“ประเทศไทยก็ดัดจริตในระดับหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราต้องเอาไฟแช็กไปแขวนไว้กับบุหรี่ตลอด” มันคงจะจริงอย่างที่ว่า เพราะสำหรับในประเทศไทยไฟแช็กถูกจับคู่อยู่กับบุหรี่มาตลอดทุกยุคทุกสมัย แต่ในช่วงวัยเด็กเราเห็นคนรุ่นพ่อจำนวนไม่น้อยที่ไม่สูบบุหรี่แต่ก็พกไฟแช็ก Zippo ติดกระเป๋าไปไหนมาไหนด้วยเสมอ ถือเป็นหนึ่งในตัวแทนความเท่ของผู้ชายที่อยู่มาทุกยุคทุกสมัย เพราะ Zippo เป็นไฟแช็กที่เท่ด้วยตัวของมันเอง UNLOCKMEN เคยเขียนเกี่ยวกับไฟแช็ก Zippo อยู่บ่อยครั้งแต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุยกับคนวงในที่คลุกคลีกับ Zippo อย่างจริงจัง จนเราได้มีโอกาสได้นั่งสนทนากับคุณ “รังสรรค์ จันทร์วรวิทย์” หรือคุณแต๋น ประธานและผู้ก่อตั้งชมรม Zippo Club Thailand สิ่งที่ UNLOCKMEN อยากรู้เกี่ยวกับ Zippo มีมากมายหลายหัวข้อนับไม่ถ้วนรวมถึงเรื่องราวของคุณแต๋นที่ทำให้ความชอบกลายเป็นธุรกิจแถมพอเมื่อทำแล้วก็ประสบความสำเร็จอีก เพราะไม่ใช่ทุกคนทำได้ และไม่ใช่ทุกคนมีความสุขกับการนำความชอบมาเป็นธุรกิจ เราจึงเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการถามว่า อะไรที่ทำให้คุณแต๋นสนใจไฟแช็ก Zippo ? ผมเริ่มสนใจ Zippo มาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นประถมเพราะเห็นลุงใช้แล้วมันเท่มาก แถมสิ่งที่ทำให้เริ่มสนใจจริงจังเป็นเพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็จะเห็นลุงใช้ไฟแช็กอันเดิมเสมอ มันทนมาก มีเอกลักษณ์มากโดยเฉพาะเสียงเวลาเปิด-ปิด แต่กว่าจะมาสะสมจริง ๆ ก็ตอนทำงานมีเงินเป็นของตัวเองครับ เสน่ห์ที่แตกต่างระหว่างไฟแช็กอื่นกับ Zippo ในมุมของคุณแต๋นมีอะไรบ้าง ? อย่างแรกเลยคือเสียงคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นไฟแช็กที่กันลมได้ จุดแล้วไม่ดับง่าย ๆ แถมเล่นทริคได้อีกด้วย แต่สิ่งที่เป็นจุดแข็งทำให้
ต้องยอมรับเลยว่าการเปลี่ยนผ่านในวงการเพลงเป็นสิ่งที่มาแล้วไปอย่างรวดเร็ว บางคนอาจอยู่ในช่วงที่เพลงดิสโก้มาแรง หรือเพลงร็อกล้านตลับ มาจนถึงการเปลี่ยนผ่านเป็นยุคที่เกิร์ลกรุ๊ปดังจนพลุแตก และแนวดนตรีที่มาแรงมากที่สุดในประเทศไทยตอนนี้คงหนีไม่พ้นดนตรี Hiphop ที่โดดเด่นด้วยการแรปเพื่อบอกเล่าเรื่องราวแทนใจ เพราะบางครั้งเราก็ไม่กล้าที่จะพูดมันออกมาจึงทำให้ใครหลายคนก็เลือกใช้การแรปถ่ายทอดความรู้สึก วันนี้เราได้สนทนากับ “ขันเงิน ไทเท” หนึ่งในสมาชิก Thaitanium วงดนตรี Hiphop ที่โด่งดังที่สุดในประเทศไทย พูดคุยเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับแนวเพลง Hiphop