย ๆ ใช้เวลาไม่นาน ชื่อของ โบยะ
บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของการ์ตูนเรื่อง Bakuman ‘วงการการ์ตูน’ คือหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศญี่ปุ่น ในแต่ละปีสร้างรายได้ให้กับประเทศนับล้าน ๆ เยน นับเป็นสิ่งหอมหวานที่ใคร ๆ ก็อยากเข้าหา แต่ภายใต้ฉากหน้าที่สวยหรู แท้จริงแล้ววงการนี้ก็มีความโหดร้ายที่คร่าชีวิต ทำลายความฝันของผู้คนมาแล้วมากมาย เพียงแต่ไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาให้ภายนอกรับรู้ แต่ในปี 2008 ‘Bakuman วัยซนคนการ์ตูน’ มังงะผลงานของอาจารย์ สึงูมิ โอบะ และ ทาเกชิ โอบาตะ ที่เคยฝากฝีมือไว้ในมังงะชื่อดังอย่าง Death Note ก็ตีพิมพ์ออกมา นี่คือมังงะที่กล้าจะนำเสนอเรื่องราวของอุตสาหกรรมการ์ตูนญี่ปุ่นอย่างเจาะลึก ทั้งด้านดีและร้าย ตีแผ่ทุกแง่มุม เนื่องจากมังงะเรื่องนี้เปรียบเสมือนบันทึกชีวิตของอาจารย์ผู้เขียนทั้ง 2 ทุกอย่างในเรื่องจึงออกมา ‘จริง’ และ ‘เชื่อถือได้’ นอกจากนั้นยังมีการผสมผสานธีมการวิ่งตามความฝันของเด็กหนุ่มเข้าไปได้อย่างลงตัว Bakuman จึงออกมาเป็นมังงะที่กลมกล่อม สุข เศร้า เหงา ซึ้ง มีครบทุกรสชาติของชีวิต ทำลายกำแพงความกลัวด้วยความกล้า มาชิโระ โมริทากะ เป็นเด็กหนุ่มวัยมัธยมต้นปีสุดท้าย เขาเป็นคนจืดชืด ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย ไร้ความฝัน มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาชัดเจนคือความรักที่มีต่อ อาซึกิ มิโฮะ เด็กสาวเพื่อนร่วมห้องที่เขาแอบชอบมานาน แต่ก็ไม่กล้าบอกเธอเนื่องจากอาซึกิเปรียบเหมือนดาวประจำโรงเรียน มีแต่หนุ่ม ๆ รุมล้อม ส่วนเขาเป็นเพียงคนไร้ตัวตน อย่างไรก็ตามหนึ่งสิ่งที่คนธรรมดาอย่างเขาทำได้ดีคือ
‘ฉันคือคนที่จะเป็นราชาโจรสลัด!’ นี่คือคำประกาศกร้าวของ มังกี้ ดี ลูฟี่ เด็กหนุ่มพลังยางยืดจากอีสต์บูลในขณะที่ตัวเองกำลังจะโดน บากี้ โจรสลัดตัวตลกประหารในเมืองโล้คทาวน์ ในตอนนั้นมันช่างเป็นคำพูดที่ดูน่าขำสำหรับคนทั่วไป เพราะลูฟี่ยังเป็นเพียงโจรสลัดไร้ชื่อเสียงเรียงนาม การนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับ โกลด์ ดี โรเจอร์ อดีตราชาโจรสลัดผู้ยิ่งใหญ่จึงดูเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินตัว แต่ผ่านมาเพียง 2 ปี จากโจรสลัดไร้ค่าหัวในตอนนั้น ตอนนี้ลูฟี่คือโจรสลัดผู้มีค่าหัวสูงถึง 1,500 ล้านเบรี พร้อมฉายา ‘จักรพรรดิหมวกฟาง’ แถมยังได้รับการยกย่องให้เป็นจักรพรรดิคนที่ 5 แห่งท้องทะเล แน่นอนว่าเมื่อกลายเป็นคนยิ่งใหญ่ สิ่งที่ตามมาคือคู่ต่อสู้ระดับพระกาฬที่เขาต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็น 4 จักรพรรดิอย่าง ไคโด และมาร์แชล ดี ทีช (หนวดดำ) หรือแม้กระทั่งรัฐบาลโลกที่มีกองกำลังสุดแข็งแกร่งอยู่ในมือ ด้วยสเกลการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ลำพังแค่ตัวลูฟี่กับลูกเรืออีก 9 ชีวิตคงไม่สามารถต่อกรได้แน่นอน กลุ่มพันธมิตรและมิตรสหายจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางในตอนนี้ ‘ใคร ๆ ก็รักลูฟี่’ ด้วยความที่เป็นคนจิตใจดี ไม่มีพิษภัย ที่สำคัญคือรักพวกพ้องมาก ๆ ลูฟี่จึงซื้อใจคนได้มากมาย จนเริ่มมีกองกำลังและพันธมิตรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาเหล่านี้นี่เองคือกุญแจดอกสำคัญที่จะส่งพ่อหนุ่มหมวกฟางของเราขึ้นไปเป็นราชาโจรสลัด ดังนั้นเรามาทำความรู้จักพวกเขาก่อนดีกว่า กองกำลังพันธมิตรมิ้งค์ แมว หมา นินจา