เพื่อตอบคำถามคาใจว่าในยุคที่ไม่มีใครเข้าใจสไตล์หรือแนวดนตรีนี้ ทำไมขันเงินถึงเลือกจะทำต่อ ความฝันที่พยายามทำให้เป็นจริงมันยากแต่อะไรที่ทำให้ตัดสินใจก้าวผ่านความยากและอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ จุดเริ่มต้นในทางเดินสาย HIPHOP ของ “ขันเงิน” และ “THAITANIUM” “ผมโดนส่งไปอยู่แคนซัสตั้งแต่อายุ 12-13 ปี ในช่วงที่การเหยียดสีผิวกำลังเข้มข้น เราออกไปเล่นสเก็ตหรือไปซักผ้า ก็โดนคนขาวเขวี้ยงก้อนหิน เขวี้ยงกระป๋องเบียร์ใส่เพราะแค่เราเป็นเอเชีย” อะไรที่ทำให้ “ขันเงิน” หลงรักสไตล์เพลง Hiphop ? ผมโดนส่งไปเรียนประมาณปี 89-90 เพราะพ่อแม่อยากให้เป็นเห็นโลกแห่งความจริงครับว่ามันไม่ได้สวยงาม มันยังมีการเหยียดสีผิวที่เข้มข้นอยู่ แล้วตัวเราก็โดนเหยียด เราเลยตั้งคำถามว่าทำไมฝรั่งมาไทยเราดูแลเขาดีอย่างกับพระเจ้า แล้วทำไมเวลาไปอยู่ที่โน่นเราถึงได้รับอะไรแบบนี้ เมื่อโดนคนขาวเหยียดเราเลยถูกรวมเข้าไปอยู่ในชนกลุ่มน้อย คือคนผิวสีกับชาวละติน แล้ว soundtrack ของพวกเขาคือเพลง Hiphop ที่เป็นเหมือนความหวัง เป็นพลังเสียงของคนผิวสีเพื่อเป็นตัวแทนพูดในสิ่งที่เขาอึดอัด
ทุกวันนี้เราพยายามเกาะติดทุกสถานการณ์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกเพื่อไม่ให้ตัวเองตกขบวนการเป็นส่วนหนึ่งของอนาคต แต่ขณะที่หลายคนมุ่งวิ่งไปข้างหน้า กลับกันอีกมุมหนึ่งที่เหมือนโลกคู่ขนานอย่าง “วงการแอนทีค” หรือ “วงการของเก่า” ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่หลงใหลและยอมทุ่มหมดตักเพื่อให้ได้อดีตมาครอบครอง เพื่อเข้าใจเรื่องของเก่าอย่างมีรสชาติ รู้อีกมุมของวงการนี้ให้แตกฉาน คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการพูดคุยกับคุณต๋อง – สุพจน์ ศิริพรเลิศกุล บุรุษใหญ่ระดับตำนานผู้คร่ำหวอดในวงการของเก่ามายาวนาน เจ้าของอาณาจักร PAPAYA โกดังสามชั้นที่อัดแน่นด้วยข้าวของวินเทจประเมินค่าไม่ได้ย่านลาดพร้าวแห่งนี้ “อาชีพนี้เราขายอดีต มันก็อาจจะไม่สูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ เพราะคนที่เข้ามาตรงนี้มันไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยี อย่างเราชอบสักชิ้นนึง มัน Remind อะไรเราบางอย่าง พวกที่เคยขายคอมพิวเตอร์บางทีผมก็ซื้อร้านขายเศษเหล็กเครื่องละสองสามพันบาท แต่เรารู้ว่าไอ้นี่มันอยู่ปีไหน ๆ เราขายเครื่องสามสี่หมื่น ก็ขายได้ คือทุกอย่างถ้าเกิดเรามีความใส่ใจกับมันทุกอย่าง เราจะรู้ว่าทุกอย่างมันมีราคา แต่คนที่เห็นมันคือคนที่มันต้องรู้ไง” กี่บาทก็ต้องเก่า “สะสมของนี่เก็บมาตั้งแต่เด็ก ๆ สมัยก่อนพอมีเงินเราจะไปสนามหลวงข้างวัดพระแก้ว วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จะไปตั้งแต่ 6 โมงเช้า ไปเดินซื้อ พูดง่าย ๆ ว่ามีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อของเก่าหมด พอซื้อไปก็รู้จักคนไปเรื่อย เริ่มซื้อเป็น เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ใช้เวลานาน เป็นปี ๆ”
เคยสังเกตไหม เวลาที่เรานั่งรถไปเรื่อย ๆ เรามักจะมองเห็นตึกแถวติดป้าย “โรงรับจำนำ” ตัวเป้ง ๆ ตั้งแทรกอยู่ตามถนนหนทาง อักษรสีขาวตัดกับพื้นหลังสีแสดมองเห็นได้แต่ไกลคุ้นตาแบบนี้อยู่มานานตั้งแต่รุ่นอาม่าอากง และไม่ว่าเศรษฐกิจจะขึ้นหรือลงแค่ไหน “โรงรับจำนำ” ก็ดูเหมือนจะเป็นอมตะ ธุรกิจแมว 9 ชีวิตที่ฆ่าไม่ตายอยู่มาได้เรื่อย ๆ ตัดกลับมาที่ทีมเรา แค่พูดคำว่า “โรงรับจำนำ” ก็ยอมรับพร้อมกันว่าไม่เคยเข้า เรารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมาก มีแค่ภาพลาง ๆ จากสื่อตามรายการที่เคยดู รู้แค่ว่าเป็นสถานที่ “ตึ๊ง” ของแก้ขัดสน ‘ของวาง เงินมา’ ยื่นหมูยื่นแมว พร้อมตั๋วรับจำนำและต้องปั๊มลายนิ้วมือเท่านั้น แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราสงสัยและคิดว่าไม่ควรเก็บปริศนานี้ไว้กับตัวจนแก่ เราจึงค่อย ๆ หาข้อมูลและเข้าไปพูดคุยกับ คุณชูศักดิ์ ตั้งเลิศสัมพันธ์ เจ้าของกิจการ Money Cafe Group ซึ่งมีโรงรับจำนำที่มีอายุกว่า 40 ปีและอยู่ระหว่างรีแบรนด์ดิ้ง ขยายสาขาเพิ่ม! แถมยังมีไลน์ธุรกิจเพิ่มอย่าง Brand Off หรือแบรนด์เนมมือสองจากญี่ปุ่นที่ปักหลักอยู่ในสยาม ถ้าลองไปหาข้อมูลมาจะรู้ทันทีว่า “โรงรับจำนำสำราญราษฎร์” คือโรงรับจำนำแห่งแรกที่เกิดขึ้นในไทย มีอายุมากว่า 153 ปีและปัจจุบันยังคงอยู่ แต่ที่เราตั้งใจมาพูดคุยกับโรงรับจำนำ
การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ถือเป็นเรื่องชวนให้หัวใจผู้ชายอย่างเราเต้นแรงในหลากหลายเหตุผล บางหัวใจเต้นแรงเพราะนี่คือการเลือกตั้งครั้งแรกในชีวิต บางหัวใจเต้นแรงเพราะเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 5 ปี ในขณะที่บางหัวใจก็เต้นแรงเพราะสมรภูมิการเมืองครั้งนี้มีเรื่องชวนให้ขบคิดและน่าสนใจกว่าหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา “คนรุ่นใหม่” คืออีกกุญแจสำคัญที่ทำให้หัวใจผู้ชายหลายคนเต้นแรง การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่วิธีคิดเดิม ๆ ว่ามีแต่คนมีอายุเท่านั้นที่จะทำงานการเมืองได้ถูกปัดตกไป เพราะพรรคการเมืองหลายพรรคเลือกชูคนรุ่นใหม่มาเป็นอีกทางเลือกในสนามการเมืองครั้งนี้ “ไอติม-พริษฐ์ วัชรสินธุ” เองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถ้าพูดถึงการเมืองกับคนรุ่นใหม่แล้ว