ท่ามกลางอนิเมะมากมายใน Netflix ‘Kakegurui’หรือในชื่อไทย ‘โคตรเซียนโรงเรียนพนัน’ ผลงานของอาจารย์ โฮมูระ คาวาโมโตะ กับอาจารย์ โทรุ นาโอะมูระ คือหนึ่งในเรื่องที่มีความโดดเด่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากที่สุด ไม่ว่าจะด้วยพล็อตแปลกใหม่ไม่ซ้ำกับใคร ฉีกขนบเนื้อเรื่องแนวโรงเรียนแบบเดิม ๆ อย่างไม่มีชิ้นดี งานภาพโดดเด่นหวือหวา ฉูดฉาดเร้าอารมณ์ นอกจากนั้นการออกแบบตัวละครก็ทำได้ยอดเยี่ยม ทุกตัวละครมีมิติในตัวเอง จนทำให้คนดูอย่างเราทั้งรักทั้งเกลียดได้อย่างประหลาด โดยรวมแล้ว Kakegurui คืออนิเมะชั้นเลิศที่สมควรหามาดูด้วยประกาศทั้งปวง และไม่ใช่แค่ความบันเทิงเท่านั้นที่จะได้รับ ภายใต้เรื่องราวของโรงเรียนที่เต็มไปด้วยการพนันแห่งนี้ยังแฝงประเด็นที่น่าสนใจเอาไว้มากมาย ซึ่งในวันนี้เราจะมาพูดถึงมันกัน เอาล่ะ ไปเล่นการพนันแบบหลุดโลกกันเถอะ! ในโลกจำลองที่การพนันคือทุกสิ่ง เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อ ยูเมโกะ จาบามิ เด็กสาวลึกลับได้ย้ายเข้ามาเรียนในโรงเรียนเอกชน เฮียคคะโอ ในช่วงกลางเทอม ซึ่งถ้าจะอธิบายโรงเรียนแห่งนี้ให้เข้าใจได้ง่าย ๆ มันคือโรงเรียนคนรวย ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยลูกคนใหญ่คนโตของประเทศญี่ปุ่น และนอกจากการเป็นโรงเรียนสำหรับชนชั้นสูงแล้ว ความพิเศษอีกอย่างของเฮียคคะโอที่ไม่มีที่ไหนเหมือนคือที่นี่ตัดสินทุกอย่างด้วย ‘การพนัน’ เนื่องจากโรงเรียนนี้เต็มไปด้วยเหล่าลูกคนรวย ดังนั้นเงินคือทุกอย่าง ชนชั้นสถานะของนักเรียนทุกคนถูกกำหนดด้วยเงิน ไม่ใช่หน้าตา ผลการเรียน หรือกีฬา ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของโรงเรียนกลับไม่ใช่ผู้อำนวยการ แต่คือเหล่าคณะกรรมการนักเรียนที่มั่งคั่งด้วยเงินตราและฝีมือด้านการเล่นพนัน เมื่อคุณไม่มีเงิน คุณก็ต้องเล่นพนันเพื่อให้ได้มันมา! เด็กใหม่อย่างยูเมโกะ จาบามิรู้สึกยังไงกับกฎประหลาดของโรงเรียนนี้? ทุกคนต่างคิดว่าเธอจะเป็นปลาเล็กให้เหล่าเซียนพนันในโรงเรียนงาบได้แบบสบาย ๆ แต่ผิดคาด เพราะแท้จริงแล้วยูเมโกะคือคนที่บ้าการพนันยิ่งกว่าใคร และฝีมือเธอก็ยอดเยี่ยมเสียจนสามารถทำให้โลกการพนันของเฮียคคะโอต้องปั่นป่วนหลังจากเข้ามาเพียงไม่กี่วัน ไม่มีเงินก็จงกลายเป็นสัตว์เลี้ยง ไม่ใช่แค่ความสนุก แต่ Kakegurui
Spoil Alert! บทความนี้มีการพูดถึงเนื้อหาสำคัญของอนิเมะบางเรื่อง ‘อนิเมะ’ หรือ ‘การ์ตูนญี่ปุ่น’ มักจะถูกตีค่าว่าเป็นสื่อเพื่อความบันเทิง เน้นความสนุกสนาน ตลกโปกฮา หรือตื่นเต้นเร้าใจเป็นหลัก แต่ถ้าใครเสพอนิเมะเป็นประจำแล้วละก็ คงรู้ดีว่าอนิเมะญี่ปุ่นไปไกลกว่านั้นมาก บางเรื่องเนื้อหาเข้มข้นตึงเครียดยิ่งกว่าภาพยนตร์คนแสดงเสียอีก อย่างที่เราเคยเห็นใน Akira (1988) ที่นำเสนอโลกดิสโทเปียผสมความ Cyberpunk ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม จนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงภาพยนตร์เรื่อง Blade Runner ของผู้กำกับ Ridley Scott หรือเรื่อง Perfect Blue (1997) ที่พาคนดูดำดิ่งสู่จิตใจมนุษย์ ภายใต้บรรยากาศหลอนประสาท ไม่ต่างอะไรจากภาพยนตร์เรื่อง Black Swan หรือ Suspiria แต่อนิเมะที่เราจะพูดถึงในวันนี้ไม่ได้หนักหน่วงขนาดนั้น เพียงแต่ทุกเรื่องฉาบไปด้วยความเศร้าที่แม้แต่ลูกผู้ชายอกสามศอกยังกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ The Tale of the Princess Kaguya (2013) ไม่เฉพาะแค่อนิเมะ แต่นี่คือภาพยนตร์ที่ทำให้เราร้องไห้หนักที่สุดในชีวิต ถึงแม้หน้าหนังของ The Tale of the Princess Kaguya ที่หยิบยกเรื่องราวนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่น เจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่ มาเล่าจะดูเข้าถึงยาก เนื่องจากเนื้อเรื่องที่ดูโบราณ นอกจากนั้นยังเลือกวิธีการเล่าเรื่องผ่านแอนิเมชันสีน้ำที่คนส่วนใหญ่ไม่คุ้นชิน แต่ในเมื่อ The Tale of the Princess Kaguya กำกับโดย อิซาโอะ