คงขาดเขาไปไม่ได้ บางคนจดจำเขาในฐานะชายหนุ่มที่มีศักยภาพพร้อมทำงานการเมืองเต็มเปี่ยม บางคนนึกถึงเขาในฐานะคนหนุ่มฐานะดี การศึกษาพร้อม แต่สมัครใจเป็นทหารเกณฑ์ และไม่ว่าจะพยายามหนีอย่างไรก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าบางคนเห็นเขาเป็นหลายชายหนุ่มรูปหล่อของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ การเป็นลูกหลานคนดัง บางคนมองเห็นเป็นบันได ถีบไต่ตัวเองขึ้นสูงกว่าเดิมได้ แต่บางคนก็เห็นเป็นหลุมพราง ล่อลวงให้คนที่ยังไม่ทันรู้จักเขาดีตกไปในหลุมแห่งความชอบหรือไม่ชอบได้ ไอติม-พริษฐ์ วัชรสินธุ เป็นอย่างหลัง ก่อนที่คุณจะตัดสินเขาจากหน้าตาหรือการเป็นหลานชายของใคร UNLOCKMEN อยากชวนมารู้จักตัวตนของเขาไปพร้อม ๆ กัน หลังจากบทสนทนานี้จบลงแล้ว ค่อยตัดสินเขาก็ยังไม่สาย แต่ที่แน่ ๆ ผู้ก่อตั้งกลุ่ม New Dem และผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ เขตบางกะปิ – วังทองหลาง (แขวงพลับพลา) คนนี้ประกาศชัดเจนว่า “สำหรับผมแล้วผมต้องการพิสูจน์ สิ่งที่ผมเคยทำมาได้ ไม่ได้เป็นเพราะผมเป็นลูกหลานใครและผมจะมุ่งมั่นต่อไป” มาพิสูจน์ตัวตนและทัศนคติของเขา ผ่านบทสนทนานี้ไปพร้อม ๆ กัน … ตั้งแต่ตัดสินใจทำงานการเมือง ไลฟ์สไตล์การแบ่งเวลา
เรามักจะเห็นผู้หญิงจับกลุ่มกันเรียกร้องสิทธิ์หรือแสดงความคิดเห็นร่วมกัน เสียงของพวกเธอกลายเป็นไวรัลกระแสหลักในสังคมผ่านสื่อ แต่หลายคนกลับไม่รู้ว่าผู้ชายเราก็มีความเป็นกลุ่มก้อนและรักการสร้าง community ใหม่ ๆ เช่นเดียวกัน แล้วผู้ชายเราคุยกันที่ไหน ผู้ชายอยากคุยกันไหม เราคุยอะไรกัน และเราได้อะไรจากการรวมแก๊ง คำตอบนี้เราคงต้องให้ผู้ชายที่รวมกลุ่มคนจำนวนกว่า 700,000 คน สร้างพื้นที่ขนาดใหญ่บนโลกโซเชียลอย่าง UNLOCKMEN ที่มีผู้เข้าชมในเว็บไซต์ราวสองล้านคนต่อเดือน ไว้ให้ผู้ชายออกมาพูดคุยกันอย่างเปิดเผย ปลดล็อกศักยภาพ มาแชร์แลกเปลี่ยนเรื่องราวของเขาให้เราฟัง เจ้าของบ้าน UNLOCKMEN ที่เริ่มต้นจากคอมพิวเตอร์ 1 ตัวและความคิดของเขา คุณกึ้ง – ชัยพร ไตรวัฒน์ศิริวัฒน์ Editor in chief และผู้ก่อตั้ง UNLOCKMEN “ผู้ชายเป็นกลุ่มคนที่ค่อนข้างซับซ้อน คือเขาอาจจะ comfortable กับคนที่สไตล์เดียวกันเหมือนกับกลุ่มเพื่อน มากกว่าที่จะคุยกับคนแปลกหน้า ผมเลยคิดว่าการสร้าง community แบบนี้ให้คนได้คุยกันจริง ๆ ทำให้เกิด connection มันทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน และเกิดการ learning ถ้าเราไม่ได้แชร์ข้อมูลกับใคร มีอะไรแล้วเก็บไว้คนเดียว มันจะทำให้เราติดกับกรอบความรู้และคำตอบจากความคิดตัวเอง ซึ่งเราอาจจะไม่สามารถพัฒนาไปไหนเลยก็ได้” UNLOCKMEN ที่เข้าใจผู้ชายได้ดีเกิดขึ้นจากจุดเริ่มต้นของผู้ชายที่ไม่ได้สมบูรณ์พร้อม แต่แสวงหาส่วนเติมเต็ม รินน้ำเข้าไปในแก้วเปล่า เพิ่มสกิลเพื่อพัฒนาชีวิตของตัวเอง
“เมื่อก่อนเราไม่เอาอะไรเลย อยากแค่ร้องเพลงอย่างเดียว … ไม่อยากทำอะไรที่มันไม่ใช่ตัวเอง อยากแค่ทำเพลงอย่างเดียวจริง ๆ” ตัวตน ความชอบ ความฝัน แพสชั่น เป็นเหมือนภารกิจชีวิตที่เราทุกคนต้องทำมันให้สำเร็จ ยิ่งกับเรื่องการสร้างตัวตนในยุคนี้ น้ำหนักของมันยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว ใครบ้างจะอยากเป็นสิ่งอื่นที่ตัวเองไม่อยากเป็น ใครจะอยากเสียเวลาไปฝืนทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ แม้การฝืนทน จำนนต่อสิ่งที่ไม่ชอบ กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของหลาย ๆ คน แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเปอร์เซ็นต์ของคนที่ประสบความสำเร็จเพราะทำตามความฝันเพียงอย่างเดียวมีจำนวนน้อยกว่ามาก เพื่อพูดคุยเรื่องส่วนผสมของความสำเร็จ ความชอบ การทำตามความฝัน ชื่อของ “แป้งโกะ” – จินตนัดดา ลัมะกานนท์ หญิงสาวเสียงใสที่ประสบความสำเร็จทางดนตรีตั้งแต่อายุยังน้อยโดยเริ่มต้นจากการ Cover เพลงเป็นชื่อแรก ๆ ที่เรานึกถึง ศิลปินเต็มขั้นที่มีทั้งผลงานเพลงเป็นของตัวเองและยังคง Cover งานเพลงศิลปินอื่น โดยสวมวิญญาณการเล่าและตีความในรูปแบบฉบับของตัวเอง อย่างซิงเกิ้ลล่าสุดที่ปล่อยออกมาอย่าง คำอธิบายของ Ewery ก็เป็นเพลงที่เธอชื่นชอบถึงเลือกมาทำ ส่วนเราก็ยอมรับว่าชื่นชมทั้งน้ำเสียงและการถ่ายทอดอารมณ์ ไพเราะอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่แพ้ต้นฉบับ เราตั้งใจมาพูดคุยเรื่องเส้นทางการเติบโตของเธอ สิ่งที่ต้องก้าวข้ามเพื่อทำตามความฝันจนสำเร็จตั้งแต่ยุคอินเตอร์เน็ตยังไม่แรงเท่าวันนี้ แต่หนึ่งในคำตอบของเธอที่ “โต” กว่าตัวและความคาดหวังของเราที่ตอบกลับมา กลับน่าสนใจกว่าเก่า เมื่อแป้งโกะลุกขึ้นมายอมรับว่า “ความชอบ” ที่เคยพาไปถึงฝั่งนี่แหละ คือ “กรอบ” ชิ้นใหญ่ที่ชีวิตที่เราต้องก้าวข้ามไป อุปสรรคที่มากกว่าเสียงวิจารณ์ภายนอก
สรรพสามิตฯ บุกตึกแถวจับหนุ่มนิติศาสตร์ ม.ดัง คิดค้นสูตรหมักเบียร์ขายเอง! ย้อนไปเมื่อ 2 ปีก่อน นี่คือพาดหัวหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ เป็นข่าวใหญ่สะเทือนวงการคราฟต์เบียร์ไทยที่ทั้งคนในและนอกวงการต่างให้ความสนใจ เพราะก่อนหน้านี้คราฟต์เบียร์ในไทยยังเป็นอะไรที่เทา ๆ ไม่ได้มีการเอาผิดทางกฎหมายอย่างจริงจังจนกระทั่งเหตุการณ์นี้ ‘เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร’ คือชื่อของผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว คนส่วนใหญ่คงไม่มีใครรู้จักเขามาก่อน มีข้อมูลชายคนนี้เท่าที่ข่าวนำเสนอ แต่เรากับเขาเคยพบปะกันมาบ้างในกิจกรรมทางการเมืองต่าง ๆ รวมถึงเรื่องเบียร์ที่เราค่อนข้างเป็นแฟนคลับ ตามดื่มคราฟต์เบียร์ของเขามาตั้งแต่ยังไม่เกิดเรื่อง เราจึงค่อนข้างตกใจกับข่าวนี้พอสมควร 2 ปีผ่านไป จากผู้ต้องหาในวันนั้น ในวันนี้เขากลับมีชื่อเป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎรในนามพรรค ‘อนาคตใหม่’ พร้อมนโยบายผลักดันคราฟต์เบียร์ไทยให้ถูกกฎหมาย ดูเป็นผู้ชายที่มีชีวิตน่าสนใจไม่ใช่น้อย และโชคดีที่วันนี้เรามีโอกาสได้นั่งพูดคุยกับเขา เอาเป็นว่าเราไปทำความรู้จัก เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร กับบทบาทท้าทายครั้งใหม่ในชีวิตไปพร้อม ๆ กัน เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร คือใคร? “สวัสดีครับ ผมชื่อ เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร อายุ 29 ปี เรียกผมว่าเท่าก็ได้ แต่ฉายาของผมที่คนทั่วไปรู้จักก็น่าจะเป็นหนุ่มนิติคราฟต์เบียร์ เพราะว่า 2 ปีก่อนผมโดนจับไปเพราะทำคราฟต์เบียร์” นอกจากการเป็นหนุ่มนิติคราฟต์เบียร์ ไลฟ์สไตล์ด้านอื่นเท่าพิภพเป็นยังไงบ้าง? “จริง ๆ ไลฟ์สไตล์ผมก็เป็นคนง่าย ๆ รักอิสระ ทำอะไรค่อนข้างตามใจตัวเอง
“ความสำเร็จ”คืออะไร ? รูปร่างหน้าตาเป็นแบบไหน ? ถามคำถามนี้กับใครก็ยากที่คนตรงหน้าจะระบุรูปลักษณ์ที่แน่นอนของสิ่งนามธรรมอย่างความสำเร็จออกมาได้ โดยเฉพาะกับคนหนุ่มสาววัย 20 ต้น ๆ ที่มักกำลังตามหาความหมายอะไรบางอย่างของชีวิต เราก็ทึกทักเอาเองว่าคนจะมีพวกเขาน้อยคนนักที่จะสามารถนิยามความหมายของคำว่าความสำเร็จของตัวเองได้ แต่ไม่ใช่กับ “มานะ-มนพร ศรีศุทธยานนท์” หรือ MANA DKK นักวาดภาพประกอบสาวที่เรามีโอกาสสนทนาด้วย เธอนิยามความสำเร็จในแบบของเธอเองได้อย่างแจ่มชัด บางความสำเร็จของบางคนอาจหมายถึงเกียรติยศ ชื่อเสียง หรือเงินทอง แต่สำหรับเธอความสำเร็จอาจหมายรวมถึงการได้ตื่นขึ้นมาในแต่ละวันและยังสามารถทำสิ่งที่เธอรักอย่างการวาดรูปได้อย่างมีความสุขนั่นก็เพียงพอจะเป็นความสำเร็จแล้ว ไม่ใช่แค่นิยามของความสำเร็จของมานะเท่านั้นที่ดูชัดเจน แน่วแน่ แต่ในฐานะนักวาดภาพประกอบรุ่นใหม่ ผลงานและตัวตนของมานะก็โดดเด่นน่าสนใจไม่แพ้กัน สำหรับใครที่เคยอ่านสื่อออนไลน์อย่าง The MATTER มาบ้าง ก็ดีใจด้วย เพราะคุณอาจเห็นงานภาพประกอบสีสันสดใสของมานะที่ผนวกรวมเข้ากับเนื้อหาหนักแน่นได้อย่างกลมกล่อม แต่ก็ไม่ทิ้งความเป็นตัวเธอแต่อย่างใด ยิ่งเห็นภาพสีสันสดใส แต่เต็มไปด้วยตัวตนเหล่านั้น เรายิ่งอยากทำความรู้จักเธอ … ตอนที่เรากำลังอยากรู้จักเธอมากขึ้นก็เป็นช่วงเดียวกันกับที่มานะกลับมาไทยช่วงสั้น ๆ เพราะตอนนี้เธอกำลังเรียนปริญญาโทด้าน Visual Development ที่สหรัฐอเมริกา เธอเรียนมา 2 ปีเต็ม ๆ แล้วและยังเหลืออีกปีกว่า ๆ ก่อนจะจบการศึกษาอย่างเป็นทางการ “เรียนมาสองปีแล้ว เหลืออีกปีกว่าจะจบ แต่เราค้นพบว่ามันใช่มาก ชอบมาก แต่ก็น่าจะหางานยากด้วย เพราะในไทยก็มีงานด้านนี้น้อย
ทำไมเราถึงต่อราคาทุกสิ่งที่เราอยากเป็นเจ้าของ แล้วทำไมเราถึงต้องลดราคาให้กับคุณภาพที่ดีที่สุดเพื่อจะขายมัน? ทางออกของระบบกลไกเศรษฐกิจที่น่าจะยั่งยืนคืออะไร ไม่น่าเชื่อว่าเราดันมาได้คำตอบของคำถามเหล่านี้จากการพูดคุยระหว่างจิบเครื่องดื่มเย็น ๆ ในช่วงบ่ายวันหนึ่ง คำตอบที่เราไม่คาดหวังว่าจะได้ยินจากพวกเขา แต่คาดหวังว่าจะมีใครสักคนพูดถึงเรื่องนี้ และสิ่งนี้คือนวัตกรรมเหนือความอร่อยของ Castown เครื่องดื่มคราฟต์โซดาแห่งแรกในไทยที่ได้ 2 หนุ่มคู่หูเพื่อนซี้อารมณ์ดีอย่าง บอม-รัฐศรัณย์ พีรพงศ์เดชา และเติ้ง – พนัญไชย กล่ำกล่อมจิตต์ เป็นผู้ริเริ่มและดำเนินการมาจนสำเร็จ เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็นหน้าค่าตาของ Castown แล้ว และบางคนน่าจะเคยได้ชิมมันด้วยตามบาร์บางแห่งหรือร้านกาแฟบางที่ ความแปลกของเครื่องดื่มมีฟองเย็น ๆ ทำขึ้นจากเปลือกกาแฟที่มีรสชาติเฉพาะตัว แทนที่จะเลือกใช้ผลกาแฟตากคั่วเข้ม ๆ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากองค์กรเล็ก ๆ ที่เริ่มต้นด้วยคนจำนวนไม่กี่คน ซึ่งท้ายที่สุดสิ่งที่เริ่มต้นจากของเหลวในขวดสีชาเหล่านี้ พาพวกเขามารับรางวัลชนะเลิศ อันดับ 1 การประกวดนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์การเกษตรและอาหาร กรมทรัพย์สินทางปัญญา ปี 2560 “ก็คิดว่าเปลือกมันก็เป็นปุ๋ยได้ แต่พอขึ้นไปเห็นจริงมันเยอะกว่าที่จะเอามาเป็นปุ๋ย มันเยอะเกินไปจนทำให้น้ำก็เน่า ดินก็เสีย มันเลยกลายเป็นว่านี่มันเป็นปัญหาของคนบนนั้นที่คนข้างล่างสร้างให้เขาแล้ว” บอมหวนพูดถึงจุดเริ่มต้นของ Castown สมัยที่เขายังเป็นบาริสต้าเปิดร้านกาแฟแล้วชวนเติ้งขึ้นดอยเพื่อสัมผัสบรรยากาศสวยงามของโฮมสเตย์ในไร่กาแฟ แต่สิ่งที่พวกเขาทั้งคู่พบกลับเป็นกองเปลือกผลกาแฟจำนวนมหาศาล กลิ่นเหม็นเน่า ที่ล้างความคิดเดิมอย่างการเอาเปลือกไปทำปุ๋ยเพราะปริมาณที่มากเกินไป บวกกับแนวโน้มของการดื่มกาแฟที่นับวันจะเพิ่มขึ้นจึงทำให้เขาฉุกคิดว่า “ที่เรากินกาแฟกันไปทุกวันนี้ เราทิ้งขยะไว้บนนี้นี่หว่า แล้วเราไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันมีขยะทิ้งไว้ให้เกษตรกรเยอะขนาดนี้เลย